แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 4 ต้อนรับอาคันตุกะ



ณ วังหลวง ตำหนักไทเฮา ฮ่องเต้กำลังนั่งสนทนากับไทเฮาในสวนดอกไม้

“หม่อมฉันไม่เห็นว่าต้องรีบร้อนอะไร” คนพูดลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะแล้วมองออกไปทางอื่น
“เมื่อวานไม่รีบ วันนี้ไม่รีบ พรุ่งนี้ก็คงไม่รีบอีก จะทรงเอาอย่างไรกันแน่ ตอนนั้นก็บอกให้แม่เลื่อนไปก่อน แม่ก็ยอมมาตลอด หากคราวนี้ยังคงบ่ายเบี่ยงอีก เกรงว่าอ้าวป้ายจะใช้เรื่องนี้มาอ้างได้”
“จะใช้เรื่องนี้มาอ้างได้อย่างไร ในเมื่อมันไม่เกี่ยว...” ยังไม่ทันที่ฮ่องต้จะพูดจบ ไทเฮาก็แทรกขึ้นว่า
“ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวอะไร ตอนนี้ฝ่าบาทก็ยี่สิบแล้ว แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ยังจะเลื่อนๆๆ ไปอีกถึงเมื่อไหร่ คนข้างนอกเขามองเข้ามา จะหาว่าพระองค์ไม่รู้จักโตได้” ไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ
“แต่เสด็จแม่ นี่มันคนละเรื่องกันกับการโตเป็นผู้ใหญ่นะพะยะค่ะ หรือเสด็จแม่จะให้หม่อมฉันเอาอย่างอ๋าวเทียนลี่ แต่งสาวงามเข้าจวนแทบทุกวัน แต่กลับช่วยงานท่านอ๋าวไป้ไม่ได้สักอย่าง” เมื่อไม่รู้ว่าจะใช้เหตุผลอะไรมาสู้กับไทเฮา ฮ่องเต้จึงพยายามเปรียบเทียบตนเองกับบรรดาลูกขุนนางคนอื่นๆ พวกคุณชายทั้งหลายแม้จะอายุไล่เลี่ยกับพระองค์ ทว่าแต่ละคนล้วนแต่เสเพล ล้างผลาญเงินทองพ่อแม่ไปวันๆ ไม่เคยสนใจทุกข์ร้อนของราษฎร ทั้งๆ ที่พ่อแม่เป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ผิดกับฮ่องเต้ที่วางตัวดีมาตลอด พระองค์จึงไม่คิดว่าตัวเองทำตัวเสียหายตรงไหน
“ใช่สิ! เดี๋ยวนี้ทรงโตแล้ว เก่งแล้ว กล้าย้อนแม่ด้วย” ไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“อย่าทรงเข้าพระทัยผิดสิพะยะค่ะ หม่อมฉันแค่อยากให้เสด็จแม่ฟังเหตุผลบ้างเท่านั้นเอง” ฮ่องเต้พยายามอธิบาย พระองค์ไม่อยากให้ไทเฮาอารมณ์เสีย เมื่อพูดจบก็เข้าไปนั่งใกล้ๆ นาง
“เหตุผล เหตุผลอะไร เหตุผลที่วันๆ ฝ่าบาท เอาแต่เที่ยวเล่นเข้าออกจวนอ๋องถูเช้าเย็นอย่างนั้นเหรอ” ในที่สุดไทเฮาก็หลุดปากพูดในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่พูดออกมาจนได้ คนฟังเองถึงกลับอึ้งไป เพราะรู้สึกแทงใจดำเป็นอย่างยิ่ง เรื่องที่ไทเฮาพูดล้วนแต่เป็นความจริง แทบจะไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่ได้เจอปิงเยี่ย ฮ่องเต้เองก็รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัย จึงได้แต่เงียบ เพราะถ้าหากยังเถียงกันต่อไป รังแต่จะทำให้ผิดใจกันเปล่าๆ ไทเฮาเห็นฮ่องเต้เงียบไป จึงพูดต่อไปว่า
“วันนี้เลี่ยงได้ วันหน้าก็เลี่ยงไม่ได้ ต่อไปฝ่าบาทต้องปกครองคนทั้งแผ่นดิน จะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ไม่ได้ เรื่องไหนควร เรื่องไหนไม่ควร คงไม่ต้องให้แม่สอนแล้วนะ” ผู้เป็นมารดาอบรมอย่างมีเหตุมีผล ฮ่องเต้เองไม่อาจจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปได้ พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ เป็นคนของแผ่นดิน เป็นคนของประชาชน แน่นอนว่าความเป็นอยู่ของราษฎรย่อมต้องมาก่อนความสุขส่วนพระองค์ เมื่อทรงคิดได้เช่นนั้นก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริง

ขณะที่ทั้งฮ่องเต้และไทเฮาต่างกำลังเงียบและครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ขันทีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
“มีอะไรก็ว่าไปหวังกงกง” ไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า ขณะนี้คณะทูตและองค์ชายต้วนฟู่จากเมืองฟุเจี้ยนเดินทางมาถึงวังหลวงแล้วพะยะฮ่า” ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตรัสกับหวังกงกงว่า
“ดี ตอนนี้เจ้าออกไปต้อนรับพวกเขาก่อน บอกพวกเขาด้วยว่า ข้ากับฝ่าบาทกำลังจะไปพบพวกเขาเดี๋ยวนี้”
“พะยะฮ่ะ งั้นหม่อมฉันทูลลา” หวังกงกงเมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็รีบเดินออกไป
“ช้าก่อนหวังกงกง” ไทเฮาเรียกเขากลับมาเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“พะยะฮ่า”
“เจ้าไปตามองค์หญิงปิงเยี่ยมาที่ท้องพระโรงด้วย” ไทเฮาสั่ง
“พะยะฮ่า” คราวนี้หวังกงกงรับพระบัญชาแล้วก็เดินจากไปอีกทาง เขามุ่งไปที่จวนอ๋องถูจิ้น ด้านฮ่องเต้พอได้ยินชื่อปิงเยี่ยตาก็โตขึ้นมาทันที (ทั้งที่ปรกติก็โตอยู่แล้ว)
“เสด็จแม่รับสั่งให้ตามปิงเยี่ยมาทำไมหรือพะยะค่ะ” คังซื่ออดที่จะถามไม่ได้
“ปัญหาที่ฮ่องเต้แก้ไม่ได้ แม่จะช่วยเอง” ไทเฮาตรัสสั้นๆ ไว้อย่างเป็นปริศนาก่อนที่จะเดินจากไป ทิ้งให้คนเป็นฮ่องเต้ได้แต่มองตาม คณะทูตจากเมืองฟุเจี้ยนเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีทางการเมืองกับต้าซ่ง ไม่เห็นว่าเกี่ยวกับปิงเยี่ยสักหน่อยฮ่องเต้คิด เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก คังซื่อจึงรีบตามผู้เป็นมารดาไปเพื่อไปพบกับคณะฑูตจากเมืองฟุเจี้ยน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ จวนอ๋องถูจิ้น องค์หญิงปิงเยี่ยกำลังนั่งใจลอยคิดถึงใครบางคนที่วันนี้ยังไม่ได้มาหานางอยู่
