ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคในการทำงาน-

ข้อมูลวิชาการค่ะ

ขึ้นบล็อคไว้ เอาไว้อ่านตอนที่คอมพิวเตอร์เจ๊ง
ข้อมูลหลักจะได้ไม่หาย
อ่านไม่รู้เรื่อง กรุณาทำใจค่า ^^

ความหมาย แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวกับความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคในการทำงาน.

ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค หรือ Adversity Quotient หรือ AQ ถือเป็นแนวคิดใหม่ที่ Dr. Paul G. Stoltz ได้บัญญัติและนำเสนอในปี 1997 นี้ โดยมีแนวคิดที่เชื่อว่า คนที่มี AQ ดีนั้น จะต้องมีแนวคิดและทัศนคติต่ออุปสรรคว่าเป็นความท้าทาย ทำให้เกิดโอกาส และการมีโอกาสก็คือหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ

1.1 ความหมายของความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค (Adversity quotient)

สตอลทซ์ (Stoltz,1997) กล่าวว่า ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค หมายถึง ความอดทน ความพากเพียรและความสามารถในการผ่านพ้นความยากลำบากโดยไม่ล้มเลิก

ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ (2544,น.103) กล่าวว่า ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค คือ รูปแบบปฏิกิริยาการตอบสนองหรือพฤติกรรมของคนๆนั้นต่อปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากใยประสาทต่างๆที่ถูกสร้างและฝึกฝนขึ้น ปัญหาที่กล่าวถึงนี้อาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นปัญหาปานกลาง หรืออาจจะเป็นปัญหาที่ใหญ่โตมหาศาล มหันตภัยก็เป็นไปได้ รูปแบบการตอบสนองนี้คือรูปแบบการจัดการกับปัญหา

วิทยา นาควัชระ (2544 ) ให้ความหมายว่า Adversity Quotient หรือ AQ หมายถึง ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรค เป็นความอดทนเมื่อมีอุปสรรคและสามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้อย่างคนมีกำลังใจและมีความหวังอยู่เสมอ ส่วนจะเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้นั้น ไม่เป็นไร เพราะถือว่าได้ลงมือทำสิ่งที่ควรทำแล้ว

ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ (2546) อธิบายว่า Adversity Quotient หรือ AQ คือ เชาวน์ความอึด เป็นความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค มีสติ ควบคุมความคิดและอารมณ์ทำให้ฟื้นตัวจากอุปสรรคอย่างรวดเร็ว และหยุดคิดวิธีที่ทำให้เกิดความเครียดความท้อแท้

อารี พันธ์มณี (2546 ) กล่าวว่า ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค หรือการเอาชนะปัญหาและอุปสรรคหมายถึง บุคคลที่มีความอดทนจิตใจเข้มแข็งและมีเป้าหมายชัดเจนแน่นอน มีความเข้าใจโลกสามารถอดทนต่อความเหนื่อยยาก ลำบาก ความเจ็บปวด การรอคอย อดทนต่อความเหนื่อยหน่าย มุ่งมั่น ฟันฝ่าอุปสรรคและแก้ปัญหาให้ได้

นันทนุช ตั้งเสถียร (2546) ให้สรุป ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ว่า เป็นแนวคิดที่จะพยายามทำความเข้าใจอุปสรรค ความยากลำบากและรู้ที่มาของความรู้สึกว่าทำไมคนจึงท้อแท้และสิ้นหวังเมื่อประสบกับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ได้ผ่านเข้ามาเหมือนมรสุมที่จู่โจมความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคจึงเป็นสิ่งที่ถูกเชื่อว่าจะช่วยทำให้คนอดทนกับความยากลำบากและฟันฝ่าเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นไปได้

วรวรรณ หงษ์กิตติยานนท์ (2548 ) ได้สรุปความหมายของ ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค คือ ความทนต่อปัญหาและอุปสรรค และความสามารถในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค
วรัญญพร ปานเสน (2550) อธิบายว่า Adversity Quotient หมายถึง ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค และความยากลำบาก หรือความฉลาดในการฝ่าวิกฤต ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการประสบความสำเร็จในชีวิต

เมื่อสรุปจากความหมายและแนวคิดต่างๆ ที่หลายท่านได้กล่าวไว้ ผู้วิจัยจึงให้ความหมายของ Adversity Quotient ว่า คือศักยภาพของบุคคลในการต่อสู้ และเอาชนะปัญหาหรืออุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่อย่างมีสติ พากเพียรหาหนทางแก้ไขอย่างไม่หยุดหย่อนและอดทน ไม่ล้มเลิกความพยายามโดยง่าย จนผ่านพ้นปัญหานั้นๆ ไปได้ด้วยดี

1.2 แนวคิดพื้นฐานที่เกี่ยวกับความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค
ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความสามารถของบุคคลในการอดทนต่อปัญหาและอุปสรรคต่างๆ รวมทั้งสามารถเผชิญต่อปัญหาและอุปสรรคได้ จนทำให้บุคคลประสบความสำเร็จในชีวิตประจำวันและการทำงาน โดย สตอลทซ์ ได้สรุปแนวความคิดเรื่อง ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคว่า AQ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการทางวิทยาศาสตร์ 3 หลัก (Stoltz, 1997) คือ

1. จิตวิทยาการรู้คิด (Cognitive psychology)
อุปสรรคต่างๆเกิดมาจากภายในจิตใจของตนเอง ทำให้เกิดความท้อแท้ หมดหวัง ไม่รู้ว่าจะจัดการกับอุปสรรคเหล่านี้อย่างไร คนกลุ่มนี้ก็จะพ่ายแพ้และจมอยู่กับความทุกที่มากับอุปสรรค การที่บุคคลเกิดความคิดและเชื่อเช่นนี้ไปเรื่อยๆจะหล่อหลอมให้เกิดการรับรู้เช่นนี้ตลอดชีวิตที่ต้องเผชิญกับอุปสรรค ในทางตรงข้ามถ้ามีการรับรู้ว่าอุปสรรคเป็นสิ่งชั่วคราว เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญและฝ่ามันไป คนก็จะมีความหวัง มีกำลังใจไม่ท้อแท้และหาทางที่จะฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไป และถ้าต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆในอนาคตก็จะมีการรับรู้อุปสรรคในทางบวก

2. อิมมูนวิทยาของจิตประสาท (Psychoneuroimmunology)
เป็นแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพและผลการปฏิบัติงานของมนุษย์ โดย AQ มาความเกี่ยวข้องกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเอง ความเข้มแข็งทางจิตใจและการควบคุมตนเองจะส่งผลต่อภูมิต้านทานโรคภัยหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น นอกจากนั้น นักวิจัยหลานท่านได้กล่าวว่า ศาสตร์แห่งภูมิคุ้มกันทางจิตในและประสาทวิทยานี้ ทำให้คนเราได้เรียนรู้ว่า
- มีการเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างวิธีที่คุณตอบสนองต่อวิกฤตและสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคุณ
- การควบคุมจำเป็นต่อสุขภาพและการมีอายุยืนยาว
- วิธีที่บุคคลตอบสนองต่อวิกฤตมีผลต่อระบบภูมิตุ้มกันการฟื้นตัวจากการผ่าตัด และความทนทานต่อโรคที่คุกคามชีวิต
- รูปแบบการตอบสนองต่อวิกฤตที่อ่อนแอ ทำให้เกิดความเครียดได้

