กุมภาพันธ์ 2555

 
 
 
1
2
3
4
5
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
All Blog
เริ่มตั้งแต่อะไร...ยังไงต่อ?
เริ่มตั้งแต่อะไร...ยังไงต่อ?

มันคงเริ่มจากวันที่เหนื่อยใจไร้ทางออกจนสิ้นคิดไปกินเหล้าจนเมามายนอนอยู่ข้างกองขยะ ทำเอาคนในบ้านตื่นตกใจกันหมด และนั่นก็เป็นตราบาปที่ทำให้ฉันต้องพาตัวเองออกมาจากบ้าน

กลางเดือนสุดท้ายของปีที่แล้วฉันออกจากบ้านเข้าสู่เมืองใหญ่ด้วยความรู้สึกย่ำแย่ วันแรกๆ น้ำตาซึมแทบอยากจะขนของกลับบ้าน ห่วงโน่นนี่สารพัด แต่พอได้งานเป็นสาวโรงงานก็ทำให้เหนื่อยจนไม่มีเวลามาคิดกังวลอะไร แต่แล้วการใช้ชีวิตสาวโรงงานก็จบลงด้วยเวลาอันรวดเร็วเป็นสถิติใหม่ของชีวิต เพียงหกวันก็ซึ้งแล้วว่าความเหนื่อยเป็นอย่างไร ความแตกต่างของคนที่ต่างที่มามันอึดอัดเพียงไหน และที่สำคัญ เงินซื้อไม่ได้ทุกสิ่ง เศษเงินจากนายทุนไม่อาจซื้ออิสรภาพจากฉันได้ เมื่อถูกบังคับให้ทำโอทีในวันหยุดที่มีเพียงวันเดียวหลังจากถูกบังคับให้ทำโอทีมาแล้วทุกวัน นั่นมันก็มากพอแล้ว-แค่นี้แหละจบกัน

ออกจากโรงงานได้ไม่กี่วันก็ได้งานใหม่ เป็นงานที่ไม่เคยทำมาก่อนแต่สนใจธุรกิจนี้อย่างมาก ได้เริ่มงานหลังหยุดปีใหม่ เป็นงานที่เปลี่ยนชีวิตไปอีกแบบ ร้านที่อวลไปด้วยกลิ่นกาแฟในตึกใหญ่ท่ามกลางย่านธุรกิจ ลูกค้าที่มายินดีจ่ายค่าเครื่องดื่มที่ขั้นต่ำแก้วละครึ่งร้อยอย่างไม่คิดอะไร เป็นไลฟ์สไตล์ของคนชั้นกลางค่อนไปทางสูง ที่ชนชั้นอย่างฉันมองด้วยความตื่นตา

เป็นงานบริการที่ฉันไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่มีสิ่งท้าทายมากมายที่ดึงฉันไว้ไม่ให้ถอยไปง่ายๆ เพื่อนร่วมงานดี เจ้านายดี บรรยากาศแวดล้อมมีแต่สิ่งสวยงาม นั่นเป็นแรงดึงดูดที่ดีอย่างหนึ่ง แม้อีกด้านของความจริงจะพบว่า ค่าครองชีพย่านนั้นสูงมากสำหรับเงินเดือนพนักงานร้านกาแฟอย่างฉัน การเดินทางจากที่พักที่แสนสาหัสใช้เวลาวันละกว่าสี่ชั่วโมงบนถนนที่มีแต่สิ่งมีชีวิตบังคับพาหนะเหล่านั้นด้วยอารมณ์ต่างๆ นานา ทั้งที่มีทางเลือกที่เร็วกว่าอยู่เหนือหัวขึ้นไป แต่ราคามันก็ต่างกัน ฉันจำต้องทนตื่นเช้ากลับดึกทุกวัน เพื่อจะเก็บเงินให้ได้เยอะๆ เร็วๆ แล้วจะกลับไปทำร้านกาแฟที่บ้าน-นั่นคือความคิดแรกๆ

ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากที่นี่ ทั้งการบริหารจัดการคน การทำกาแฟ ทำเบเกอรี่ ทำความสะอาด ทำความรู้จักกับลูกค้าที่คือพระเจ้า และทำความรู้จักกับกลุ่มคนงานระดับล่างอย่างพนักงานทำความสะอาด พนักงานกดลิฟต์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันรู้สึกสนุกกับงาน และค่าทิปส์ที่ไปส่งกาแฟยี่สิบบาทนั้นก็ทำให้ฉันรู้ว่างานบริการมีอะไรมากกว่าที่ฉันเคยรู้จัก แต่ความรู้สึกดีๆ อยู่กับเราไม่นานจริงๆ

แล้วฟ้าก็ฝ่าเปรี้ยงมาในวันที่ฉันเริ่มเห็นแสงสว่าง เพียงหกวัน-สถิติเดิมอีกแล้ว ฉันถูกเรียกตัวกลับบ้านด่วนเพราะแม่ไม่สบาย โดยยื่นคำขาดว่าไม่ต้องทำงานแล้วลาออกได้เลย ฉันขอต่อสถิติตัวเองและทำความเข้าใจกับทางร้านโดยการทำงานอีกหนึ่งวัน ซึ่งวันสุดท้ายเป็นวันที่เจ็บสุดๆ น้ำตารื้นตลอดทางที่ไปทำงาน พอเจอคำถามจากเจ้าของร้านแล้วยิ่งอึ้ง ว่าแล้วอนาคตฉันล่ะ? นั่นสินะ-ฉันรู้แต่ว่าเรามีหน้าที่ อนาคตของฉันมันคง...ไม่รู้สิ คิดไปน้ำตามันจะไหล เรายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อ ?

จากวันที่ออกจากบ้านกับวันที่กลับบ้านแปลกที่เป็นวันเดียวกันแต่ต่างที่เดือนเปลี่ยนไปเพียงหนึ่งเดือน และได้เปลี่ยนปีไปด้วยเช่นกัน เป็นรอยต่อของปี รอยต่อของชีวิตที่สับสน กลับมาบ้านด้วยความรู้สึกหดหู่ ซังกะตาย ไร้อนาคต คนที่บ้านยังสบายดีไม่ได้ขนาดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วฉันทิ้งทุกอย่างมาเพื่ออะไร ได้แต่เสียใจร้องไห้ทุกวัน ฝันถึงร้านกาแฟทุกคืน

เมื่อใจอ่อนแอร่างกายก็แย่ไปด้วย ตั้งแต่กลับบ้านเจอช่วงที่อากาศเปลี่ยน มีอาการของโรคประจำตัวกำเริบ แต่ก็ไม่ได้บอกใคร จนผ่านไปอาทิตย์กว่าอาการไม่ดีขึ้นก็จำต้องไปหาหมอ ได้ยามากินมากมายทั้งที่แค่เป็นหวัด โรงพยาบาลเอกชนก็อย่างนี้มียาอะไรก็ประเคนมาทั้งที่ไม่ได้มีความจำเป็น กินยาแล้วอาการไม่ได้ดีขึ้นเลยมีแต่ทรงๆ แต่พอยาหมดก็สบายตัวขึ้นแต่ก็รู้สึกว่ายังมีอาการบางอย่างอยู่

แล้วข่าวที่ไม่คาดคิดก็มาเข้าหู ญาติผู้ใหญ่ของคนที่ฉันเคยรักป่วยหนัก ฉันแค่อยากแสดงความห่วงใยจึงไปเยี่ยม สายตาที่เค้าเห็นฉันครั้งแรกมันมีความตกใจ ไม่พอใจ ไม่รับรู้อะไรเลย และเป็นสายตาที่อ่านได้ว่า...มาทำไม ฉันพูดอะไรก็ดูจะไม่เข้าหูเค้าไปหมด ขอให้ญาติเค้าหายป่วยเค้าก็มองฉันด้วยความเคือง-ทำอะไรก็ไม่เคยดี ของที่ซื้อไปเยี่ยมก็เอาไปเยี่ยมคนเฝ้าเพราะรู้ว่าคนป่วยกินอะไรไม่ได้ และถ้าเค้าจะสังเกตมันสักนิดก็จะรู้ว่ามีหลายอย่างที่เค้าชอบอยู่ในนั้นด้วย