“ปิงเยี่ย... ปิงเยี่ย... ปิงเยี่ย...” เจ้าหยาจือต้องเรียกถึงสามครั้ง กว่านางจะรู้สึกตัวและหันมา
“ท่านแม่ หวังกงกง มีอะไรงั้นเหรอคะ” ปิงเยี่ยพอเห็นผู้เป็นแม่เดินมากับหวังกงกงก็เอ่ยถามขึ้น
“เรียนองค์หญิงปิงเยี่ย ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้องค์หญิงไปพบพะยะฮ่ะ” หวังกงกงตอบ
“ข้าเหรออออ...” ปิงเยี่ยลากเสียงยาวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“อะไรกัน ร้อนวันพันปีนางไม่เคยอยากพบข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ระยะหลังๆ มานี้ไทเฮาดูเหมือนไม่ค่อยจะโปรดนางสักเท่าไหร่ วันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงได้ให้หวังกงกงมาตามนางไปพบ สงสัยไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“เจ้าอย่ามัวพูดมากเลย ไทเฮาเรียกเจ้าก็รีบไปเถอะ” เจ้าหยาจือดุบุตรสาว
“หวังกงกงท่านรู้ไหมว่ามีเรื่องอะไร” ปิงเยี่ยถามหวังกงกงแล้วลุกขึ้นอย่างอิดออด
“หม่อมฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ตอนนี้ไทเฮาและฝ่าบาทอยู่ที่ท้องพระโรงกับพวกคณะทูตจากเมืองฟุเจี้ยนหน่ะพะยะฮ่า” หวังกงกงตอบ
“ฟุเจี้ยนเหรอ!!! งั้นท่านพ่อก็มาด้วยหล่ะสิ” ปิงเยี่ยทำน้ำเสียงดีใจสุดฤทธิ์ เพราะอ๋องถูจิ้นพ่อของนางเดินทางไปเจรจาทางการทูตที่หัวเมืองฟุเจี้ยนเกือบสองเดือนแล้ว ถ้าพวกคณะทูตกลับมาก็แสดงว่าพ่อของนางต้องกลับมาด้วย
“พะยะฮ่ะ ท่านอ๋องถูก็มาด้วย” หวังกงกงตอบ
“ท่านแม่!!! ท่านพ่อกลับมาแล้ว” ปิงเยี่ยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“อืมจ๊ะ” เจ้าหยาจือยิ้ม
“งั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะ ข้าคิดถึงท่านพ่อจะแย่อยู่แล้ว” ว่าแล้วปิงเยี่ยก็คล้องแขนมารดา ทำท่าจะพานางออกไปด้วย
“เจ้าไปเถอะ” พูดจบเจ้าหยาจือก็ดึงมือของตนออกจากแขนของบุตรสาว
“อ้าว... ท่านแม่ไม่ไปด้วยกันเหรอคะ” ปิงเยี่ยเห็นเช่นนั้นก็สงสัย
“ไม่ได้มีรับสั่ง แม่จะไปทำไมหล่ะจ๊ะ” นางตอบสั้นๆ และยิ้มอีกเช่นเคย
“ไปรอหน้าตำหนักก็ได้นี่หน่า จะได้เจอท่านพ่อพร้อมๆ กัน ท่านพ่อเจอท่านแม่ต้องดีใจแน่ๆ เลย” ปิงเยี่ยทำหน้าตาเศร้าๆ เหมือนจะอ้อนคนเป็นแม่ให้จงได้
“ช้าเร็วก็ต้องเจอกันอยู่ดี อย่ามัวพูดมากอยู่เลย เจ้ารีบไปเถอะปิงเยี่ย” เจ้าหยาจือไม่อยากให้บุตรสาวเสียเวลา จึงผลักนางแล้วบอกให้หวังกงกงรีบพาไป หวังกงกงเห็นเช่นนั้นก็เชิญให้องค์หญิงปิงเยี่ยเป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน
“งั้นเดี๋ยวข้ามานะท่านแม่” ปิงเยี่ยไม่รอช้ารีบวิ่งพรวดพราดออกไป แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็ไปสะดุดเข้ากับคานประตูจนล้มลง
“โอ๊ย!!!” ปิงเยี่ยร้องขึ้นเมื่อเห็นตัวเองล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
“ปิงเยี่ย!!! เจ้าเป็นอะไรไหม” เจ้าหยาจือรีบวิ่งเข้าไปประคองบุตรสาว
“อูย... ข้าเจ็บตรงนี้ท่านแม่” ปิงเยี่ยทำเสียงน่าสงสาร นางเอามือทั้งสองกุมหัวเข่าขวาไว้
“จะให้หม่อมฉันไปทูลไทเฮาดีไหมพะยะฮ่ะ” หวังกงกงเสนอความคิดขึ้น
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง!!! ข้าไปไหว ข้าจะไปพบท่านพ่อ!!!” ปิงเยี่ยรีบพรวดลุกขึ้นยืน หวังกงกงกับเจ้าหยาจือเห็นเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ ปิงเยี่ยเองก็หน้าแดงเพราะเขินในความซุ่มซ่ามของตนเอง
“เจ้าแน่ใจนะว่าไหว” เจ้าหยาจือยังอดเป็นห่วงไม่ได้
“ไหวค่ะท่านแม่ ดูสิเห็นไหมเลือดก็ไม่ได้ไหลสักหน่อย” นางกระโดดแล้วยกขาให้ผู้เป็นมารดาดูว่าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เมื่อเจ้าหยาจือเห็นเช่นนั้นก็ยอมให้บุตรสาวเดินทางไปพบไทเฮา ปิงเยี่ยจึงกระโผกกระเผกออกจากจวนไปพร้อมกับหวังกงกง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ ท้องพระโรง พระตำหนักหลวง วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะมีคณะทูตจากเมืองฟุเจี้ยนเกือบสิบคนแล้ว ยังมีฮ่องเต้ ไทเฮา อ๋องถูจิ้น และองครักษ์เหออยู่กันครบ องค์หญิงปิงเยี่ยเดินกระโผกกระเผกเข้ามาพร้อมกับหวังกงกง ทำให้ทุกคนในห้องต่างพากันหันไปมอง ฮ่องเต้ซึ่งกำลังสนทนากับพวกคณะทูตอยู่ พอเห็นปิงเยี่ยในสภาพเช่นนั้นก็รีบวิ่งหน้าตื่นเข้าไปถามนางทันที
“ปิงเยี่ยนี่เจ้าเป็นอะไรไป” คังซื่อเข้าไปประคองนางอย่างลืมตัว พระองค์ไม่ทันสังเกตเห็นสายตารอบข้างที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ ด้านปิงเยี่ยเองแม้จะสนิทสนมกับฮ่องเต้มาก แต่ว่าอยู่ต่อหน้าพระราชอาคันตุกะก็ต้องรักษาพระพักตร์เป็นธรรมดา นางจึงพยายามผละตัวออกจากเขา
“ถวาย...” ยังไม่ทันที่ปิงเยี่ยจะได้แสดงความเคารพ คังซื่อก็ห้ามนางแล้วประคองนางขึ้นตามเดิมโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
