แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 25 ตอนสำคัญ

Viewer Discretion is advised.

ความเดิมจากตอนที่แล้ว


องครักษ์หลินถูกชีเส้าเฟยจับได้จึงพยายามหลบหนี แต่ชีเส้าเฟยใช้วิชาตัวเบาโฉบไปเกี่ยวหลังนางไว้ได้ทัน คราวนี้หญิงสาวดิ้นหนักกว่าเดิม เรื่องอะไรจะยอมให้จับง่ายๆ
"ตุบ" ระหว่างที่นางกำลังดิ้นรนอยู่นั้นก็ทำก้อนหินก้อนหนึ่งตกออกจากเสื้อ
"ไอ้เปี๊ยก วิ่งเร็วเหมือนกันนี่ กล้าลูกไม้กับข้าเหรอ เดี๋ยวซัดเปรี้ยงเลย" ลู่เสี่ยวฟงวิ่งมาถึงก็ง้างมือขึ้นสูง ตั้งท่าจะซัดคนตรงหน้า
"ช้าก่อน!!!" ชีเส้าเฟยก้มลงดูก้อนหินก้อนนั้นแล้วรีบห้ามเขา
"มีอะไรหรือหัวหน้าใหญ่" ลู่เสี่ยวฟงทำหน้าสงสัย หลินกุเหนียงที่กำลังหลับตาปี๋ก็ค่อยๆ หรี่ตาขึ้นดู
"หินก้อนนี้เจ้าได้มาอย่างไร" ชีเส้าเฟยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
"ก้อนหินโชคดีของข้า เอาคืนมานะ" หลินกุเหนียงพอเห็นว่าก้อนหินของตนอยู่ในมือชายแปลกหน้าก็รีบยื้อแย่ง
"ตอบมาก่อนเจ้าได้มันมาได้อย่างไร" ชีเส้าเฟยยังคงยืนกรานให้เขาตอบคำถาม
"ไม่ตอบ! ของๆ ข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า" หลินกุเหนียงกัดฟันแน่น
"โกหก ก้อนหินโชคดีก้อนนี้ ข้าให้น้องกุกุไว้ เจ้าได้มายังไง เจ้ารู้จักนางงั้นเหรอ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน" ชีเส้าเฟยกำแขนหลินกุเหนียงแน่น

ฝ่ายหลินกุเหนียง พอได้ยินชีเส้าเฟยพูดเช่นนั้น ก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง อะไรนะ ท่านให้หินก้อนนี้กับข้างั้นหรือ หรือว่าท่านคือ...

คราวนี้หญิงสาวจ้องใบหน้าของชีเส้าเฟยตาไม่กระพริบ คุณพระช่วย!!! ใช่เขาจริงๆ ด้วย!!!

"พี่เส้าเฟย!!!"

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

"เจ้ารู้จักข้างั้นหรือ" ชีเส้าเฟยจ้ององครักษ์ร่างเล็กด้วยความสงสัย เขาไม่เคยรู้จักพวกคนในราชสำนักมาก่อน
"นี่ข้าเอง กุกุไง!!!" ชีเส้าเฟยขมวดคิ้วแน่น เล่นตลกอะไรกันนี่ จะเป็นกุกุได้อย่างไร หลินกุเหนียงนางเป็นผู้หญิง เจ้าทหารองครักษ์คนนี้ต้องมีแผนการณ์อะไรอีกแน่ๆ
"พี่เส้าเฟยจำข้าไม่ได้เหรอ ดูให้ดีๆ สิ" หญิงสาวพยายามยื่นหน้าไปให้เขาดูใกล้ๆ ลู่เสี่ยวฟงเองก็ยื่นหน้าเข้ามาดูด้วยอีกคน
"กุกุ!!!" พอนึกขึ้นได้ชีเส้าเฟยก็ตกใจจนแทบกระโดด
"ใช่แล้ว" หลินกุเหนียงแกะผมที่มวยไว้ออก ผมของนางปลิวสลวยสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามา ลู่เสี่ยวฟงเห็นเป็นภาพสโลวโมชั่น โอววว นางเป็นสตรีจริงๆ ด้วย แถมขาวสวยหมวยเอ๊กซ์อีกต่างหาก
"แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร" ชีเส้าเฟยยังตกใจไม่เลิก
"เรื่องมันยาวหน่ะ" หลินกุเหนียงเกาหัวแกรกๆ
"เจ้ารู้ไหมว่าท่านแม่ทัพเป็นห่วงเจ้ามากเลย" ชีเส้าเฟยอดตำหนิหญิงสาวไม่ได้ เล่นหนีออกมาจากบ้านแบบนี้ ที่ค่ายแม่ทัพหลินเซียงหากันให้วุ่น
"เอ๊ะ! แล้วพี่รู้เรื่องท่านพ่อได้อย่างไร พี่พบท่านหรือ" หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ เพราะชีเส้าเฟยไม่เคยเหยียบเข้าค่ายมา 14 ปีแล้ว
"อืมใช่แล้วเรื่องมันยาวหน่ะ" ชีเส้าเฟยตอบ เรื่องของเขาก็ยาวไม่แพ้นางเหมือนกัน
"แล้วท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างคะ" หลินกุเหนียงเริ่มนึกห่วงผู้เป็นบิดาขึ้นมา นี่นางหนีออกจากบ้านมาเป็นเดือนแล้ว
"แม่ทัพหลินสุขภาพไม่ค่อยดี พอรู้ว่าเจ้าหายไปก็ยิ่งป่วยหนัก เจ้าคิดอย่างไรถึงได้หนีออกมาจากบ้านเช่นนี้" คนพูดทำหน้าดุ เขาเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง
"ก็ท่านพ่อจะบังคับให้ข้าแต่งงานนี่หน่า" หลินกุเหนียงทำหน้ามุ่ย
"แต่เจ้าก็ไม่ควรทำให้ทุกคนเป็นห่วง อย่างน้อยก็น่าจะส่งข่าวให้ที่ค่ายบ้าง"
"รู้แล้วๆ" หลินกุเหนียงทำหน้าเหมือนเด็กโดนดุ ชีเส้าเฟยช่างทำตัวเหมือนพี่ชายนางจริงๆ
"แฮ่มๆๆ หัวหน้าใหญ่ ท่านจะไม่แนะนำหน่อยหรือ" ลู่เสี่ยวฟงยืนเป็นประกอบอยู่นาน เลยขอแทรกซะหน่อย
"ออ โทษทีนะน้องสี่ แม่นางคนนี้คือหลินกุเหนียง บุตรสาวของแม่ทัพหลินเซียง" ชีเส้าเฟยผายมือไปที่หญิงสาว
"อ่อ... ที่แท้ก็นางนี่เองที่ทำให้ข้าต้องปลอมตัวเป็นผู้หญิงป่วยในตอนนั้น" ลู่เสี่ยวฟงนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยปลอมตัวเป็นลูกสาวแม่ทัพหลินเซียง เพื่อตบตาราชสำนัก
"ปลอมตัวอะไรกันเหรอคะ" หญิงสาวขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
"เอาไว้ข้าจะเล่าให้ฟังนะ กุกุนี่ลู่เสี่ยวฟง หัวหน้าสี่แห่งค่ายเหลียนอิ๋น" ชีเส้าเฟยแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" หญิงสาวยิ้ม
"ยินดีที่ได้รู้จักแม่นางหลินเช่นกัน" ลู่เสี่ยวฟงยิ้มกว้างยิ่งกว่า นัยตาหวานเยิ้ม (โรคเก่ากำเริบ)
"จริงสิ แล้วทำไมเจ้าถึงได้แต่งตัวเป็นผู้ชายแบบนี้หล่ะ" ชีเส้าเฟยมองชุดองครักษ์ของหลินกุเหนียงด้วยความสงสัย
"เอ่อ จะเริ่มเล่ายังไงดีหล่ะเนี่ย คืองี้ หลังจากข้าหนีออกจากค่ายแล้วก็เตร็ดเตร่ไปเรื่อยจนมาถึงเมืองหลวง วันหนึ่งข้าบังเอิญได้รู้จักกับฮ่องเต้ เขาให้ข้าเข้าวังหลวง แล้วก็ฝึกเป็นทหารองครักษ์อย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ" หลินกุเหนียงพยายามเล่าเรื่องของนางอย่างย่อที่สุด แต่กลับทำให้ชีเส้าเฟยสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
"เจ้าบังเอิญพบฮ่องเต้??? แล้วเขาก็ฝึกให้เจ้าเป็นองครักษ์???" ง่ายอย่างงั้นเชียว ชีเส้าเฟยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจสุดๆ หลินกุเหนียงก็พยักหน้ารับงึกๆ
"ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อเจ้าหนีออกจากค่ายมาเพราะไม่อยากแต่งงานกับเขา แล้วทำไมถึงได้ยอมมาเป็นองครักษ์ติดตามฮ่องเต้หล่ะ" ชีเส้าเฟยทำหน้างงสุดๆ
"นั่นสิแม่นางหลิน ความจริงวรยุทธของเจ้าก็ไม่ได้หวือหวา ทำไมฮ่องเต้ต้องอยากได้เจ้าเป็นองครักษ์ด้วย" ลู่เสี่ยวฟงร่วมสงสัยด้วยอีกคน
"ก็บอกแล้วว่าเรื่องมันยาววววว บังเอิญข้าดันไปได้ยินความลับของเขาเข้า ก็เลยตกกระไดพลอยโจนหน่ะสิ"
"ความลับอะไรงั้นหรือ" ชีเส้าเฟยกับลู่เสี่ยวฟงถามขึ้นพร้อมกัน
"ก็ความลับที่ว่าฮ่องเต้หน่ะตกหลงหลุมรักหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งแล้วก็จะพานางเข้าวัง ตอนนั้นข้าเป็นห่วงแม่นางคนนั้น เกรงว่านางจะได้รับอันตราย ข้าก็เลยตามนางเข้าวังไปด้วย" หลินกุเหนียงอธิบาย
"โอยแม่นางหลิน ข้ายิ่งงงใหญ่ ฮ่องเต้จะหลงรักสาวคนไหน ไม่ถือเป็นโชคดีของนางหรือ ทำไมเจ้าต้องไปสงสารนางด้วย" ลู่เสี่ยวฟงทำหน้ามึน
"เฮ้อออ พวกท่านหน่ะไม่รู้อะไร แม่นางเส่เยี่ยหน่ะน่าสงสารออก นอกจากนางจะกำพร้าและตาบอดแล้ว นางยังถูกบังคับให้ทำงานในหอคณิกาด้วย..." หลินกุเหนียงพูดยังไม่ทันจบประโยคดี ลู่เสี่ยวฟงกับชีเส้าเฟยก็ตกใจขึ้นมาพร้อมกัน
"เจ้า!!! เจ้าว่าอะไรนะ!!!!!! เส่เยี่ย!!!!!!!!!!!! นี่เจ้ากำลังพูดถึงเส่เยี่ยงั้นเหรอ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" ชีเส้าเฟยตาโตสุดขีด
"พี่เส้าเฟยนี่ท่านรู้จักแม่นางเส่เยี่ยเหรอ" คราวนี้หลินกุเหนียงเป็นฝ่ายตกใจบ้าง โลกคงไม่กลมขนาดนั้นหรอกม้าง
"แม่นางเส่เยี่ยที่เจ้าว่า นางตาบอดใช่ไหม" ชีเส้าเฟยสีหน้าเครียด
"อืมๆ" หลินกุเหนียงพยักหน้ารับ ชีเส้าเฟยกับลู่เสี่ยวฟงก็หันมามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อ
"หัวหน้าใหญ่ ท่านเอาภาพวาดออกมาให้นางดูสิ" ลู่เสี่ยวฟงเสนอความคิดขึ้น
"จริงด้วย" ชีเส้าเฟยรีบล้วงภาพวาดของมาจากอกเสื้อ
"เจ้าดูภาพนี้สิ ใช่นางหรือเปล่า" ชายหนุ่มลุ้นระทึก
"โอววววววว ใช่แล้ว เหมือนนางมากเลย" หลินกุเหนียงเห็นภาพวาดแล้วก็เบิกตากว้าง
"เชื่อเขาเลย ในที่สุดก็หานางพบ นี่หล่ะนะที่เขาว่า เดินหาจนรองเท้าสึก แต่ได้มาง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ" ลู่เสี่ยวฟงยินดีกับชีเส้าเฟย
"น้องหลินกุ แล้วตอนนี้เส่เยี่ยอยู่ที่ไหน" คนพูดกำไหล่ทั้งสองข้างของหลินกุเหนียง ในใจของเขามีความหวังขึ้นอีกครั้ง
"อยู่ในพระตำหนัก" หญิงสาวตอบ
"วังหลวงงั้นหรือ" ชายหนุ่มทำหน้าแปลกใจ
"อืมๆ" หญิงสาวพยักหน้าตาปริบๆ
"เดี๋ยวๆ พี่เส้าเฟย แม่นางเส่เยี่ยเป็นอะไรกับพี่งั้นหรือ" หลินกุเหนียงเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
"ก็นางในดวงใจของหัวหน้าใหญ่ยังไง" ลู่เสี่ยวฟงแซว
"หา!!!!!! ว่าอะไรนะ นางเป็นคนรักของพี่งั้นเหรออออ" คราวนี้หลินกุเหนียงตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า ก็นางเป็นแม่สื่อให้ฮ่องเต้กับเส่เยี่ยอยู่นี่หน่า
"น้องสี่ เจ้าอย่าพูดเหลวไหลสิ ไม่ใช่หรอก ความจริงนางเป็นบุตรสาวของสหายข้าหน่ะ หลังจากพ่อนางตาย ข้าก็เป็นคนดูแลนาง แต่ว่าเราเกิดพลัดหลงกัน" ชีเส้าเฟยอธิบาย
"ออ ที่แท้เรื่องของนางเป็นเช่นนี้นี่เอง" หลินกุเหนียงพยักหน้า ที่จริงนางก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเส่เยี่ยเท่าไหร่ เจ้าตัวก็เป็นคนพูดน้อยเสียเหลือเกิน
"นี่กุกุ เจ้าพาข้าไปพบนางได้ไหม" คนพูดดวงตาเป็นประกาย
"หา ว่าไงนะ จะให้ข้าพาท่านไปพบนางเหรอ อือๆ ไม่ได้หรอก พาคนนอกเข้าวังหลวง มีหวังข้าหัวหลุดจากบ่าแน่ๆ" หลินกุเหนียงทำท่าเสียวไส้
"แม่นางหลิน เจ้ากล้าหนีงานอภิเษก แถมยังปลอมเป็นองครักษ์อีก ทำไมถึงเพิ่งมากลัวตายเอาตอนนี้" ลู่เสี่ยวฟงทำหน้าเจ้าเล่ห์
"มันไม่เหมือนกันนะ ตอนนี้ข้ามีหน้าที่เป็นองครักษ์ ถ้าพาคนนอกเข้าไปแล้วถูกจับได้ จะพากันตายหมด อีกอย่างวันนี้ข้าก็ไม่ได้มาคนเดียวด้วย เอางี้แล้วกันพี่เส้าเฟย ท่านมีข้อความอะไร ก็ฝากข้ามา ข้าจะไปบอกกับแม่นางเส่เยี่ยให้ก็แล้วกันนะ" หญิงสาวเสนอ
"เจ้าไม่เข้าใจ ข้าไม่ได้อยากบอกอะไรกับนาง แต่ข้าต้องพานางออกมา" ชีเส้าเฟยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
"หา!!! ท่านว่าไงนะ จะพานางออกมา ไม่ได้นะไม่ได้!!! ท่านจะพานางไปไหนไม่ได้ แม่นางเส่เยี่ยหน่ะเป็น...." หลินกุเหนียงอึกอักที่จะอธิบายเรื่องราวให้ชายหนุ่มทั้งสองฟัง
"เส่เยี่ยเป็นอะไรงั้นเหรอ" ชีเส้าเฟยเริ่มใจไม่ดี หญิงสาวก็หลบตาเขา
"พี่เส้าเฟย พี่ต้องห้ามโกหกข้านะ บอกข้ามาตามตรงก่อน ว่าพี่เป็นอะไรกันกับนาง นางใช่คนรักของพี่หรือไม่" คราวนี้คนพูดสีหน้าเครียด เรื่องนี้ดูถ้าไม่ง่ายเสียแล้ว
"ทำไมหล่ะ หากใช่แล้วจะมีอะไรแตกต่างงั้นหรือ" ชายหนุ่มสงสัย
"นั่นสิแม่นางหลิน บอกพวกเรามาเถอะ เชื่อข้าเถอะ ไม่ว่าจะยังไง หัวหน้าใหญ่ก็ต้องบุกไปช่วยแม่นางเส่เยี่ยออกมาอยู่ดี"
"บุกไปช่วยเหรอ ฟังพวกท่านพูดเข้า เหมือนกับว่านางถูกจับขังไว้เลย" หญิงสาวคิด ตอนนี้เส่เยี่ยเป็นนางอันดับหนึ่งในดวงใจของฮ่องเต้ แสนจะสุขสบาย แล้วนางจะอยากออกมาอยู่กับชีเส้าเฟยหนีตายไปวันๆ งั้นหรือ
"กุกุ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ บอกข้ามาเถอะ" ชีเส้าเฟยรบเร้า ตอนนี้เขาเริ่มเป็นห่วงเส่เยี่ยขึ้นมาจริงๆ แล้ว
"แล้วพี่ใช่คนรักของนางหรือเปล่าหล่ะ" หญิงสาวยืนกราน ชายหนุ่มก็ส่ายหน้า
"(ยัง)ไม่ใช่ แต่ยังไงข้าก็ต้องช่วยนางออกมา เพราะข้าเคยสัญญาว่าจะดูแลนางชั่วชีวิต" คนพูดน้ำเสียงจริงจัง
"งั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วงแล้วหล่ะ มีคนดูแลนางแทนท่านแล้ว ตอนนี้แม่นางเส่เยี่ยเป็นถึงว่าที่..." คนพูดอึกอัก
"ว่าที่อะไร..." ชีเส้าเฟย กับ ลู่เสี่ยวฟง ชะเง้อหน้าเข้ามาลุ้นเต็มที่
"ว่าที่พระสนมของฮ่องเต้หน่ะสิ"
"หา!!!!!! ว่าที่พระสนมของฮ่องเต้!!!" ลู่เสี่ยวฟงอุทานเสียงดัง ชีเส้าเฟยรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง ทำไมเส่เยี่ยของเขาถึงกลายเป็นว่าที่พระสนมของฮ่องเต้ไปได้

ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว ยังไงเขาก็ต้องพบกับเส่เยี่ยให้ได้ เขารู้จักหญิงสาวดี คนอย่างนางไม่หลงในลาภยศ ไม่มีวันเป็นสนมฮ่องเต้แน่ ที่สำคัญนางเกลียดราชสำนักจนเข้าไส้ พวกขุนนางทำให้แม่ของนางตาย ซ้ำยังให้ร้ายบิดาของนางว่าเป็นกบฏอีก แล้วนางจะไปยอมสวามิภักกับคนพวกนั้นได้อย่างไร หลินกุเหนียงพยายามอธิบายว่า ความจริงฮ่องเต้เป็นคนดีและนางเองที่เป็นแม่สื่อให้กับเขาทั้งสอง แต่ชีเส้าเฟยไม่ฟัง เขายืนยันว่ายังไงก็ขอให้ได้พบเส่เยี่ยก่อน หากนางตัดสินใจที่จะเป็นพระสนมจริง เขาต้องการฟังจากปากของนางเอง

ชีเส้าเฟยไม่อยากให้หลินกุเหนียงลำบากใจ จึงไม่บังคับให้นางพาเขาเข้าวังหลวง เพียงแค่ถามไถ่ว่าเส่เยี่ยพักอยู่ที่ใด และให้หลินกุไปส่งข่าวกับเส่เยี่ยว่าเขาจะเข้าไปหานางเร็วๆ นี้...