3. สรีรวิทยาประสาท (Neurophysiology)
สมองคนเราประกอบด้วยโครงสร้างที่สมบูรณ์ สามารถสร้างความเคยชินขึ้นมาได้ ถ้าเปลี่ยนจิตใต้สำนึกใหม่ และสร้างทัศนคติทางบวก จะช่วยพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคที่เกี่ยวข้องของคนได้ ดังนั้น จากพื้นฐานงานวิจัยของนักสรีรประสาทวิทยาชั้นนำ ทำให้คนเราได้เรียนรู้ว่า
- สมองถูกจัดเตรียมอย่างเยี่ยมยอด เพื่อการสร้างนิสัยอย่างที่เราปรารถนา
- นิสัยสามารถยับยั้ง และเปลี่ยนแปลงได้ทันที นั่นคือ นิสัยส่วนตัวในการตอบสนองต่อวิกฤติ สามารถถูกยับยั้งและเปลี่ยนแปลงได้ทันที
- ดังนั้น นิสัยที่เป็นจิตใต้สำนึก เช่น AQ ก็จะสามารถเปลี่ยนได้อย่างทันทีทันใด และพร้อมเสมอที่จะสร้างนิสัยใหม่ๆ ที่คงอยู่ได้อย่างถาวร

แผนภาพที่ 2.1
แสดงภาพกรอบแนวคิดของความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค (AQ)


ที่มา : Stlotz, 1997, p.83


ความสำคัญของความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค

ตามแนวคิดของสตอลทซ์ ( Stoltz 1997) ที่ได้เสนอว่า ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคเป็นแนวคิดที่ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐาน 2 องค์ประกอบ คือ เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำมาประยุกต์ในโลกความเป็นจริงได้ จึงทำให้ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคมีความสำคัญต่อคนในปัจจุบัน นอกจากนั้น AQ ยังมีความสำคัญ ในการช่วยทำนายว่า
1. บุคคลใดจะสามารถอดทนต่อความยากลำบาก อุปสรรค ได้ดีเพียงใด และบุคคลใดสามารถที่จะฟันฝ่าอุปสรรคและพ่ายแพ้อุปสรรคต่างๆ
2. บุคคลใดจะเป็นผู้ชนะหรือพ่ายแพ้ต่ออุปสรรค
3. บุคคลใดทำงานได้มีศักยภาพที่เหนือกว่าความคาดหวังได้
4. บุคคลใดจะล้มเลิกการทำงานและบุคคลใดจะมีความพยายามฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ยังมีคุณสมบัติที่สำคัญ 3 ประการ (Stoltz ,1997) คือ
1 ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค เป็นแนวคิดใหม่ที่ทำให้เข้าใจและส่งเสริมเรื่องของความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
2 ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค เป็นสิ่งที่วัดว่าคนจะตอบสนองต่ออุปสรรคและปัญหาอย่างไร ซึ่งสามารถวัดออกมาได้ ทำให้เกิดความเข้าใจและเชื่อว่า AQ สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้
3 ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค มาจากพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาการตอบสนองต่ออุปสรรคความยากลำบาก ซึ่งผลของ AQ จะเพิ่มประสิทธิภาพองค์การ

จากคุณสมบัติทั้ง 3 ประการดังกล่าว สามารถแสดงการเชื่อมโยงได้ ดังแผนภาพที่ 2.2

แผนภาพที่ 2.2
แสดงความเชื่อมโยงของ AQ กับคุณสมบัติทั้ง 3 ประการของ AQ



การวัดที่เที่ยงตรง เครื่องมือในการเอาชนะอุปสรรค
(A Valid Measure) (Tools to Ascend)


ทฤษฎีใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพ
(New Theory of Effectiveness)

ที่มา: Stoltz , P.G (1997. Adversity Quotient : Turning obstacles into opportunities. New York : John Wiley & son,p.8)

ความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคไม่เพียงแต่จะใช้ได้ดีในระดับบุคคลอย่างเดียวเท่านั้น พบว่ายังสามารถนำไปประยุกต์เพื่อใช้ส่งเสริมประสิทธิภาพทีมงาน(Teams) ความสัมพันธ์( Relationships) ครอบครัว(Families) องค์การ(Organizations) ชุมชน(Communities) วัฒนธรรม(Cultures) สังคม (Societies) นอกจากนั้น ยังสามารถใช้ทำนายความสำเร็จได้ถึง 17 อย่าง (Stoltz ,1997,p .9) คือ
1. ผลการปฏิบัติงาน(Performance)
2. แรงจูงใจ(Motivation)
3. การมีอำนาจ(Empowerment)
4. การเรียนรู้(Learning)
5. ความคิดสร้างสรรค์(Creativity)
6. ความมีผลิตผล(Productivity)
7. พลังงาน(Energy)
8. ความหวัง(Hope)
9. ความสุข ความกระปรี้กระเปร่า และ ความสนุกสนาน(Happiness , Vitality and Joy)
10. สุขภาพทางอารมณ์(Emotional health)
11. สุขภาพทางกาย(Physical health)
12. ความมั่นคง(Persistence)
13. ความสามารถในการฟื้นตัว(Resilience)
14. การปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา(Improvement over time)
15. เจตคติ(Attitude)
16. การมีอายุยืน(Longevity)
17. การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง(Response to change)

การแบ่งประเภทของบุคคลตามแนวคิดของสตอลทซ์
สตอลทซ์ ( 1997) ได้เปรียบเทียบชีวิตคนเหมือนกับการปีนเขา หากบุคคลต้องการประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยจิตใจที่มีความมุ่งมั่น จดจ่อ และมีความอดทน ซึ่งจะต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการปีนอย่างช้า ๆ ซึ่งการเปรียบเทียบนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะกับตัวบุคคลเท่ายั้น ยังใช้ในการเปรียบเทียบกับความสำเร็จ ของทีมงานและองค์การที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยสตอลทซ์ ได้แบ่งลักษณะของบุคคล ทีมงาน และองค์การ เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มผู้ยอมแพ้ (The Quitter) เป็นกลุ่มที่เมื่อเจอภูเขาลูกใหญ่อยู่ตรงหน้า ก็ไม่พยายามปีนเขาลูกนั้น จะหยุดพักอยู่ที่ตีนเขา เปรียบได้กับผู้ที่มักจะยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อมีปัญหาหรืออุปสรรคเข้ามาในชีวิตประจำวัน และปัญหาจากการทำงาน มักจะไม่ยอมแก้ปัญหาหรืออุปสรรคและจะล้มเลิกถอยหนีอย่างง่ายๆ คนกลุ่มนี้มักจะเป็นคนที่ซึมเศร้า หดหู่ มอโลกในแง่ร้าย อิจฉาริษยา และมองคนที่ประสบความสำเร็จว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม โดยที่ไม่เคยมองตัวเองว่า จริงๆ แล้ว ตัวเองก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จแต่ได้ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปเองจากการที่ไม่ยอมแก้ปัญหาหรืออุปสรรคที่ตัวเองเคยประสบมา
โดยภาษาของกลุ่มผู้ยอมแพ้นั้น จะมีความสามารถในการใช้ภาษาเกี่ยวกับข้อจำกัดและมีวิธีในการสร้างสรรค์เพื่อหาทางออกในการหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง ตัวอย่างคำพูด เช่น
- “ไม่สามารถทำได้” , “มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
- “เราได้ทำวิธีนี้มาตลอดนั่นแหละ” , “ฉันได้ลองทำไปแล้ว”
- “มันไม่คุ้มหรอก” , “มันเป็นเรื่องโง่ๆ”
- “มันไม่ยุติธรรมเลย”
- “ถ้าฉันอยากทำ ก็ทำได้”