“ไม่ต้องๆ นี่ยังไม่บอกข้าเลยว่าเจ้าเป็นอะไร” เขามองไปที่ขาของนางแล้วถามอย่างเป็นห่วง
“ตอนนี้หน่ะยังไม่เป็นอะไร แต่อีกเดี๋ยวถ้าฝ่าบาทไม่ปล่อยหม่อมฉันต้องเป็นแน่” นางกระซิบกับคังซื่อเบาๆ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาหันไปมองไทเฮากับคนอื่นๆ ในห้องที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ตอนนี้ เมื่อฮ่องเต้ได้สติจึงค่อยๆ ปล่อยมือนางลง
“กราบทูลฝ่าบาท องค์หญิงปิงเยี่ยสะดุดล้มที่จวนหน่ะพะยะฮ่ะ” หวังกงกงรายงาน ฝ่ายฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็คลายความสงสัย
“แล้วนี่เจ้าเป็นอะไรมากไหม” แม้จะปล่อยมือนางแล้วแต่คังซื่อก็ยังยืนอยู่ใกล้ๆ คอยถามอาการนาง ฝ่ายปิงเยี่ยยังไม่ทันได้พูดอะไร ไทเฮาก็เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ปิงเยี่ย...” ไทเฮาเดินเข้ามาหาคังซื่อและปิงเยี่ย
“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” ปิงเยี่ยก้มลงถวายพระพรไทเฮา
“เจ้าไม่สบายก็ไม่ต้องมากเรื่องหรอก” ไทเฮาตรัสและประคองนางขึ้น
“ขอบพระทัยเพคะ” ขณะเดียวกันนั้นอ๋องถูจิ้นก็เดินเข้ามาเช่นกัน
“ท่านพ่อ” ปิงเยี่ยยิ้ม นางดีใจจนแทบอยากจะกระโดดกอดผู้เป็นบิดา
“ลูกพ่อเจ้าสบายดีไหม” อ๋องถูจิ้นเองก็ดีใจที่ได้พบบุตรสาวเช่นกัน
“สบายดีค่ะท่านพ่อ” นางตอบสั้นๆ แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ปิงเยี่ย เจ้ามานี่สิ ข้าจะแนะนำให้รู้จักกับคณะทูตที่มาจากฟุเจี้ยน” ว่าแล้วไทเฮาก็จูงมือปิงเยี่ยเดินเข้ามายังกลุ่มของพวกคณะฑูต คังซื่อเองก็ได้แต่มองตามด้วยความสงสัย

“ท่านนี้คือองค์ชายต้วนฟู่รัชทายาทแห่งเมืองฟุเจี้ยน” ไฮเทาแนะนำให้ปิงเยี่ยรู้จักองค์ชายหนุ่มรูปงาม หน้าตาหมดจด รูปร่างสูงใหญ่โอรสองค์โตและรัชทายาทหนึ่งเดียวของเมืองฟุเจี้ยน เมืองไกลซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เดิมเคยเป็นเพียงเมืองขึ้นแต่หลังจากได้รับเอกราช ก็กลายเป็นพันธมิตรที่ดีของต้าซ่ง ตอนนี้ราชสำนักต้องการผูกมิตรไมตรีด้วย เพื่อร่วมมือกันต่อต้านพวกกิมก๊ก ซีเซียะและเหลียว
“คาราวะองค์ชายต้วน” หญิงสาวมองหน้าองค์ชายตาโตแล้วฝืนยิ้มให้เขา ตรงกันข้ามองค์ชายต้วนฟู่กลับมีท่าทางสนใจนางไม่น้อย เขายิ้มตอบนางอย่างสุภาพ
“ส่วนสองท่านนี้คือทูตจากเมืองฟุเจี้ยน ท่านเกาชิงเสี่ยและท่านโหยวจือเว่ย” ไทเฮาแนะนำหัวหน้าคณะทูตที่ยืนอยู่ถัดไป
“คารวะท่านทูตทั้งสอง” ปิงเยี่ยนึกขำในใจ ทูตสองคนนี้หน้าตาประหลาดยิ่งนัก คนหนึ่งผอมเหมือนตะเกียบ อีกคนก็อ้วนเหมือนชามบะหมี่
“ท่านทั้งหลายนี่คือองค์หญิงปิงเยี่ยหลานรักของข้า บุตรสาวคนเดียวของอ๋องถูจิ้นท่านนี้” ไทเฮากล่าว ฝ่ายปิงเยี่ยก็ได้แต่คิดในใจ นี่นางกลายเป็นหลานรักของไทเฮาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี้ย
“ยินดีที่ได้รู้จักองค์หญิงปิงเยี่ย” องค์ชายต้วนฟู่กล่าวพร้อมกับยิ้มกว้างให้นาง ปิงเยี่ยเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบ จริงๆ นางแทบอยากจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ทำไม่ได้
“องค์หญิงปิงเยี่ยทรงงดงามกว่าที่ท่านอ๋องพูดไว้ซะอีกนะเนี้ย ฮ่าๆๆ” โหยวจือเว่ยทูตผู้มาเยือนกล่าวชมอย่างเปิดเผย
“นับเป็นวาสนาของฟุเจี้ยนเราจริงๆ เลย จริงไหม...องค์ชาย...” เกาชิงเสี่ยเสริมแล้วหันหน้าไปทางองค์ชายต้วนฟู่ องค์ชายเองพอได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงจนถึงใบหู
“งั้นเรื่องของต้าฟุเจี้ยนกับต้าซ่งก็คงคุยกันง่ายขึ้น” อ๋องถูจิ้นพูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ ไทเฮามองหน้าอ๋องถูจิ้นแล้วก็ยิ้มด้วยความพอใจเช่นกัน จะมีก็แต่ฮ่องเต้ที่ตอนนี้หน้าบูดบึ้งซะยิ่งกว่าใคร เขาจ้องมององค์ชายแห่งฟุเจี้ยนด้วยท่าทีขึงขัง ตอนนี้เขาพอจะเดาออกแล้วว่าไทเฮาพาปิงเยี่ยมาแนะนำให้คนพวกนี้รู้จักทำไม ด้านองค์ชายต้วนฟู่เองก็แอบมององค์หญิงปิงเยี่ยบ่อยๆ จนทำให้นางรู้สึกอึดอัดตลอดการสนทนา

“เอาอย่างนี้สิ องค์ชายเองก็ไม่เคยมาไคเฟิงมาก่อน พรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านอ๋องกับปิงเยี่ยพาเที่ยวชมเมืองหลวงดีไหม” ไทเฮาเสนอขึ้น
“ไม่ดี” คังซื่อแย้งขึ้นอย่างลืมตัวจนทำให้ทุกคนหันมามองหน้าเขาพร้อมๆ กัน
“เอ่อ... คือ... ข้าหมายความว่า องค์ชายกับท่านทูตเพิ่งเดินทางไกลมา คงจะเหน็ดเหนื่อย ควรจะพักผ่อนเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยไปเที่ยวชมเมืองก็ได้” คังซื่อแก้ตัวแบบตะกุกตะกักรอดไปได้
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วงพะยะค่ะ ระหว่างทางเพราะได้ท่านอ๋องดูแลเป็นอย่างดี หม่อมฉันไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกตื่นเต้นเสียอีกที่จะได้ชมเมืองสวยๆ ของต้าซ่ง” พอพูดถึงคำว่าสวยๆ องค์ชายต้วนก็หันไปมองหน้าองค์หญิงปิงเยี่ย ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งอารมณ์เสียเข้าไปอีก ไทเฮาเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามนี้ พรุ่งนี้ให้...”
