แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 10 ถุงผ้าสีแดง



ความเดิมจากตอนที่แล้ว

เส่เยี่ยยังอยู่กับจิวแปะทงที่โรงเตี๊ยม ส่วนกงซุนเช่อ อ้อมหมิงเจิ้ง และลู่เสี่ยวฟงตกอยู่ภายใต้วงล้อมของอ๋าวเทียนลี่กับพวกทหาร

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

“อะไรนะในอาวุธลับมีพิษงั้นเหรอ” หงเผาหันไปมองหน้าลู่เสี่ยวฟงที่ไม่ยอมบอกความจริงกับนาง
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว มันคือพิษอ๋าวจื่อเอี้ยนที่พ่อข้าคิดค้นขึ้น ในแผ่นดินนี้ไม่มีใครมียาถอนนอกจากพ่อข้า น่าเสียดายที่คนโดนยาพิษไม่ใช่เจ้า” อ๋าวเทียนลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย้ยหยัน หงเผากัดริมฝีปากแน่นด้วยความแค้น แน่นอนว่านางไม่คิดที่จะหนีอยู่แล้ว แต่จะให้ถูกจับนางก็ไม่ยอมเช่นกัน
“อ้อมหมิงเจิ้ง อย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้” หญิงสาวพูดกับตัวเองในใจ ตอนนี้นางอึดอัดใจเหลือเกินที่ช่วยพี่น้องไม่ได้
“ดี งั้นข้าขอสู้ตาย หากวันนี้พี่น้องข้ารอดไปไม่ได้ ข้าก็จะไม่ขออยู่” หงเผาตัดสินใจสู้สุดชีวิต นางยกกระบี่ขึ้นมาอย่างแน่วแน่ ก่อนที่จะพุ่งไปยังทุกชีวิตที่อยู่ตรงหน้า
ทันใดนั้นก็เกิดพายุทรายขึ้นอย่างไม่คาดคิด พวกทหารพากันปิดตาหลบทราย ทำให้ชุลมุนไปทั่ว หงเผาพยายามจะควานหาลู่เสี่ยวฟงแต่ก็ไม่พบ จนอยู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามาดึงตัวนางออกไป พอพายุเริ่มสลบลง หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นจนพบร่างชายตรงหน้า
“หัวหน้าใหญ่!!!”

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


“ไม่เป็นไรนะ” ชีเส้าเฟยหันมาถามหญิงสาว นางพยักหน้าให้เขา ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
“หัวหน้าใหญ่ พวกมันจับพี่รองกับลู่เสี่ยวฟงไป” หญิงสาวตอบน้ำเสียงสั่น
“ข้ารู้แล้ว เจ้ารออยู่นี่นะ ข้าจะไปจัดการกับพวกมันเอง” ชายหนุ่มจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวก่อนทำท่าจะเดินจากไป
“ช้าก่อนหัวหน้าใหญ่” หญิงสาวรั้งแขนของเขาไว้
“ข้าไปด้วย” ใจจริงชีเส้าเฟยก็อยากให้นางคอยอยู่ที่นี่มากกว่า
“หากหัวหน้าใหญ่ไม่ให้ข้าไปด้วย ถือว่าดูถูกน้ำใจข้า” เมื่อเห็นอ้อมหมิงเจิ้งยืนกรานเช่นนั้น ชีเส้าเฟยจึงไม่ขัดขวาง ทั้งคู่มุ่งหน้าไปหากองทัพของอ๋าวเทียนลี่ด้วยกัน ตอนนี้พวกมันกำลังพยายามบุกฝ่าพายุทรายออกมาจึงไม่ได้สังเกตเห็นชีเส้าเฟยที่ใช้วิชาตัวเบาฝ่าวงล้อมเข้ามา
“อ้า...” เสียงทหารที่ยืนอยู่ด้านซ้ายโดนซัดจนกระเด็นล้มไปข้างหน้า
“เอื้ออออ....” เสียงทหารที่อยู่ด้านขวาถูกคมของกระบี่นี่สุ่ยหานเข้าที่ท่อนแขน
“อ้า... เอื้ออออ...” ตามด้วยเสียงของทหารที่ร้องสลับกันไปมาทั้งซ้ายและขวา เพราะถูกชีเส้าเฟยโจมตีอย่างรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดมองเห็นได้ทัน