ฉันเจอกับเค้าในวันหยุดพอวันทำงานเค้าก็กลับไปทำงานกรุงเทพฯ แล้วฉันก็ได้สนิทสนมกับคนที่ถูกจ้างมาดูแลคนป่วย ฉันไปเยี่ยมทุกวัน มีของติดไม้ติดมือไปทุกวัน ทั้งที่โรงพยาบาลเชื้อโรคเยอะแล้วฉันก็เพิ่งหายจากหวัด แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไร แค่อยากไปแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจคนป่วย แม้ฉันกับคนป่วยจะเคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เค้าเป็นคนสำคัญของคนสำคัญของฉัน นั่นจึงมีน้ำหนักมากพอที่ฉันจะพาตัวเองไปที่นั่นทุกวันโดยลืมกระทั่งป้องกันตัวเอง

วันทำงานสุดท้ายของสัปดาห์ฉันก็ได้รับข่าวจากผู้ดูแลคนป่วยว่าท่านจากไปอย่างสงบแล้ว รอญาติจัดการเรื่องงานศพ ฉันก็ไปนั่งเป็นเพื่อนคนดูแลผู้ป่วยที่ต้องรอญาติๆ จัดการเรื่องเอาศพไปทำพีธีอยู่หลายชั่วโมง จนกระทั่งญาติๆ มานำศพออกไปจากโรงพยาบาล เงินที่เขาโปรยลงจากรถตอนที่เอาศพออกไป ฉันได้แต่ก้มลงไปมอง หากเก็บไปวันหนึ่งฉันก็จะเป็นอย่างเขาที่สุดแล้วก็เอาติดตัวไปไม่ได้

สวดศพคืนแรกฉันได้รับคำเชิญจากผู้ดูแลผู้ป่วยที่สนิทสนมกันแล้วให้ไปอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อย ฉันไปในฐานะอะไรช่างคลุมเครือนัก เพราะเค้าที่นั่งเป็นประธานรับแขกไม่ได้ออกมาต้อนรับฉัน มีเพียงหางตาเย็นชาเท่านั้นที่มองมา ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มทักทาย ทำเอาฉัน
เหวอไปเลยว่ามาทำไมเนี่ย... คงเพราะที่นั่นคนรักใหม่ของเค้าก็อยู่ด้วยเค้าเลยไม่จำเป็นต้องทำดีต่อฉัน เพราะเดี๋ยวคนรักเค้าอาจเข้าใจผิดได้

ฉันมองสภาพตัวเองกับคนรักใหม่ของเค้าก็ถูกแล้วที่เค้าไม่เลือกฉัน ฉันมันแย่ไม่เคยพูดจาดีๆ กับเค้า ทั้งที่รู้สึกดีแต่การกระทำกลับตรงข้าม ทำให้เค้าเห็นฉันเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้ สมควรแล้ว-ฉันมันเฮงซวยเอง

หลังพระสวดฝนตกลงมาทำให้เกิดวงสนทนาย่อมๆ ซึ่งฉันกลายเป็นคนต่างด้าวที่ฟังเขาคุยอะไรกันไม่รู้เรื่องเลย ภาพลูกของเค้ากับคนรักเก่าเข้ากันได้ดีกับคนรักใหม่ ช่างเป็นครอบครัวสุขสันต์จริงๆ ฉันได้แต่ถามตัวเองว่า เราไปทำอะไรที่นั่น....เจ็บมาก

ดึกแล้วก็สมควรแก่เวลาฉันกลับออกมาโดยไม่ได้ลาเค้าเพราะเค้ากำลังคุยกับแขกอยู่ ฉันตากฝนกลับบ้าน พร้อมใจที่เปียกปอน อาบน้ำสระผมร่างกายยังแห้ง แต่ใจที่มันช้ำชื้นทำอย่างไรจะกลับไปเป็นเหมือนเก่า

คืนนั้นใจฉันจมดิ่ง ทั้งที่ฉันไม่เคยเป็นอะไรกับเค้า แต่ทำไมเจ็บอย่างนี้ แล้วเวลาก็ผ่านมาหลายปี ทำไมเค้ายังคงมีอิทธิพลขนาดนี้ ฉันถามเพื่อนว่าทำไมทำอะไรก็ไม่เคยดีในสายตาเค้า เพื่อนตอบว่าคนมันไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่ เวลาเค้าไม่มีใครก็มีฉันแก้เหงา แต่พอเค้ามีใครฉันก็กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า เป็นอย่างนี้มาตลอด แต่ฉันก็รอ รอว่าสักวันเค้าจะยอมรับฉันในฐานะเพื่อนที่วางใจได้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าอย่างที่เป็นอยู่