“พรุ่งนี้ให้ข้ากับองครักษ์เหอเป็นคนพาพวกท่านเที่ยวเองก็แล้วกัน” คังซื่อแทรกขึ้นก่อนที่ไทเฮาจะพูดจบ ตอนนี้ไทเฮาหันไปมองหน้าฮ่องเต้อย่างไม่พอใจ เขาจึงต้องหลบสายตาของนาง
“โอววว ช่างเป็นเกียรติแก่ฟุเจี้ยนของเราจริงๆ ฝ่าบาทจะทรงนำเที่ยวด้วยพระองค์เอง” เกาชิงเสี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“ฝ่าบาททรงมีภารกิจมากมาย หม่อมฉันเกรงว่า...” องค์ชายต้วนฟู่ทำท่าเกรงใจ
“เพื่อแสดงความจริงใจของต้าซ่ง องค์ชายก็อย่าได้เกรงใจเลย” คังซื่อยืนยันเสียงแข็ง เรื่องอะไรเขาจะยอมปล่อยให้ปิงเยี่ยไปกับคนพวกนี้
“ปิงเยี่ยเจ้าก็ไปกับฝ่าบาทด้วยสิ เจ้าเองก็ชอบเที่ยวมิใช่หรือ” ไทเฮาหันไปถามปิงเยี่ย แม้จะเป็นประโยคคำถามแต่คนฟังก็พอจะรู้ว่าความหมายคือประโยคคำสั่งมากกว่า ปิงเยี่ยจึงจำใจรับคำ
“เพคะไทเฮา”
“เสด็จแม่ ปิงเยี่ยเพิ่งได้รับบาดเจ็บ หม่อมฉันคิดว่าให้นางพักผ่อนจะดีกว่า เรื่ององค์ชายต้วนให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันกับองครักษ์เหอก็พอแล้ว” ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงด้วยความโกรธ อ๋องถูจิ้นเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาขัดตาทัพเอาไว้
“เอ่อจริงด้วย ไทเฮาอย่าทรงกังวลเลยพะยะค่ะ เรื่องต้อนรับองค์ชายต้วน หม่อมฉันก็จะช่วยด้วยอีกแรง” พูดจบอ๋องถูจิ้นก็หันไปพยักหน้าให้ไทเฮา ไทเฮาจึงยิ้มออก ส่วนปิงเยี่ยกลับหันมาค้อนให้บิดาของตน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

หลังจากพิธีต้อนรับคณะทูตจากเมืองฟุเจี้ยนเสร็จสิ้นแล้ว อ๋องถูจิ้นกับองค์หญิงปิงเยี่ยก็เดินทางกลับจวนของตน ส่วนฮ่องเต้กับไทเฮายังอยู่คุยกันต่อในพระตำหนัก องค์หญิงปิงเยี่ยทั้งเดินทั้งวิ่งมายังจวนอ๋องอย่างรวดเร็วโดยมีอ๋องถูจิ้นผู้เป็นบิดาสาวเท้าเดินตามมาติดๆ
“ปิงเยี่ยรอพ่อด้วย” ผู้เป็นบิดาวิ่งตามบุตรสาวมาไกล ทำให้เขาหอบด้วยความเหนื่อย
“ไม่แต่ง!!! ยังไงข้าก็ไม่แต่ง!!!” ปิงเยี่ยไม่ฟังคำเขา นางยังคงวิ่งต่อไป
“เจ้าฟังพ่อก่อนได้ไหม” อ๋องถูจิ้นพยายามอธิบาย
“ไม่ฟัง ข้าไม่อยากฟังท่านพ่อ ท่านพ่อไม่รักข้าแล้ว” ปิงเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ แล้วน้ำตาของนางก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้ามีเหตุผลหน่อยได้ไหม” อ๋องถูจิ้นเข้ามาคว้าแขนบุตรสาวไว้ ทันใดนั้นภรรยาของเขาก็ออกมาพบเข้าพอดี
“ปิงเยี่ยเจ้าเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้ร้องไห้เช่นนี้” เจ้าหยาจือถลาเข้ามาหาบุตรสาวเมื่อเห็นว่านางกำลังร้องไห้อยู่
“ท่านแม่!!!” ปิงเยี่ยสะอึกสะอื้นโผเข้าไปซบผู้เป็นมารดา
“ท่านพ่อรังแกข้า ท่านพ่อไม่รักข้าแล้ว” นางร้องไห้ไม่หยุด
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะท่านพี่” เจ้าหยาจือก้มลงมองบุตรสาวอย่างเวทนาแล้วเอ่ยถามผู้เป็นสามี
“ฮูหยินเจ้าฟังข้าก่อนนะ” อ๋องถูจิ้นตั้งท่าจะอธิบาย
“ท่านแม่อย่าฟังเขานะ ท่านพ่อจะไล่ข้าไปไกลๆ เขาจะให้ข้าแต่งงานไปอยู่ฟุเจี้ยน” ปิงเยี่ยสะอึกสะอื้น
“อะไรนะท่านพี่ ท่านจะให้ปิงเยี่ยแต่งงานงั้นเหรอ” เจ้าหยาจือหันไปถามผู้เป็นสามีด้วยความตกใจ
“อืมถูกต้องแล้ว นางจะอภิเษกกับองค์ชายต้วนฟู่” อ๋องถูจิ้นตอบ
“บอกแล้วไงว่าไม่แต่ง!!! ถึงตายข้าก็ไม่แต่ง!!!” พอได้ยินคำว่าแต่งงานปิงเยี่ยก็วิ่งหนีเข้าจวนไปในทันที
“ปิงเยี่ย...” เจ้าหยาจือร้องตามบุตรสาว
“ปล่อยให้นางไปพักเถิด” อ๋องถูจิ้นส่ายหน้าแล้วหันไปรั้งผู้เป็นภรรยาไว้
“ท่านพี่นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆ ก็จะให้ลูกเราแต่งงานหล่ะคะ” เจ้าหยาจือยังไม่คลายความสงสัย
“เรื่องนี้เป็นความคิดของข้ากับไทเฮา” ถูจิ้นถอนหายใจแล้วกล่าวต่อไปว่า
“เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างต้าซ่งกับเมืองฟุเจี้ยน พวกเราตั้งใจให้ปิงเยี่ยแต่งงานกับองค์ชายต้วนฟู่แล้วไปอยู่ที่นั่น” เจ้าหยาจือได้ยินเช่นนั้นก็เซล้มลงด้วยความตกใจ หวังว่านี่คงเป็นแค่ความฝันเท่านั้น
“ฮูหยินเจ้าเป็นอะไรไป” อ๋องถูจิ้นรีบเข้าไปประคองผู้เป็นภรรยาไว้
“ท่านพี่ แต่ว่าเรามีลูกแค่คนเดียวนะคะ” เจ้าหยาจือน้ำตาคลอ หัวอกคนเป็นแม่ย่อมไม่อยากเห็นลูกสาวแต่งงานจากไปอยู่แดนไกล