“คุ้มครองคุณชายอ๋าว” ท่ามกลางความชุลมุนนั้นหันจุ้นยังไม่ลืมที่จะเอาหน้า เขาเข้าไปยืนชิดกับอ๋าวเทียนลี่แล้วสั่งให้ทหารตั้งวงล้อมเพื่อป้องกันตนเอง ท่ามกลางพายุทรายที่โหมกระหน่ำทหารที่ยืนคุ้มกันอยู่ต่างมีท่าทีลนลานเนื่องจากไม่สามารถมองเห็นคู่ต่อสู้ได้ ชั่วครู่หนึ่งก็มีเสียงทหารสองคนร้องขึ้นพร้อมกัน พอทุกคนหันไปมอง ก็เห็นมีร่างหนึ่งเข้ามาโฉบเอาตัวกงซุนเช่อออกไปอย่างรวดเร็ว “ฟลุบ” ทหารสองคนที่เมื่อครู่นี้คุมตัวกงซุนเช่ออยู่ล้มลงไปกองกับพื้น พวกทหารที่เหลือต่างก็พากันขวัญหนีดีฝ่อ เกิดตกใจจนชุลมุนไปหมด
“หันจุ้นทำอะไรสักอย่างสิ ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกัน” อ๋าวเทียนลี่เหลือบตามองซ้ายขวา เมื่อมองไม่เห็นศัตรูก็เริ่มตื่นกลัว
“รึว่าจะเป็น...” หันจุ้นทำท่าคิด
“ใคร... ใคร...” พวกทหารต่างพากันลุ้นรอหันจุ้นเอ่ยชื่อชายผู้นี้ออกมา
“เทพมังกร”
“ชี”
“เส้า”
“เฟย” พอหันจุ้นพูดจบ ชีเส้าเฟยก็ยืนถือกระบี่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าทุกคน พวกทหารต่างพากันอกสั่นขวัญแขน มือสั่นจนอาวุธที่ถืออยู่ชนกันเอง
“หัวหน้าใหญ่” ลู่เสี่ยวฟงเองพอเห็นชีเส้าเฟยก็ดีใจ แต่ใบหน้าของเขาตอนนี้ดูซีดเผือดเนื่องจากพิษเริ่มออกอาการ
“หงเผา คุณชายลู่ถูกพิษงั้นหรือ” ชีเส้าเฟยหันไปถามอ้อมหมิงเจิ้งที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“ใช่แล้วหัวหน้าใหญ่ อ๋าวเทียนลี่บอกว่าเป็นพิษอ๋าวจื่อเอี้ยนที่พ่อมันคิดขึ้น”
“เลวมาก กล้าใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ทำร้ายพี่น้องข้า” ชีเส้าเฟยโกรธจนตาแดงกร่ำ มือของเขากำกระบี่เอาไว้แน่น
“หงเผาเจ้าพยายามชิงตัวคุณชายลู่มาให้ได้นะ ส่วนข้าจะไปจัดการกับเจ้าคนโฉดนั่นเอง ลุยยยย!!!” ว่าแล้วทั้งคู่ก็ไม่รอช้าเปิดศึกบุกโจมตีพวกทหารอย่างไม่คิดชีวิต เดินเข้ามาหนึ่งก็ล้มไปหนึ่ง เดินเข้ามาสองก็ล้มไปสอง ทุกก้าวที่ชีเส้าเฟยเหยียบย่าง พวกทหารก็ค่อยๆ ล้มลงไปทีละคนสองคน เมื่ออ้อมหมิงเจิ้งเห็นจังหวะเหมาะจึงใช้วิชาตัวเบาเหาะเข้าไปโฉบตัวลู่เสี่ยวฟงออกมาได้สำเร็จ ฝ่ายหันจุ้นกับพวกทหารที่เหลืออยู่ก็ชุลมุนกับการป้องกันอ๋าวเทียนลี่ที่ตอนนี้กลัวจนสั่นไปทั้งตัว
“เจ้าอย่าเข้ามานะ ไม่งั้นพ่อของข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่” อ๋าวเทียนลี่ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่าทหารรอบๆ ตนเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ชีเส้าเฟยไม่สนใจคำพูดขู่ เขาบุกไปกระชากตัวอ๋าวเทียนลี่ออกมาได้อย่างง่ายดาย ส่วนหันจุ้นรู้ว่าฝีมือตัวเองสู้ชีเส้าเฟยไม่ได้ จึงผลักทหารที่ยืนอยู่ข้างหน้าตนไปรับคมกระบี่แทน ฝ่ายชีเส้าเฟยที่จับตัวอ๋าวเทียนลี่ได้แล้วก็ไม่รอช้า เขารีบลากตัวอ๋าวเทียนลี่ฝ่าออกมาจากวงล้อมทันที

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ กระโจมหัวหน้าใหญ่ ค่ายเหลียนอิ๋น
“โครมมมม” เสียงอ๋าวเทียนลี่ถูกลูกถีบของอ้อมหมิงเจิ้งล้มไปฟาดเก้าอี้