2. กลุ่มผู้พักแรม (The Camper ) เป็นกลุ่มที่เมื่อเจอภูเขาลูกใหญ่ ก็จะพยายามหาทางเพื่อปีนเขาลูกนั้น แต่พอปีนเขาไปได้ในระดับหนึ่ง ก็จะหยุด ไม่ต้องการที่จะปีนไปให้ถึงจุดสูงสุดของภูเขา เปรียบได้กับผู้ที่ทำงานไปตามความรับผิดชอบ ไม่ได้เพิ่มความพยายามที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า เมื่อองค์การมีเป้าหมายให้ระดับหนึ่ง ก็จะทำเพียงแต่เป้าหมายที่กำหนดไว้ ไม่ได้พยายามที่จะทำให้เกินไปกว่าเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ตัวเองยังมีพลัง ยังมีความสามารถที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่านั้น
โดยภาษาของกลุ่มผู้พักแรมนั้น จะพยายามหาคำพูดเพื่อการประนีประนอม ตัวอย่างคำพูด
- “นี่มันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว”
- “ระดับที่ต่ำที่สุดที่จำเป็นต่อการทำงานนี้คือเท่าไหร่”
- “นี่มันไกลเท่าที่ฉันต้องการจะไปแล้ว”
- “มันอาจจะแย่ไปกว่านี้ก็ได้”


3. กลุ่มนักปีนเขา (The Climber ) เป็นกลุ่มที่มีความพยายามในการปีนเขาเพื่อให้ถึงยอดเขาลูกใหญ่ โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ เพื่อให้ปีนให้ถึงยอดเขา เปรียบได้กับคนกลุ่มที่ยอมเสียสละและทุ่มเททำงานให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ต่อไปเรื่อยๆ มีความอดทนต่อการหาหนทางในการแก้ปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจจะประสบในการทำงาน เป็นกลุ่มที่ชอบสร้างงาน และชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เสมอ
โดยภาษาของกลุ่มนักปีนเขานั้น จะเป็นผู้ที่สามารถสร้างความสามารถที่จะชนะและพูดเกี่ยวกับอะไรที่สามารถเป็นไปได้ และพยายามทำมันได้อย่างไร คำพูดของคนกลุ่มนี้จะแสดงถึงความพยายามในการกระทำและมีความอดทน ตัวอย่างคำพูด
- “ทำให้ดีที่สุด” , “ทำให้ถูกต้อง”
- “อย่าท้อถอย”
- “เราจะทำอย่างไรกันเพื่อให้งานประสบความสำเร็จ”
- “มันต้องมีหนทางอยู่เสมอ”
- “แค่เป็นเพราะยังไม่ได้ทำ ไม่ใช่เป็นเพราะว่า ยังไม่ได้ลงมือทำ
- “เวลาที่จะทำก็คือตอนนี้”


เมื่อได้พิจารณาลักษณะของบุคคลที่ 3 ประเภทแล้ว มีแนวโน้มว่า ทุกองค์การย่อมต้องการให้บุคลากรในองค์การ เป็นบุคคลประเภท กลุ่มนักปีนเขา (The Climber) เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่มีความตั้งใจ มีความทุ่มเททั้งแรงกาย และแรงใจในการทำงาน เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการทำงาน ถึงแม้ว่าจะประสบกับปัญหาและอุปสรรคที่จะเข้ามา ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ เมื่อประสบกับปัญหาและอุปสรรคแล้ว ก็พยายามหาทางแก้ปัญหา และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับองค์การ



นักจิตวิทยาชื่อดัง อับราฮัม มาสโลว์ เจ้าทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้น (Maslow’s Hierarchy of Needs Theory) ที่เชื่อว่ามนุษย์จะแสดงพฤติกรรมเพื่อแสวงหาสิ่งที่สามารถบำบัดความต้องการของตนเอง ความต้องการจึงเป็นบ่อเกิดของแรงจูงใจ มาสโลว์ แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้น มนุษย์จะตอบสนองความต้องการทั้งหมดอย่างมีลำดับขั้นตามความสำคัญของความต้องการ และตามความพึงพอใจในแต่ละเวลา ความต้องการทั้ง 5 ขั้นนั้น คือ
1. ความต้องการด้านร่างกาย(Physiological Needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานเพื่อความอยู่รอด เช่น ความต้องการด้านปัจจัย 4 รวมไปถึง ความต้องการด้านเพศ เป็นความต้องการที่คนเราทุกคนต้องหมกมุ่นอยู่กับการบำบัดให้ร่างกายอยู่รอดและสุขสบายเสียก่อน
2. ความต้องการความมั่นคงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจ(Safety Needs) เช่น ความต้องการความมั่นคงในอาชีพ ต้องการทำงานในองค์การที่มีกิจการรุ่งเรือง ไม่มีนโยบายให้คนออกจากงานเมื่อผลการดำเนินกิจการไม่ดี ต้องการทำงานที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ
3. ความต้องการการเป็นเจ้าของและความรัก(Belonging and Love Needs) เช่น ต้องการที่จะเข้าร่วมและได้รับการยอมรับในสังคม อยากอยู่ในกลุ่มเพื่อน อยากอยู่ในแวดวงเพื่อนร่วมงานที่สามัคคีกัน อยากมีคนที่รัก ต้องการความรักจากเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
4. ความต้องการได้รับการยอมรับและยกย่องจากสังคม(Esteem Needs) เช่น อยากทำสิ่งที่จะนำมาซึ่งชื่อเสียง เกียรติยศ เป็นที่ยอมรับและยกย่องสรรเสริญของบุคคลอื่น
5. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในชีวิต(Self Actualization Needs) หมายถึง ความต้องการที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจ อยากพัฒนาความสามารถและศักยภาพของตนเองให้สูงขึ้น เป็นความต้องการที่จะใช้ความสามารถสูงสุดที่ตนมีเพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จและสมหวังตามที่ตนเองต้องการ เป็นการกระทำโดยไม่มีความต้องการอะไรอื่นมาแอบแฝง
หากนำลักษณะบุคคลทีมงาน และองค์การทั้ง 3 กลุ่ม มาเปรียบเทียบกับทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ กล่าวคือ กลุ่มผู้ยอมแพ้ จะเป็นผู้ยึดติดกับความต้องการขั้นพื้นฐานที่ 1 คือความต้องการทางด้านสรีระ และความต้องการพื้นฐานขั้นที่ 2 คือความต้องการความมั่นคงด้านจิตใจและความปลอดภัยทางกาย สำหรับกลุ่มผู้พักแรมจะเป็นผู้ที่มีความกล้า มากกว่ากลุ่มผู้ยอมแพ้ แต่ยังยึดติดกับความสุขและความสบายซึ่งจะอยู่ในช่วงความต้องการการยอมรับจากผู้อื่นและตนเอง แต่สำหรับกลุ่มนักปีนเขา จะเป็นคนกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่สามารถบรรลุศักยภาพของตนขึ้นสูงสุดสู่ความต้องการขั้นที่ 5 คือความต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเองได้

สตอลทซ์ (Stoltz,1997) ได้สรุปลักษณะของบุคคลที่มีระดับ AQ สูง และ AQ ต่ำ ไว้ดังนี้
คุณลักษณะของบุคคลที่มี AQ สูง
1. แข็งแกร่งฟื้นตัวได้เร็วเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรค
2. เป็นบุคคลที่มีผลการปฏิบัติงานที่เยี่ยมยอดและสามารถรักษาระดับของผลงานไว้ได้
3. มองโลกในแง่ดีอย่างแท้จริง
4. กล้าเสี่ยงในสิ่งที่จำเป็นต้องเสี่ยง
5. พัฒนาการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างดี
6. รักษาสุขภาพให้ดี มีพลังกระชุ่มกระชวย และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
7. ยอมรับที่จะรับผิดชอบต่อความยากลำยากและความท้ายทายที่ซับซ้อน
8. มีความอดทน
9. มีความคิดสร้างสรรค์ในการหาทางแก้ปัญหา
10.เป็นนักแก้ปัญหาและนักคิดที่คล่องตัวมาก
11.มีการเรียนรู้ เติบโตและพัฒนา
คุณลักษณะของบุคคลที่มี AQ ต่ำ
1.ล้มเลิกความตั้งใจได้ง่าย
2. กลายเป็นผู้พ่ายแพ้
3. ซึมเศร้า
4. ไม่ปลดปล่อยศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่
5. รู้สึกว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
6. ทรมานจากความเจ็บป่วย
7. ทำให้ผลกระทบของ Pacebo Effect ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อมีคนบางคนทำนาย
ถึงผลลัพธ์ของปัญหาอุปสรรคต่างๆ ว่า จะเกิดขึ้นในทางลบ หรือในทางที่ไม่ดี ขยายตัวออกไป
8. สับสน วกวนอยู่ในปัญหา
9. หลีกเลี่ยงงานหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย
10.ทิ้งความคิดต่างๆ ที่ดี และทิ้งเครื่องมือที่ยังไม่เคยถูกใช้
11.หยุดพักผ่อนกลางทาง