“ข้ารู้ เรื่องนี้ข้าเองก็เจ็บปวดอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองแล้ว...มันก็จำเป็น” อ๋องถูจิ้นตอบเสียงเศร้า ตอนนี้เขาเองก็ทุกข์ใจไม่ต่างจากผู้เป็นภรรยาสักเท่าไหร่
“ฮ่องเต้ยังเล็กนัก ส่วนเสนาอ๋าวไป้ก็แกร่งขึ้นทุกวัน เราจำเป็นต้องมีพันธมิตรเผื่อเอาไว้บ้าง” เขาพยายามอธิบายเหตุผลให้ผู้เป็นภรรยาเข้าใจ สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่สู้ดีนัก นอกจากต้องหาทางป้องกันศัตรูรอบด้านแล้ว ต้าซ่งยังต้องผูกมิตรกับแคว้นต่างๆ อีกด้วย
“แล้วทำไมต้องเป็นลูกปิงเยี่ยด้วย” เจ้าหยาจือโอดครวญ
“ไทเฮาคงเห็นว่าข้ากับอ๋องต้วนสนิทกันมาก ฮูหยินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ข้ารับรองได้ว่าลูกเราไปอยู่โน้นไม่ลำบากแน่ องค์ชายต้วนฟู่เป็นคนดีจริงๆ” อ๋องถูจิ้นพยายามปลอบใจผู้เป็นภรรยา
“แล้วนี่ลูกเราต้องไปเมื่อไหร่กันคะ” นางถามเสียงเศร้า
“สัปดาห์หน้า” ถูจิ้นตอบสั้นๆ แล้วก้มหน้าลง
“หาอะไรนะ สัปดาห์หน้า ไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ” เจ้าหยาจือตกใจ นางไม่คิดว่าจะต้องจากบุตรสาวเร็วถึงเพียงนี้
“ไทเฮาคุยกับทางโน้นไว้เช่นนี้ จะเปลี่ยนแปลงตอนนี้คงไม่ทันแล้ว ทางฟุเจี้ยนส่งคณะทูตมาแล้ว ยังไงปิงเยี่ยคงได้ขึ้นเกี๊ยวสัปดาห์หน้านี้แน่นอน” สีหน้าของอ๋องถูจิ้นเองก็ดูกังวลไม่น้อย
“แล้วปิงเยี่ยหล่ะคะ นางจะยอมหรือ” เจ้าหยาจือถามผู้เป็นสามี
“ตอนนี้คงยังไม่ยอมหรอก แต่ถ้าได้เจ้าช่วยพูดนางต้องยอมแน่” ถูจิ้นหันมาขอร้องผู้เป็นภรรยา
“ทำไมต้องให้ข้าไปพูดด้วย” เจ้าหยาจือหันหน้าหลบ แน่นอนว่านางไม่อยากไปเกลี่ยกล่อมบุตรสาวในสิ่งที่นางเองก็ไม่เห็นด้วย
“ก็นางกำลังโกรธข้าอยู่ขืนข้าไปพูดจะยิ่งไปกันใหญ่ รอให้นางอารมณ์ดีเสียก่อน เจ้าก็ช่วยพูดกับนางก็แล้วกันนะ” อ๋องถูจิ้นขอร้องอีกครั้ง เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเจ้าหยาจือจึงได้แต่พยักหน้ารับคำผู้เป็นสามี นางเข้าใจดีว่าชะตากรรมของปิงเยี่ยในครั้งนี้ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ และยิ่งเป็นพระประสงค์ขององค์ไทเฮาด้วย เจ้าหยาจือเองก็รู้สึกสงสัยมานานแล้วว่า ต้องมีสักวันหนึ่งที่ไทเฮาจะหาทางกำจัดบุตรสาวของตนออกไปจากฮ่องเต้อย่างแน่นอน เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่า มันจะเร็วถึงเพียงนี้

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงคนเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้องขององค์หญิงปิงเยี่ย
“ใครหน่ะ บอกว่าอย่ามายุ่งไง” ปิงเยี่ยตะโกนตอบไปอย่างไม่สบอารมณ์
“แม่เองจ๊ะ” เสียงอ่อนหวานของผู้เป็นมารดาตอบกลับมา
“ท่านแม่” ปิงเยี่ยรีบวิ่งไปเปิดประตูออก
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ร้องไห้แล้วหรือ” เจ้าหยาจือสังเกตเห็นว่าบุตรสาวไม่สะอึกสะอื้นแล้ว แต่ก็ยังมีคราบน้ำตาปรากฏให้เห็นอยู่
“ข้าร้องจนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว” ปิงเยี่ยเดินขึ้นมานั่งบนเตียง
“งั้นแม่ขอคุยด้วยได้ไหม” เจ้าหยาจือเดินตามมานั่งที่เตียงด้วย จากนั้นนางก็เริ่มบทสนทนา
“ปิงเยี่ย...ลูกรู้ไหมว่าแม่รักเจ้ามาก” ผู้เป็นแม่ลูบศีรษะของบุตรสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“ข้ารู้ ข้าก็รักท่านแม่เหมือนกัน” ปิงเยี่ยเอียงศีรษะมาซบมารดาของตน
“แล้วเจ้ารักท่านพ่อไหม” เจ้าหยาจือถามต่อ
“ฮึ...” ปิงเยี่ยทำหน้างอนๆ แล้วหันไปทางอื่น
“ข้าก็รักสิ แต่ว่าท่านพ่อไม่รักข้าแล้ว จะให้ข้าแต่งงานกับคนฟุเจี้ยนนั่น” คนตอบทำหน้าเศร้า
“บางครั้งเราก็จะจำเป็นต้องเสียสละตัวเองเพื่อคนที่เรารักนะจ๊ะ” เจ้าหยาจือเว้นช่วงอธิบายนิดนึงก่อนจะถามนางต่อไปว่า
“แล้วเจ้ารักฮ่องเต้หรือเปล่า”
“หา ท่านแม่พูดอะไร” ปิงเยี่ยทำหน้าตกใจ หน้าของนางแดงจนต้องหันหลบผู้เป็นมารดาไปทางอื่น
“เจ้าตอบแม่มาตามตรงก็พอ” เจ้าหยาจือถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังต้องตอบในที่สุด
“ข้าก็ไม่รู้ พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ข้าก็รักฮ่องเต้เหมือนกับที่รักท่านพ่อกับท่านแม่นั่นแหละ” นางตอบตามตรง
“งั้นก็ดีจ๊ะ วันนี้แม่จะเล่านิทานให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่งนะ” ว่าแล้วเจ้าหยาจือก็เริ่มเล่าเรื่องซึ่งนางไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนในชีวิตให้ปิงเยี่ยฟัง...