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ริมสระน้ำ ณ จวนอ๋องถูจิ้น

หลังจากเข้าวังมาแล้วหลินกุเหนียงก็รีบแยกกับจั๋วอี้หังแล้ววิ่งมาหาเส่เยี่ยหน้าตาตื่น หญิงสาวในชุดสีส้มอ่อนกำลังนั่งเหม่อลอยเหมือนคนไร้ชีวิต
"แม่นางเส่เยี่ย แม่นางเส่เยี่ย!!!" คนเรียกตะโกนมาแต่ไกล หญิงสาวหลุดจากพวังค์แล้วก็หันมาทางต้นเสียงนั้น
"องครักษ์หลิน มีอะไรงั้นหรือ เสียงท่านดูตื่นเต้นมากเลยนะ"
"ไม่ตื่นเต้นได้ไง นี่แม่นางเส่เยี่ย ข้ามีเรื่องอะไรจะถามเจ้านะ..." หลินกุเหนียงกำลังจะอ้าปาก แต่ก็หันไปสำรวจรอบๆ ก่อนว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ หรือเปล่า
"แล้วนี่หายไปไหนกันหมดเนี่ย" เมื่อมองดูพบว่าวันนี้จวนเงียบผิดปรกติจึงเอ่ยถามขึ้น
"อ๋อ วันนี้ฮูหยินไปทำบุญที่วัดฉือเอินซื่อหน่ะ"
"วัดฉือเอินซื่อเหรอ ไกลจัง"
"อืม ฮูหยินเห็นว่าข้าตาบอดเดินทางไกลไม่สะดวก จึงไม่ได้พาไปด้วย กว่าฮูหยินจะกลับก็พรุ่งนี้"
"งั้นก็ดีเลย ข้าเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้าพอดี"
"เรื่องอะไรงั้นเหรอ" เส่เยี่ยทำหน้าแปลกใจ แต่คงไม่มีเรื่องใดเลวร้ายไปกว่าสิ่งที่นางเห็นเมื่อวานนี้แล้วหล่ะ
"แม่นางเส่เยี่ย เจ้าบอกข้ามาตามตรงนะ เจ้ารู้จักชีเส้าเฟยรึเปล่า" พอเส่เยี่ยได้ชื่อชีเส้าเฟยก็หน้าซีด ใจสั่นขึ้นมาทันที
"แม่นางเส่เยี่ย" หลินกุเหนียงเรียกคนที่กำลังเหม่อ
"ข้าถามว่าเจ้ารู้จักชีเส้าเฟยหรือเปล่า" เส่เยี่ยไม่ตอบ นางอึกอัก แล้วก็เอามือปิดปากเหมือนคนจะร้องไห้ พอหลินกุเหนียงถามว่าเป็นอะไรไป นางก็ปล่อยโฮออกมาทันที
"ฮือๆ เขาตายแล้ว" เส่เยี่ยร้องไห้ไม่หยุดแล้วก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่า เขาตายแล้ว เขาตายแล้ว เล่นเอาหลินกุเหนียงงงไปเลย
"เดี๋ยวๆ แม่นางเส่เยี่ย ใจเย็นๆ ก่อน ใครตายกัน เจ้าคงไม่ได้หมายถึงพี่เส้าเฟยใช่ไหม" เป็นไปไม่ได้ ก็นางเพิ่งเจอเขาเมื่อกี๊เองนิหน่า
"ท่านรู้จักท่านลุงด้วยหรือ" คนพูดค่อยๆ ปาดน้ำตาที่อาบแก้ม
"อืม" หลินกุเหนียงพยักหน้า นางรู้สึกแปลกใจที่เส่เยี่ยเรียกชีเส้าเฟยว่าลุงแต่ก็ไม่ได้ซักต่อ
"แล้วเมื่อกี้เจ้าว่าใครตายนะ" พอถูกหลินกุเหนียงถาม เส่เยี่ยก็ทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก จนหลินกุต้องรีบห้าม
"เดี๋ยวๆ ถ้าเจ้าหมายถึงพี่เส้าเฟยหล่ะก็ เขายังไม่ตาย ยังสบายดีอยู่" เส่เยี่ยทำท่าไม่เชื่อ จะยังไม่ตายได้อย่างไร ก็เมื่อวานนางเห็นกับตา หรือว่านี่เป็นแผนการณ์อะไรของฮ่องเต้ เส่เยี่ยเริ่มรู้สึกไม่วางใจหลินกุเหนียง
"นี่ข้าพูดจริงนะ ไม่ได้โกหก ข้ายังรู้รหัสลับระหว่างพวกเจ้าด้วย" รหัสลับอะไรกัน นางกับเขามีรหัสลับที่ไหน หลิกุเหนียงต้องมีลูกไม้อะไรมาหลอกนางแน่ๆ เส่เยี่ยคิด
"ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร" หญิงสาวพูดแบบหยั่งเชิง
"แล้วอย่างนี้เรียกว่ารหัสลับรึเปล่า... อีกสิบวันเจอกันที่ร้านเหล้าฉีถิง" หลินกุเหนียงทำเสียงล้อเลียนชีเส้าเฟย ส่วนเส่เยี่ยก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง เพราะคำพูดที่หลินกุเหนียงพูด มีแค่นางกับเขาเท่านั้นที่รู้
"มีอีกนะ... ต่อไปเลิกพูดคำว่าเกรงใจกับข้า ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าชั่วชีวิต" พอหลินกุเหนียงพูดประโยคนี้จบ เส่เยี่ยก็ปล่อยโฮออกมาทันที ใบหน้าขาวนวลอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ท่านลุงชีของนางยังไม่ตายจริงๆ หลินกุเหนียงปลอบเส่เยี่ยอยู่ครู่ใหญ่ พอหญิงสาวหายสะอึกสะอื้นแล้ว จึงเริ่มสอบถามเรื่องชีเส้าเฟย
"ตอนนี้ท่านลุงอยู่ที่ไหนคะ"
"อยู่ในเมืองหลวงนี่หล่ะ"
"องครักษ์หลิน ท่านพาข้าไปหาเขาได้หรือเปล่า" เส่เยี่ยทำหน้าอ้อนวอนสุดๆ
"เจ้าไม่ต้องไปหรอก พี่เส้าเฟยให้ข้ามาบอกเจ้าว่า เขาจะมาหาเจ้าเร็วๆ นี้"
"จริงหรือคะ" หญิงสาวดีใจจนตัวลอย ทำให้หลินกุเหนียงสังเกตเห็นว่าความจริงตาของนางไม่ได้บอดแล้ว
"เอ๊ะแม่นางเส่เยี่ย นี่ตาของเจ้า..."
"ข้าต้องขอโทษด้วยที่หลอกทุกคน ความจริงข้ามองเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว"
"หา จริงหรือนี่" หลินกุเหนียงอ้าปากกว้าง
"อืม ความจริงอิเต็งไต้ซือก็รู้เรื่องนี้ แต่ข้าขอร้องให้ท่านอย่าเพิ่งบอกกับคนอื่น"
"เจ้าทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน"
"ข้าอยากสืบหาความจริงอะไรบางอย่าง"
"ความจริงอะไรงั้นเหรอ"
"ช่างเถอะ ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วหล่ะ นี่ท่านเล่าเรื่องท่านลุงต่อสิ เขาเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า ตอนนี้อยู่กับใคร มาที่นี่ได้อย่างไร แล้วท่านไปเจอเขายังไง ตายจริงแล้วถ้าเขาเข้ามาหาข้าที่นี่จะมีอันตรายหรือเปล่า" พอพูดถึงชีเส้าเฟย ดวงตาเส่เยี่ยก็ดูมีประกายขึ้นมาทันที
"ดูเจ้าเป็นห่วงเขามากเลยนะ" หลินกุเหนียงแอบน้อยใจแทนคังซื่อไม่ได้ รู้จักเส่เยี่ยมาตั้งนานเพิ่งเคยเห็นนางดีใจและพูดเยอะขนาดนี้
"ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ" คนพูดทำหน้าเศร้า
"เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกหน่า ตอนนี้เขาสบายดี ส่วนเรื่องที่จะเข้ามาในวังหลวง ฝีมือระดับพี่เส้าเฟยสบายอยู่แล้ว องครักษ์ที่นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก" หลินกุเหนียงยืนยันแบบนี้ เส่เยี่ยก็วางใจ
"จริงเหรอ เอ่อจริงสิ แล้วท่านเป็นอะไรกับท่านลุงชีงั้นหรือคะ"
"เรื่องมันยาวหน่ะ เมื่อก่อนพี่เส้าเฟยเคยอยู่ที่ค่ายฝึกทหารของพ่อข้า พวกเราเติบโตมาด้วยกัน เป็นทั้งเพื่อนและพี่น้อง แต่ภายหลังมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย พี่เส้าเฟยถูกกล่าวหาว่าให้การช่วยเหลือกบฏซุนซิ่ง เขาก็เลยถูกขับออกจากค่าย"
"กบฏซุนซิ่ง ท่านหมายถึงท่านพ่อของข้า"
"ท่านพ่องั้นหรือ ข้านึกว่าเจ้ากำพร้าเสียอีก ออ ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้พี่เส้าเฟยเคยช่วยกบฏคนนั้นไว้จริงๆ ดังนั้นหลังจากพ่อเจ้าตายแล้ว พี่เส้าเฟยถึงได้รับปากดูแลเจ้าชั่วชีวิต ไม่นึกเลยว่าจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ มิน่าเจ้าถึงได้ไม่ชอบหน้าฮ่องเต้เอามากๆ" หลินกุเหนียงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ
"ความจริงพ่อข้าถูกใส่ร้าย เขาไม่ใช่กบฏนะคะ"
"เรื่องนั้นข้าคงตัดสินไม่ได้หรอก จริงสิ แม่นางเส่เยี่ย แล้วหลังจากนี้ เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป"
"ข้า... ไม่รู้สิ ก็คงออกไปอยู่กับท่านลุงชี..." คนพูดดูยังลังเลอยู่เล็กน้อย
"แต่เขาเป็นนักโทษราชสำนักนะ" หลินกุเหนียงลองถามหยั่งเชิงนาง
"เรื่องนั้นข้าไม่สนหรอก ความจริงเขาเป็นคนอย่างไรข้ารู้ดี เอ๊ะหรือว่าแม้แต่ท่านก็ไม่เชื่อว่าเขาบริสุทธิ์" คนพูดดูมีสีหน้ากังวล
"เชื่อสิ ข้าเองก็รู้จักพี่เส้าเฟยดีเหมือนกัน เขารักบ้านเมืองมาเป็นอันดับหนึ่ง รักมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก" พอได้ยินประโยคนี้ เส่เยี่ยก็ยิ้มกว้างเลยทีเดียว แน่นอนคนที่นางเคารพรักต้องเป็นคนดีที่สุดอยู่แล้ว
"เจ้าดูชื่นชมพี่เส้าเฟยมากเลยนะ ขอถามตามตรง เจ้ากับเขาเป็นอะไรกันหรือเปล่า" อึย... ถามได้ตรงมาก เส่เยี่ยได้ยินคำถามก็หน้าแดงแล้ว
"เขาเป็นสหายของพ่อข้า ข้ารักและเคารพเขาเหมือนญาติสนิทคนหนึ่ง เวลาอยู่ใกล้ๆ เขาแล้ว ข้าก็รู้สึกปลอดภัย" คนพูดก้มหน้าลงด้วยความเขิน เพียงเท่านี้หลินกุเหนียงก็พอจะเดาความคิดของหญิงสาวออกแล้ว
"นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงจะหึงเจ้าไปแล้ว" หลินกุเหนียงพูดกับตัวเอง
"ท่านว่าอะไรนะ" เส่เยี่ยถาม
"เปล่าๆ" หลินกุเหนียงรีบปฏิเสธ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ จริงอยู่ เมื่อก่อนนางเคยชื่นชอบชีเส้าเฟย แต่ว่าตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่า มันไม่ใช่ความรักในเชิงชู้สาว ตอนนี้คนที่นางอยากถือไม้เท้ายอดทองด้วย คงเป็นองครักษ์หน้าหล่อคนนั้น
"แม่นางเส่เยี่ย แล้วเจ้าจะตัดใจไปจากที่นี่ได้จริงๆ เหรอ"
"ทำไมจะไม่ได้หล่ะ ในเมื่อข้าก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว"
"มันก็จริง แต่ถูฮูหยินก็ดีกับเจ้ามากนะ แล้วยังมี..." หลินกุเหนียงเว้นช่วงนิดนึง
"ยังมีฮ่องเต้อีก"
"อย่าพูดถึงคนๆ นั้นเลย" คนพูดหน้าบึ้ง แววตาเหมือนคนรู้สึกผิดหวัง
"ทำไมหล่ะแม่นางเส่เยี่ย ฮ่องเต้ดีกับเจ้ามาก ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าต้องใจร้ายกับเขาด้วย หรือว่าเจ้าไม่เคยคิดชอบเขาบ้างเลย" หลินกุเหนียงถามแทงใจดำได้อีก
"สำหรับข้า คนๆ นี้ตายไปนานแล้ว ข้ามองเขาผิดไป" หญิงสาวยากที่จะทำใจไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เขาทำขึ้น ถึงแม้คังซื่อจะไม่ได้ฆ่าชีเส้าเฟย แต่คนที่ตายก็เป็นคนของค่ายเหลียนอิ๋น
"ข้าไม่รู้หรอกว่า พวกเจ้ามีเรื่องอะไรกัน แต่ในเมื่อเจ้ายืนกรานเช่นนี้ ข้าก็ไม่บังคับจิตใจหรอก" หลินกุเหนียงถอนหายใจ อุตส่าห์เชียร์แทบตาย แต่สุดท้ายชีเส้าเฟยกลับมาแรงแซงทางโค้งไปซะงั้น
"นี่แม่นางหลิน เจ้าก็อย่าเป็นองครักษ์อีกเลยนะ พวกเราหนีไปด้วยกันเถอะ" เส่เยี่ยชักชวนหลินกุเหนียงให้หนีไปด้วยกัน ไหนๆ ตอนมาก็มาพร้อมกันแล้ว ตอนไปก็น่าจะไปพร้อมกัน
"ข้ายังไม่ถึงเวลาหน่ะ เมื่อพร้อมแล้วจะไปเอง เจ้าอย่าห่วงเลย" คนพูดยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ในใจนางเห็นเส่เยี่ยเป็นสหายคนหนึ่งไปแล้ว
"งั้นเจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ หากถูกจับได้ว่าเป็นสตรีอาจจะมีอันตราย" เส่เยี่ยพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
"อืม ข้ารู้หน่ะว่าควรทำอย่างไร เมื่อเจ้าเจอพี่เส้าเฟยแล้ว ฝากบอกเขาด้วยว่า ไม่ต้องเป็นห่วงข้า" เส่เยี่ยพยักหน้ารับ จากนั้นนางก็ขอตัวไปเก็บข้าวของ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป ฝ่ายหลินกุเหนียงสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใครแล้วก็ขอตัวเพื่อกลับไปซ้อมวรยุทธต่อเช่นกัน

"ตุบ" เสียงช่อดอกรักสีขาวตกลงสู่พื้นหญ้าเบื้องล่าง สองสาวหารู้ไม่ว่า มีผู้เฝ้ามองการสนทนาของพวกนางอยู่ตลอด เท้าคู่นั้นกำลังมุ่งหน้าตามเส่เยี่ยไปยังห้องนอนของหญิงสาว

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เส่เยี่ยรีบเร่งฝ่าเท้าเพื่อมายังห้องนอนของตนเอง เมื่อมาถึงหญิงสาวก็ปิดประตูห้อง แล้วคลี่ผ้าสีเหลืองลงบนเตียง