1.3 องค์ประกอบสำคัญของความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค
สตอลทซ์ (Stoltz,1997, p. 106-125) ได้เสนอถึงองค์ประกอบความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคว่าประกอบด้วย 4 มิติ ที่รวมเรียกว่า CO2RE ซึ่งแสดงให้เห็นเกี่ยวกับ AQ ของบุคคลได้ว่าอยู่ในระดับสูง ปานกลาง หรือ ต่ำ มิติทั้ง 4 ของ AQ นั้นได้แก่
มิติที่ 1 การควบคุมสถานการณ์ (C=Control) หมายถึง ระดับการรับรู้ในการควบคุมตนเองของบุคคลเพื่อผ่านพ้นอุปสรรคความยากลำบาก หรือเหตุการณ์ที่คับขับ หรือเป็นความสามารถของบุคคลในการควบคุมสถานการณ์ ให้สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ยากลำบากหรืออุปสรรคไปได้
ผู้ที่มี AQ มิติด้านการควบคุมสูง ได้แก่ การมีระดับการรับรู้ถึงความสามารถที่จะควบคุมตนเองให้ผ่านพ้นเหตุการณ์และความยากลำบากสูง เป็นผู้ที่มีความคิดเชิงรุกต่อปัญหา(Proactive Approach) ไม่ย่อท้อมีความหนักแน่น ไม่ลดละความตั้งใจ มีความกระฉับกระเฉงในการเผชิญกับปัญหาและพยายามหาทางออกให้กับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ผู้ที่มี AQ มิติด้านนี้สูงเปรียบได้กับนักปีนเขาที่ชอบความท้าทาย คนเหล่านี้จะมีพลังอำนาจ มีความคิดเชิงรุกต่อปัญหาคิดเชิงบวก และควบคุมปัญหาได้ จะส่งผลดีในการทำงานระยะยาว ส่งผลต่อผลผลิตของงานและสุขภาพ คะแนนที่สูงแสดงให้เห็นถึงการยืนกรานที่จะต่อสู้กับความยากลำบาก
แต่คนที่มี AQ มิติด้านนี้ต่ำจะเป็นผู้ที่รับรู้ว่าปัญหา อุปสรรคความยากลำบากแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำลายความรู้สึกที่มีพลังอำนาจให้หมดไป หมดพลังต่อสู้ จะเพิกเฉยและเย็นชาต่อปัญหา และยังอาจเชื่อถือโชคชะตาหรือเคราะห์กรรม มักเป็นผู้ที่ไม่ดิ้นรน ไม่กระตือรือร้น อิดโรยและเป็นผู้ที่อ่อนแอกับความยากกลำบาก มีชีวิตไปวันๆ อย่างลุ่มๆดอนๆ ในรายที่ต่ำมากๆก็อาจล้มเลิกความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาไปในที่สุด พวกที่มี AQ ต่ำจึงเปรียบเหมือนพวกรักสบายกลางทาง(Camper) และพวกขี้แพ้(Quitter)
มิติที่ 2 สาเหตุและความรับผิดชอบ(O2=Origin and Ownership) หมายถึง การที่ทุกๆคนในทีม คิดและถือเอาปัญหาขององค์การเป็นปัญหาของตน พยายามช่วยคิดแก้ไขปัญหา วิเคราะห์ค้นหาสาเหตุของปัญหา และตระหนักว่าเป็นความรับผิดชอบของตนต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ไม่ผลักภาระความรับผิดชอบไปให้คนอื่น พิจารณาปัญหาจากตนเองและปัจจัยภายนอก เพื่อช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากสิ่งที่เคยผิดพลาดในอดีต ตำหนิหรือโทษตนเองอย่างสร้างสรรค์เพื่อนำไปสู่การเสียใจและสำนึก ซึ่ง สตอลทซ์ (Stoltz,1997) ถือว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลัง (Powerful Motivator) และหากนำมาใช้อย่างเหมาะสม จะนำมาซึ่งการปรับปรุงแก้ไข การพิจารณาการรับรู้ต้นเหตุและรับผิดชอบต่อปัญหาของตนเองนั้น มักพิจารณาจากการถามคำถาม 2 ข้อ คือ ใครหรืออะไรที่ทำให้เกิดความยากลำบาก และเราเป็นเจ้าของปัญหาและทำให้เกิดความยากลำบากหรือไม่
ผู้ที่มี AQ มิตินี้สูง ได้แก่ ผู้ที่มีแนวคิดในการค้นหาสาเหตุของปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นว่ามาจากสาเหตุใด จะวิเคราะห์ทั้งตนเองและสิ่งแวดล้อมภายนอกและกำหนดบทบาทตนเองให้เป็นเจ้าของปัญหา เรียนรู้จนสามารถแก้ไขปัญหาได้ดี การพิจารณาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกนั้นเป็นการมองในแง่ดี แง่บวก ส่วนการพิจารณาตนเองนั้นจะเป็นการตำหนิหรือกล่าวโทษตนเองเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงตนเองจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแต่ไม่โทษตนเองพร่ำเพรื่อเพราะจะทำให้หมดกำลังใจ ผู้ที่มีมิติด้านนี้ดี ความเสียใจจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลัง ทำให้เกิดการรับรู้ความสามารถและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพราะเมื่อเราพูดหรือทำอะไรที่ไม่ดีกับผู้อื่นแล้วสำนึกได้ เราจะเกิดประสบการณ์การเรียนรู้จากความเสียใจและความผิดพลาดของเรา
ส่วนผู้ที่มี AQ ด้านนี้ต่ำมักมีนิสัยที่ชอบตำหนิหรือโทษตนเองเกินควร การตำหนิตนเองมากเกินไปจะทำให้เสียขวัญและเป็นไปในทางทำลาย ทำลายพลังงาน ความหวัง สุขภาพกายและจิต มีหลายคนที่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของปัญหาแต่เพียงผู้เดียว คิดว่าทุกอย่างเลวร้ายและเป็นความผิดของเราเป็นส่วนใหญ่ ความรู้สึกนี้หากสะสมเป็นเวลานานเข้าจะทำให้เสียใจ อ่อนเปลี้ย หมดกำลังใจ รู้สึกเลวร้าย ท้อใจซึมเศร้าและยอมแพ้ไปในที่สุด เพราะการตำหนิหรือกล่าวโทษตนเองทำให้เกิดผลได้ 2 อย่าง คือ การนำมาซึ่งการเรียนรู้และปรับปรุงพฤติกรรมให้ดีขึ้น และนำมาซึ่งความเสียใจความรู้สึกที่โดดเดี่ยวและมีโอกาสที่จะทำร้ายผู้อื่นได้
มิติที่ 3 ผลกระทบที่จะมาถึง (R=Reach) หมายถึง การวัดผลกระทบของปัญหาความยุ่งยากที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของแต่ละคนว่าปัญหาอุปสรรคมีมากน้อยเพียงใด พร้อมระวังและมีสติอยู่เสมอ ว่าอีกนานเท่าใดปัญหาหรืออุปสรรคจะเข้ามาในชีวิต
ผู้ที่มี AQ มิติด้านนี้สูง คือ คนที่สามารถควบคุมอารมณ์ด้านลบ ควบคุมผลกระทบและความเสียหายต่อการดำเนินชีวิต เมื่อมีปัญหาความยุ่งยากเกิดขึ้น จะเป็นผู้ที่พร้อมรับความยากลำบากทุกสถานการณ์ไม่หวั่นไหว ไม่คิดมากหรือจมอยู่กับความทุกข์ แต่คิดว่าอุปสรรคเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและจะผ่านไป คนกลุ่มนี้จะตอบสนองต่อปัญหาด้วยความฉลาด เป็นผู้ที่สามารถสู้กับอุปสรรคได้อย่างเหนียวแน่น ทำให้มองเห็นหนทางในการจัดการกับปัญหาอุปสรรค เป็นผู้ที่มีพลังล้นเหลือ มองปัญหาและอุปสรรคเป็นสิ่งที่ท้าทาย มองว่าไม่มีอะไรที่เหนือบ่ากว่าแรงและเป็นผู้ที่มีความทรหดอดทน ไม่ล้มเหลว รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่นไว้ได้ ดังนั้นการรู้จักควบคุมปัญหาที่เข้ามาในชีวิตจึงเป็นยอดปรารถนาของบุคคล เพราะจะทำให้บุคคลสามารถทำอะไรต่างๆได้อย่างเข้มแข็ง
ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มี AQ มิติด้านนี้ต่ำ จะมองว่าปัญหาหรืออุปสรรคเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิต เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติกับวิชาชีพของตนเอง ทำลายผลการทำงานให้ล้มเหลว ทำให้สูญเสียเงินทอง เสียขวัญนอนไม่หลับ หลีกหนีผู้คน การตัดสินใจต่างๆไม่ดี
มิติที่ 4 ความอดทน (E=Endurance) หมายถึง การรับรู้ถึงความคงทนของอุปสรรคและการรับมือกับความยืดเยื้อของปัญหา และพยายามขจัดไปให้หมดอย่างถูกวิธี มิตินี้จะมีการประเมินว่าปัญหาอุปสรรคและสาเหตุนั้นจะคงทนถาวรอยู่นานแค่ไหน
ผู้ที่มี AQ มิติด้านความอดทนสูง ได้แก่ผู้ที่ได้รับรู้ว่าอุปสรรคจะคงทนอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เราสามารถแก้ไขด้วยการฝึกฝนทักษะความรู้ความสามารถ และเป็นผู้ที่มีความหวังในชีวิตพยายามที่จะหาหนทางแก้ไขอุปสรรคให้ออกไปโดยเร็ว และพยายามทำให้ความสำเร็จอยู่กับตัวได้นาน แต่ถ้าไม่สามารถรักษาให้คงตัวได้นาน ก็จะพิจารณาได้ว่าปัญหาและเหตุแห่งปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา จะสามารถผ่านพ้นไปได้อย่างรวดเร็วและจะไม่กลับมาอีก สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมให้มีชีวิตรุ่งโรจน์ได้
ต่างจากผู้ที่มี AQ มิติด้านนี้ต่ำ จะเป็นผู้ที่รับรู้ว่าปัญหาอุปสรรคจะคงทนอยู่ยาวนานทำให้เป็นคนที่สิ้นหวังในชีวิตคิดแต่ว่าไม่มีใครหรืออะไรที่แก้ไขได้ ไม่พยายามที่จะแก้ไขปัญหา คิดอยู่เสมอว่าปัญหายังคงเป็นปัญหาและอยู่กับตนเองตลอดไป ซึ่งจะมีผลต่อการทำงาน ทำให้เกิดความล้มเหลว ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้