“หงเผาใจเย็นๆ” ชีเส้าเฟยรีบเข้ามาห้าม
“คนชั่ว เจ้ารีบมอบยาถอนพิษมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ก็ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่มีจริงๆ”
“ไม่มีได้ยังไง เมื่อครู่นี้เจ้ายังปากดีอยู่เลย บอกว่าพ่อของเจ้าเป็นคนปรุงยาพิษนี่ขึ้น ถ้าหากเจ้าไม่มี แล้วใครจะมี ห๊ะ”
“ก็ตอนที่ข้าขโมยมา ก็เอามาแต่ยาพิษ ยาถอนข้าไม่ได้เอามาด้วยนี่หน่า พิษนี้จริงๆ เป็นพิษอะไรข้าก็ยังไม่รู้เลย เมื่อกี๊ข้าแค่พูดสงเดชไปเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าพูดความจริงแล้วนะ เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ” อ๋าวเทียนลี่รีบคลานเข้ามาเกาะขาชีเส้าเฟย
“นี่เจ้า!!!” หงเผาได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“ลูกอสรพิษยังไงก็เป็นอสรพิษวันยังค่ำ วันนี้ถ้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าไม่หายแค้นแน่” หงเผาง้างกระบี่เตรียมที่จะลงมือ จังหวะนั้นเองที่กงซุนเช่อเดินออกมาพอดี ทำให้ทั้งสองหยุดชะงัก แล้ววิ่งเข้าไปหากงซุนเช่อ
“เป็นอย่างไรบ้างพี่รอง” ชีเส้าเฟยและอ้อมหมิงเจิ้งรีบสอบถามถึงอาการของลู่เสี่ยวฟง
“เฮ้อ” กงซุนเช่อได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วส่ายหัว ไม่มีคำตอบใดๆ จากเขา เมื่อเห็นเช่นนั้นหงเผาจึงรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของลู่เสี่ยวฟง

ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นดูคนที่เดินเข้ามา
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” อ้อมหมิงเจิ้งถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“อย่าห่วงเลย ข้าเจ็บน้อยกว่าตอนที่โดนเจ้าซัดกล่องดวงใจเสียอีก” ลู่เสี่ยวฟงตอบอย่างมีอารมณ์ขันแล้วยิ้มให้กับหญิงสาว
“ยังจะปากดีอีก ถ้าไม่เพราะช่วยข้า เจ้าคงไม่เป็นแบบนี้หรอก” อ้อมหมิงเจิ้งพูดด้วยความรู้สึกผิด เพราะคนที่ควรจะโดนอาวุธลับน่าจะเป็นนางมากกว่า
“แล้วเจ้าซาบซึ้งหรือเปล่าหล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้น ฝ่ายหญิงสาวก็ยิ้มรับแทนคำตอบ
“ดี งั้นต่อไปถ้าข้าหาเมียไม่ได้ เจ้าก็ต้องอยู่ดูแลข้าไปชั่วชีวิตนะ คอยป้อนข้าวให้ข้า อาบน้ำให้ข้า เช็ดตัวให้ข้า และก็แต่งตัวให้ข้าด้วย” ลู่เสี่ยวฟงทำหน้าตาทะเล้นใส่หญิงสาว
“บ้าหรือไง ใครจะอาบน้ำให้เจ้ากัน” หญิงสาวโวยวาย นางรู้ว่าลู่เสี่ยวฟงเป็นคนขี้เล่น แม้ยามที่หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ก็ยังมีอารมณ์ขัน
“เอาหล่ะ เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปคุยกับหัวหน้าใหญ่นะ” ว่าแล้วหงเผาก็ยกผ้าห่มมาคลุมให้คนที่นอนอยู่ แล้วอยู่ๆ ลู่เสี่ยวฟงก็ชี้ไปที่แก้มของตนเอง
“ไปเป็นไรไป เจ็บตรงนั้นงั้นเหรอ” อ้อมหมิงเจิ้งทำหน้างง ส่วนลู่เสี่ยวฟงก็ยังไม่เลิกชี้ไปที่แก้มของตน พร้อมกับทำแก้มป่องๆ ด้วย
“อะไรของเจ้า เป็นอะไรก็บอกมาซิ”