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

อีกด้านหนึ่งฮ่องเต้กับไทเฮายังคงถกเถียงกันอยู่ในพระตำหนัก
“ฝ่าบาททรงคิดจะทำอะไรกันแน่” ไทเฮาถามด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ
“หม่อมฉันควรจะถามเสด็จแม่มากกว่าว่าทรงคิดจะทำอะไรกันแน่” ฮ่องเต้อดที่ย้อนนางไม่ได้
“ดี...ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ งั้นแม่ก็จะไม่ปิดบังแล้ว” ไทเฮาเองก็หมดความอดทนกับเขาเช่นกัน ยังไงวันนี้คงต้องพูดกันให้รู้เรื่องเสียที
“เสด็จแม่หมายความว่าอย่างไร” ตอนนี้คนฟังทั้งกลัวทั้งตื่นเต้นกับคำตอบที่กำลังจะได้ยิน
“ก็เรื่องที่อ๋องถูจิ้นเดินทางไปฟุเจี้ยนครั้งนี้หน่ะสิ พวกเราเห็นชอบว่าปิงเยี่ยสมควรจะอภิเษกกับองค์ชายต้วนฟู่ เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างต้าซ่งกับฟุเจี้ยน”
“อะไรนะเสด็จแม่!!!” คังซื่อตะโกนลั่นพร้อมกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
“ทำไมต้องทรงตกพระทัยขนาดนั้นด้วย” คราวนี้ไทเฮาเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนบ้าง
“แต่เสด็จแม่ นี่มันเรื่องใหญ่นะพะยะค่ะ” คังซื่อส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“แม่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถึงได้คุยกับอ๋องถูเค้ามาตั้งนานแล้ว สามเดือนที่แล้วสบโอกาสพอดี ท่านอ๋องถึงได้เดินทางไปฟุเจี้ยน ทางฟุเจี้ยนเองก็สนิทกับท่านอ๋องอยู่แล้ว พอพูดถึงเรื่องอภิเษก พวกเขาก็พอใจมากเลยทรงรู้ไหม”
“ไม่ได้!!! ยังไงเรื่องนี้ต้องคิดกันให้รอบครอบเสียก่อน” คังซื่อยืนกรานไม่ยอม ตอนนี้เขายืนไม่ติดที่แล้ว ในสมองคิดเพียงแต่ว่า หากชาตินี้ไม่ได้แต่งกับปิงเยี่ย เขาก็ไม่คิดจะแต่งกับใครอีกแล้ว
“ตรัสอย่างนี้ทรงหมายความว่าอย่างไร เรื่องนี้แม่กับท่านอ๋องได้วางแผนเอาไว้อย่างดีแล้ว อีกอย่างทางโน้นเขาก็เตรียมการไว้หมดแล้วด้วย คณะทูตที่ส่งมาครั้งนี้ก็คือพ่อสื่อที่จะพาองค์หญิงปิงเยี่ยกลับไป” ไทเฮาอธิบาย
“อะไรนะ!!! แล้วทำไมหม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยพะยะค่ะ” คังซื่อตกใจมาก ดูท่างานอภิเษกคงจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้เป็นแน่
“ถ้ารู้... ฝ่าบาทมีหรือจะทรงยอม” ไทเฮาย้อนได้แทงใจคนฟังมาก ฝ่ายฮ่องเต้พอได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ไทเฮาจึงกล่าวต่อไปว่า
“วันนี้ทรงโทษแม่ แต่วันหน้าต้องขอบใจแม่แน่”
“แล้วถ้าวันนี้... หม่อมฉันจะคัดค้านหล่ะพะยะค่ะ” คังซื่อหันมาพูดน้ำเสียงเรียบ
“ทรงว่าอะไรนะ!!!” ไทเฮาย้อนถามน้ำเสียงดุ
“หม่อมฉันจะคัดค้าน เรื่องนี้หม่อมฉันไม่เห็นด้วย” ตอนนี้คนพูดตาเริ่มแดง คังซื่อพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะเขาไม่อยากหลั่งน้ำตาต่อหน้าผู้เป็นมารดา
“ทรงอยากให้ต้าซ่งเปิดศึกกับฟุเจี้ยนหรืออย่างไร” ไทเฮาเองพอเห็นความไม่มีเหตุผลของฮ่องเต้ก็อดขึ้นเสียงไม่ได้ ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ทรุดตัวลงนั่ง ดูท่าไทเฮาได้วางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ทำให้เขาไม่มีทางออก นอกจากจำยอมอย่างเดียว
“แล้วปิงเยี่ย นางรู้เรื่องนี้ไหม” คังซื่อถามเสียงเศร้า
“ตอนนี้อ๋องถูจิ้นคงกำลังอธิบายอยู่” ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเศร้ายิ่งกว่าเดิม ดูท่าเรื่องอภิเษกคงจะดำเนินขึ้นเร็วๆ นี้เป็นแน่ ไม่ได้!!! เขาต้องทำอะไรสักอย่าง
“เสด็จแม่... ถือว่าหม่อมฉันขอร้องนะพะย่ะค่ะ ตอนนี้ชะลอพิธีออกไปก่อน ให้ผ่านงานพระราชพิธีคืนอำนาจแล้วค่อยว่ากันใหม่” ฮ่องเต้ขอร้องเสียงเศร้า ตอนนี้เขาคิดออกแค่วิธีนี้วิธีเดียว
“ฮ่องเต้ทรงไม่ใช่เด็กๆ ที่จะคอยมาต่อรองโน่นนี่กับแม่แล้วนะ พระองค์ไม่อยากแต่งใช่ว่าคนอื่นเขาต้องไม่อยากด้วย” ไทเฮาปฏิเสธ นางรู้ดีว่าฮ่องเต้แค่ต้องการถ่วงเวลาเท่านั้น
“หม่อมฉันไม่เชื่อว่าปิงเยี่ยจะอยากแต่งกับเจ้าทึ่มนั่น” พอนึกถึงหน้าองค์ชายต้วนฮ่องเต้ก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