"แอ๊ด..." ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น หญิงสาวหันไปทางต้นเสียงเพราะคิดว่าเป็นหลินกุเหนียงเดินเข้ามา ทว่าพอหันกลับไป เห็นคนที่เดินเข้ามา นางก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
"เออะ..." หญิงสาวหันมาแล้วทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติขึ้นได้ ก็ทำเป็นมองไปทางอื่น แล้วเอ่ยถามผู้มาเยือน
"ใครหน่ะ" ปากของคนพูดสั่นเครือ
"ตกใจมากสินะ" ชายผู้มาเยือนตอบโต้ด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวผิดจากปรกติ จากนั้นมือของเขาก็เอื้อมไปปิดประตูทั้งสองบานพร้อมทั้งใส่ล๊อค
"อ่อ ฝ่าบาทเสด็จมาหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบ เลยไม่ทันได้ต้อนรับ" เส่เยี่ยพยายามทำใจดีสู้เสือ
"พอเถอะ เลิกเสแสร้งได้แล้ว!" ชายหนุ่มพูดเหมือนมีอารมณ์
"ฝ่าบาททรงพูดเรื่องอะไรเพคะ" เส่เยี่ยยังคงเฉไฉ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง
"เจ้าจะโกหกเราไปถึงเมื่อไหร่!" คราวนี้คนพูดเดินเข้ามาใกล้ ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเขามันช่างดูน่ากลัวเสียเหลือเกิน
"ในเมื่อฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดี งั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนดีกว่า" เส่เยี่ยพยายามเบี่ยงหลบไปอีกทาง เพื่อเดินหนีออกจากห้อง แต่ชายหนุ่มก็เอาร่างของเขามาขวางไว้
"จะรีบไปไหนงั้นหรือ รึว่าจะรีบไปส่งข่าวให้ชีเส้าเฟยชายคนรักของเจ้า!!!" คราวนี้เส่เยี่ยใจหายวาบ รู้สึกปั่นป่วนช่องท้องขึ้นมาทันที
"ฝ่าบาท!!!!!!!" ทั้งสองประสานสายตากันอยู่ครู่ใหญ่
"อ่อ ตอนนี้เจ้ามองเห็นแล้วสินะ" น้ำเสียงของคังซื่อนั้นช่างฟังดูเย้ยหยัน เมื่อถูกจับได้แล้ว เส่เยี่ยก็ไม่คิดจะปฏิเสธอีกต่อไป
"หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาททรงคิดอะไร แต่หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหกทุกคน" เส่เยี่ยพยายามอธิบาย พอปะทะสายตากับชายหนุ่ม นางก็หันหลบไปทางอื่น
"แม้แต่เรื่องที่เจ้าเป็นพวกเดียวกับไอ้กบฏนั่นก็ไม่ได้ตั้งใจด้วยงั้นสิ" แววตาของคนพูดแสดงให้เห็นว่าเขาทั้งโกรธทั้งผิดหวัง
"หม่อมฉันไม่ใช่กบฏนะเพคะ!!" หญิงสาวเถียงเสียงแข็ง นางเกลียดคำนี้ เพราะคำๆ นี้ทำให้ครอบครัวของนางต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาตลอดชีวิต
"ยังจะปากแข็งอีก ดูถ้า หากไม่จับได้คาหนังคาเขา เจ้าคงไม่ยอมรับ" คังซื่อเดินเข้ามาคว้าแขนของหญิงสาวด้วยความโกรธ
"ฝ่าบาทปล่อยหม่อมฉันเถอะ..." หญิงสาวยังพยายามพูดดีๆ กับเขา มือก็พลางแกะมือของชายหนุ่มออก แต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มกลับยิ่งจับแขนนางแน่นขึ้นกว่าเดิม
"ไม่ปล่อย!! จนกว่าเจ้าจะยอมรับ ว่านี่เป็นแผนการณ์ของพวกเจ้า ส่งคนที่หน้าตาเหมือนปิงเยี่ย เพื่อมาปั่นหัวเรา!! พวกเจ้าคิดการใดกันแน่!!!" ดวงตาของคังซื่อตอนนี้ดุราวกับเสือก็ไม่ปาน เส่เยี่ยอดกลัวไม่ได้ นางพยายามตั้งสติและพูดดีๆ กับเขา ยังไงก็ต้องหนีออกไปให้ได้
"ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้ว่าทรงพูดเรื่องอะไร ปล่อยหม่อมฉันเถอะ หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ" เส่เยี่ยพยายามบีบน้ำตาเรียกความสงสารจากชายหนุ่ม หากเป็นเมื่อก่อนแผนนี้คงได้ผลไปแล้ว แต่ว่า ไม่ใช่ครั้งนี้!
"เจ็บงั้นเหรอะ? ไม่ได้ครึ่งของเราหรอก รู้ไหมว่าเราไว้ใจเจ้าขนาดไหน ทำไมถึงต้องมาหลอกใช้เราด้วย!!" คนพูดตะคอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำใสๆ เริ่มไหลมารวมกันที่เบ้าตาทั้งสองข้างของชายหนุ่ม
"หม่อมฉันไม่ได้หลอกใช้ฝ่าบาทนะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ว่าทรงพูดเรื่องอะไรจริงๆ" คราวนี้น้ำตาของเส่เยี่ยเริ่มไหลไม่หยุด นางทั้งเจ็บทั้งกลัว ยิ่งเห็นหญิงสาวร้องไห้เท่าไหร่ คังซื่อก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น แต่ชายหนุ่มก็พยายามข่มความรู้สึกสงสารของตนเองไว้
"ไม่ต้องมาบีบน้ำตา!! เจ้าจะเล่นละครไปถึงเมื่อไหร่ ไอ้กบฏชีเส้าเฟยนั่นคงสอนเจ้ามาหล่ะสิ!!!" ชายหนุ่มดึงร่างของหญิงสาวมาชิดกับตัว
"ชีเส้าเฟยไม่ใช่กบฏ แล้วเขาก็ไม่ได้บงการอะไรหม่อมฉันด้วย!!" พอได้ยินเส่เยี่ยออกตัวแทนชีเส้าเฟย คังซื่อก็โมโหจนหน้ามืด เขาผลักร่างบางนั้นไปจนชิดขอบเตียง
"อ่อ ตอนนี้เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าเป็นพวกเดียวกับมัน!!" คังซื่อแนบร่างของเขาจนชิดกับร่างของหญิงสาว ใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ
"ฝ่าบาทจะทรงคิดอย่างไรก็ช่าง แต่ชีเส้าเฟยเป็นจอมยุทธที่ผึ่งผาย เขาต้องไม่ใช่กบฎแน่!!" หญิงสาวเห็นว่าแผนไม้อ่อนไม่ได้ผล จึงลองใช้ไม้แข็งดูบ้าง
"หึๆ จอมยุทธที่ผึ่งผายงั้นเหรอ? ดูท่าเจ้าคงรักมันมากสินะ" คังซื่อหัวเราะทั้งน้ำตา น้ำเสียงของเขาฟังดูเจ็บปวดพิลึก ชายหนุ่มค่อยๆ เลื่อนสายตาของเขา จากใบหน้าของหญิงสาวสู่เรือนร่างของนาง เส่เยี่ยแทบไม่กล้าเดาเลยว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
"ฝ่าบาทจะทำอะไร!!" คนพูดถามด้วยน้ำเสียงสั่น ตอนนี้หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้นแล้ว
"ก็จะช่วยให้แผนการณ์ของคนรักเจ้าสมหวังยังไงหล่ะ!!!" สิ้นประโยคชายหนุ่มก็จุมพิตลงบนใบหน้า ลำคอ และเรือนร่างของหญิงสาวไม่ยั้ง
"ฝ่าบาทไม่นะเพคะ!!!!!!! ฝ่าบาท!!!!!!! ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ!!!!!!! ฝ่าบาท...................."
"..................."

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑






Create Date : 02 พฤษภาคม 2552
Last Update : 19 มีนาคม 2560 2:30:07 น. 107 comments
Counter : 3568 Pageviews.

 
โหะๆ ฮัลโหลเทส แปะแล้วนะคะ หวังว่าจะถูกใจกัน ตอนนี้ผู้แต่งชีช้ำมากมาย เสียดายของ


โดย: realtomtam วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:44:34 น.  

 
โอ้ย...แค่อ่านตอนจบบวกกับเม้นต์ของผกก.ก้อรู้ล่ะว่าต้องมันส์ ลงชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านนะคะ


โดย: cipher IP: 58.8.133.207 วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:52:52 น.  

 
ผกก.ต๋อมแต๋มชอบสั่งคัตตอนฉากสำคัญ เข้าด้ายเข้าเข็มทุ๊กที นี่ขนาดแอบมาอ่านฉากสำคัญนะเนี่ย เฮ้อ..ค้างไปเลย หมายถึงความสงสัยค้างไปเลยกับฉากนั้นว่าจะเป็นยังไงต่ออ่ะค่ะ แต่ ผกก. สั่งคัตไปเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวมาอ่านต่อตั้งแต่ต้นอย่างละเอียดอีกรอบในวนพรุ่งนี้นะค่ะ


โดย: ทับทิม IP: 125.26.38.170 วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:59:29 น.  

 
เฮ้ย . . ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ คังซื่อเปลี่ยนไป
แต่ ผกก แต๋ม เปลี่ยนยิ่งกว่า ไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ว่า ผกก แต๋มจะยอมเขียนฉากนี้ออกมาด้วย
ไม่อยากเชื่อว่าจะยอมให้คังซื่อมากุ๊กกิ๊กกับสาวอื่น

จะบอกว่าอ่านมาถึงช่วงท้ายๆ นี่เริ่มอ้าปากค้างจริงๆ นะ
อ่านจบนี่ของที่อยู่ในมือหล่นตุ้บเลยค่ะ
ตอนที่อ่านช่วงแรกๆ ก็จิ้นว่าจะหาภาพจากเทพมารฯ ตอนไหนมาแปะดีหว่า
แต่ตอนนี้ต่อมจิ้นกระเจงค่ะ ช็อคอย่างรุนแรง แต๋มเปลี๊ยนไป๋


โดย: O-yohyo วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:18:13 น.  

 
อ๊ากกก คังซื่ออย่าน้า จะทำไรเส่เยี่ยอ๊า ทำไมคังซื่อเปลี่ยนไป ใช่มือปราบหันจุ้นปลอมตัวมารึป่าวอ่ะ ผกก. ทำไมโกรธรุนแรงขนาดนี้ แม่นางมลเยี่ยอยู่ไหนมาฉุดคังซื่อไปเล้ววววว

ตอนแรกกำลังขำกับแม่นางกุกุอยู่ดีๆ แบบว่าฮาทุกตอนเลยค่ะ ขำคุณชายลู่ด้วย แม้แต่แม่นางกุกุปล่อยมวยผม ยังดูสวยหมวยเอ๊กซ์อีกนะเนี่ย แบบว่าอ่านไปต้องเอามืออุดปากตัวเองไว้เป็นระยะๆ แม่นางกุคิดถูกแล้วค่ะ
พี่จั๋วคนเดียวเลย ต้องมาถือไม้เท้ากับแม่นาง


มีข้องใจกับประโยคนี้ของลุงชีค่ะ ในวงเล็บหมายความว่ากะไรคะ
"(ยัง)ไม่ใช่ แต่ยังไงข้าก็ต้องช่วยนางออกมา " ตกลงลุงชียังลังเลว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ กันแน่ชิมิคะ แหม...เขินแทนลุงชี แม่นางกุก็ถามซะตรงๆ ขนาดนั้น แล้วตอนเส่เยี่ยรู้ข่าวลุงชี อ๊ายยยย นางดีใจแล้วก็ดูยังแคร์เค้าอยู่อ่ะ กองเชียร์ลุงชีดีใจมากกกค่ะ


โดย: หลินอี้ วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:23:10 น.  

 
เชื่อแล้วค่ะว่าตอนนี้เป็นตอนสำคัญจริงๆ ด้วยอ่ะ ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะว่าท่านลุงชีจะได้มาเจอเส่เยี่ย แต่ที่ไหนได้


ตอนที่กุกุเผยความจริงนี่ก็มันส์ดีค่ะ ไม่ยืดเยื้อดี ตรงไปตรงมา นี่ก็ใจหายแทนกุกุนะ ถ้าต้องออกจากวังก็ต้องจากกับองครักษ์จั๋ว แล้วความรักจะสมหวังไหมนี่


เพลง Ju Hua Tai เข้ากับตอนนี้จังเลยค่ะ ยิ่งตอนท้ายๆ ช่วงที่คังซื่อเจ็บปวดร้องไห้นี่ยิ่งทำให้สงสาร แต่นะพอนึกถึงใจลุงชี เส่เยี่ยกำลังโดนรังแก ฮือ ฮือ . . ก็ช้ำใจอีกเช่นกัน ซูโหย่วก็ปวดใจ ไม่รู้จะเข้าข้างใครดี หันซ้ายหันขวา อ๊าก . . เส่เยี่ยน่ะเลือกได้แต่แรกแล้ว แต่คนอ่านยังเลือกไม่ได้นี่หน่า


โดย: O-yohyo วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:24:20 น.  

 
เพิ่งมาเห็นเม้นต์ o-yo ตรงกันกับที่หลินกุรู้สึกเลยอ่ะ ว่าทำไมคังซื่อเปลี่ยนไปขนาดนี้ เข้าใจว่าโกรธอ่ะนะ แต่อารมณ์รุนแรงและก็น่ากลัวมากค่ะ นี่ล่ะมั้งที่เค้าว่าพิษรักแรงหึง ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

ลุ้นว่าใครจะเข้ามาช่วยเส่เยี่ยอ่ะ คังซื่อลงกลอนแล้วด้วย แล้วจะนอนหลับมัยเนี๊ยะ ไม่ยอมนะ อาทิตย์หน้าต้องมาต่อด้วยเด้อ ผกก. ฮือๆ เส่เยี่ยจะได้พบลุงชีแล้ว อย่าให้มีอะไรมาพรากอีกนะคะ คนอ่านทรมาน


โดย: หลินอี้ วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:27:41 น.  

 
ภาพแบล็กกราวน์ตอนนี้ก็เข้ากับตอนดีจังค่ะ การกระทำของคังซื่อ ทำให้เค้าใจเค้าไม่สามารถสื่อถึงเส่เยี่ยได้อีกต่อไป เป็นการสร้างความเจ็บปวดและรอยร้าวให้กับมิตรภาพที่เค้าสร้างมา แล้วเส่เยี่ยจะกล้าไปพบท่านลุงชีอีกไหมนี่ แต่เชื่อว่าคนที่เจ็บปวดไม่แพ้ใครก็คังซื่อเนี่ยแหล่ะค่ะ


โดย: O-yohyo วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:28:37 น.  

 
ก่อนอื่นถามก่อนว่าเพลงเจย์มัน auto play หรือเปล่าคะ???


โดย: realtomtam วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:29:35 น.  

 
o-yo มีตอนไหนที่เส่เยี่ยเลือกตั้งแต่แรกอ่ะ ที่อ่านๆมา เส่เยี่ยดูปลื้มและก็ดูชอบและแคร์คังซื่อมากมายเลยนะคะ เพิ่งมาตอนนี้แหล่ะที่เห็นว่าลุงชียังสำคัญต่อเส่เยี่ยอยู่ล่ะ ทำให้กองเชียร์อย่างหลินกุระริกระรี้เลย

อย่างที่ว่าค่ะ แม่นางกุกุ ต้องเลือกอยู่ในวังต่อไปอยู่แล้ว ขืนออกไปก็ไม่ได้พบพี่จั๋วอีกอ่ะดิ ฉลาดมากค่ะแม่นาง


โดย: หลินอี้ วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:31:08 น.  

 
ใช่ๆ หลินกุ แบบนี้เส่เยี่ยไม่กล้าพบลุงชีแน่ๆ แต่เชื่อว่ายังไงซะ ผกก แต๋มก็ไม่มีทางให้คังซื่อตกเป็นของเส่เยี่ยหรอกค่ะ เดาว่าคนที่มาช่วยน่าจะเป็นเจ้าจอมแต๋มเทียนเจียว

ก็ดูซิ แค่ตอนนี้ยังถูกตัดฉับเลยนะ กลัวแต่ว่า ผกก จะไม่กล้าเขียนต่ออะดิ ยังไงก็ไม่ยอมนะคะ เขียนมาให้คนอ่านต๊กกะใจขนาดนี้แล้ว ต้องมาต่อด้วย ไม่งั้นนอนตาไม่หลับกันแน่ๆ อ่ะ คาใจ


โดย: O-yohyo วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:31:13 น.  

 
เพลงออโต้ค่ะแต๋ม ขึ้นเรียบร้อยดีจ๊ะ เพราะเข้ากับฟิคโบราณมั่กๆ

ตะแรกที่เห็น bg แล้วยังไม่ได้อ่าน ก็จะยกมือท้วง ผกก.ว่าลำเอียงง่ะ แบบว่ามีรูปคังซื่อเป็น bg ทุกตอนเลย ไม่มีสลับลุงชีเลย แต่พออ่านเรื่องแล้ว เริ่มสงสารคังซื่อค่ะ ไหนจะถูกเส่เยี่ยเข้าใจผิด ไหนจะเริ่มเห็นแววอกหัก ก็เลยไม่ประท้วง อิอิ


โดย: หลินอี้ วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:33:25 น.  

 
ของ o-yo ต้องกดให้เล่นในครั้งแรก แต่พอใส่เมนท์ เพลงก็รีรันอัตโนมัติค่ะ ไม่มีปัญหา


หลินกุ . . ที่บอกว่าเลือกตั้งแต่แรก ก็ดูจากอาการเส่เยี่ยไงคะ เพียงแต่นางคงไม่รู้ตัว แล้วก็ใจแกว่งไปกับความเอาใจใส่ ความดีของคังซื่อ ครั้นพอเห็นลุงชีโดนสังหารก็ทำให้นางได้รู้ว่าใครคือคนสำคัญ ก็ดูดิ๊ โกรธคังซื่อได้ขนาดนี้ ส่วนคังซื่อก็นะ โกรธซะจนไม่ฟังเหตุผล คิดเองเป็นตุเป็นตะ ระแวงไปซะหมดว่าเส่เยี่ยเป็นพวกกบฏ


โดย: O-yohyo วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:38:17 น.  

 
งงคอมเม้นแรกของโย่อ่ะ ตกลงดีใจหรือเสียใจกันแน่? ทำไมปากบอกตกใจ แต่ไอคอนมันถึงได้กระดุกกระดิกเหมือนดีใจซะขนาดนั้น

ประการแรก ผกก ไม่ได้เปลี่ยนไปนะคะ นี่คือสิ่งที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก และฉากนี้ก็เขียนเอาไว้นานมากแล้ว แต่ที่ ผกก พลาดก็คือ ให้คังซื่อก่อนหน้านี้ดีกับเส่เยี่ยมากเกินไป จนทุกคนยากจะเชื่อว่า เขาจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่ก็นะ เป็นเพราะคังซื่อได้ยินเรื่องที่หลินกุคุยกับเส่เยี่ยทั้งหมด เหมือนกับคำถามในใจทั้งหมดได้รับคำตอบ ว่าทำไมตลอดเวลาเส่เยี่ยถึงได้เย็นชากับเขา ที่แท้เส่เยี่ยเป็นคนของชีเส้าเฟย เขาเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นแผนการณ์ของเส่เยี่ยที่ตั้งใจจะปั่นหัวเขาหน่ะค่ะ อีกอย่างนางบอกกับหลินกุเหนียงโดยที่ไม่คิดเลยว่าจะไปจากวังหลวงนี้แน่นอน คังซื่อก็ต้องเฮิร์ตเป็นธรรมดาค่ะ ไม่ได้ใจขอให้ได้กายก็ยังดี

ประการที่สอง ผกก เคยเอ่ยปากถามเส่เยี่ย fc หลายครั้งแล้วว่า อนุญาตให้เส่เยี่ยเจ็บทั้งกายทั้งใจได้ไหม ในเมื่อแฟนๆ ไฟเขียว ผกก ก็จัดไปค่ะ

ประการที่สาม ผกก ต้องการจุดเปลี่ยนที่จะทำให้เส่เยี่ยไม่รักคังซื่อ แต่ก็ตัดไม่ลง จะเริ่มกับลุงชีก็ลังเล นางจะได้ทุกข์ ทุกข์ทรมานมากๆ อย่าลืมว่าฟิคนี้จุดประสงค์แรกเริ่มเลยก็คือ แก้แค้นอาเส่ ดังนั้น ผู้อ่านจงรับกรรมไปซะฮ่าๆๆ (แต่กรรมแบบนี้น่าอิจฉาจัง แต๋มเยี่ยอยากวิ่งไปรับแทน )


โดย: realtomtam วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:48:55 น.  

 
ผกก.เล่นตัดจบแบบนี้เลยเหรอคะ คนอ่านอารมณ์ค้างนะเนี่ย

ตอนนี้มลเยี่ยกลัวว่าเส่เยี่ยจะเจ็บตัว เพราะงั้นขอเสนอตัวเองเป็นแสตนด์อินให้เส่เยี่ยเองคะ โหะๆๆๆๆ


โดย: มลเยี่ย IP: 58.8.133.207 วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:49:53 น.  