“นี่ ไม่หอมแก้มให้กำลังใจข้าหน่อยเหรอ ข้าอุตส่าห์เสี่ยงตายช่วยเจ้านะ” คนพูดทำหน้าทะเล้น
“ประสาทททท” หงเผาตีไปที่ไหล่ของเขาเบาๆ ลู่เสี่ยวฟงทำท่าเจ็บนิดนึงแล้วก็หัวเราะที่สามารถแกล้งหญิงสาวได้ ดูเหมือนการได้แหย่หัวหน้าสามของค่ายเหลียนอิ๋นจะกลายเป็นกิจวัตรของลู่เสี่ยวฟงไปซะแล้ว หากวันไหนไม่ได้แกล้งนาง เขาคงจะนอนไม่หลับเลยทีเดียว

อ้อมหมิงเจิ้งเดินออกมาหาชีเส้าเฟยและกงซุนเช่อที่กำลังหารือกันอยู่
“ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือช่วยหัวหน้าสี่ให้ได้ก่อน” ชีเส้าเฟยพูดแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ใบหน้าเขาเหมือนมีแผนบางอย่างอยู่ในใจ
“หัวหน้าใหญ่ ท่านคิดจะทำอย่างไร” อ้อมหมิงเจิ้งเดินเข้ามาถามพอดี ชีเส้าเฟยนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ไปเมืองหลวง”
“ไปเมืองหลวง!!!” ทั้งกงซุนเช่อและอ้อมหมิงเจิ้งต่างก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
“อย่าบอกนะว่าท่านคิดจะไปเอายาถอนพิษกับอ๋าวป้าย” อ้อมหมิงเจิ้งรีบเดินเข้ามาถามชีเส้าเฟย
“ในเมื่อพิษมาจากที่นั่น ยาถอนพิษก็อยู่ที่นั่น แล้วยังต้องคิดอะไรมากอีก” ชายหนุ่มอธิบาย
“ไม่ได้ แบบนี้เสี่ยงเกินไป ถ้าไปเมืองหลวงก็เท่ากับว่าพวกเราเดินเข้าแดนประหารไปแล้วครึ่งหนึ่ง ข้าไม่เห็นด้วย” อ้อมหมิงเจิ้งรีบคัดค้าน
“งั้นเจ้าบอกมาสิ ว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไหม” ชีเส้าเฟยย้อนถามหญิงสาวด้วยสีหน้าเครียด
“แต่ที่หัวหน้าสามพูดก็มีเหตุผลนะ ท่านไปเมืองหลวงตอนนี้ก็ไม่ประโยชน์อะไรหรอก” กงซุนเช่อเดินเข้ามาสมทบกับอ้อมหมิงเจิ้งอีกคน จากนั้นเขาก็อธิบายต่อไปว่า
“ตอนนี้อาการของลู่เสี่ยวฟงไม่สู้ดีนัก หากท่านเดินทางไปกลับเมืองหลวงก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 14 วัน ถึงตอนนั้นต่อให้ได้ยาถอนพิษมา ก็อาจจะสายเกินไปเสียแล้ว” เมื่อสิ้นคำพูดของกงซุนเช่อ ทั้งสามก็เงียบสนิท แต่ละคนต่างพากันคิดวิธีที่จะสามารถช่วยชีวิตลู่เสี่ยวฟงให้ได้
“หรือพวกเราหมดหนทางแล้วจริงๆ” อ้อมหมิงเจิ้งพูดกับตัวเองเบาๆ
“จะว่าไปแล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัย แต่ว่า... ข้าไม่แน่ใจ...” กงซุนเช่อพูดขึ้นมา ตัดกับบบรยากาศความเงียบภายในห้อง ทำให้ทั้งชีเส้าเฟยและอ้อมหมิงเจิ้งหันมามองด้วยแววตาแห่งความหวังในทันที
“ท่านสงสัยเรื่องอะไรพี่รอง”
“เฮ้ออออ...” กงซุนเช่อมองหน้าชีเส้าเฟยแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงข้า”
“อืม” กงซุนเช่อพยักหน้ารับ แต่แววตาของเขาดูมีความกังวลอยู่มาก เหมือนกับไม่อยากเสนอให้ใช้วิธีนี้เลย
“พี่รอง ตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมากแล้ว หากมีหนทางใดที่พอจะช่วยหัวหน้าสี่ได้ ข้าก็ยินดี” ชีเส้าเฟยรบเร้ากงซุนเช่อให้รีบบอกวิธีด้วยความร้อนใจ