“จะตรัสอะไรก็ทรงระวังคำพูดหน่อย อีกหน่อยน้องของพระองค์ก็ต้องไปดองกับเขาแล้วนะ แล้วองค์ชายต้วนหน่ะก็ดูชอบพอองค์หญิงปิงเยี่ยอยู่ไม่น้อย หากทรงอยากจะต่อรองก็ไปต่อรองกับองค์ชายเอาเอง เรื่องนี้แม่ไม่มีสิทธิ์หรอก” ไทเฮาตอบน้ำเสียงเรียบ
“ดูท่าเสด็จแม่คงเตรียมการเอาไว้อย่างดีแล้ว” คังซื่อตัดพ้อผู้เป็นมารดา แล้วเขาก็นั่งลงเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก
“ฟังพูดเข้า ทุกอย่างแม่ก็ทำเพื่อฝ่าบาททั้งนั้น เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้แม้แต่อ๋องถูจิ้นยังเข้าใจ แล้วฮ่องเต้อย่างพระองค์ทำไมทรงไม่เข้าพระทัยนะ อย่างนี้หน่ะหรือที่เรียกว่าโตแล้ว” ไทเฮาย้อนถาม ฝ่ายฮ่องเต่ก็เอาแต่เงียบสนิทไม่พูดอะไร ไทเฮาจึงลุกขึ้นทำท่าจะจากไป
“ทรงกลับไปคิดตรึกตรองดูให้ดีก็แล้วกัน” ว่าแล้วไทเฮาก็ส่ายหน้าแล้วเดินจากไปในที่สุด

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

อีกด้านหนึ่ง ณ จวนอ๋องถูจิ้น เจ้าหยาจือเล่านิทานของตนให้บุตรสาวฟังจนจบแล้ว
“หญิงสาวคนนั้นก็คือท่านแม่งั้นหรือคะ” ปิงเยี่ยมองหน้าผู้เป็นมารดาแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ใช่แล้วจ๊ะ” เจ้าหยาจือพยักหน้าตอบบุตรสาวด้วยแววตาเศร้า
“งั้นท่านพ่อก็...”
“เจ้ารับปากแม่แล้วนะ ว่าจะไม่นำเรื่องนี้ไปพูดกับใคร” เจ้าหยาจือลูบผมของบุตรสาวเบาๆ
“ค่ะข้าสัญญา แต่ว่า... ท่านแม่ไม่เคยคิดอยากพบพวกเขาบ้างหรือคะ” คนเป็นลูกถาม
“เรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว แม่เองไม่อยากพูดถึงอีก” เจ้าหยาจือน้ำตาคลอ
“ท่านแม่ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านต้องลำบากขนาดนี้” ปิงเยี่ยเห็นผู้เป็นมารดาเสียใจ นางจึงกอดเจ้าหยาจือไว้แน่น
“บางครั้งเพื่อคนที่เรารัก เราก็จำเป็นต้องเสียสละ” เจ้าหยาจือให้เหตุผล
“หากเป็นเช่นนี้ เพื่อท่านแม่ เพื่อฝ่าบาท หม่อมฉันก็ยอม...” หลังจากฟังนิทานของเจ้าหยาจือจบ ปิงเยี่ยก็คิดถึงเรื่องของตนเอง คราวนี้นางคงต้องเป็นฝ่ายเสียสละบ้างแล้ว
“เจ้าจะยอมแต่งงานไปฟุเจี้ยนงั้นหรือ” เจ้าหยาจือหันมาถามบุตรสาว แม้ว่าจริงๆ นางจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ตาม
“อืม ข้าไม่อยากเห็นประชาชนต้องล้มตาย” ปิงเยี่ยตอบน้ำเสียงเศร้า นางรู้ดีว่าเรื่องนี้คงจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว ที่สำคัญนางไม่อยากเห็นใครต้องมาเดือดร้อนเพราะนาง
“ลูกแม่...” เจ้าหยาจือได้ยินเช่นนั้นก็โผเข้ากอดบุตรสาวไว้แน่น นางไม่คิดว่าปิงเยี่ยจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ มันทำให้นางรู้สึกภูมิใจจริงๆ
“ข้าจะเข็มแข็งเหมือนท่านแม่” ปิงเยี่ยกล่าวสั้นๆ แล้วก็ซบลงบนอกคนเป็นแม่ นางคิดในใจว่านี่คงถึงเวลาที่นางต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที การเดินทางของนางในครั้งนี้คงจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง นางตั้งใจว่าจะเก็บเกี่ยวความสุขจากที่นี่ให้ได้มากที่สุด

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ จวนเสนาบดีอ๋าวไป้ หัวหน้ามือปราบหันจุ้นกับลูกน้องอีกสามคนกำลังรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างขนสมบัติมามอบให้เสนาบดีอ๋าวไป้
“อะไรนะ!!! ถูกมันปล้นไปหมดเลยงั้นเหรอ” อ๋าวไป้ทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ
“ใช่แล้วครับ” หัวหน้ามือปราบหันและลูกน้องที่คุกเข่าอยู่ตอบพร้อมกัน
“แล้วพวกมันมีกันกี่คน!!!” อ๋าวไป้ซักต่อ หน้าตาของเขาหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“เรียนท่านเสนา พวกมันมากันสองคนครับ” หันจุ้นตอบ
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!!! พวกเจ้าห้าคนเอาชนะพวกมันแค่สองคนไม่ได้งั้นเหรอ!!!” อ๋าวไป้ตวาดเสียงดัง
“คะ... คืองี้ครับท่านเสนา ถ้าเป็นคนธรรมดาพวกเราก็ไม่กลัวหรอก แต่ว่าพวกมันเป็นคนของค่ายเหลียนอิ๋นหน่ะสิครับ” หันจุ้นรายงานตะกุกตะกักเพราะกลัวความผิด