 
โอ้ว..ว้าว

ผกก.มาคอนเฟิร์มขนาดนี้แล้ว แสดงว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้วจริงๆ น่ะสิคะ

มลเยี่ยยังแอบหวังว่าฝ่าบาทจะมีสติ หยุดชะงักได้กลางคัน สรุปว่าเลยตามเลยเลยใช่ไหมคะ

แทนที่เส่เยี่ยจะเกลียดฝ่าบาท แต่กลายเป็นว่าเส่เยี่ยยิ่งติดใจฝ่าบาทขึ้นมา ผกก.จะทำยังไงคะ


โดย: มลเยี่ย IP: 58.8.133.207 วันที่: 2 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:54:47 น.  

 
หาๆ อะไรนะคะ ข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุกเหรอคะน้องมลเยี่ย หงิงงงง ไม่ยอมอ่ะ ให้เส่เยี่ยทุกข์ทั้งกายใจก็ยินดีค่ะ แต่อย่าให้ถึงขนาดข้าวสารเป็นข้าวสุกกับคังซื่อเลย สงสารลุงชีอ่ะ กองเชียร์ทนไม่ด้ายยย

อืม ก็จริงนะ ผกก.ที่ว่าจุดประสงค์เราต้องการแก้แค้นเส่เยี่ย ลืมไปหมดเลย แบบว่าเพราะความรักที่มีต่อลุงชี ก็เลยไม่อยากให้ลุงชีผิดหวัง ผกก.ทำร้ายเส่เยี่ยก็เหมือนทำร้ายลุงชีด้วยเลยง่ะ สรุปคือ ผู้อ่านรับกรรมไปจริงด้วย ซิกๆ

ภาพปลากรอบค่ะ กลัวคนอ่านจะลืมลุงชี



โดย: หลินอี้ วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:08:46 น.  

 




โดย: หลินอี้ วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:09:52 น.  

 
ตอนจบนี่ทีแรก ผกก ต๋อมแต๋ม จะไหว้วานให้ ผกก ทับทิม ช่วยบรรยายให้ เพราะเห็นว่าประสบการณ์ทางด้านนี้เป็นเลิศ แต่เกรงว่าพระเอกจะชีช้ำเกินไปค่ะ เพราะ ผกก ทับทิมนี่หื่นเข้าขั้นเทพ ผกก ต๋อมแต๋มเลยขอควบคุมการผลิตเองดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของนักแสดง

ฉากนี้นี่กัดฟันให้โปรโมชั่นเส่เยี่ยสุดๆ แล้วนะเนี่ย แต่ข้าวสารหม้อนี้จะสุกหรือไม่ คงมีแค่เส่เยี่ยกับคังซื่อที่รู้ มันเรื่องส่วนตัวของเค้า ผกก คงบอกไม่ได้ค่ะ

เส่เยี่ยได้พบลุงชีแน่ค่ะ แต่จะเป็นสภาพไหน ไปคิดกันเอาเองเน้อ แฟนคลับลุงชีอย่าเพิ่งดีใจ ยังต้องกินน้ำตาต่างข้าวไปอีกหลายมื้อ (ผกก แฟนคลับคังซื่อค่ะ ฉันไม่มีความสุขเธอก็อย่าหวัง กร๊ากกกก)

"(ยัง)ไม่ใช่ แต่ยังไงข้าก็ต้องช่วยนางออกมา" นอกวงเล็บ นั่นคือ สิ่งที่ชีเส้าเฟยตอบหลินกุเหนียงค่ะ ในวงเล็บ นั่นคือ สิ่งที่ชีเส้าเฟยคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมาค่ะ

ความรักแม่นางหลินกับองครักษ์จั๋ว เดี๋ยวจะมีบททดสอบนิดหน่อยค่ะ เพราะความลับใกล้แตกแล้ว ดวงตลกโคจรใกล้จะหมดลงแล้ว เดี๋ยวจะได้เข้าโหมดเศร้าแน่ค่ะ

คังซื่ออีกนิด จริงๆ เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนและค่อนข้างเอาแต่ใจนะคะ ถ้าสังเกตจะทะเลาะกับเด็ดแม่ตลอด บางทีก็ทะเลาะกับอ๋าวป้ายรุนแรง ขนาดพวกองครักษ์ ฮองเฮากับซูโหย่วยังโดนตวาดมาแล้ว ก็เขาถูกเลี้ยงมาแบบตามใจนี่หน่า แต่ที่มาอ่อนลงได้ก็เพราะเจอเส่เยี่ยนี่แหละ พอรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็เลยเทพลงทันที


โดย: realtomtam วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:14:06 น.  

 
กร๊ากก อันนี้เป็นช่วงโปรโมชั่นให้เส่เยี่ยเหรอคะ งั้นเส่เยี่ยรีบรับไว้เด้อ ต่อไปอาจต้องทุกข์หนักกับการแก้แค้นของ ผกก.

โอ...ใจมะดีเลยค่ะ เส่เยี่ยจะได้พบลุงชีในสภาพไหนไม่รู้ เป็นแฟนคลับลุงชีช่างทรมานใจจริงๆ

เข้าใจประโยคในวงเล็บแล้วค่ะ มีประโยคคิดและไม่ได้พูดด้วย เพิ่งเจอในฟิคเรื่องนี้แหล่ะ แหะๆ แปลว่าลุงชีก็มีความหวังเหมือนกันว่าเส่เยี่ยอาจมีใจตรงกันกับเค้า

แม่นางหลินกุกุกับองครักษ์จั๋วยังไม่ทันกระดึ๊บไปถึงไหนเลยค่ะ ผกก. จะมีบททดสอบ แล้วก็บทเศร้าแล้วเหรอ โหย....แม่นางกุกุยังไม่เคยได้แตะต้องพี่จั๋วสักกระผลีกเลยนะ ใจร้ายไปป่าววว ผกก.

ตอนคังซื่อกริ้วเส่เยี่ย เหมือนแนวพระเอกโกรธแล้วปลุกปล้ำนางเอกเลยค่ะ เป็นเส่นห์อย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีลุงชี ก็คงเชียร์คังซื่อไปแล้ว เพราะพระองค์น่ารัก รักจริงหวังแต่ง มีหึงมีหวง เฮ้อ...ลำบากใจจัง


โดย: หลินอี้ วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:29:42 น.  

 
หลินกุ เส่เยี่ยเข้ามาที่วังหลวงครั้งแรก ก็เพราะเข้าใจว่าลุงชีโดนจับ ก็เลยจะเข้ามาหาทางช่วย จากนั้นก็ปฏิเสธน้ำใจคังซื่อตลอด เพราะว่าในใจนางมีลุงชีอยู่แล้ว แล้วเส่เยี่ยยังได้พยายามหาทางลับเพื่อหนีออกไปหาลุงชีอีกด้วย แต่ที่ตัดสินใจอยู่ต่อ เพราะอยากช่วยสืบเรื่องชาติกำเนิดของลุงชีค่ะ เห็นมะอะไรๆ ก็ลุงชี แบบนี้ไม่รักได้ไง คังซื่อหน่ะกินแห้วตั้งแต่ยังไม่เปิดกระป๋องแล้ว

น้องมล ถ้าฉากนี้ต้องใช้แสตนอิน ผกก คงแสดงเองมากกว่า ไม่น่าตกไปถึงมลเยี่ยได้นะคะ

กรี๊ดดด ภาพลุงชีหล่อมากค่ะ เห็นแล้วระทวย เดี๋ยวรีบไปเอาข้าวออกจากหม้อให้ ก่อนที่จะสุกนะคะ


โดย: realtomtam วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:30:04 น.  

 
พี่หลิน แต่มลเป็นกองเชียร์คังซื่อนี่นา ก้อย่อมต้องอยากให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกสิคะ :D

ผกก.แต๋มแต๋มคะ มลเยี่ยข้องใจก้อแค่ว่าข้าวสารมันสุกหรือยังนี่ละคะ ช่วยบรรยายเพิ่มอีกนิดดดดดดดดดดดสิคะ เพื่ออรรถรสในการจิ้นของแฟนคลับคังซื่อคะ เส่เยี่ย fc เปิดไฟเขียวให้คะ


ปล.ต่อให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้วทั่นลุงชีก้อคงรับได้แหละเนอะ แต่เส่เยี่ยสิจะกล้าสู้หน้าทั่นลุงชีหรือเปล่าเนี่ย???


โดย: มลเยี่ย IP: 58.8.133.207 วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:33:22 น.  

 
เพลงประกอบของเจย์เพลงนี้มีที่มานะคะ ก็หลินกุเคยแปะ mv ของชิแลม fc ตัวหนึ่ง เป็นเรื่องราวระหว่างคังซี ปิงเยี่ย สุ่ยเยี่ย แล้วเขาก็ใช้เพลงนี้เป็น soundtrack ค่ะ หลินกุจำได้ไหมเนี่ย mv นี้ชื่อ Mv-Tce菊花台 ลองไปคุ้ยดูนะคะ เขาทำได้ดี เศร้ามากๆ เสียดายที่เป็นเหลียงเสี่ยวปิง ไม่ใช่อาเส่อ่ะ



โดย: realtomtam วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:59:58 น.  

 
ที่ตอนแรกตกใจก็เพราะว่าไม่คิดว่าคังซื่อจะทำแบบนี้ไงคะ แล้วที่ตอนหลังใช้ไอคอนดีใจดุ๊กดิ๊ก ก็เพราะว่า นึกขึ้นได้ว่า ยังไงซะแต๋มก็คงทำใจให้คังซื่อเป็นของเส่เยี่ยไม่ได้หรอก ยังไงซะ ผกก แต๋มก็ต้องต่อมหึงกำเริบ จนตัดฉับก่อนแน่ๆ แบบนี้เส่เยี่ยของ o-yo ก็ปลอดภัยหายห่วง

ก็ดูซี่ แต๋มกำลังคิดจะตักข้าวสารออกจากหม้อซะแล้ว เห็นป่ะ จริงดังคาด ว่าแต๋มเทียนเจียวเนี่ยแหล่ะ จะมาช่วยเส่เยี่ย


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:03:50 น.  

 
ส่วนที่แต๋มบอกว่าเอ่ยขอไว้แล้วว่าจะให้เส่เยี่ยเจ็บทั้งกายทั้งใจ ก็ตอนแรกๆ นึกว่าเจ็บกายก็ประเภท โดนตบ โดนตี ได้รับบาดเจ็บ แต่เจ็บกายแบบนี้ ฮือ ฮือ . . ขอบอกว่าคาดไม่ถึงอย่างแรง

ก็เพราะรู้มาตลอดว่าแต๋มรักและห่วงพี่ชายสุดๆ ตอนที่อ่านฟิคก็คิดไว้อยู่แล้วว่ายังไงซะก็จะไม่มีฉากแบบนี้แน่ๆ ไงล่ะ คิดว่ามากสุดก็จับมือถือแขน หอมแก้มเป็นระดับลมากสุดที่ ผกก แต๋มจะยอมให้ พอเกิดมีขึ้นฉากบนเตียงขึ้นมา ก็ทำเอาตะลึงตึงตึงไปเลยค่ะแบบเกินคาด


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:05:10 น.  

 
ที่ตกใจเนี่ย ไม่ใช่ว่ารังเกียจนะ แต่เป็นเพราะไม่คิดไม่ฝัน

เอาเป็นว่า ผกก จะทรมานเส่เยี่ยยังไงก็ได้ค่ะ เพราะว่ายังไงซะแฟนคลับก็รักทั้งคังซื่อ รักทั้งท่านลุงชี ยอมให้ก็ได้ รักไปแล้วทำไงได้ล่ะเนี่ย

แต่ขอข้อแลกเปลี่ยนให้แม่นางหลินกุได้สมหวังได้รึเปล่าคะ ก็แบบว่า น่ารักน่าหยิกได้ใจจริงๆ กับตัวละครตัวนี้ ขำคำพูดแต๋มตรงที่ว่า “ดาวตลกโคจรใกล้จะหมดลงแล้ว” ฮากับประโยคนี้จริงๆ เลย


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:06:07 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:06:48 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:07:17 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:09:11 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:09:43 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:10:26 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:11:08 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:11:39 น.  

 


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:12:00 น.  

 
ว๊าว ภาพประกอบเข้ากับฟิคมากๆ ค่ะ

โย่ไม่อยากให้มีฉากบนเตียงหรือคะ งั้นเดี๋ยวแต๋มสั่งให้คังซื่อเลื่อนลงมาบนพื้นก็ได้ค่ะ เอี๊ยกกกกกกกกก

น้องมลต้องการคำบรรยายละเอียดระดับไหนคะ ผกก ไม่ถนัดจริงๆ ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ ขออยากอ่านจริงๆ คงต้องยกให้ท่านเทพทับทิมมาช่วยบรรยายหล่ะค่ะ

ว่าแต่ในฟิคเนี่ย ชิแลม-อาเส่เคยมีฉากอย่างว่าไปหรือยังคะ นึกไม่ออก (อะไรที่ไม่อยากจำ ก็จะลืมเร็วค่ะ ฮ่าๆๆ)

คุ้ย vid เจอแล้ว ดูแล้วได้อารมณ์มากๆ ค่ะ แต่คงต้องจิ้นหน้าเสี่ยวปิงเป็นอาเส่เอานะคะ



โดย: realtomtam วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:36:56 น.  

 
อะจ๊าก . . ฉากบนพื้นเหรอ แป่ว
ขอฉากบนเตียงเหมือนเดิมที่กว่าค่ะท่าน ผกก
สงสารนักแสดง เดี๋ยวจะหลังเดาะกันไปซะก่อน

เท่าที่จำได้ ในฟิคชิแลม-อาเส่ ไม่เคยมีฉากบนเตียงค่ะ
อย่างมาก็แค่เกือบๆ จากที่อ่านมาก็จะจบด้วยการแต่งงานแล้วมีลูกเลย
มิเคยมีการบรรยายค่ะ ฟิคของจางงี้ก็ตัดฉับแค่จุ๊บๆ จ้า
จางงี้เขียนฉากบนเตียงคู่แรกคือเฮียหม่ากับจีจี้
ของหลินกุก็แต่งงานแล้วตัดมาที่มีลูกเช่นกัน
มามิก็มีแค่ฉากจุ๊บๆ ผกก คนต่อมาที่เขียนฉากบนเตียง
ก็เทพทับทิมไงคะ แต่คู่ที่เล่นก็คือ เฮียเค-ไป๋เส่ว
อ้อ . . อีกคนก็คืออาแมร์ค่ะ แต่เป็นคู่อาเส่-เฮียเค
แต่ยังไม่นับเพราะว่าความจริงยังไม่ประจักษ์ อาจยังไม่เป็นข้าวสุกก็ได้
ผ่านไป 3 เดือนแล้ว ผกก แมรยังไม่มาเฉลยเลยค่ะ


55 ก็เชื่อว่าไม่มีซ้อคนไหนตัดความหึงลงได้
คิดว่าอาจจะคิดเขียน แต่สุดท้ายตัดใจไม่ลงมากกว่า


สรุป . . ชิแลม-อาเส่ ไม่เคยเข้าฉากบนเตียงค่ะ
ทั้งในฟิค ทั้งในละคร มากสุดก็แค่จุ๊บ
เนี่ยเห็นป่ะ ไม่ต้องมีฉากพิศวาสก็เป็นคู่ขวัญ
ในใจของแฟนคลับได้


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:06:29 น.  

 
MV ดูแล้วค่ะ เพลงของเจย์เข้ากับบรรยากาศซึ้งๆ เศร้าๆ ดีจัง
เรื่องฮ่องเต้บัลลังก์เลือดเนี่ย ทำออกมาแนวนี้แล้วคลาสสิกยิ่ง
พี่ชายใส่ชุดฮ่องเต้ขึ้นมากๆ เสี่ยวปิงเค้าก็ใส่ชุดโบราณสวยนะ


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:08:46 น.  

 
ตามมาอ่านจนจบแล้วค่ะ เอ่อ..ก็เข้าใจความรู้สึกของคังซื่อนะค่ะ ในเมื่อไม่ได้ใจก็ขอให้ได้ครอบครองร่างกาย ชีช้ำเสียจริงๆเลย

แต่แหมมายกให้ทับทิมขนาดนี้ได้ไงเนี่ย ก็ฉากข้าวสารเป็นข้าวสุกของพี่ลี่หูกะน้องเซียง ใช้เวลาทำใจ ทำสมาธิอยู่ตั้งนานนะค่ะ มันเขียนยากมากๆ แล้วเฮียเคก็ไม่ค่อยมีฉากแบบนี้ ก็เลยจัดให้นิดนึงเท่านั้นเอง ก็ดูสิน้องมาท้องได้ยังไง แฟนคลับยังคาใจจนมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ เพราะงั้นเพื่อไม่ให้แฟนๆคาใจอีก ผกก.ทับทิมเลยต้องจัดไปตามนั้น

แต่เห็นว่าพี่ชายจางกับอาเส่ยังไม่เคยมีฉากกุ๊กกิ๊กกันใช่ไหมค่ะ ก็เดี๋ยวพี่งี้ก็จะจัดให้แล้วไม่ใช่หรอ ถ้ายังไม่จุใจ ผกก.ทับทิมอาจพิจารณาให้คู่ตายายได้กุ๊กกิ๊กกันบ้างก็ได้ค่ะ


โดย: ทับทิม (เหอเทียนอวี้ ) วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:18:51 น.  

 
ถ้าให้ ผกก. ทับทิมบรรยายต่อจากนั้น ก็ประมาณนี้นะค่ะ นิดหน่อยๆพอเป็นน้ำจิ้ม

"ก็จะช่วยให้แผนการณ์ของคนรักเจ้าสมหวังยังไงหล่ะ!!!" สิ้นประโยคริมฝีปากอุ่นร้อนของคังซื่อตรงเข้าครอบครองริมฝีปากบางอ่อนนุ่มของหญิงสาว รสจูบที่เต็มไปด้วยไฟแห่งปรารถนาร้อนแรงและลุกล้ำอย่างจาบจ้วง เส่เยี่ยแม้พยายามปฏิเสธแต่ก็มิอาจหลุดพ้น แม้เสียงประท้วงอู้อี้อยู่ในลำคอของนาง ก็ยังมิอาจหยุดการกระทำที่บังเกิดจากโทสะและความรักที่ถูกเก็บซ่อนมาเนิ่นนานลงได้
"ฝ่าบาทไม่นะเพคะ!!!!!!! ฝ่าบาท!!!!!!! ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ!!!!!!! ฝ่าบาท...................." น้ำเสียงของเส่เยี่ยสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ทั้งวิงวอนและขอร้องแต่ยังมิอาจเรียกสติของคังซื่อให้กลับคืนมาได้ เมื่อชายหนุ่มละจากริมฝีปากบางอ่อนนุ่มของหญิงสาวและละเรื่อยลงมายังซอกคอหอมกรุ่นเพื่อประทับรอยจุมพิต......(พอแล้วค่ะ เดี๋ยวมีคนหัวใจวาย)


โดย: ทับทิม (เหอเทียนอวี้ ) วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:32:00 น.  