“พี่รองท่านพูดมาเถอะ” อ้อมหมิงเจิ้งก็ช่วยพูดด้วยอีกคน ตอนนี้คงไม่มีใครเป็นห่วงลู่เสี่ยวฟงมากไปกว่านางอีกแล้ว
“เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่า อ๋าวเทียนลี่ขโมยพิษมาจากในจวนเสนาใช่หรือไม่” กงซุนเช่อเริ่มเปิดประเด็น
“ใช่” ทั้งชีเส้าเฟยและอ้อมหมิงตอบขึ้นมาพร้อมกัน
“เขาเองก็ไม่รู้ใช่ไหมว่าพิษที่ตนขโมยมาคือพิษอะไร” กงซุนเช่อซักต่อ
“อื้ม” ชีเส้าเฟยและอ้อมหมิงเจิ้งพยักหน้ารับ
“ดูจากอาการก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นพิษที่ใช้ในการทหาร”
“พิษที่ใช้ในการทหารงั้นเหรอ?” ทั้งสองถามขึ้นมาพร้อมกัน
“ถูกต้องแล้ว หากเป็นพิษที่ใช้ในการทหาร เราก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงเมืองหลวงเพื่อหายาถอนหรอก เพียงแต่ว่า...” พอพูดถึงตรงนี้กงซุนเช่อก็ดูอ้ำอึ้งที่จะอธิบายต่อไป
“เพียงแต่ว่า ค่ายทหารที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ ค่ายทหารของแม่ทัพหลินเซียง ท่านจึงไม่อยากให้ข้าต้องลำบากใจใช่ไหมพี่รอง” เมื่อชีเส้าเฟยเริ่มเดาเหตุการณ์ออก เขาจึงอธิบายเรื่องราวต่อจนจบ
“แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ข้าเองก็ยังไม่มั่นใจ บางทีเราอาจจะไปเสียเที่ยวก็ได้” กงซุนเช่อพยายามชี้แจงเหตุผลต่อ
“แต่ข้าอยากจะลองเสี่ยงดู” ชีเส้าเฟยยืนกราน
“หัวหน้าใหญ่ ท่านคิดดีแล้วนะ” กงซุนเช่อถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“อืม” ชีเส้าเฟยพยักหน้า แววตาของเขาดูมีความกังวลอยู่ไม่น้อย 14 ปีเต็มแล้วที่เขาจากที่นั่นมา ป่านนี้ไม่รู้ว่าทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง แม่ทัพหลินเซียงจะหายโกรธเขาหรือยัง ความรู้สึกในวันที่เขาถูกเนรเทศออกมายังคงชัดเจนเหมือนกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่หากหนทางนี้จะสามารถช่วยลู่เสี่ยวฟงได้ เขาก็ยินดีจะลองเสี่ยงดู

ชีเส้าเฟย กงซุนเช่อและอ้อมหมิงเจิ้งเตรียมการเพื่อออกเดินทางไปยังค่ายแม่ทัพหลินเซียง พวกเขาพาลู่เสี่ยวฟงที่กำลังซมเพราะพิษบาดแผลไปด้วย โดยวางแผนไว้ว่าหากไม่สามารถหายาถอนพิษได้ จะเดินทางต่อไปที่เมืองหลวงโดยทันที อ้อมหมิงเจิ้งไม่ลืมที่จะลากเอาอ๋าวเทียนลี่ไปด้วย เผื่อเอาไว้ใช้เป็นตัวประกันในยามฉุกเฉิน ชีเส้าเฟยสั่งให้พี่น้องที่เหลืออยู่กระจายตัวกันไปตามหมู่บ้าน ทิ้งค่ายเหลียนอิ๋นไว้เป็นเมืองร้าง หากพวกคนของทางการย้อนกลับมาเล่นงาน จะได้ไม่มีใครต้องเดือดร้อน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ ค่ายแม่ทัพหลินเซียง
“ข้าไม่แต่ง ตีข้าให้ตาย ข้าก็ไม่แต่ง!!!” เสียงหญิงสาวโวยวาย พอพูดจบก็ทำท่าจะเดินหนีออกไป
“หยุดนะ หลินกุเหนียง พ่อบอกให้หยุด!!!” คนเป็นพ่อทุบโต๊ะเสียงดังและลุกขึ้นยืนสั่นด้วยความโกรธ
“พี่หลินชงช่วยข้าด้วย” เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบิดาโกรธ หญิงสาวก็เดินไปหลบหลังพี่ชายและขอร้องให้เขาช่วย
“ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น นี่คือรับสั่งขององค์ไทเฮา รู้ไหมว่าตัวเองโชคดีมากแค่ไหนที่มีโอกาสได้เข้าชิงตำแหน่งฮองเฮา”
“แต่ข้าไม่อยากเป็นนี่”
“ไม่อยากเป็น ก็ต้องเป็น มะรืนนี้วังหลวงจะส่งคนมารับเจ้าเข้าวังแล้ว” คนเป็นพ่อดุเสียงดัง
“ไม่นะท่านพ่อ ข้าไม่ไป” นางยืนกรานไม่ยอม
“เจ้าไม่ไป หรือจะให้พ่อไปหรือไง” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าบูดบึ้ง แล้วอยู่ๆ ก็นึกแผนอะไรบางอย่างออก จึงเดินไปลากคนใช้คนหนึ่งเข้ามาในห้อง
“เอางี้สิท่านพ่อ ท่านก็ส่งหย่งอี้ไปแทนข้านะ บอกไทเฮาว่านางเป็นลูกบุณธรรมของท่าน นางสวยกว่าข้าตั้งเยอะ ฮ่องเต้เห็นต้องพอพระทัยแน่ๆ” หญิงสาวเสนอ ส่วนสาวใช้ก็ได้แต่ทำหน้างงๆ
“เหลวไหล!!! แต่งตั้งฮองเฮานะ ไม่ใช่เล่นขายของ จะมาโยนให้คนโน้นคนนี้ได้ยังไงกัน หากเจ้ายังไม่เลิกพูดจาเหลวไหลอีกหล่ะก็ อย่าหาว่าพ่อใจร้ายนะ” ตอนนี้คนเป็นพ่อเริ่มจะหมดความอดแล้ว
“ทำไม ท่านพ่อจะตีข้าให้ตายงั้นเหรอ ก็ดี ถ้าตีข้าตายแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องแต่งกับฮ่องเต้ปัญญาอ่อนนั่น” หญิงสาวพูดจบแล้วก็เดินสะบัดออกไปทันที
“นี่เจ้า” คนเป็นพ่อที่ดูเหมือนไม่ค่อยแข็งแรงโกรธจนเซล้มลงไป
“ท่านแม่ทัพ / ท่านพ่อ” ทหารคนสนิทและบุตรชายพากันเข้ามาประคองแม่ทัพหลินเซียงให้นั่งลงบนเก้าอี้
“พ่อไม่เป็นไร เจ้าตามไปดูน้องเถอะ” แม่ทัพโบกมือว่าเขาไม่เป็นไร แล้วก็สั่งให้หลินชงตามไปดูบุตรสาว

หญิงสาวมานั่งหน้าตาบูดบึ้งอยู่ที่ริมน้ำ พอคว้าก้อนหินได้ ก็เขวี้ยงลงบ่อด้วยความโกรธ หลินชงเห็นเช่นนั้นก็เดินมานั่งข้างๆ หญิงสาว
“ตามมาทำไม เมื่อกี๊ไม่เห็นช่วยข้าพูดเลย” หญิงสาวพูดจาตัดพ้อ
“พูดไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร ไทเฮาทรงมีราชโองการแล้ว มะรืนนี้วังหลวงก็จะส่งคนมารับเจ้าแล้วด้วย เว้นแต่เจ้าหายตัวไปตอนนี้เท่านั้นแหละ ถึงจะไม่ต้องแต่ง” ชายหนุ่มอธิบาย
“พี่หลินชง แต่ข้าไม่อยากแต่งกับฮ่องเต้จริงๆ นะ” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็หันมาเกาะแขนและทำหน้าอ้อนๆ ใส่พี่ชาย
“นี่กุกุ ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมเจ้าต้องไม่ชอบฮ่องเต้ด้วย จะว่าไปแล้วเขาก็เป็นคนดีนะ”
“เป็นคนดีเหรอ พี่ชงท่านลองเดินไปในตลาดตอนนี้สิ มีใครชอบเขาบ้าง ฮ่องเต้ปัญญาอ่อนปล่อยให้ขุนนางโฉดบงการแบบเนี้ย ข้าไม่แต่งด้วยหรอก”
“แต่ข้าว่าที่เจ้าไม่ชอบเขา เพราะว่า เขาจ้องเล่นงานชายในดวงใจของเจ้าซะมากกว่าหล่ะม๊าง” หลินชงทำท่ารู้ทันน้องสาวตัวเอง
“พี่หลินชง ท่านพูดอะไร ชายในดวงใจอะไรกัน” หลินกุเหนียงหันหน้าไปทางอื่นแล้วทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“หรือว่าไม่จริง พอเจ้าโตเป็นสาวก็มีลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้มาทาบทามไม่ได้ขาดสาย แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเหลียวมองคนไหนเลย หรือว่าเจ้าจะรอเขา...”