ใจหม่นมัวจนตีสี่ก็ไม่อยากจะต่อให้เจ็บกว่านี้ เลยคว้ายานอนหลับที่ไม่ค่อยคุ้นเคยมาสองเม็ดกรอกลงคอ ไม่กี่นาทีเริ่มมีอาการแปลกๆ จนฉันรู้แล้วว่าคงเอาไม่อยู่ หายใจลำบากขึ้นทุกที ตีสี่กว่าฉันพาตัวเองไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอย่างยากลำบาก หวังแค่ได้ยาแล้วคงได้กลับ ปรากฏว่าไปถึงยังกับโรงพยาบาลร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ตื่นอยู่เลย ฉันต้องไปทุบโต๊ะปลุกพนักงานเปล แม้แต่ชื่อตัวเองยังบอกไม่ไหวต้องยื่นบัตรแทน

ห้องฉุกเฉินถูกปลุกขึ้นมารับเคสของฉันและออกซิเจนผสมยาถูกนำเข้าสู่ท่อหายใจ โดสแล้วโดสเล่า ผ่านไปครึ่งชั่วโมงอาการดีขึ้น ฉันถามหมอเพราะแพ้ยาหรือเปล่าเพราะไม่เคยเป็นแบบนี้แต่ก็เคยกินอยู่ก็ไม่เคยเป็น หมอสรุปว่าเป็นหืดเฉียบพลัน แต่ฉันก็ยังข้องใจว่าทำไมมันเกิดหลังจากกินยา จากนั้นหมอเจาะเลือดและไปเอกซเรย์ปอด พร้อมให้เข้าไปอยู่ดูอาการในห้องไอซียู....ครั้งแรกที่ป่วยจนต้องแอดมิดก็ได้เข้าไอซียูเลยหรือ

นอนแทบไม่หลับจนเช้าแต่อาการก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หมอเจ้าของไข้มาดูก็บอกให้พักรอดูอาการที่ห้องพิเศษต่ออีกวันเพราะปอดอักเสบนิดหน่อย (หรือเพราะร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงแล้วไปโรงพยาบาลทุกวันโดยไม่ป้องกันอะไรเลยผลจึงเป็นอย่างนี้ ถ้าทุกคนรู้ว่าเพราะอะไรฉันคงโดนด่า แต่จะมีใครรู้ไหมที่ฉันทำไปเพราะใจต้องการอย่างนั้น ฉันไม่ได้คิดหรอกว่าตัวเองจะเป็นอะไร คิดแค่ว่าฉันจะทำอะไรให้เค้าได้บ้าง) ทั้งที่ฉันยืนยันว่าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ยาที่หมอสั่งไว้น่ะสิมันยังเหลืออีกเยอะเลย ถ้าเราไม่ใช้เขาก็ไม่ได้เงินสิ

ย้ายจากไอซียูไปห้องพิเศษตอนเที่ยงๆ นอนดูทีวีทั้งวัน อึดอัดมาก โทร.หาเพื่อนสนิทซึ่งอยู่กรุงเทพฯ ก็มาเยี่ยมไม่ได้ กับเค้าคนนั้นยิ่งบอกไม่ได้ เพราะกลัวเหลือเกิน กลัวว่าเค้าจะเฉยชา ณ ตอนนั้นเศร้ามาก ไม่มีใครเลย มีแต่แม่ที่ก็ยังไม่แข็งแรงมานอนเฝ้า บอกให้กลับไปพักที่บ้านก็ไม่ยอม เพราะฉันไม่เป็นอะไรแล้วฉันรู้สึกผิดมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ค่ารักษาจะพุ่งแค่ไหน ทั้งๆ ที่ไปทำงานมาได้ไม่กี่พันบาท แต่ต้องมารักษาตัวด้วยอาการไร้สาระอีกเป็นหมื่น มันไม่คุ้มกันเลย ตั้งแต่ฉันกลับมาก็มีแต่เรื่อง ฉันมันเป็นตัวซวยจริงๆ