 
อ๊าก . . สัปดาห์นี้เสียเลือดเยอะจริงๆ
จางงี้ก็ยกมาขู่ ทับทิมก็สานต่อ
นี่ถ้าแต๋มมาเห็น ต้องช็อคแน่ๆ เลย
เจอเทพทับทิมเข้าไป บรรยายซ้า


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:03:23 น.  

 
ตอนนี้ตั้งสติได้แล้ว มีคำถามจะถามแต๋มหน่อยค่ะ คือส่งสัยว่าทำไมคังซื่อต้องล็อกประตูด้วยนะ ก็ในเมื่อไม่มีใครอยู่ในจวนอ๋องสักหน่อย อีกอย่างคังซื่อเป็นฮ่องเต้ ถ้าอยากได้ตัวหญิงสาวคนไหน ใครจะกล้าขัดขวาง

แต่นึกไปนึกมา ล็อกประตูไว้ก็ดีแล้วค่ะ เกิดองครักษ์หลินย้อนมาเจอ เส่เยี่ยคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีไม่ทันแน่ๆ


โดย: O-yohyo วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:06:05 น.  

 
ขอตัวไปให้เลือดด่วนก่อนนะคะ

มลเยี่ยแวะมาเดินผ่านหน้าห้องของเส่เยี่ยเล่นๆ ไม่คิดว่าเทพทับทิมจะมาช่วยบรรยายสิ่งที่คาใจไว้เมื่อวาน ถึงกับทำให้เลือดออกหมดตัว แล้วอย่างนี้ผกก.ต๋อมแต๋มจะรอดไหมเนี่ย


โดย: มลเยี่ย IP: 58.8.141.183 วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:27:45 น.  

 
ว้าว บล็อคแปะ mv ได้ด้วยเหรอเนี๊ยะ ดีจังเลยค่ะ mv ที่แต๋มแปะมา ดูแล้วทำให้ใจอ่อน จะไปสงสารคังซื่ออ่ะ ถ้าให้เป็นเส่เยี่ย ก็คงลำบากใจสุดๆเหมือนกัน

อ่านที่ ผกก.บอกแล้วว่า หากเอาเครื่องชั่งมาตวง ระหว่างลุงชี กับ คังซื่อ ตราชั่งจะเอียงมาทางลุงชีมากกว่า โอ้ววววว ดีใจซู๊ดเลยค่ะ ลุงชีเริ่มมีความหวังแล้ววววว

ผกก.ทับทิมกรอบ กองเชียร์ตาหลงกับยายหลานแอบจดไว้แล้วนะคะ ที่ ผกก.บอกว่าจะจัดฉากหวีดให้ตาหลงกับยายหลาน น้องมลอัดเทปไว้ด้วยเด้อ

ตอบ o-yo แทนแต๋มนิ๊ดนึง ที่ว่าทำไมคังซื่อต้องล็อคกลอนประตู โธ่...ถึงจะเป็นฮ่องเต้ก็เถอะ ขืนทำอะไรประเจิดประเจ้อโดยไม่ล็อคประตู เกิดใครถลันเข้ามา เส่เยี่ยขายหน้าแย่เลยค่ะ ยิ่งในวังมีองครักษ์หลินที่ทำอะไรผลุบๆโผล่ๆไม่เหมือนชาวบ้านด้วย เพราะงั้นทรงพระรอบคอบมากค่ะ


โดย: หลินอี้ วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:45:15 น.  

 
อะไรกันค่ะ แค่น้ำจิ้มๆเองนะค่ะ ยงไม่ถึงฉากเข้าหอของพี่ลี่หูสักหน่อย เลือดหมดตัวกันซะล่ะ งั้นหนีไปนอนดีกว่า กะว่าจะมาสานต่อให้จบฉากสักหน่อย เปลี่ยนใจดีกว่า กลัวคนอ่านเป็นโลหิตจางกันซะก่อน โหะๆๆ

พี่หลิน..จดใหญ่เลยนะ ฉากหวีตแบบว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่อาจทำให้คนอ่านร้องไห้เชียวละค่ะ


โดย: ทับทิม IP: 125.26.40.131 วันที่: 3 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:13:45 น.  

 
1. เฮียเคเคยเล่นกับไป๋เสว่มาก่อนไหมคะ
2. จางงี้จะจัดฉากหุงข้าวให้ชิแลม—อาเส่ จริงเหรอคะ (อ๊ากกกก)
3. อ่านคำบรรยายของทับทิมแล้ว โอวตายๆๆๆ โชคดีมากมายที่ไม่ให้ชีรีไรท์ตั้งแต่แรก คนแก่อ่านแล้วจะเป็นลมเจงๆ
4. โย่ ทั้งหมดมันเป็นแผนของ ผกก ค่ะ คือ 1) ต้องให้ไม่มีใครอยู่ที่จวนเลย (ให้ถูฮูหยินไปทำบุญที่วัดฉือเอินซื่อ) คังซื่อจะได้ทางสะดวก 2) คือ ต้องล๊อคห้อง เพราะคังซื่อไม่ต้องการให้ใครมาเห็นตอนเขาสอบสวน (ในกรณีที่หลินกุอาจจะวิ่งกลับมา) และไม่ต้องการให้เส่เยี่ยหนีออกไป ทีแรกไม่ได้คิดจะทำอะไรนะคะ แค่จะเคลียร์เฉยๆ แต่ฉากสุดท้าย ลมหึงมันพาไปจริงๆ


โดย: realtomtam วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:35:22 น.  

 
ตอบแต๋มค่ะ
เฮียเคไม่เคยเล่นกับไป๋เสว่มาก่อนค่ะ ไม่รู้จักกันด้วยค่ะ ก็ตอนเฮียเคเล่นหนังอยู่ที่ไต้หวัน น้องไป๋ยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยค่ะ แล้วน้องไป๋ก็เป็นนักแสดงจากจีนด้วย เพราะงั้นจึงไม่เคยมาเจอกันสักครั้ง ยกเว้นแต่ในฟิคของทับทิมค่ะ ด้วยความชอบน้องไป๋เป็นการส่วนตัว น้องเค้าน่ารักดีก็เลยจัดไป 2 เรื่อง ให้หวีตหวานกะเฮียเคสุดเลิฟเต็มที่ (ใจปล้ำมากๆให้ชวนกันหุงข้าว) นี่ถ้าไม่รักไม่ยอมให้มีฉากกุ๊กกิ๊กกับเฮียเคหรอกนะค่ะ นี่กะว่าเรื่องต่อไปจะส่งเฮียเคไปกุ๊กกิ๊กกับอาเส่แทนค่ะ (คนนี้ก็รักอยากได้เป็นพี่สะใภ้ อิอิ) เดี๋ยวให้น้องไป๋รับเชิญเป็นน้องสาวอาเส่แทน แต่ไม่ได้ชอบเฮียเคแล้วค่ะ คือน้องไป๋บอกว่าเบื่อพี่เควินแล้ว พี่เควินชอบจูบจริง ฮ่าๆๆ

ป.ล. น้องไป๋เด็กกว่าเฮียเคเยอะมากๆๆ อายุห่างกันเกิน 1 รอบค่ะ (เหมาะเลยพี่ลี่หูอายุห่างจากน้องเซียง 1 รอบพอดีๆ)

ฉากหุงข้าวของคังซื่อกะเส่เยี่ยที่ช่วยบรรยายต่อให้ นิดหน่อยเองน๊า จริงๆทับทิมไม่สันทัดนะ ยืนยันเลย มันเขียนยากจริงๆนะแต๋ม แบบว่าจะบรรยายออกมายังไงไม่ให้ดูเกินงามอ่ะค่ะ นี่ถ้าแต๋มได้ไปอ่านนิยายที่เด็กดี จะบอกว่าเค้าเขียนกันแรงมากๆฉากหุงข้าวเนี่ยอ่ะค่ะ เรียกว่าเป็นลม หัวใจวาย เลือดไหลหมดตัวแน่ๆ ถึงภาษาเข้าจะสวยก็เถอะ แต่แบบว่านะ...ที่เล่ามาเนี่ย เพราะว่าก่อนจะเขียนฉากหุงข้าวของพี่ลี่หูได้ ทับทิมอ่านอยู่หลายเรื่องในเด็กดีค่ะ แต่ที่โดนใจภาษาสวยกำลังดี ต้องในซีรีย์ "มากกว่ารัก" ค่ะ


โดย: ทับทิม IP: 125.26.37.180 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:30:01 น.  

 
ที่แท้คังซื่อก็ทำไปเพราะหึง รู้งี้แกล้งให้หึงนานแระ

ตอนนี้รู้สึกไม่กล้าสู้หน้าเส่เยี่ยยังไงก็ไม่รู้ค่ะ ก็พี่สาวโดนรังแกขนาดนี้ แต่ว่าแฟนคลับกลับไม่โกรธคังซื่อ ก็ไม่รู้ดิชอบคังซื่อแล้วก็รู้ว่าคังซื่อรักเส่เยี่ยแค่ไหน อันนี้แหล่ะที่สำคัญ แต่อีกใจก็ห่วงความรู้สึกท่านลุงชี เฮ้อ

แต่นึกๆ ไปนึกมา นี่เราไม่ได้คิดถึงใจเส่เยี่ยเลย คิดแต่ว่าจะให้เส่เยี่ยคู่กับคนโน้นคนนี้ ฮือ ฮือ . . ผิดไปแล้วจ้าพี่จ๋า แต่ว่านะก็โกรธคังซื่อไม่ลงจริงๆ นี่หน่า


โดย: O-yohyo วันที่: 5 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:14:19 น.  

 
คาระวะทุกท่านคร๊าบบ

แนน มารายงานตัวแล้วคร๊าบบ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:44:30 น.  

 


ตามมาลงให้ดูที่นี่ด้วยแล้วกันนะครับ อิอิ

เริ่ม ต้นที่ 4 กองธง คือ กองธงเหลือง กองธงขาว กองธงน้ำเงิน และกองธงแดง ต่อมาเมื่อชาวแมนจูเพิ่มจำนวนขึ้น จึงสถาปนากองธงขึ้นอีก คือ กองธงเหลืองขอบแดง กองธงขาวขอบแดง กองธงน้ำเงินขอบแดง และกองธงแดงขอบขาว ทั้ง 8 กองธงรบ คือต้นกำเนิดของความยิ่งใหญ่แห่งกองทัพแมนจู


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:00:00 น.  

 


รูปนี้ คือ พระฉายาลักษณ์(ภาพถ่าย)ของฮองเฮาวานจง นะครับ (ตัวจริงครับ)
พระนางทรงเป็น ฮองเฮาในพระจักรพรรดิปูยี จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิง หรือ แมนจูอ่ะนะครับ ผมคิดว่าหลายๆท่านคงทราบ และฉลองพระองค์ที่พระนางทรงอยู่ในภาพนี้ เป็นฉลองพรองค์เต็มยศใช้ในงานพระราชพิธี ต่างๆ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:09:47 น.  

 


ส่วนภาพนี้ก็ ฮองเฮาวานจง ฉลองพระองค์ลำลอง


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:19:20 น.  

 


ส่วนภาพนี้คือ เหวินซิ่วเฟย หรือ สนมเหวินซิ่ว นะครับ พระนางเป็นสนมในพระจักรพรรดิปูยี ครับผม ถ้าผมจำไม่ผิด และข้อมูลที่เคยศึกษามาไม่ผิดพลาดนะครับ รวมถึงเคยดูในภาพยนตร์ เรื่อง The Last Emperor จักรพรรดิโลกไม่ลืม อ่ะนะครับ จักรพรรดิปูยี ท่านก็มี ฮองเฮาและสนม แค่ 2 องค์นี้แหล่ะครับ ภาพนี้ก็เช่นกันครับ สนมเหวินซิ่ว ฉลองพระองค์เต็มยศ ใช้ประกอบงานพระราชพิธี


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:26:35 น.  

 


ภาพนี้ก็ สนมเหวินซิ่ว ฉลองพระองค์ลำลอง

ปล. จะมองนางให้น่ารักก็น่ารัก นะ จะมองให้น่ากลัวก็น่ากลัว อ่ะนะ ทั้งสองพระองค์เลย อิอิ

สาธุ ไม่ได้ลบหลู่นะคร๊าบบ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:30:12 น.  

 


อ่ะนะ พอลงเป็นก็ลงกระจายเลยไอแนน แต่ก็นะ เอารูปเมียวเค้ามาลงแล้วไม่พา สวามี เค้ามาลงด้วย เดี๋ยวพวกจะงอนตามมาคิดบัญชีในฝันซะงั้นอีก

ภาพนี้ก็คือ พระบรมฉายาลักษณ์ (ภาพถ่าย) ของ พระจักรพรรดิ ซวนถ่ง (อ้ายซินเจี๊ยะหล๋อ ปูยี หรือ ผู่อี๋) ทรงเป็นฮ่องเต้ องค์สุดท้ายของราชวงศ์แมนจู และ องค์สุดท้ายของแผ่นดินจีน


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:45:31 น.  

 


ภาพนี้ก็ เป็นภาพที่ พระจักรพรรดิ ปูยี ฉายพระรูปร่วมกับ ฮองเฮาวานจง เท่าที่ศึกษาประวัติจากหนังสือ,เว็บไซด์ และ ดูหนังมานะครับ เค้าว่า ฮองเอาวานจง อายุเยอะกว่า ฮ่องเต้ปูยี ครับ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:54:35 น.  

 
แวะมาอ่านที่แนนแปะค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูล อยากดูรูปของฮ่องเต้คังซีตัวจริง แล้วก็ฮองเฮาของฮ่องเต้คังซีตัวจริงด้วยค่ะ

ที่อยากรู้อีกอย่างคือ ธรรมเนียมห้ามหญิงชาวฮั่นเป็นสนม เกิดในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ใดคะ คือพี่ดูละครเรื่อง "ตำรับรัก ตำนานสะท้านฟ้า" กฏนี้ตั้งขึ้นในสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง ไม่รู้ว่ามีมูลความจริงแค่ไหน

เพราะในศึกรักจอมราชัน ที่เป็นสมัยของฮ่องเต้เจียซิ่ง (ลูกของฮ่องเต้เฉียนหลง) ก็มีกฏข้อนี้แล้ว ที่เอ่อฉุนกับพี่สาวถึงต้องปิดบังฐานะตนเองไว้


ที่อยากรู้อีกข้อก็คือ ช่วยไล่ลำดับฮ่องเต้สมัยชิงให้หน่อยได้มั้ยคะ ไล่ตั้งแต่องค์แรกเลย จำได้เลาๆ ว่าเค้านับกันสองแบบ แบบที่ 1 ที่เป็นราชวงศ์แมนจู ที่ฮ่องเต้องค์แรกคือคนที่ยึดแผ่นดินได้ ต่อมาสถาปนาเป็นราชวงศ์ชิง ก็เริ่มนับจากฮ่องเต้คังซีเป็นองค์ที่ 1 ข้อมูลนี้ถูกต้องรึเปล่าคะ ช่วยไขปัญหาด้วยค่ะ


โดย: O-yohyo IP: 58.9.166.236 วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:54:40 น.  

 
ไปนอนแล้วค่ะ แวะมาบล็อกแต๋มเป็นที่สุดท้ายก่อนนอน เจอกันใหม่ในวันหยุดเจ้าค่ะ


โดย: O-yohyo IP: 58.9.166.236 วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:55:53 น.  

 
เข้ามาชมภาพค่ะ เห็นภาพฮองเฮากับฮ่องเต้ตัวจริงเสียงจริงแล้ว รู้สึกขนลุกอ่ะ ดูท่าทางฮองเฮายังเด็กไงไม่รุค่ะ ส่วนฮ่องเต้ปูยีนี่ใช่องค์เดียวกับที่เป็นละครช่อง 3 ป่าวคะ แบบชื่อนี้เหมือนคุ้นว่าเคยได้ยินมาก่อน
ในภาพนี่ฝ่ายชายเค้าใส่ชุดสากลแล้วเนอะ
พี่อยากเห็นภาพตัวจริงของฮ่องเต้คังซีอย่างที่ o-yo บอกด้วยค่ะ ถ้าแนนเจอรบกวนเอามาแปะให้ชมนะคะ


โดย: หลินอี้ วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:08:06 น.  

 
ขอมาแล้วโดน จัดให้ คร๊าบบบ

//img529.imageshack.us/img529/5291/013mqe.jpg

พระบรมสาทิศลักษณ์ (ภาพวาด) พระจักรพรรดิ นูรฮาชี (อ้ายซิยเจี๊ยะหลอ นูรฮาชี) ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ชิง แต่สมัยนั้น ยังไม่ได้เรียกว่าราชวงศ์ชิง นะครับ เรียกว่าราชวงศ์โฮ่วจิน พระองค์ทรงทำการรบกับราชวงศ์หมิงมาตลอดรัชกาล จนเสด็จสวรรคต เลยครับ

เท้าความย้อนไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่อง/ซ่ง เลยดีกว่านะครับ ในยุคสมัยของ เปาบุ้นจิ้น สมัยของขุนศึกตระกูลหยาง ตลอดจนเรื่ิองมังกรหยก แต่มังกรหยกผมคิดว่าน่าจะปลายๆราชวงศ์แล้วนะครับ เค้าว่ากันว่า ราชวงศ์ซ่งเนี่ย (ผมขอเรียก ซ่ง นะครับ ติดปากมากกว่าซ้อง) ชอบรังแกขูดรีด พวกชนเผ่าทุ่งหญ้านอกด่าน อันได้แก่ มองโกล และ กิมก๊ก
มองโกล สมัยนั้น ดังมากมายก็ต้องยกให้เค้าครับ เตมูจิน แล้วต่อมาถึงสถาปนาเป็นเจงกิสข่าน ส่วนกิมก๊กหรือเผ่าหนี่เจิน ก็น่าจะเป็นพวกแซ่หวังเหยียน กิมก๊ก นี่ก็คือ พวกแมนจูในอนาคตแหล่ะครับ ใครดูมังกรหยก ก็คงจะเคยได้ยิน ชื่อหวังเหยียนอากูต้า แล้วพ่อของเอี้ยก้วย คือ เอี้ยคัง ก็ยังเคยไปเสพสุขเป็นอ๋องน้อยของกิมก๊ก ใช้แซ่หวังเหยียน เช่นกัน เรียกหวังเหยียนคัง
ด้วยความที่ถูก ต้าซ่ง บีบบังคับรีดนาทาเร้นมานาน ทั้ง มองโกล และ หนี่เจิน ก็แค้นมาก หมายใจจะมายึดจงหยวนให้ได้ แต่ฟ้าก็ประทานโอกาสให้ เตมูจิน หรือเจงกิสข่าน ได้รับชัยชนะ ล้มล้างราชวงศ์ซ่งได้ สมปรารภนา และก่อตั้งราชวงศ์เหลียวขึ้นมาปกครองจีน จนเจงกิสข่านสวรรคต กุบไลข่าน ผู้เป็นหลานปู่ของเจงกิสข่าน ก็ขึ้นครองราชต่อ กุบไลข่าน นั้น เป็นข่านองค์แรก และ องค์เดียว ที่สามารถครองใจชาวจีนได้ หลังจากสิ้นกุบไลข่าน ก็ไม่มี ข่านองค์ไหนได้รับความจงรักภักดีเท่ากับท่าน จนมีชายเร่ร่อน ชื่อ จูหยวนจาง ซึ่งก่ินหน้านี้ จูหยวนจางบวชตั้งแต่เป็นเณรจนเป็นพระ แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองมีสงคราม จึงสึกออกมา และเข้าร่วมกับขบวนการโค่นล้ม ราชวงศ์เหลียว และ จูหยวนจาง ก็สร้างผลงานโดเด่น จนเป็นผู้นำทัพ และสุดท้าย ก็ได้สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นมา ปกครองมาหลายชั่วคน ถึงโดนแมนจูเข้ามาเทคโอเวอร์ได้ในที่สุด
พระจักรพรรดินูรฮาชี หรือข่านนูรฮาชี (บางทีก็เรียก นูเอ้อฮาเช่อ) พระองศ์สามารถรวมชนเผ่าในแมนจูเรียได้ทั้งหมด และสถาปนาราชวงศ์โฮ่วจินขึ้นและได้ทำสงครามกับราชวงศ์หมิงตลอดรัชกาลอย่างที่เรียนไว้ข้างต้นครับ





โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:32:06 น.  