“ใครว่าหล่ะ เป็นเพราะว่าพี่ชายของข้าเพรียบพร้อมที่สุดต่างหาก ข้าถึงไม่เหลียวมองใคร หากมีใครที่คุณสมบัติทัดเทียมกับพี่ชายของข้าหล่ะก็ ข้าจะต้องแต่งกับเขาอย่างแน่นอน” หญิงสาวรีบเฉไฉไปเรื่องอื่น
“นี่ อย่าหาว่าพี่พูดแทงใจเจ้าเลยนะ ต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นฮองเฮา เจ้ากับเขาก็ไม่มีวันเป็นไปได้หรอก เจ้าก็รู้ว่ายังไงท่านพ่อก็ไม่มีทางยอม” หลินชงหันมาพูดกับน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้ารู้น่า ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่แต่งกับใครก็ได้ แต่ให้ข้าแต่งกับฮ่องเต้คนนี้ ถึงตายข้าก็ไม่ยอม” พอวกกลับมาเรื่องเดิม ก็ทำให้หญิงสาวอารมณ์เสียขึ้นมาอีก ชายหนุ่มจึงได้แต่ส่ายหัวในความดื้อรั้นของน้องสาวตนเอง
“เอาหล่ะ นี่ก็เย็นมากแล้ว มีอะไรกลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ เดี๋ยวคนที่ค่ายจะเป็นห่วง” หลินชงพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ข้าขอนั่งอยู่นี่คนเดียวสักพักได้ไหม” หญิงสาวนั่งนิ่ง ทอดสายตาไปไกล
“ตามใจ อย่ากลับมืดนักหล่ะ” คนเป็นพี่ชายเห็นน้องสาวกำลังสับสน จึงไม่อยากขัดใจ ปล่อยให้นางได้คิดอะไรสักพัก กลับไปบ้านก็คงจะอารมณ์ดีขึ้นเอง
“อื้ม” นางพยักหน้ารับเบาๆ

เมื่อหลินชงเดินจากไป หญิงสาวก็หยิบห่อผ้าเล็กๆ ขึ้นมาดู มันเป็นห่อผ้าที่บิดาของนางได้มอบไว้ให้ นางมองไปที่ห่อผ้านั้นแล้วก็มีน้ำตาคลอๆ
“ท่านพ่อ ทำไมท่านต้องบังคับข้าด้วย ข้าไม่อยากแต่งกับเขา” ว่าแล้วนางก็โยนห่อผ้านั้นลงน้ำไป แต่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า
“ตายแล้ว ในนั้นมีก้อนหินโชคดีที่พี่เส้าเฟยเคยมอบไว้ให้นี่หน่า” หลินกุเหนียงเดินวนไปมาอยู่ริมสระน้ำ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจกระโดดลงไปเพื่อเก็บห่อผ้านั้นขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่ร่างของนางจะสัมผัสถึงพื้นน้ำ ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่ม (หน้าตาดี) โฉบเข้ามาคว้าร่างของนางเอาไว้ หญิงสาวจึงร้องออกมาด้วยความตกใจ
“แม่นาง เจ้าอย่าคิดสั้นนะ” เมื่อคว้าตัวหญิงสาวได้ ชายแปลกหน้าก็ไม่ยอมวางนางลง
“จะบ้าเหรอ ใครคิดสั้น ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้” หญิงสาวโวยวาย
“ไม่ปล่อย ขืนข้าปล่อย เดี๋ยวเจ้าก็โดดลงไปอีก” ชายหนุ่มทำหน้าไม่เชื่อ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้คิดสั้น ปล่อยข้านะ” หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของเขา
“ปล่อยก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่โดดลงไปอีก” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ
“ก็ปล่อยข้าก่อนสิ”
“ไม่ได้ สัญญามาก่อน”
“ปล่อยนะ”
“สัญญามาสิ”
“ทำไมข้าต้องสัญญาด้วย ก็ของข้าตกลงไป ข้าจะลงไปเก็บ มันเรื่องอะไรของท่านเล่า” หญิงสาวเริ่มหมดความอดทน ยิ่งนางฝืนดิ้นรนมากเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งจับนางไว้แน่นยิ่งขึ้น
“หา นี่เจ้าจะลงไปเก็บของงั้นเหรอ”
“ก็ใช่หน่ะสิ ทีนี้ปล่อยข้าได้หรือยัง” หญิงสาวมองเขาแบบค้อนๆ
“ไม่ได้ เจ้าหลอกข้าใช่ไหม พอข้าปล่อย เจ้าก็จะกระโดดลงไปอีก” ทีแรกชายหนุ่มทำท่าจะเชื่อแล้ว แต่พอคิดดูอีกที นี่อาจจะเป็นอุบายของนางก็ได้
“โอ๊ยบ้าไปกันใหญ่แล้ว ถ้าเจ้าไม่ปล่อยข้า ข้าจะร้องแล้วนะ” หญิงสาวทั้งดิ้นทั้งสะบัดอย่างสุดแรง เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จก็ร้องโวยวายเสียงดัง
“อยากร้องก็เชิญเลย”
“โอ๊ยยยยย ช่วยด้วยๆ มีคนร้ายๆ เขาจะขืนใจข้า โจรปล้นสวาทจะขืนใจข้า ช่วยด้วยๆ” ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบวางหญิงสาวลงแทบไม่ทัน เกรงว่าชาวบ้านแถวนั้นจะแห่กันมาเพราะเข้าใจผิด
“เฮ๊ยยยย แม่นางข้าช่วยเจ้า ทำไมต้องใส่ความข้าเช่นนี้ด้วย”
“ก็ใครให้เจ้าเสนอหน้ามายุ่งเรื่องคนอื่นเล่า” หญิงสาวยิ้มเยาะอย่างมีชัยที่สามารถเอาชนะชายแปลกหน้าได้
“ข้าหวังดี เห็นเจ้าอายุยังน้อย ไม่อยากให้เอาชีวิตไปทิ้งในแม่น้ำนี่” ชายหนุ่มหน้าเข้มตอบเสียงดุ
“ก็ข้าบอกแล้วไง ว่าไม่ได้ฆ่าตัวตาย...”