“คนของค่ายเหลียนอิ๋นแล้วไง พวกมันคิดจะอยู่เหนือกฎหมายงั้นเหรอ!!! เห็นทีต้องถอนรากถอนโคนเสียแล้ว!!! กำจัดพวกมันให้สิ้นซาก!!!” อ๋าวไป้กล่าวอย่างอารมณ์เสีย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ค่ายเหลียนอิ๋นสร้างความเสียหายให้กับเขา แต่เป็นเพราะที่ตั้งของค่ายเหลียนอิ๋นมีชัยภูมิที่ดียากแก่การโจมตี อีกทั้งพวกเขายังมีชาวบ้านคอยให้การสนับสนุนทำให้อ๋าวไป้ไม่สามารถเล่นงานค่ายเหลียนอิ๋นแห่งนี้ได้เสียที
“แล้วพวกเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกมันเป็นคนของค่ายเหลียนอิ๋น” เสนาบดีเยี่ยปี้หลงน้องเขยของเสนาบดีอ๋าวไป้ที่นั่งฟังเหตุการณ์อยู่ด้วยหันไปถามพวกมือปราบ
“เรียนท่านเสนาเยี่ย พวกมันสองคนๆ หนึ่งตัวผอมๆ ท่าทางเหมือนบัณฑิต คนอีกคนหนึ่งรูปร่างสูง หน้าตาดี วรยุทธมันสุดยอดไปเลย กระบี่ของมันเร็วมาก เล่นงานหัวหน้าหันซะอ่วมเลย” ลูกน้องคนหนึ่งรายงานขึ้น หัวหน้าหันพอได้ยินเช่นนั้นก็หันมาตาเขียวใส่เขา
“ข้าได้ยินมันพูดกันว่าจะกลับค่ายเหลียนอิ๋น ได้ยินมันพูดถึงหงเผา แล้วพวกมันยังพูดถึงนักพรตอะไรคูๆ แห่งช่วงจิงก่าด้วย” มือปราบหันรายงานต่อไป

“ถ้างั้นคงใช่พวกมันแล้ว หงเผาก็คือขงเบ้งชุดแดงเอี้ยนหมิงเจิ้ง คนที่ลักษณะเหมือนบัณฑิตก็คือกงซุนเช่อปราชญ์อันดับหนึ่งของยุทธภพ ส่วนคนที่เจ้าบอกว่าหล่อๆ กระบี่ของเขารวดเร็ว แม่นยำ พลังวัตรสูง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นชีเส้าเฟยแน่ๆ ได้ยินว่าเขาเป็นศิษย์เอกคูชู่กี่แห่งสำนักช่วงจิงก่า... พี่อ๋าวแล้วท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป” เยี่ยปี้หลงพูดจบก็หลงหันไปถามความเห็นคิดกับผู้เป็นพี่เขย
“เตรียมถวายฎีกา ค่ายเหลียนอิ๋นสมคบพวกเหลียว คิดก่อกบฏ ปล้นเงินภาษีคลังหลวง” อ๋าวไป้ออกคำสั่งเสียงดัง แววตาของเขาตอนนี้มีแต่ความโกรธแค้น เขาต้องทำลายชื่อเสียงของชีเส้าเฟยและค่ายเหลียนอิ๋นให้จงได้
“หา...” เยี่ยปี้หลงและพวกมือปราบร้องขึ้นพร้อมๆ กันด้วยความตกใจ
“ตกใจอะไรกัน” อ๋าวไป้ถามเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ท่านพี่อ๋าว เงินที่หายเป็นเงินส่วนตัวของท่าน แล้วจะกลายเป็นเงินหลวงไปได้อย่างไร” เยี่ยปี้หลงแย้งขึ้น
“ไม่เห็นยาก ผู้ตรวจการที่รับผิดชอบทิศเหนือกลับมาหรือยัง” อ๋าวไป้หันไปถามเขา
“ยังเลยครับ แต่ตอนนี้น่าจะใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว” เยี่ยปี้หลงตอบ
“ดีงั้นส่งคนไปจัดการซะให้เรียบร้อย ทิ้งร่องรอยว่าเป็นคนของค่ายเหลียนอิ๋น ส่วนเงินที่ได้นำมาคืนข้าให้หมด” อ๋าวไป้สั่ง
“แล้วถ้าฝ่าบาทรู้เข้า...” เยี่ยปี้หลงพยายามทักท้วงแต่พูดยังไม่ทันจบอ๋าวไป้ก็แทรกขึ้นว่า
“เจ้าจะกลัวอะไร เงินหลวงก็เหมือนเงินข้า ทำอย่างนี้ข้าก็ได้เงินคืน ส่วนค่ายเหลียนอิ๋นก็รับแบกรับข้อหาไป โทษฐานที่มันบังอาจมาล่วงเกินข้าเสนาบดีอ๋าวไป้” คนพูดทำสีหน้าภูมิใจในยศถาบรรดาศักดิ์ของตนสุดๆ แน่นอนว่าในแผ่นดินนี้ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเขา แม้แต่ฮ่องเต้เองยังต้องเกรงใจ ค่ายเหลียนอิ๋นก็เป็นแค่เสี้ยนหนามเล็กๆ อันหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อไม่สามารถซุ่มโจมตีได้ ก็จัดการมันตรงๆ ซะเลย โดยอาศัยฮ่องเต้มาบังหน้า ทำเช่นนี้แล้วเขาก็มีแต่ได้กับได้ ว่าแล้วเสนาบดีทั้งสองก็ตกลงวางแผนตามความคิดของอ๋าวไป้ โดยให้หัวหน้ามือปราบหันจุ้นเป็นผู้ดำเนินการ หันจุ้นเองก็รู้สึกไม่พอใจที่ลู่เสี่ยวฟงล่วงเกินเขาอยู่แล้ว เขาจึงเต็มใจรับงานนี้พร้อมกับทุ่มสุดตัวเลยทีเดียว
“เอ่อ... ท่านเสนาระหว่างเดินทางกลับมาเมืองหลวง ข้ายังได้พบกับคนๆ หนึ่งอีกด้วย” หันจุ้นรายงานต่อ
“เจ้าได้พบใคร” อ๋าวไป้ถามเสียงดัง ทำให้คนอื่นๆ หันมาให้ความสนใจ ด้านหันจุ้นเห็นเช่นนั้นก็เข้าไปกระซิบเบาๆ ข้างหูอ๋าวไป้ พออ๋าวไป้ฟังเขาพูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“เห็นทีข้าคงต้องไปเยี่ยมท่านอ๋องเสียหน่อยแล้ว” อ๋าวไป้หัวเราะชอบใจแล้วก็เดินออกจากจวนไป ทิ้งให้เยี่ยปี้หลงและมือปราบคนอื่นๆ หันมามองหน้ากันด้วยสงสัย...




Create Date : 29 ธันวาคม 2551
Last Update : 19 มีนาคม 2560 0:22:33 น. 0 comments
Counter : 289 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.