 


อ้าวเวรกรรม ภาพไม่มา อ่ะๆ
พระจักรพรรดิ นูรฮาชี (อ้ายซิยเจี๊ยะหลอ นูรฮาชี) ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ชิง


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:36:46 น.  

 
//img29.imageshack.us/img29/9830/1213b.jpg

พี่ หลินอี้ ครับ จักรพรรดิปูยี พระราชสมภพในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) และ เสด็จสวรรคตในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) พระราชประวัติของพระองค์ ถูกนำมาทำเป็นหนังและภาพยนตร์ เยอะเหมือนกันนะครับ
ภาพนี้ ท่านฉลองพระองค์แบบตะวันตก หลังจากถูกคณะปฎิวัติ ขับไล่ออกจากพระราชวังต้องห้าม ด้วยการช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น ทูลเชิญเสด็จพระองค์กลับมาสถาปนาเป็นจักรพรรดิอีกครั้งในประเทศแมนจูเรีย แต่รู้สึกว่า ตอนนั้นจะเรียกว่า แมนจูกัว แต่การสถาปนาเป็นจักรพรรดิ ครั้งนี้ พระองค์ต้องทรงอยู่ภายใต้ อำนาจการควบคุมของรัฐบาลญี่ปุ่น จนสุดท้าย ญี่ปุ่นแพ้สงคราม พระองค์ถูกรัฐบาลรัสเซียจับกุมไปก่อนที่จะส่งกลับมาให้รัฐบาลจีน ในฐานะ อาชกรสงคราม แต่พระองค์ก้ได้รับการปล่อยตัวออกจากสถานกักกัน และใช้ชีวิตอย่างสามัญชน จนเสียชีวิต

เอาหล่ะ เดี๋ยวต่อไป จะเข้าเรื่องเรียงลำดับ ฮ่องเต้แมยจูต่อหล่ะนะ อิอิ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:54:20 น.  

 


สงสัยผมจะพลาด รูปไม่ขึ้น 2 เม้น และ อิอิ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 24 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:57:07 น.  

 


พระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ (อ้ายซิยเจี๊ยะหลอ อสบาไฮ) เป็นโอรสองค์ที่ 8 (องค์สุดท้อง)ใน พระจักรพรรดิ/ข่าน นูรอาชี ทรงขึ้นครองราชย์ได้เพราะทรงรบชนะ บรรดาพี่ๆ ทั้ง7 ซึ่งสู้รบแย่งชิงบัลลังก์ กันเอง
พระองค์ทรงเปลี่ยน ชื่อราชวงศ์จากโฮ่วจิน มาเป็น ราชวงศ์ชิง และเปลี่ยนมาใช้คำว่าจักรพรริดิ แทน คำว่า ข่าน เพื่อให้เหมือน จักรพรรดิ ราชวงศ์หมิง (เหมือนเอาเคล็ดเลยเนอะ คืออยากปกครองแผ่นดินเค้าเลยต้องเรียกให้เหมือนเค้าประมาณนั้น อิอิ) แต่พระองค์ก็ไม่ถึงฝั่งฝัน สวรรคตก่อนจะยึดแผ่นดินจีนได้ทั้งหมด

พร


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:09:32 น.  

 
//img188.imageshack.us/img188/8645/96926376.jpg

ลำดับต่อไป ขอเชิยพบกับ

พระจักรพรรดิ ซุ่นจื้อ(อ้ายซินเจี๊ยะหลอ ฟู่หลิน)
เอาหล่ะครับ มาถึงแล้ว ที่พี่ O-yohyo ถามไว้ เรื่องการนับรัชกาล คือ ถ้านับทั้งราชวงศ์ องค์นี้จะเป็นรัชกาลที่ 3 ของแมนจู แต่เป็นฮ่องเต้ องค์แรกที่ได้ปรกครองจีนและประทับในพระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่ง และเป็นการล่มสลายของราชวงศ์หมิงอย่างเด็ดขาด
พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนม์พรรษาเพียง 6 พรรษา สืบต่อจากพระราชบิดา คือ พระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ (อ้ายซิยเจี๊ยะหลอ อาบาไฮ) ด้วยความที่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์จึงมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือ อ๋องทอร์คุน พระอนุชาต่างพระมารดาของ พระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ ราชสำนักในสมัยนั้นประกาศว่าพระองค์ทรงสวรรคตด้วยพระชนมายุเพียง 24 พรรษา ด้วยไข้ทรพิษ
แต่ก้มีการพูดกันปากต่อปาก จนเป็นละครภาพยนตร์ให้ได้ดูกันทุกวันนี้ว่า พระองค์ทรงเสียพระทัยที่สนมคนโปรดเสียชีวิตไป พระองค์จึงทิ้งบัลลังก์ ออกผนวช อย่างที่พวกเราคงเคยดูกัน ในเรื่อง อุ้ยเสี่ยวป้อ และ ซือกง ที่ฮ่องเต้คังซี ออกตามหาบิดา


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:35:18 น.  

 


เง้อ พลาดอีกและ รูปไม่ติด อย่าถือสาครับ มือใหม่ อิอิ
พระบรมสาทิสลักษณ์ พระจักรพรรดิ ซุ่นจื้อ(อ้ายซินเจี๊ยะหลอ ฟู่หลิน)


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:37:16 น.  

 


มาแว้ววว ลำดับต่อไป พระจักรพรรดิ คังซี (อ้ายซินเจี๊ยะหลอ เสวียนเย่) เสียใจครับ หารูปสมัยหนุ่มๆของท่านไม่มีจริงๆมีแต่วัยชราเนี่ย
ทรงเป็นพระโอรสของจักรพรรดิซุ่นจื้อ ทรงขึ้นครองราชย์ตอนพระชนมายุ 8 พรรษา หวังว่าคงไม่ต้องบอกในบอร์ดนี้มั้งครับว่าสมัยพระองค์ทรงพระเยาว์ ใครสำเร็จราชการแทนบ้าง อิอิ จะมีใคร นอกจาก อ้าวไป้ ใช่ป่ะ อิอิ
ทรงออกว่าราชการเองครั้งแรกเมื่อ พระชนมายุ 13 พรรษา และ จนพระชนมายุ 19 พรรษา
อ้าวไป้ เหิมเกริม จนก่อการกบฎ ขึ้นและอ้าวไป้ก็ถูกกำจัดได้ในที่สุด
รัชสมัยของจักรพรรดิคังซีนับเป็นระยะเวลาวิกฤตของราชวง์ชิง เพราะมีการต่อสู้ระหว่างชาวฮั่นที่ต้องการกู้ราชวงศ์หมิง รวมถึงชนเผ่าอื่น ๆ ที่ต้องการก่อกบฏ จักรพรรดิคังซีทำสงครามภายในประเทศยาวนานถึง 8 ปี จึงพิชิตแคว้นต่าง ๆ ได้ราบคาบ ก่อนที่พระองค์จะมีพระชนมายุ 30 พรรษา ทั้งขยายอาณาเขตถึงมองโกเลียและทิเบต และได้ทำสงครามกับรัสเซียในยุคสมัยของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช และได้รับชัยชนะด้วย

ที่ว่ายุควิกฤติเพราะมีศัตรูเยอะมากและแรงต่อต้านจากราษฎรขาวฮั่น มีคำคำนึง ผมชอบมาก มาจากเรื่อง อุ้ยเสี่ยวป้อ เวอร์ชั่น จางเหว่ยเจี้ยน ตอนที่คังซีเสด็จไปพบ พระภิกษุพระราชบิดา ที่วัด ตามเนื้อเรื่องอุ้ยเสี่ยวป้อตามหาจนเจอและมีรับสั่งให้อุ้ยเสี่ยวป้อบวชอยู่วัดนั้น เพื่อโน้มน้าวให้พระบิดาของพระองค์เสด็จกลับ อุ้ยเสี่ยวป้อที่ว่าแน่ วาจามหาเสน่ห์ ป้อ สาวๆจนติดได้ตั้ง 7 คน ก็จริง แต่วาจาของเสี่ยวป้อ ไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจทูลเชิญ อดีตฮ่องเต้พระองค์นี้ให้กลับวังได้ จนคังซีต้องเสด็จตามมาเอง เป็นการส่วนพระองค์ ฮ่องเต้เฒ่า รับสั่งกับฮ่องเต้ลูกชายว่า พ่อไม่กลับ เจ้ากลับไปเถิอ ไปทำหน้าที่ให้ดี เป็นฮ่องเต้ที่ดี เอาชนะใจชาวฮั่นนั้นไม่ยาก ลดภาษีลงบ้าง อย่าขูดรีดเค้า เอาใจใส่พวกเค้าให้มากๆ หากเจ้าทำได้ขนาดนี้ แล้วเค้ายังต่อต้านเราก็จงกลับไปในที่ ที่บรรพชนของเราจากมา กลับไปอยู่ในที่ของเรา.

หุหุ ฉากนี้ เรียกน้ำตาได้เลยครับพี่น้องครับ อิอิ

จักรพรรดิคังซีสวรรคตในปี พ.ศ. 2265 (ค.ศ. 1722) รวมระยะเวลาครองราชย์ยาวนานถึง 61 ปี นับเป็นจักรพรรดิที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาตร์จีน



โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:05:38 น.  

 


รายการต่อไป ตำนานศึกสายเลือดมาแล้ว องค์ชาย 4
พระจักรพรรดิ หย่งเจิ้น(อ้ายซินเจี๊ยะหลอ อิ๋นเจิ้น) เป็นโอรสองค์ที่ 4 ในพระจักรพรรดิคังซี
พระองค์ขึ้นครองราชย์โดยมิได้เป็นรัชทายาท เล่ากันว่า พระองค์ทรงเป็นโอรสองค์เดียวที่สามารถเลียนแบบลายพระหัตถ์ของพระจักรพรรดิคังซีได้ พระองค์จึงวางแผนกับมหาอมาตย์หลงเคอตัว (ผมจำไม่ได้ว่า หลงเคอตัว เป็นพี่ชายหรือน้องชายของพระมารดาท่านนี่แหล่ะ) ปลอมแปลงลายพระหัตถ์ของจักรพรรดิคังซีจากคำว่า ขอยกบัลลังก์ให้กับองค์ชาย 14 แก้เป็นคำว่า ให้กับองค์ชายลำดับที่ 4 ขึ้นครองราชย์สืบต่อไป (ดั่งคำว่า อักษรจีน เขียนผิด 1 ขีด เปลี่ยนฟ้าเป็นดินได้) พระราชพินัยกรรมนี้ ถูกเก็บไว้บนขื่อหลังป้ายในท้องพระโรง พอวันที่เปิดพระราชพินัยกรรม บรรดาขุนนางไม่ข้องใจในลายพระราชหัตถ์ แต่กลับติดใจ ในข้อความว่า ทำไมไม่ทรงเขียนว่า ให้องค์ชาย 4 ขึ้นครองราชย์สืบไป แต่ทำไมต้องเขียนว่า ให้องค์ชายลำดับที่ 4 ทำไมต้องมีคำว่าลำดับที่ ด้วยแต่ก็ทำได้แค่ สงสัย เพราะลายพระหัตถ์ก็ใช่ และที่สำคัญ กล่องใส่พระราชพินัยกรรม ก็ถูกล๊อคด้วยแม่กุญแจ 3 ลูก ล๊อคสามด้าน โดยให้ สามขุนนางผู้ใหญ่ เป็นคนถือคนละดอก และวันเปิดก็ให้ต่างคนต่างน้ำกุญแจมาไขด้านใครด้านมัน และ 1 ใน 3 ขุนนางผู้ใหญ่ก็คือ หลงเคอตัว ขุนนางทั้งหลายคิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่ ที่องค์ชาย 4 จะสามารถดึงตัวขุนนางอีก 2 คนมาช่วยในการนี้ได้ หุหุ แต่เหล่าขุนนางหารู้ไม่ว่า องค์ชาย 4 กับหลงเคอตัว มีวิธีเปิดกล่องเพื่อแก้พระพินัยกรรม โดยไม่ต้องใช้กุญแจจากขุนนางอีก 2 คน อิอิ
เมื่อขึ้นครองราชย์ สิ่งแรกที่พระองค์ทรงทำ คือ การเปลี่ยนวิธีการแต่งตั้งองค์รัชทายาท โดยจารึกพระนามขององค์รัชทายาทไว้ 2 ชุด ชุดแรกเก็บไว้กับตัวพระองค์เอง อีกชุดนึงเก็บไว้ซึ่งเก็บไว้ในหีบลับปิดผนึกแล้ววางไว้ที่ป้ายโลหะหน้าท้องพระโรง และให้เปิดทั้ง 2 ป้ายนี้อ่านพร้อมกันเมื่อพระองค์สวรรคต

พระองค์ เป็นฮ่องเต้แมนจูอีกพระองค์นึง ที่ถูกนำมาสร้างเป็น หนัง ละคร บ่อยๆ ที่ดังมากๆ ก็คือ ศึกสายเลือด อิอิ



ง่วงและครับ เดี๋นสรัชกาลต่อไปคือ เฉียนหลงฮ่องเต้และหล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ มาลงต่อให้ใหม่นะคับ






โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:40:24 น.  

 
ขอบคุณแนนสำหรับภาพจักรพรรดิ์ปูยีค่ะ เขาเป็นจักรพรรดิ์ของแมนจูนี่เอง
อ่านประวัติของแมนจูแล้วเข้าใจขึ้นเยอะเลย เพิ่งรู้ว่า กิมก๊ก ก็คือเผ่าแมนจูในอดีตนั่นเอง แล้วก็ในอนาคตกลายเป็นราชวงศ์เหลียว (เป็นที่มาของตำแหน่ง ขุนพลปราบเหลียวนี่เอ้ง) ชื่อ จูหยวนจางนี่คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ถ้าทางจะมีการทำหนังเกี่ยวกับคนนี้บ้างล่ะนะ
ว่าแต่คนชื่อจางๆเนี่ย มักจะเก่ง ฉลาด เป็นผู้นำ หุหุ แล้วจากเหลียวก็หลายเป็นหมิง และก็กลายเป็นแมนจู โอ้ เข้าใจแล้วค่ะ

อ่านประวัติคังซืเพลินเลยค่ะ เสียดายที่ภาพปลากรอบเป็นภาพวาดไม่ใช่ภาพจริง ตกลง หย่งเจิ้น รัชทายาทอันดับ 4 แก้พินัยกรรมซะนี่ ร้ายจริงๆ แล้วองค์ชาย 14 นี่ทำไมถึงเป็นรัชทายาทที่ฮ่องเต้ตั้งใจให้สืบทอดบัลลังค์ล่ะคะ เค้ามีดีอะไร คือพี่ไม่เคยดูศึกสายเลือดเลยค่ะ (ใช่เรื่องเดียวกับศึกลำน้ำเลือดป่าวอ่า)
แล้วทำไมฮ่องเต้ถึงไม่เรียงรัชทายาทจากลำดับที่ 1 มาล่ะคะ รออ่านต่อไปค่ะ


โดย: หลินอี้ วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:9:43:45 น.  