จากองค์ประกอบทั้ง 4 ด้านของ AQ นั้น เราสามารถสรุปได้ว่า บุคคลที่มีระดับความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคสูง คือ ผู้ที่รับรู้ว่า ต้องมีหนทางที่จะควบคุมสถานการณ์และสามารถหาหนทางของปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดีขึ้นได้ (Control) มีความเต็มใจในการรับผิดชอบต่อปัญหาว่าเป็นปัญหาของตนเอง เพื่อที่จะหาทางแก้ไขปรับปรุง (Origin and Ownership) รวมทั้งรับรู้ว่าปัญหาจะไม่ขยายตัวออกไป อย่างมีสติ (Reach) และปัญหาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวไม่นานก็จะผ่านพ้นไปได้ (Endurance )




เทคนิคในการพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค
สตอลทซ์ (Stoltz,1997) มีความเชื่อว่าความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาในใยประสาทของสมอง ตั้งแต่คนเราอายุ 12 ปี และเริ่มเติบโตมั่นคงมากขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี รูปแบบของการพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคภายในสมองนี้ จะยังไม่มีวุฒิภาวะสมบูรณ์เต็มที่ จนกระทั่งบุคคล อายุ 23 ปี การพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ให้มีประสิทธิภาพนั้น บุคคลจะต้องตระหนักรู้ระดับ AQ และ รูปแบบการตอบสนองต่อปัญหาอุปสรรค รวมถึงองค์ประกอบทั้ง 4 มิติ (CO2RE) ให้ได้อย่างถ่องแท้เสียก่อนที่จะพัฒนาในส่วนอื่นๆ
จากการประเมินในเบื้องต้น บุคคลจะเริ่มเข้าใจวิธีการที่พวกเขาตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ
Level 1 CO2RE AWARENESS คุณจะต้องตระหนักรู้ เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาของการตอบสนอง และเปิดประตูสำหรับการปรับปรุง การเข้าใจความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค(AQ) และองค์ประกอบทั้ง 4 (CO2RE) ในระดับลึก จะสามารถใช้เป็นพื้นฐานให้คุณพัฒนา AQ ในระดับต่อไปได้ คุณจะค้นหาคุณค่าของการพัฒนา AQ โดยการเรียนรู้เจาะจงจากแต่ละมิติของ CO2RE ผ่านข้อมูลของเหตุการณ์รอบๆตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นการดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ การอ่านหนังสือพิมพ์/นิตยสาร หรือการโต้ตอบการสนทนาแบบไม่เป็นทางการทั้งหลาย ให้เราสังเกตถึงลักษณะของการพูดคุยในสถานการณ์ต่างๆ เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา แม้แต่ในเหตุการณ์ที่มีความยุ่งยากเพียงเล็กน้อย และเปรียบเทียบกับมิติ CO2RE dimension ทั้ง 4 ว่า การตอบสนองต่อปัญหาแต่ละประเด็น จะชี้ให้เห็นถึงการมี AQ ในระดับที่ต่ำ ปานกลาง หรือ สูง เราสามารถประเมิน CO2RE ได้ ด้วยการมองโลกรอบๆ ตัวคุณ
Level 2 The LEAD Consequence
ในระดับที่ 2 นี้จะมุ่งเน้นไปที่รูปแบบการแก้ปัญหาแบบมีประสิทธิภาพ และแม่นยำเที่ยงตรง หรือที่เรียกว่า the LEAD Consequence ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดี มีความชัดเจน และแข็งแกร่งขึ้น นำไปสู่การประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา สตอลทซ์ (Stoltz,1997) ได้สรุปไว้ ดังนี้
L = Listen to your CORE response เป็นการพูด หรือบอกให้ตัวเองได้รู้ว่า ขณะนี้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคใดขึ้นกับตัวเอง และต้องตอบสนองต่ออุปสรรคนั้นด้วยความเข้มข้นระดับใด จึงจะแก้ปัญหาหรืออุปสรรคได้
E = Explore all origins and ownership of the result เป็นการค้นหาว่าสิ่งใดคือต้นตอ สาเหตุของอุปสรรคที่เกิดขึ้น ระบุให้ชัดเจนว่า ตนเองทำสิ่งใดที่เฉพาะเจาะจงลงไป เพื่อให้สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ตัดสินใจว่าสิ่งใดอยู่ในความรับผิดชอบของเรา และสิ่งที่อยู่นอกเหนือความรับปิดชอบหรือการตัดสินใจของเรา
A = Analyze the evidence คือ การวิเคราะห์ให้เกิดความชัดเจนโดยการค้นคว้าหาหลักฐานหรือภาวะแวดล้อมมาสนับสนุนว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมจริงๆ มีอะไรบ้าง อุปสรรคจะเยื้องย่างเข้ามาสู่ชีวิตอีกนานเท่าใด ทำอย่างไรจึงจะไม่ทำให้ปัญหาอยู่ในชีวิตนานจนเกินไป พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการแก้ไขและศักยภาพของตนเอง
D = Do Something เป็นการเลือกวิธีการและลงมือดำเนินการเพื่อให้อุปสรรคอยู่กับเราให้น้อยที่สุด ด้วยการหาข้อมูลที่จำเป็นเพิ่มเติม และวิธีที่จะสามารถควบคุมไม่ให้อุปสรรคเข้ามามีบทบาทต่อชีวิต
วิทยา นาควัชระ(2544, น.9) ได้เสนอแนวคิดในการพัฒนาความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคไว้ดังนี้
1. ต้องคิดว่า ความอดทน คือ ความกล้าหาญ เพราะถ้าเรารู้สึกว่าเป็นผู้กล้า เป็นผู้ชนะมีเกียรติที่สามารถทนต่ออุปสรรค และความคับแค้นใจได้ เมื่อพบเจออุปสรรคต้องอดทน ให้นึกว่าเราเองกำลังมีความกล้าหาญมากขึ้นๆทุกที ทุกนาที ที่ผ่านไปพร้อมอุปสรรคนั้น
2. สร้าง ”ความภาคภูมิใจในตัวเองตามความเป็นจริงให้ได้ “ ด้วยการรู้จักค้นหาและชื่นชม “ความดีพื้นฐาน” ของตนเองให้ได้ ซึ่งได้แก่ สิ่งที่เราเคยทำความดีมาแล้วและจบไปแล้ว โดยไม่เกี่ยวพันกับคนอื่นที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยๆ ก็นับว่าเป็นความดีพื้นฐานได้ เช่น เคยช่วยลูกสุนัขตกน้ำ เคยให้เงินขอทาน ฯลฯ การเชื่อว่าเราเป็นคนดีเพราะเคยทำดีพื้นฐานมาแล้ว จะทำให้เกิดความมั่นใจ ภาคภูมิใจในตนเอง รักตัวเองเป็นและมีภูมิคุ้มกัน เกิดพลังที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปและสามารถต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ได้