“แย่แล้ว ถุงผ้าหล่ะ...” ขณะที่กำลังยืนเถียงกันอยู่ หลินกุเหนียงก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถุงผ้ายังอยู่ในแม่น้ำ
“ถุงผ้าอะไรหรือแม่นาง” ชายหนุ่มเดินเข้ามาถาม
“ถุงผ้าที่พ่อข้าให้ไว้ ตกลงไปเมื่อกี๊” หลินกุเหนียงก็ชี้ไปที่แม่น้ำ
“นี่เจ้าไม่หลอกข้างั้นหรือ”
“ก็ไม่ได้หลอกนะสิ คอยดูนะ ถ้าถุงผ้าของข้าหายไปหล่ะก็ ข้าจะเอาเรื่องท่านให้ถึงที่สุดเลย” หญิงสาวหันมาทำหน้ามุ่ยใส่ชายหนุ่ม แล้วก็ทำท่าจะกระโดดลงไปอีก
“เดี๋ยวววว นี่เจ้าจะลงไปจริงๆ เหรอ” ชายหนุ่มคว้าแขนของนางไว้
“ก็จริงหน่ะสิ”
“ในเมื่อข้าเป็นต้นเหตุ งั้นข้าจะลงไปเก็บให้เจ้าเอง” ชายหนุ่มไม่รอช้า เขามองหน้าหญิงสาว แล้วก็กระโดดลงน้ำไปทันที หลินกุเหนียงได้แต่ยืนอึ้ง นางเองก็ตกใจไม่น้อย ที่เห็นชายหนุ่มผู้นี้มอบไมตรีให้นาง
“นี่แม่นาง เจ้าทำตกไปตรงไหนหล่ะ” ชายหนุ่มที่ลอยตัวอยู่ในน้ำตะโกนขึ้นมาถาม
“แม่นาง ได้ยินที่ข้าถามหรือเปล่า ของเจ้าตกไปตรงไหน” เมื่อเห็นหญิงสาวยืนนิ่ง ชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้นมาถามอีกครั้ง
“อ้อ... ตรงนั้นแหละ...” หญิงสาวทำมือชี้ไปตรงด้านหน้าของชายหนุ่ม
“ตรงนี้ใช่ไหม” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ดำน้ำหายไปครู่หนึ่ง หลินกุเหนียงเห็นเขาดำหายลงไปนาน ก็ชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วง
“ได้แล้ว ใช่อันนี้ไหม” ชายหนุ่มโผล่ขึ้นมาจากน้ำแล้วชูถุงผ้าสีแดงขึ้น
“อื้อ” หญิงสาวพยักหน้ารับ ชายหนุ่มจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นมาจากน้ำ
“อ่ะนี่ของแม่นาง ข้าคืนให้” ชายหนุ่มที่ตอนนี้ร่างกายเปียกปอนไปหมดยื่นถุงผ้าคืนให้นาง
“ขอบคุณนะ ท่าน... เอ่อ...” หญิงสาวเว้นช่วงให้ชายหนุ่มแนะนำตัวเองนิดนึง แต่ดูเหมือนว่า เขาจะไม่อยากเปิดเผยตัวสักเท่าไหร่
“เมื่อกี๊ข้าต้องขอโทษด้วยนะ ที่เข้าใจแม่นางผิดไป ข้าเห็นเจ้าร้องไห้ เดินวนไปวนมาอยู่ริมน้ำ แล้วก็กระโดดลงไป เลยนึกว่าเจ้า...”
“นึกว่าข้าจะฆ่าตัวตายงั้นเหรอ” หลินกุเหนียงหัวเราะ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มอายๆ ในความเปิ่นของตน
“งั้น ข้าขอตัวก่อนนะ ข้ามีธุระต้องไปทำ” ชายหนุ่มกล่าวลาแก้เขิน ว่าแล้วก็เดินไปที่ม้าสีน้ำตาลซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
“ท่านจอมยุทธ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเหลือ” หลินกุเหนียงตะโกนไล่หลังเขาไป
“อืม หวังว่าเจอกันคราวหน้า เจ้าคงไม่มาเดินแถวริมน้ำอีกนะ” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ควบม้าจากไป หญิงสาวยืนยิ้มกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอก้มลงมองห่อผ้า ก็มีสีหน้าที่เศร้าสลดลงไปอีก
“ไม่ว่ายังไง ข้าก็จะไม่แต่ง”...




Create Date : 29 ธันวาคม 2551
Last Update : 19 มีนาคม 2560 0:30:21 น. 0 comments
Counter : 482 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.