 
เดี๋ยวนะครับพี่ ผมอ่านของพี่แล้วผม งง เอง

แล้วผมย้อนกลับไปอ่านข้างบนของตัวเอง ก็เข้าใจว่าเมื่อคืน ผมเบลอเองด้วย

คือที่ผมบอกว่าเหลียวอ่ะ โอเค ใช่ครับเหลียวคือ มองโกล แต่ กิมก๊กหรือแมนจู คนละพวกกับ มองโกลหรือเหลียวนะครับ
เอาเป็นว่า เราเอามองโกลตั้งนะครับ แล้วเราจะพูดถึงชื่อต่างๆที่เกี่ยวกับ มองโกล ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ หรือ แคว้นของเค้านะครับ เพราะบางที ผู้นำมองโกลในแต่ละยุคพี่แกอยากจะตั้งชื่อราชวงศ์ เป็นชื่อเดียวกับแคว้น หรือแกอยากจะเปลี่ยนกลับไปกลับมา ใครก็ไปยุ่ีงกับพี่แกไม่ได้ ฮ่าๆๆ บางทีอ่านแล้วก็ประสาทจะกินกับเค้า (สรุป ท่านจะใช้ชื่อเดียวไม่ได้ใช่มั้ยครับ 555+)

อ่ะนะเริ่มนะครับ คำที่เกี่ยวกับ มองโกล นะ 1.เผ่าชิตัน 2. แคว้นเหลียว(เหลียวก๊ก) 3.ราชวงศ์เหลียว 4.ราชวงศ์หยวน
ชื่อแคว้นและชื่อราชวงศ์เป็นชื่อเดียวกัน แต่มีการปรับเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง อาทิเช่น ในปี พ.ศ. 1481 ชิตันสถาปนาดินแดน 16 เมืองที่ได้รับมอบ ตั้งเป็นต้าเหลียว ปี พ.ศ. 1490 ล้มล้างราชวงศ์โฮ่วจิ้นสถาปนาราชวงศ์ต้าเหลียวขึ้นที่เมืองไคฟง จากนั้นปี พ.ศ. 1526 ใช้ชื่อชิตัน ถึงปี พ.ศ. 1609 กลับมาใช้ชื่อแคว้นเหลียวอีกครั้ง งงกับพวกมันมั้ย หุหุ นอกจากนี้ก็ยังมี แคว้นซีเซี่ย อีกนะครับ ที่พอจะมีชื่อเสียงได้ยินกันในหนังจีนบางอ่ะนะ คือ มองโกลมันเป็นดินแดนกว้างใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงยุโรปตะวันออก อยู่กันเป็นร้อยเผ่าครับ ก็พลัดกันเก่งพลัดกันใหญ่ เลยมีกันสารพัดชื่อ แต่คนที่รวบรวมเผ่าต่างๆแล้วก่อตั้งจักรวรรดิมองโกล ก็คือ เตมูจิน หรือ เจงกิสข่าน นั่งเอง


แล้วผมขอแก้ไข ข้อความข้างบนของตัวเองว่า กุบไลข่าน พอตีราชวงศ์ซ่งแตก ก็สถาปนา ราชวงศ์หยวนครับ ไม่ใช่เหลียว ผมเบลอ เอง อิอิ แล้วต่อมา ก็เป็นราชวงศ์หมิง สถาปนาโดยจูหยวนจาง แล้วปลายราชวงศ์หมิง ผมลืมเล่าส่วนนี้ไปว่า อ้ายซิยเจี๊ยะหลอ นูรฮาชี เดิมเป็นขุนนาง นอกด่าน ของราชวงศ์หมิง วันดีคืนดีเห็นราชวงศ์หมิงเริ่มอ่อนแอ จึงรวมเผ่าแถบๆแมนจูทั้งหลาย แล้วตั้งราชวงศ์โฮ่วจิน ต่อมา ก็เปลี่ยนเป็น ราชวงศ์ชิง ตลอดมาจนล่มสลาย ในยุคคอมมิวนิส อิอิ

อ่ะ มาดู แมนจู มั่ง คำที่เกี่ยวกับแมนจูนะครับ
1.เผ่าหนี่เจิน 2.แคว้นกิม/จิน (กิมก๊ก/จินก๊ก) 3.ราชวงศ์โฮวจิน 4.ราชวงศ์ชิง
สรุปว่า เรื่องนี้ เจ๊เคลียร์ยังครับ อิอิ ผมพยายามอธิบายสุดๆและ อิอิ เอาเป็นว่า มองโกล อยู่ทางเหนือ แมนจู อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ
คนจีนหรือชาวฮั่น จะเรียกพวกคนเหล่านี้ว่า พวกนอกด่าน พวกชนเผ่าทุ่งหญ้า และมักจะชอบไปกดขี่บังคับพวกชนเผ่าเหล่านี้ และ ไอพวกชนเผ่านอกด่านนี้ อย่างที่เราเห็นๆ ในสารคดี พวกเค้าก็จะเร่ร่อนไปตามทุ่งหญ้าเรื่อยไป กางกระโจมกันไปเรื่อย เลี่ยงสัตว์ต้อนสัตว์กันไป ผมเลยคิดเองนะครับ ว่าทำไมมันถึงชอบที่จะลงมาตี ภาคกลางหรือที่เรียกว่า จงหยวน กันนัก หรือเพราะพวกมันอาจจะอยากได้ดินแดนอันสมบูรณ์ และที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ก็ได้เนอะ

อ่ะครับ ขอตอบข้อต่อไปนะครับ

อ่านประวัติคังซืเพลินเลยค่ะ เสียดายที่ภาพปลากรอบเป็นภาพวาดไม่ใช่ภาพจริง

อืมม เท่าที่เคยดู ซีรี่ย์ หลายๆเรื่อง ที่สร้างแบบอิงประวัติศาสตร์ ที่สุดอ่ะนะครับ คือไม่ได้อิงไปทางวรรณกรรมอ่ะครับ ไม่ว่าจะเรื่องซุ่นจื้อ คังซี หรือ หย่งเจิ้น โดยมากก็มักจะมีฉากที่ ฮ่องเต้ รับสั่งให้ช่างชาวฝรั่งมาวาดภาพพระองคืเก็บไว้ อย่างเรื่องลีซาน ที่มีศูนย์ศิลปะ ไว้คอยวาดภาพเหตุการณ์ต่างๆทำเป็นจดหมายเหตุ บันทึกไว้ ของราชวงศ์ชิง เค้าก็มีสำนักศิลปะของราชสำนักเช่นกัน ผมจึงขอสันนิษฐานว่า รูปที่เห็นน่าจะใกล้เคียงหรืออาจจะเหมือนเป๊ะเลยก็ได้ครับ ส่วนเรื่องที่จะให้มีรูปถ่ายจริงๆของคังซีนั้น ผมว่าไม่น่าจะมีแน่นอน เพราะรัชสมัยของจักพรรดิคังซีตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและราชวงศ์บ้านพลูหลวงของอาณาจักรอโยธยา และในสมัยนั้นของทั้งจีนและอโยธยา ผมว่า แค่กล้องส่องทางไกล ก็นับว่าไฮเทคฯมากแล้วครับ และในยุคของพระนางซูสีไทเฮา กล้องถ่ายรูป ยังถือเป็นของแปลกใหม่มากๆด้วยนะครับ เพราะสังเกตุจากเรื่องหวงเฟยหง อ่ะครับ หวงเฟยหงก็อยู่ในยุคปลายของราชวงศ์ชิงแล้วครับ

ขอตอบข้อต่อไปครับ

แล้วองค์ชาย 14 นี่ทำไมถึงเป็นรัชทายาทที่ฮ่องเต้ตั้งใจให้สืบทอดบัลลังค์ล่ะคะ เค้ามีดีอะไร คือพี่ไม่เคยดูศึกสายเลือดเลยค่ะ (ใช่เรื่องเดียวกับศึกลำน้ำเลือดป่าวอ่า)

คนละเรื่องกับศึกลำน้ำเลือดครับ
เท่าที่ผมจำได้นะครับ องค์ชาย 14 นั้นเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ คังซีแต่งตั้งให้เป็น แม่ทัพตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนที่เจ๊ ว่าทำไมไม่ตั้งองค์ชายใหญ่ และ องค์ชายรองตามลำดับ ครับ ปลายรัชสมัยคังซี พระโอรสองค์รอง เป็นรัชทายาทอยู่ครับ ส่วนองค์ชายใหญ่นั้น อ่อนแอ หน่อมแน๊ม ไม่ได้เรื่อง จึงไม่ได้รับเลือก ให้เป็นรัชทายาทแต่ก็ไม่ได้ว่าพี่แกไม่อยากเป็นนะครับ แต่ไม่เก๋าพอ หนำว้ำยังโดนบรรดาองค์ชายทั้งหลายใส่ร้ายว่าทำคุณไสยใส่องค์รัชทายาทด้วย เรียกว่าดับอนาคตกันไปเลย ส่วนองค์ชายรองนั้น หลังๆมาเหมือนจะโดนของจริง มีอาการคุ้มคลั่งบ้าง ป้ำๆเป๋อๆบาง ตลอดจนมีการพูดนินทากันในโรงน้ำชาว่า องค์ชายรอง หรือ รัชทายาทองค์นี้ ท่านเป็นเกย์ เพราะมักจะเรียกเด็กหนุ่มๆ เข้าไปในตำหนักบ่อย หลังๆมา คังซีจึงปลดด้วยเหตุผลที่ว่า องค์รัชทายาท มีสุขภาพทั้งร่ายกายและจิตใจไม่ปกติ คังซีจึงหมายมั่น องค์ชาย 14 ให้ครองราชย์ต่อ แต่ไม่ได้ตั้งเป็นรัชทายาท แต่สุดท้าย ก็เสร็จ องค์ชาย 4
ที่เค้าว่าองค์ชาย 4 โหด เป็นจักรพรรดิบัลลังก์เลือด ก็เพราะว่า องค์ชาย 4 กับ องค์ชาย 14 นั้น เป็นลูกแม่เดียวกัน ไม่ใช่พี่น้องต่างมารดา เหมือนองค์ชายองค์อื่นๆ



โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:58:30 น.  

 
ขอตอบข้อนี้ต่อนะครับ พร้อมกับเข้าสู่รัชสมัยของพระจักรพรรดิเฉียนหลงไปเลยนะครับ

แล้วทำไมฮ่องเต้ถึงไม่เรียงรัชทายาทจากลำดับที่ 1

การสรรหาคัดเลือกรัชทายาทนะครับ ผมว่าโดยมากจะไม่เพ่งเล็งเลือกตามลำดับอ่นะครับ แต่จะเลือกกันที่ความสามารถ คังซีนั้น มักจะชอบทดสอบ จัดการแข่งขันระหว่างโอรสของท่านอยู่บ่อยๆ เพื่อจะสังเกตุว่าใครมีฝีมือมีนิสัยอย่างไร ผมว่านะด้วยเหตุนี้เลยทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างองค์ชายทั้งหลาย และนอกจากองค์ชาย 14 ที่คังซีหมายมั่นจะให้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป คังซี ยังพอพระทัยและโปรดพระราชนัดดา(หลาน)พระองค์นึง นามว่า หงลี่ และคังซีทรงทำนายว่า ด้วยความฉลาดและความสามารถขององค์ชายน้อยหงลี่ อนาคต องค์ชายน้อยพระองค์นี้ ต้องได้เป็นฮ่องเต้แน่นอน ความเป็นจริงดังคำทำนาย เพราะองค์ชายน้องหงลี่ คือ โอรส ขององค์ชาย 4 อิ๋นเจิ้น เมื่อองค์ชาย 4 อิ๊นเจิ้น ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนาม จักรพรรดิหย่งเจิ้น ก็ทรงโปรด องค์ชายหงลี่ มาก เมื่อ ฮ่องเต้หย่งเจิ้น เสด็จสวรรคต และเหล่าขุนนางได้เปิดพระราชพินัยกรรมของพระองค์ ก็ปรากฎว่าหวยออกที่ องค์ชายหงลี่ นั่นเอง ทรงขึ้นครองราชย์ มีพระนามว่า พระจักรพรรดิเฉียนหลง ความเหมือนที่แตกต่างของพ่อลูกคู่นี้ก็คือ ทั้งฮ่องเต้หย่งเจิ้น และ ฮ่องเต้เฉียนหลง พระองค์ทั้ง 2 เป็นโอรส องค์ที่ 4 เหมือนกัน ได้เป็นฮ่องเต้เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนตรงที่ เฉียนหลงได้รับเลือกจากพ่อและเป็นที่โปรดปรานของพ่อ แต่หย่งเจิ้น ไม่ได้รับเลือกจากพ่อ








อ้ายซินเจี๊ยะหลอ หงลี่ / พระจักรพรรดิ เฉียนหลง


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:19:51 น.  

 


รูปวาดพระจักรพรรดิเฉียนหลงในวัยหนุ่ม

รัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงมีเรื่องราวที่เป็นสีสัน เล่าขาน เป็นตำนานต่าง ๆ มากมาย ทั้งเรื่องที่ลือกันว่าแท้ที่จริงแล้วพระองค์มีพระมารดาเป็นสาวสามัญชนชาวฮั่น หรือเรื่องราวที่ชอบปลอมตัวเองเป็นสามัญชนท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ จนได้ฉายาว่า "จักรพรรดิเจ้าสำราญ" และเรื่องราวความรักที่มีต่อ มเหสีองค์ต่าง ๆ เช่น มเหสีองค์แรกที่ชื่อ ฟูฉา ได้จากไปแต่ยังสาว เพราะตรอมใจที่จักรพรรดิเฉียนหลงแอบมีความสัมพันธ์กับเมียของขุนนาง ซึ่งขุนนางคนนั้นเป็นพี่ชายของพระนางเอง และก่อนหน้านั้นพระโอรสองค์แรกก็จากไปตั้งแต่ยังเล็กเนื่องจากประชวร หรือเรื่องของ พระสนมหานเซียง หญิงงาม แห่ง "เผ่าหุย" ที่เล่ากันว่ามีกลิ่นตัวที่หอมราวกับดอกไม้แม้แต่ผีเสื้อหรือ แมลงก็ยังมาตอมที่ตัวนาง แต่ท้ายที่สุดก็ถูกประหารชีวิต เพราะพระพันปีหลวงไม่ทรงโปรด รวมทั้งเรื่องขององค์หญิงหวนจู ซึ่งเล่าขานกันว่าองค์หญิงหวนจูนั้นคือธิดาอันเกิดจากจักรพรรดิ์เฉียนหลง กับ สาวชาวบ้านธรรมดา


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:34:16 น.  

 


พระจักรพรรดิเฉียนหลง ฉลองพระองค์ชุดเกราะแบบแมนจูทรงม้าศึก

จักรพรรดิเฉียนหลงทรงมีพระโอรสที่ปรีชาสามารถมากคือองค์ชายหย่งฉี พระโอรสองค์ที่ 5 ซึ่งประสูติจากฮองเฮาองค์ที่ 2 องค์ชายหย่งฉีเป็นผู้ที่ปรีชาสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นความหวังว่าจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ แต่กลับสิ้นพระชนม์เสียก่อนตั้งแต่ยังหนุ่ม


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:40:28 น.  

 


พระจักรพรรดิ เฉียนหลง วัยชรา

ในปี พ.ศ. 2338 (ค.ศ. 1795) ปีที่ 60 ที่ทรงครองราชย์จักรพรรดิเฉียนหลงได้สละราชสมบัติให้พระโอรสที่ชื่อ หย่งเยี๋ยน พระโอรสองค์ที่ 15 ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเจี่ยชิ่ง ด้วยไม่ทรงปรารถนาจะครองราชย์ยาวนานเกินกว่าจักรพรรดิคังซีผู้ทรงเป็นพระอัยกา (ปู่) อย่างไรก็ตามแม้จะสละราชบัลลังค์แล้วแต่อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่กับพระองค์ โดยทรงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น พระบิดาหลวง หรือ จักพรรดิสูงสุด (ไท่ซั่งหวง)


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:44:13 น.  

 


ที่พี่ O-yohyo ถามไว้ว่า
ที่อยากรู้อีกอย่างคือ ธรรมเนียมห้ามหญิงชาวฮั่นเป็นสนม เกิดในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ใดคะ คือพี่ดูละครเรื่อง "ตำรับรัก ตำนานสะท้านฟ้า" กฏนี้ตั้งขึ้นในสมัยฮ่องเต้เฉียนหลง ไม่รู้ว่ามีมูลความจริงแค่ไหน เพราะในศึกรักจอมราชัน ที่เป็นสมัยของฮ่องเต้เจียซิ่ง (ลูกของฮ่องเต้เฉียนหลง) ก็มีกฏข้อนี้แล้ว ที่เอ่อฉุนกับพี่สาวถึงต้องปิดบังฐานะตนเองไว้

มีคำตอบในรัชสมัยนี้ครับผม


อ้ายซินเจี๊ยะหลอ หย่งเยี๋ยน / พระจักรพรรดิ เจี่ยชิ่ง
เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2339 (ค.ศ. 1796) เมื่อพระชนมายุได้ 37 พรรษา ภายหลังการสละราชสมบัติของจักรพรรดิเฉียนหลง พระราชบิดา แต่อำนาจในการปกครองแผ่นดินแท้จริงยังอยู่ในจักรพรรดิเฉียนหลง เมื่อจนถึงปีที่ 3 ที่ทรงครองราชย์ พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) จักรพรรดิเฉียนหลงได้สวรรคต และพระองค์จึงได้อำนาจในการปกครองอย่างแท้จริง
ในรัชสมัยของจักรพรรดิเจี่ยชิ่ง ปรากฏกรณีที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติมาตลอด เช่น เกิดกบฏต่างๆ การที่เวียดนามขอ แยกออกไปเป็นประเทศเอกราช เป็นต้น ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทั้งนโยบายที่ผ่อนปรนและแข็งกร้าวสลับกันไป เช่น การห้ามชาวแมนจูแต่งงานกับชาวฮั่นเด็ดขาด หรือ การห้ามชาวคริสต์เผยแพร่ศาสนาเด็ดขาด รวมทั้งการห้ามราษฎรสูบฝิ่นด้วย เป็นต้น ซึ่งสิ่งทั้งหมดเหล่านี้จะส่งผลต่อความมั่นคงตามมาในภายหลัง




โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:03:38 น.  

 


อ้ายซินเจี๊ยะหลอ เหมี่ยนหนิง / พระจักรพรรดิ เต้ากวง
พระนามเดิม เหมี่ยนหนิง นั้น แปลว่า อาทิตย์อัสดง แต่ได้เปลี่ยนพระนามใหม่ภายหลังขึ้นครองราชย์ว่า หมิ่นหนิง แปลว่า ท้องฟ้า หรือ จักรวาล
จักรพรรดิเต้ากวง ขึ้นครองราชย์ภายหลังการสวรรคตอย่างกระทันหันของจักรพรรดิเจี่ยชิ่ง ในปี พ.ศ. 2363 (ค.ศ. 1820) ระหว่างเสด็จแปรพระราชฐานหลบร้อนไปยังเมืองเฉิงเต๋อ ซึ่งได้มีพระราชโองการแต่งตั้งไว้ในพินัยกรรม แต่เนื่องจากการที่สวรรคตในที่ห่างไกลเมืองหลวง จึงทำให้ องค์ชายสี่ เหมี่ยนซิน พระโอรสองค์เล็กของพระนางเสี้ยวเหอคัดค้านว่า เป็นพินัยกรรมปลอม และเตรียมการจะก่อกบฏ พระองค์จึงทรงวางแผนโยนไปให้พระนางเสี้ยวเหอตัดสินและได้ขอกำลังทหารส่วน หนึ่งมาคุ้มกัน ซึ่งพระนางเสี้ยวเหอได้ยอมรับว่า พินัยกรรมนั้นเป็นของจริง และได้ทรงพระราชทานอภัยโทษประหารองค์ชายเหมี่ยนซินไว้

ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง ได้ทรงหาทางกำจัดขุนนางกังฉินและบรรดาขุนนางที่ไม่เอาการเอางาน จึงทำให้เหล่าขุนนางลับหลังจะนินทาพระองค์อยู่เสมอ ๆ และทำให้ขุนนางแบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่ายต่างก็สนับสนุนพระโอรสอันเกิดจาก พระมารดาที่เป็นชนเผ่าเดียวกับตน แต่พระองค์ก็ได้หาทางบริหารประเทศอย่างเต็มที่ ในรัชสมัยของพระองค์ประเทศเป็นปึกแผ่น ดูเหมือนเข้มแข็ง แต่ภายในอ่อนแออันเกิดจากการฉ้อราฎร์บังหลวงที่เป็นระบบกันมานานแต่สมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ในรัชสมัยนี้พระองค์ได้ออกนโยบายให้ทุกคนในวังประหยัด โดยมีพระองค์เป็นแบบอย่าง และเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือ สงครามฝิ่นกับอังกฤษในปี พ.ศ. 2382 (ค.ศ. 1839) และ พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) ยุคล่าอาณานิคม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และนำมาสู่การสูญเสียเกาะฮ่องกงและเริ่มเข้าสู่การล่มสลายของราชวงศ์ชิงในภายหลัง

จักรพรรดิเต้ากวงมีอุปนิสัยส่วนพระองค์คือ โปรดปรานปืนเป็นพิเศษ พระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850)


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:13:51 น.  