3. รู้จักสร้างจินตนาการหรือความเชื่อที่ดีๆ เสมอ เช่น เชื่อว่าอุปสรรคที่มีอยู่ลดลง หรือจะสามารถแก้อุปสรรคได้ โดยคิดซ้ำเพื่อให้เกิดความเชื่อ เมื่อเราเชื่อว่าชีวิตนี้จะดีขึ้นในอนาคตแล้วเราจะเกิดกำลังใจ เกิดพลังในการอดทนรอคอยวันดีๆและสิ่งดีๆจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ดีต่อไป
4. รู้จักพัฒนาความเชื่อให้เกิดความเป็นไปได้ โดยคิดว่า การที่เราจะมีชีวิตที่ดีนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองบางอย่าง ให้เหมาะสมขึ้นดีขึ้น โดยการลดสิ่งที่ไม่ดีในตัวออกไป เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมได้ดี สามารถแก้ไขปัญหาอุปสรรคได้ดีขึ้น
ผศ.ธีรศักดิ์ กำบรรณารักษ์ (เอกสารประกอบการเรียนวิชาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การออกแบบและการประเมิน,2548) ได้เสนอเทคนิคในการพัฒนา AQ ที่เรียกว่า “ADVERSITY” ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
A = Activating Event การนึกถึงเหตุการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้น
D = Degree of Adversity การประเมินความรุนแรงของปัญหาและวิกฤติเพื่อดูแรงจูงใจในการที่จะแก้ปัญหา
V = Verify การตรวจสอบความสามารถในการควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและวิธีการให้เหตุผลถึงสาเหตุของวิกฤติว่าเกิดจากตนเอง หรือสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหา คิดว่าปัญหาลุกลามกว้างขวางแค่ไหน และสามารถแก้ไขได้ทันทีหรือไม่คิดว่าผลลัพธ์ของปัญหาจะเป็นอย่างไร
E = Explain การอธิบายวิธีการตอบโต้ต่อภาวะวิกฤติว่าเป็นแบบใด แบบ AQ สูงหรือแบบ AQ ต่ำหลังจากที่เรา Verify CO2RE
R = Reassessment การประเมินวิธีการตอบโต้ต่อภาวะวิกฤติใหม่อย่างคนมี AQ เชื่อว่าเหตุการณ์นี้ควบคุมได้ สาเหตุของปัญหานั้นน่าจะเกิดจากสิ่งแวดล้อม ถึงแม้จะเป็นความผิดพลาดของเราแต่ก็เป็นความผิดพลาดที่เผอเรอ เราเรียนรู้ที่จะแก้ไขได้ เราคงจะต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของภาวะวิกฤติด้วยความกล้าหาญ ไม่ท้อแท้ มีความเชื่อว่า “ปัญหามีไว้ให้แก้ไข มิใช่ท้อแท้” เราจะไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่และไม่พลัดวันประกันพรุ่งในการแก้ปัญหา
S = Systems Thinking for Solution
1. Control = การควบคุมสถานการณ์ด้วย AQ และ EQ โดยกำหนดปัญหาให้ชัดเจน
2. Origin = วิเคราะห์สาเหตุด้วย Cause & Effect วิเคราะห์สาเหตุด้วยผังก้างปลา
3. Ownership = ความรับผิดชอบต่อภาวะวิกฤติแล้วกำหนดทางเลือกในการแก้ปัญหา
4. Reach = แยกแยะความกลัวกับความจริงที่เกิดจากผลลัพธ์ของวิกฤติที่เกิดขึ้น แยกแยะระหว่างข้ออนุมานกับข้อเท็จจริง เชื่อตามที่กล่าว “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกไม่เคยทำให้คนเดือดร้อนที่เดือดร้อนเพราะเราคิดไปเอง”
5. Endurance = ใช้หลักไตรลักษณ์ในการพิจารณาทุกอย่างเมื่อเกิดขึ้นก็คงอยู่และดับไป ปัญหาไม่ได้อยู่กับเรานานเกินความจำเป็น
I = Initiate New Perception of Adversity สร้าง Paradigm ใหม่ด้วยการเปลี่ยนมุมมองของปัญหา คิดแบบ The Winner เชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ไขถึงปัญหานั้นจะยากแต่ก็สามารถที่จะแก้ไขได้
T = Take Immediate Action การลงมือแก้ปัญหาทันทีตาม Systems Thinking เช่น
1. เรียนรู้ที่จะควบคุมสถานการณ์ด้วยการหาข้อมูลเพิ่มเติม ฝึกการควบคุมการหายใจ มีสติรู้ทัน
2. หาวิธีที่จะไม่โทษตัวเองสำหรับภาวะวิกฤตินี้ แต่เรียนรู้ที่จะแก้ไขความผิดพลาด ถือว่า “ผิดเป็นครู” ฝึกภาวะจิตวิธีคิดแบบ Internal Locus of Control ฝึกวิธีการหาสาเหตุความผิดพลาดจากผังก้างปลา
3. กำหนดให้ชัดเจนว่า เราต้องรับผิดชอบส่วนใดของวิกฤตินี้ อะไรที่เราทำเองได้ อะไรที่ต้องขอให้คนอื่นช่วยเหลือ ฝึกพฤติกรรมการกล้าแสดงออก(Assertive Behavior)
4. กำหนดวิธีการที่จำกัดความเสียหายของวิกฤติ ทำตารางเปรียบเทียบว่าอะไรคือความกลัว อะไร คือ ความจริงที่เกิดขึ้น
5. กำหนดแผนในการแก้ปัญหาวิกฤติ อะไรที่ทำทีหลัง อะไรที่ต้องทำเอง อะไรที่ต้องให้คนอื่นทำ
Y = Yammy for Your Success หรือ ยิ้ม for Your Success การยิ้มหรือให้รางวัลกับความสำเร็จในการแก้ปัญหา เช่น ดูภาพยนตร์สนุกสนานสักเรื่อง พาคนสนิทไปทานอาหารอร่อยสักที
นอกจากนั้น ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ (2548) ได้เสนอแนวทางในการพัฒนา AQ ตามแนวคิด CO2RE ของสตอลทซ์ (Stoltz,1997) ดังนี้
Control = การกำหนดสติ ฝึก Sense of Control ฝึกบุคลิกภาพแบบ Proaction และ Assertive Behavior
Origin = การคิดอย่างเป็นระบบ การคิดเชิงบวก (Positive Imagination)
Reach = ฝึกการควบคุมอารมณ์ด้านลบด้วย Game Accepting & Rejecting เกมยืมสตางค์ เกมทดสอบความเสี่ยง
Endurance = อดทนต่อความยืดเยื้อของปัญหาด้วยการคิดว่า ปัญหาหรือวิกฤตที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องชั่วคราว (Temporary) ไม่อยู่กับเรานาน คิดเสียว่า เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