อาหารที่โรงพยาบาลเอามาให้กิน ไม่เหลือ กินให้คุ้ม แต่น้ำเกลือนี่สิให้มาทั้งวันมันก็ยังไม่หมดเสียดายมาก ยาก็มาให้ซ้ำๆ ทั้งที่ก็ไม่มีอาการอะไรแล้ว ธุรกิจสุขภาพก็เป็นอย่างนี้ แล้วคุณภาพชีวิตของคนจะเดินไปทางไหน

วันเสาร์หมอมาเยี่ยมตั้งแต่เช้ายันเย็นแต่พอวันอาทิตย์โผล่มาครั้งเดียวแค่ตอนบ่ายและอนุญาตให้กลับบ้านได้-ได้เงินคุ้มแล้วนี่ ฉันไปจ่ายค่ารักษาเพียงแค่หนึ่งวันกว่าๆ ยอดพุ่งไปหมื่นสามกว่าๆ จะเบิกประกันสังคมได้เท่าไรก็ไม่รู้ นี่เรากลับมาทำอะไรกันวะมีแต่สร้างเรื่องเสียเงิน คนอย่างฉันจะเก็บชีวิตไว้ให้เปลืองทรัพยากรทำไมกัน ถ้าวันนั้นไม่ต้องไปหาหมอก็ดี ป่านนี้คงได้ไปที่ชอบๆ แล้ว

กลับมาบ้านมะตูมกับมะลิมากระโดดต้อนรับด้วยความยินดี แกคงไม่รู้นะว่าสิ่งที่ฉันแพ้หนึ่งในนั้นคือขนของพวกแก แต่ฉันก็ไม่เคยบอกใคร กลัวว่าพวกแกจะไม่ได้อยู่ป่วนฉันอีก

หน้าที่เดิมๆ ที่เคยทำทุกวันก็กลับมา แต่จากนี้ล่ะจะยังไงต่อ ฉันมองไม่เห็นทาง มองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง

ฉันแค่อยากไปตั้งหลักให้ไกลจากตรงนี้ อยู่กับตัวเองให้ใจนิ่งแล้วกลับมา ใช้ชีวิตอีกแบบอีกครั้ง...ต้องอีกกี่ครั้งกันนะที่ฉันจะได้พบสิ่งนั้น สิ่งที่ฉันไม่เคยสัมผัส สะกดไม่เป็น "ค-ว-า-ม-สุ-ข" มันเป็นอย่างไรกันนะ

จากนี้จะยังไงต่อ ฉันไม่รู้เลย...




Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2555 22:43:36 น.
Counter : 621 Pageviews.

2 comments
  
ในที่สุดก็อ่านจนจบ- -'

อย่าเพิ่งคิดว่าเราเป็นคนทำทุกอย่างแย่ไปหมดเลยค่ะ
สิ่งที่เกิดมันก็มีเหตุผลของมัน
อะไรที่เรารู้ว่ามันทำเราเจ็บ เราก็แค่ถอยออกมา

ไม่อยากพูดอะไรมากเลย ทุกคนมีปัญหากันทั้งนั้น และทุกคนต่างก็มีทางเลือกของตัวเอง

ตอนนี้เพลงนี้คงจะเหมาะกับจขบ.ที่สุดแล้วล่ะเนอะ


//www.youtube.com/watch?v=d9D2y-CF1Xo

สู้ๆนะคะ ยังมีกำลังใจอยู่ที่ไหนซักแห่งในโลกนี้ แม้เราจะไม่เห็นก็ตาม

กำลังใจนั้น มันก็คือคนที่เค้าประสบพบเจอเหตุการณ์คล้ายกับเรานี่แหละค่ะ
เพราะฉะนั้น เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนะ
โดย: NWzephyr วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:18:46:24 น.
  
ขอกลับมาอีกทีค่ะ ความสุข คือการเป็นตัวของตัวเอง
life styleสรรหาความสุขแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
แต่สรุปออกมา มันก็คือทำตามใจอยากจะทำแหละค่ะ

อย่าคิดมากๆ สู้ๆค่ะ

มอบหัวใจดวงสุดท้ายของวันให้ค่ะ
โดย: NWzephyr วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:31:35 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ข้าวเหนียวหวาน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เป็นเพียงเศษละอองของจักรวาล
ที่มีคำถามมากมาย ^_^