หลุยส์ เกียร์รี่ (Gearym Online, 2000) ได้เสนอวิธีในการพัฒนาความสามารถมรการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคไว้ 10 วิธี ดังนี้
1. ตั้งปณิธานอย่างชัดเจนต่อวิสัยทัศน์ในชีวิตว่าจะดีขึ้น คิดว่าความสำเร็จมีความหมายเพียงใดต่อตนเองและจะบรรลุความสำเร็จนั้นได้อย่างไร ใครที่สามารถช่วยให้เราประสบความสำเร็จ วาดภาพชีวิตในอุดมคติและหมั่นย้ำกับตนเองว่าต้องประสบความสำเร็จ
2. มีความคิดสร้างสรรค์ คิดเสมอว่าจะผันอุปสรรคที่กำลังเผชิญให้กลับมามีประโยชน์ต่อตนเองอย่างไร
3. กล้าเสี่ยงกับการเผชิญปัญหาและอุปสรรค
4. อยู่ล้อมรอบกับคนที่มี AQ สูง
5. เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเป็นการช่วยพัฒนา AQ ให้เพิ่มขึ้น
6. กำจัดอุปสรรคที่ขัดขวางต่อความสำเร็จ เช่น การพูดถึงตนเองในทางบวก
7. ให้รางวัลกับตนเองโดยไม่ปฏิเสธที่จะเสี่ยงในการลงมือทำต่อไป
8. มองความล้มเหลวเป็นเหมือนความสำเร็จ ถือว่าความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ
9. เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
10. สร้างอารมณ์ขันให้เกิดในชีวิตประจำวัน

การวัด การแปลผล และการประเมินความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค
สตอลทซ์ (Stoltz ,2000) ได้นำเสนอวิธีการวัดและแปลผลการประเมินความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค โดยใช้แบบประเมิน ARP Quick Take ( The Adversity Response Profile) จากจำนวนคนทั่วโลก 20,000 คน จากหลากหลายอาชีพ โดยแบบประเมินนี้ได้รับการออกแบบที่ใช้ในการได้ง่ายและรวดเร็วในการพยากรณ์ความสำเร็จและทำนายผลการปฏิบัติงานนั้นยังสามารถใช้ได้กับบุคคล องค์การ โรงเรียน ชุมชน ได้อีกด้วย
จากการศึกษาของเขายังพบว่า ประชากรกว่า 75,000 คน ส่วนใหญ่จะมีระดับ AQ อยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งจากงานศึกษาเขาได้นำแสดงเป็นแผนภูมิที่มีความต่อเนื่องและการกระจายตัวเป็นโค้งปกติตามรูประฆังคว่ำ จะได้ดังภาพที่ 2.3
ภาพที่ 2.3
ระดับ AQ ของประชากรที่มีการกระจายแบบโค้งปกติ






----------------------------------------------------------------------------------
AQ ต่ำ AQ ปานกลาง AQ สูง

ที่มา : Stoltz , P.G. (1997) .Adversity Quotient : Turning obstacles into opportunities.
New York : John Wiley & Son, p.105.
การแปลผลคะแนน
สตอลทซ์(Stoltz,1997) ได้กล่าวถึง AQ ว่ามีความต่อเนื่องที่ไม่ใช่สิ่งตรงข้ามระหว่างขาวกับดำ ใช่กับไม่ใช่ หรือ ประสบผลสำเร็จกับไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เป็นระดับของ AQ คือ ระดับสูง ปานกลางหรือต่ำ เราไม่สามารถบอกจุดที่แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างระดับคะแนนที่ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นจึงต้องพิจารณาองค์ประกอบแต่ละด้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านการควบคุม ด้านการรับรู้ต้นเหตุและความรับผิดชอบ ด้านผลกระทบที่จะมาถึง และด้านความอดทน ซึ่ง สตอลทซ์ (Stoltz, 1997) ได้แบ่งระดับคะแนนองค์ประกอบแต่ละด้าน ออกเป็น 3 ระดับ คือ
คะแนน 38 – 50 ถือว่าคะแนนองค์ประกอบด้านนั้นๆ อยู่ในระดับสูง
คะแนน 24 – 37 ถือว่าคะแนนองค์ประกอบด้านนั้นๆ อยู่ในระดับปานกลาง
คะแนน 10 – 23 ถือว่าคะแนนองค์ประกอบด้านนั้นๆ อยู่ในระดับต่ำ
และเมื่อพิจารณาระดับคะแนน AQ รวม ก็ต้องพิจารณาให้ครบทั้ง 4 องค์ประกอบ ซึ่ง สตอลทซ์ (Stoltz, 1997) ได้เสนอเกณฑ์การแปลผลและเปรียบเทียบคะแนนกับลักษณะบุคคลที่มีคะแนนรวม AQ แต่ละช่วง ไว้ 5 ระดับคะแนน ดังนี้
AQ 166-200 หากคะแนนของบุคคลอยู่ในช่วงนี้ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการอดทนต่ออุปสรรคความยากลำบาก สามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสและก้าวต่อไปข้างหน้า พร้อมทั้งพัฒนาทักษะของตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้พบกับชัยชนะและความสำเร็จได้ ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะเป็นผู้นำและสอนแนะผู้อื่นได้
AQ 135-165 หากคะแนนของบุคคลอยู่ในช่วงนี้ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ค่อนข้างดีมีการใช้ความสามารถพื้นฐานในแต่ละวัน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของตนเองได้ โดยการพัฒนา AQ ของตนเองให้สูงขึ้น
AQ 95-134 หากคะแนนของบุคคลอยู่ในช่วงนี้ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดีพอใช้ ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย เมื่อผิดพลาดบุคคลกลุ่มนี้จะเสียใจมากเกินไป และอาจทำให้ท้อใจ หากความรู้สึกเสียใจนั้นสะสมอยู่เป็นเวลานานจะทำลายความตั้งใจของบุคคล อย่างไรก็ตามก็ยังสามารถพัฒนาเพื่อเพิ่ม AQ ได้เช่นกัน
AQ 60-94 หากคะแนนของบุคคลอยู่ในช่วงนี้ บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะใช้ประโยชน์จากความสามารถของตนเองน้อย อุปสรรคความยากลำบาก จะทำให้บุคคลสูญสิ้นพลัง หมดสิ้น ความเพียรพยายาม หากต้องการที่จะรอดพ้นจากความหายนะบุคคลกลุ่มนี้ต้องพยายามเพิ่มระดับ AQ ของตน
AQ 59 และต่ำกว่า หากคะแนนของบุคคลอยู่ในช่วงนี้ ค่อนข้างเป็นที่แน่นอนว่า บุคคลนั้นจะมีแต่ความเสียใจโดยไม่จำเป็นกับทุกๆเรื่อง จะสูญเสียพลังงาน แรงจูงใจ สุขภาพความมีชีวิตชีวา ผลการปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพงานจะตกต่ำ



Create Date : 15 เมษายน 2552
Last Update : 15 เมษายน 2552 16:40:24 น.
Counter : 16412 Pageviews.

7 comments
  
A.Q คำย่อมาจาก ADVERSITY QUOTIENT - ความฉลาดในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งนักจิตวิทยาบางคนเสนอว่าเป็นความฉลาดอีกชนิดหนึ่ง นอกเหนือไปจากความฉลาดทางปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่คนเราสามารถศึกษาและพัฒนาตนเองให้มีความฉลาดชนิดนี้ เพื่อที่จะอยู่รอดในสังคม หรือพัฒนาตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

ที่มา
วิทยากร เชียงกูล
อธิบายศัพท์สังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา, - - กรุงเทพฯ : สายธาร, 2550.
ISBN : 978-974-94365-7-8

โดย: Ab Psy ReinDEAR++ วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:16:46:12 น.
  
การแก้ปัญหา กับ AQ
posted on 22 Nov 2005 18:01 by webmasterz in Article วันนี้เราจะมาเจาะลึกตัว AQ (Adiversity Quotient) คือ ทักษะในด้านการเผชิญหน้าของตัวเรา สำหรับตัวนี้นับว่าเป็นปราการชั้นที่ 2 ในการจำ เพราะส่วนมากคนมักจะจำ IQ และ EQ ได้ ต่อมานั้นตัวที่จะจำได้ต่อมาคือ MQ AQ SQ เพราะมีการลงนิตยสารมากมายเลยทีเดียว แต่วันนี้ตัวที่เหลือจะยังไม่ขอพูด เพราะมันจะงง

ตัว AQ นั้นได้กล่าวไปแล้วว่า เป็นทักษะในการเผชิญปัญหา และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งนี้สำหรับทักษะตัวนี้สำคัญมากๆ โดยเฉพาะยามทำงาน ทักษะนี้จะจำเป็นมากๆ สำหรับการฝึกฝนนี้เราต้องลองคิดเหตุการณ์ที่เราอาจจะเผชิญขึ้นมา และลองค้นหาวิธีแก้ไขมัน ทั้งนี้ หากเราทำได้แล้วและเราไปเจอเหตุการณ์ที่แตกต่างจากนี้เราจำเป็นจะต้องมี "สติ" เพราะสตินั้นจะควบคุมเราให้คิดและไม่ทำไรโง่เง่า ผมว่าทุกคนคงเคยเห็นการใช้ AQ แบบโง่เง่า ของหลายๆคน เช่นแบบนี้

ตัวอย่างศึกษา : นิคนั้นได้มีปัญหายาเสพติด และมีปัญหาการเสพ วันหนึ่งได้มีการกวาดล้างและทำการจับกุมผู้เสพ นิคนั้นกลัวโดนจับ ทั้งๆที่โทษไม่นานเท่าไรนัก เพียง 1-2 ปีสำหรับผู้เสพ และวันหนึ่งตำรวจนั้นได้เข้ามา และนิคนั้นได้ตัดสินใจจบชีวิตตนเองโดยการยิงตัวตาย ต่อหน้าต่อตาตำรวจที่ค้นบ้านอยู่

จะเห็นได้ว่า นี่เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยขาดสติ แม้บางคนอาจจะกลัววาสติดคุกเสียศักดิ์ศรี แต่ทั้งที่จริงมันไม่ใช่ เพราะสังคมตอนนี้ทำการยอมรับผู้ติดคุกและพ้นโทษออกมาแล้ว

สรุปตัว AQ การฝึกฝึกได้โดยกำหนดเหตุการณ์ที่เราคิดว่ามันจำเป็นและเราอาจจะต้องเจอ เช่น แฟนทิ้ง ก็ ลืมๆมันไป ส่วนหากเราต้องใช้ AQ เราต้องมีสติใช้มันตลอด ไม่เช่นนั้นจะเตลิดไปทางอื่นได้ เช่น แฟนทิ้งแล้วกินยาตาย ซึ่งเป็นทางออกของ AQ ที่ผิด
โดย: Ab Psy ReinDEAR++ วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:16:50:05 น.
  
ดีมาก
โดย: ทอม IP: 125.27.171.58 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:37:10 น.
  
อยากรู้แหล่งที่มาของข้อมูลทั้งหมดจังเลยค่ะ ขอรบกวนขอแหล่งที่มาได้ไหมคะ ขอบคุณมากค่ะ anne_phychologist@hotmail.com
โดย: Anne IP: 192.168.185.130, 183.88.249.222 วันที่: 18 มิถุนายน 2555 เวลา:13:38:54 น.
  
รบกวนขอแบบประเมิน ARP Quick take หน่อยได้มั้ยคะ
porpuija@hotmil.com
โดย: porpuija IP: 110.49.232.167 วันที่: 26 สิงหาคม 2555 เวลา:14:35:50 น.
  
ชอบมากๆ สนใจศึกษาอย่างจริงจังอีกด้วย
โดย: Apinan IP: 110.171.137.245 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2558 เวลา:13:44:34 น.
  
อยากทราบแหล่งที่มาของข้อมูลหน่อยค่ะ

ขอบคุณค่ะ arsee123@hotmail.com
โดย: lallana (สมาชิกหมายเลข 1951694 ) วันที่: 22 มีนาคม 2559 เวลา:12:56:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ab Psy ReinDEAR++
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 190 คน [?]



แอ๊บเดียร์เจ้าค่ะ...

เรียนจบ จิตวิทยามา แต่......
ชอบท่องเที่ยว ถ่ายรูป
ทำขนม และเล่นไวโอลิน.....

เข้ากันม่ะเนี่ย....แหะๆ^^'

เม๊าท์ๆกันได้ที่
reindear5@hotmail.com
..แล้วชีวิตคุณ จะเปลี่ยนไป ฮี่ๆๆๆ..

++++++++++++++++++++

หากท่านใด คิดจะมาดูสูตรอาหารเฉยๆ
ขอบอกไว้ก่อนว่า
บล็อคนี้คงไม่มีให้ท่านง่ายๆ
อย่างที่ต้องการแน่นอน....!!!

ต้องผ่านด่าน การอ่าน การบ่นๆๆ โม้ๆๆ
ของยัยเดียร์ไปซะก่อน ...อ่ะฮุๆๆ

ขอให้ทุกท่านที่มาแวะเวียน
มีความสุขกับเรื่องเล่า โม้ๆ
ของเดียร์นะค๊า......



สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539
ห้ามผู้ใดละเมิด โดยนำ ภาพถ่าย, บทความ,
งานเขียน รวมถึงข้อความต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด
ใน Blog แห่งนี้ ไปใช้เผยแพร่
ไม่ว่าส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด


หลังไมค์คุยกับเดียร์ได้ที่นี่ค่ะ
Group Blog
เมษายน 2552

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30