 


รัชกาลต่อไป พระสวามีของ พระนางซูสีไทเฮา

อ้ายซินเจี๊ยะหลอ อี้จู่ / พระจักรพรรดิ เสียนเฟิง

เป็นราชโอรสองศ์ที่ 4 ของจักรพรรดิเต้ากวง ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2374 (ค.ศ. 1831) ขึ้นครองราชย์ได้ทั้ง ๆ ที่มิใช่รัชทายาทองค์เอกที่วางตัวไว้ แต่ว่าพระองค์สามารถเอาชนะใจพระราชบิดาได้ด้วยการออกล่าสัตว์ และพระองค์ไม่สังหารสัตว์ที่มีลูกอ่อน กล่าวกันว่าพระราชวรกายของพระองค์อ่อนแอมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์แล้ว จึงมักประชวรบ่อย ๆ
ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2393 (ค.ศ. 1850) ทันทีที่จักรพรรดิเต้ากวงสวรรคต ด้วยพระชนมายุ 19 พรรษา ซึ่งในระหว่างที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ พระราชประเพณีจีนห้ามจักรพรรดิองค์ใหม่มีมหเสีหรือพระสนม และต้องไว้ทุกข์เป็นเวลานานถึง 27 เดือน เมื่อผ่านช่วงไว้ทุกข์ไปแล้ว จึงมีการเลือกพระสนมขึ้น โดยองค์ประธานในการคัดเลือก คือ พระนางหวางไท่โฮว พระมเหสีองค์หนึ่งของพระจักรพรรดิเต้ากวง ที่เป็นเสมือนพระมารดาเลี้ยงของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักเหมือนพระมารดาแท้ ๆ
พระมเหสีองค์แรกของสมเด็จพระจักรพรรดิเสียงฟง คือ พระนางหนิวฮู่ลู่ (ซูอันไทเฮา) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระนางหวางไท่โฮ่ว

ในสมัยพระองศ์เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 ซึ่งส่งผลให้เกาะฮ่องกงตกเป็นของจักรวรรดิอังกฤษโดยสมบูรณ์ และมาเก๊าตกเป็นของโปรตุเกส และกบฏไท่ผิง โดย หง ซิ่วฉวน ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศและราชวงศ์

จักรพรรดิเสียนฟง มีพระมหเสีองค์รองอีกหนึ่งพระองค์ ที่ต่อมามีบทบาทอย่างมากในประวัติศาสตร์ภายหลัง คือ พระนางซูสีไทเฮา

พระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1861) ด้วยพระชนมายุเพียง 30 พรรษา ด้วยพระโรคที่รุมเร้าจากทรงกลัดกลุ้มในปัญหาของบ้านเมือง


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:34:35 น.  

 


อ้ายซินเจี๊ยะหลอ ไจ่ฉุน / จักรพรรดิ ถงจื้อ
เป็นราชโอรสองศ์เดียวในจักรพรรดิเสียนเฟิงกับซูสีไทเฮาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุ5พรรษา ว่ากันว่าเมื่อพระองค์เติบโต พระองค์ได้ระบายอารมณ์กับเหล่าขันทีและมักจะเข้าซ่องเสมอ ทำให้พระองค์เป็นโรคซิฟีลิส ซูสีไทเฮาพิโรธมากถึงกับเอายาแก้โรคหัดมารักษาพระองค์ ทำให้พระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2416


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:53:53 น.  

 


อ้ายซินเจี๊ยะหลอ ไจ่เถียน / พระจักรพรรดิ กวางซวี
เป็นบุตรของเจ้าชายชุนที่ 1 ซึ่งเป็นอนุชาของจักรพรรดิเสียนเฟิง พระราชมารดาคือน้องสาวของซูสีไทเฮา ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ การขึ้นครองราชย์ของพระองศ์เป็นการผิดกฎมณเฑียรบาล เพราะจักรพรรดิถงจื้อก่อน สิ้นพระชนม์ได้แต่งตั้งเจ้าชายไซ่ชูพระญาติรุ่นหลังให้เป็นรัชทายาท แต่ในเมื่อพระนางซูสีไท่เฮาต้องการให้กวางสูขึ้นครองราชย์ก็ไม่มีใครกล้าขัด
ระยะครองราชย์ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 - 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 รัชสมัยของพระองค์ ตรงกับ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 5 ทรงครองราชย์ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453






โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:11:25 น.  

 


จักรพรรดิกวางซี่ว์(กวางสู) แห่งราชวงศ์ชิง(ค.ศ.1644-1912 ) เอเอฟพี – สื่อรัฐบาลจีนรายงานนักวิทยาศาสตร์ค้นพบสารหนูปริมาณมากในพระศพของจักรพรรดิกวางซี่ว
์ จากการค้นพบใหม่นี้ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจึงสันนิษฐานสาเหตุการสิ้นพระชมน์ของจักรพรรดิผู้นำการปฏิรูปในยุค
ปลายราชวงศ์สุดท้ายของจีนพระองค์นี้ใหม่ว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ มิใช่เพราะพระอาการประชวรตามที่ประวัติศาสตร์ระบุ

ไชน่านิวส์รายงานเมื่อวันอาทิตย์(2 พ.ย.51) ถึงผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จีนพบว่ามีสารหนูในปริมาณมากอยู่ในกระดูก กระเพาะอาหาร ลำคอ เส้นผม และฉลองพระองค์ของจักรพรรดิกวางซี่ว์หรือกวางสูแห่งราชวงศ์ชิง(ค.ศ. 1644-1912) ซึ่งจากการศึกษาใหม่ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่าการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิเกิดจากระบบทางเดินอาหารล้มเห
ลวสืบเนื่องจากมีสารพิษเข้าสู่ร่างกาย พร้อมยืนยันว่าสาเหตุการสิ้นพระชนม์มาจากการลอบวางยา

การศึกษาครั้งนี้เกิดจากการความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน(ซีซี ทีวี) ,สถาบันวิทยาศาสตร์และพลังงานปรมาณู, ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานของสำนักงานตำรวจปักกิ่ง ซึ่งเริ่มการศึกษาภายในสุสานขององค์จักรพรรดิกวางซี่ว์ตั้งแต่ปี 2003 โดยคณะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้เลือกใช้เครื่องมือและวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ในก
ารพิสูจน์ตรวจสอบ

และในวันที่ 14 พฤศจิกายน นี้สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีจะนำเสนอชุดสารคดีประวัติศาสตร์และการศึกษาสาเหตุ
การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิกวางซี่ว์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี แห่งการจากไปขององค์จักรพรรดิ

จักรพรรดิกวางซี่ว์ทรงพยายามปฎิรูประบบกฎหมายจีน (การปฏิรูป 100 วัน) แต่หยวนซื่อข่ายได้ทรยศพระองค์ นำแผนการกำจัดพระนางซูสีไทเฮาไปทูลพระนางฯ จึงถูกกลุ่มอำนาจเก่าของพระนางซูสีไทเฮารัฐประหาร และจองจำพระองค์ในพระตำหนักฤดูร้อนเมื่อปี ค.ศ. 1898 จักรพรรดิกวางซี่ว์สิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ. 1908 พระชนมายุ 38 พรรษา โดยในประวัติศาสตร์ระบุว่าทรงสิ้นพระชมน์เพราะอาการประชวร ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็เป็นที่โต้แย้งมานานร่วมศตวรรษในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและ นักวิทยาศ
าสตร์ของจีน.

โดย ผู้จัดการออนไลน์3 พฤศจิกายน 2551 16:43 น.


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:14:49 น.  

 


อ้ายซินเจี๊ยะหลอ ผู่อี๋ (ปูยี) /พระจักรพรรดิ ซวนถ่ง

ปูยี ก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิงในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1908 ขณะมีพระชนม์มายุเพียง 2 พรรษา โดยพระนางซูสีไทเฮา เป็นผู้เลือกปูยีให้เป็นจักรพรรดิ และเริ่มศึกษาวิชาการต่าง ๆ ในขณะที่สังคมภายนอกเริ่มเปลี่ยนแปลง ปูยีอยู่ในเขตพระราชวัง

12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912 นายพล หยวน ซื่อไข่ ก่อการปฏิวัติขึ้น ปูยีจึงพ้นจากตำแหน่งจักรพรรดิ และเป็นจุดสิ้นสุดระบอบจักรพรรดิจีนที่ดำเนินมานานนับพันปี

9 มีนาคม ค.ศ. 1932 ปูยีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาระดับสูงใน ประเทศแมนจูกัว ซึ่งเป็นรัฐในปกครองของประเทศญี่ปุ่น ทางตะวันออกเหนือของดินแดนประเทศจีนในปัจจุบัน

1 มีนาคม ค.ศ. 1934 ปูยีขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแมนจูกัว ปูยีถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดจากญี่ปุ่น เพื่อเตรียมการปกครองแมนจูกัวอย่างเต็มตัวของญี่ปุ่น

15 สิงหาคม ค.ศ. 1945 สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงโดยญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะแพ้ แมนจูกัวของญี่ปุ่นล่มสลาย 1 วันต่อมาปูยีทรงถูกสหภาพโซเวียตควบคุมตัว และส่งให้กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน หลังจากนั้น จีนก็จำคุกปูยี

หลังจากปูยีออกจากเรือนจำ ปูยีก็ดำเนินชีวิตอย่างสามัญชนทั่วไป และเริ่มป่วยเป็นมะเร็งไต และโรคหัวใจ

17 ตุลาคม ค.ศ. 1967 ปูยีเสด็จสวรรคตเยี่ยงสามัญชนในปักกิ่ง ด้วยโรคมะเร็งที่พระวักกะ (ไต) และโรคพระหทัย (หัวใจ)


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:25:49 น.  

 


จักรพรรดิ ปูยีตอนพระชนมายุ 2 พรรษา


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:19:02 น.  

 


จักรพรรดิ ปูยี ฉายพระรูป ร่วมกับ มิสเตอร์ เรจินัลด์ จอห์นสตัน พระอาจารย์ชาวสก็อตแลนด์


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:25:37 น.  

 


พระนางเซี่ยวจวง ไท่หวงไทเฮา ทรงเป็นพระมเหสี(ฮองเฮา)ในพระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ / พระชนนี(ไทเฮา)ในพระจักรพรรดิซุ่นจื้อ /พระอัยกี(ย่า/ไท่หวงไทเฮา)ในพระจักรพรรดิคังซี
พระนางเซี่ยวจวงไท่หวงไทเฮานั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการอบรมสั่งสอน และคอยปกป้อง ทั้งองค์ซุ่นจื้อผู้เป็นพระโอรส และองค์คังซีผู้เป็นพระนัดดา เมื่อยังทรงพระเยาว์ครับ เรียกว่าเป็นสมเด็จย่าที่คังซีทรงเคารพรักและระลึกถึงตลอดเวลาจนสิ้นรัชกาล อันยิ่งใหญ่ีและยาวนานที่สุดของพระองค์

พระนางทรงเป็นจอมนางแห่งราชสำนักชิง ที่สร้างคุณไว้อย่างอเนกอนันต์ เนื่องจากทรงอภิบาลฮ่องเต้ถึงสองพระองค์ นับเป็นสตรีที่ทรงอำนาจอีกหนึ่งพระองค์ แต่ทรงใช้พระราชอำนาจด้วยพระปรีชาสามารถ นำความแข็งแกร่ง รุ่งเรืองมาสู่ราชสำนัก โดยเฉพาะทรงถวายการอบรมสั่งสอน ฮ่องเต้คังซี จนเป็นจอมกษัตริย์ผู้เกรียงไกร และ เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม
เมื่อเทียบกับซูสีไทเฮาแล้ว พระนางเซี่ยวจวงเป็นไทเฮาที่เหนือชั้นกว่า ทั้งนี้เพราะพระนางเซี่ยวจวงเปิดโอกาสให้ฮ่องเต้คังซีแสดงฝีมือ ความสามารถ ซึ่งแตกต่างจากซูสีไทเฮา ที่คอยบีบคอฮ่องเต้หุ่นเชิดทุกพระองค์ที่นางปั้นมากับมือ พระนางเซี่ยวจวงจะทรงแสดงความคิดเห็นบ้างเป็นบางครั้งก็ต่อเมื่อฮ่องเต้คังซีเข้าเฝ้าขอคำแนะนำ จากเสด็จย่า เท่านั้น
เมื่อฮ่องเต้คังซีกับพระสหายวัยรุ่นจัดการลงอาญา อ๋าวไป้ จนสำเร็จ พระนางเซี่ยวจวงก็ค่อยๆวางมือจากการบริหารราชการแผ่นดินไปทีละน้อย ปล่อยให้ฮ่องเต้คังซีแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยพระองค์เอง ความสัมพันธ์ระหว่างย่ากับหลานจึงเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด ไม่เป็นคู่กัดอย่างซูสีไทเฮากับจักรพรรดิ์กวางซวี
ดังนั้น เซี่ยวจวงไท่หวงไทเฮา จึงเสด็จสู่สวรรค์อย่างสงบสุข พร้อมทั้งฝากแผ่นดินให้มีความร่มเย็นต่อไปในมือของฮ่องเต้ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างพระจักรพรรดิคังซี

เซี่ยวจวงไท่หวงไทเฮา ประสูติเมื่อ ค.ศ.1612-1687 ศิริพระชนมายุ 75 ชันษา


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:12:27 น.  

 


พระนางฉือสี่ไท่โฮ่วหรือที่รู้จักกันในประเทศไทยว่า ซูสีไทเฮา ประสูติ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1835 (พ.ศ. 2377) สวรรคต 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2450)

ภายหลังจากที่พระจักรพรรดิเสียนเฟิงสวรรคตแล้ว คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในนามพระจักรพรรดิได้ประกาศ เฉลิมพระนามของพระชายาทั้งสอง โดยพระอัครมเหสีเจินในพระชนมายุ 25 พรรษาเป็น "พระจักรพรรดินีฉืออัน พระพันปีหลวง" รู้จักกันในไทยว่า "ซูอันไทเฮา" และซูสีไทเฮาในตำแหน่งพระมเหสีรอง พระชันษา 27 ชันษา เป็น "พระจักรพรรดินีฉือสี่ พระพันปีหลวง" หรือ "ซูสีไทเฮา" ตามที่รู้จักกันในไทย ทั้งนี้ คำว่า "ฉืออัน" หมายความว่า "ผู้พร้อมไปด้วยมาตุคุณและความสงบ" ส่วน "ฉือสี่" ว่า "ผู้พร้อมไปด้วยมาตุคุณและโชค" นอกจากนี้ ในประเทศจีนยังนิยมเรียกพระพันปีหลวงทั้งสอง โดยเรียกซูอันไทเฮาว่า "ไทเฮาตะวันออก" เนื่องจากมักประทับพระราชวังจงฉุยฟากตะวันออก และซูสีไทเฮาว่า "ไทเฮาตะวันตก" เนื่องจากมักประทับพระราชวังฉือซิ่วฟากตะวันตก
เหตุการณ์ในเมืองเฉิงเต๋อ ขณะที่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กำลังเตรียมการเคลื่อนย้ายพระศพกลับกรุงปักกิ่งนั้น ซูสีไทเฮาก็ได้เตรียมการยึดอำนาจเช่นกัน ตำแหน่งพระจักรพรรดินีฯ พระพันปีหลวงนั้นย่อมไม่สะดวกและไม่ชอบด้วยกฎหมายที่จะใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน กับทั้งพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่ก็ทรงพระเยาว์นัก ไม่อาจใช้เป็นกลไกในการยึดอำนาจบริหารราชการแผ่นดินได้ ดังนั้น ซูสีไทเฮาจึงเสด็จไปเกลี้ยกล่อมซูอันไทเฮาให้ทรงดำริถึงประโยชน์ที่ทั้ง สองพระองค์จะได้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกัน ซึ่งซูอันไทเฮาก็ทรงเห็นดีด้วย
ในระยะนี้ ความตึงเครียดระหว่างคณะผู้สำเร็จราชแทนพระองค์กับพระพันปีหลวงทั้งสอง พระองค์ทวีขึ้นเรื่อย ๆ คณะผู้สำเร็จราชการฯ ไม่ชอบใจในการก้าวก่ายทางการเมืองของซูสีไทเฮา การเผชิญหน้ากันบ่อยครั้งขึ้น เป็นเหตุให้ซูสีไทเฮามีพระราชอารมณ์ขุ่นเคืองในคณะผู้สำเร็จราชการฯ มากขึ้น ครั้งหนึ่งถึงกับไม่เสด็จออกขุนนางโดยทรงปล่อยให้ซูอันไทเฮาเสด็จออก เพียงพระองค์เดียว เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง ซูสีไทเฮาทรงรวบรวบไพร่พลเป็นการลับ ซึ่งประกอบด้วยบรรดาเสนาบดีและข้าราชการพลเรือนที่มากความสามารถ ข้าราชการทหารหลายฝ่าย และบรรดาผู้ไม่พอใจในคณะผู้สำเร็จราชการฯเป็นต้นว่า องค์ชายกง พระโอรสองค์ที่หกในพระจักรพรรดิเต้ากวง มีพระอัธยาศัยทะเยอทะยานอย่างยิ่ง และทรงถูกคณะผู้สำเร็จราชการฯ กีดกันจากอำนาจบริหาราชการแผ่นดิน และ องค์ชายฉุน พระอนุชาในองค์ชายกง
ในระหว่างที่ฝ่ายซูสีไทเฮากำลังเตรียมการรัฐประหารกันนี้ ได้มีฎีกามาจากมณฑลชานตงทูลเกล้าฯ ถวายซูสีไทเฮาขอพระราชทานให้ทรงว่าราชการหลังม่าน ฎีกาฉบับเดียวกันยังขอให้เจ้าชายกงทรงเข้าร่วมบริหารราชการแผ่นดินเฉกเช่น ผู้อภิบาลสมเด็จพระจักรพรรดิด้วย
เป็นประเพณีที่พระพันปีหลวงทั้งสองพระองค์จะต้องเสด็จนิวัตกรุงปักกิ่งพร้อมข้าราชบริพารก่อนขบวนพระศพ เพื่อไปทรงอำนวยการเตรียมพระราชพิธีต่าง ๆ ในกรุง และในการเสด็จนิวัตนี้ ไจ่หยวนและตวนหวา ผู้สำเร็จราชการฯ ได้โดยเสด็จด้วย ส่วนซู่ซุ่นและผู้สำเร็จราชการฯ ที่เหลือจะได้กำกับขบวนอัญเชิญพระศพกลับไปทีหลัง ซึ่งเป็นผลดีต่อซูสีไทเฮาเพราะจะได้ทรงใช้เวลาที่เหลือเตรียมการให้รัดกุม ยิ่งขึ้นกับทั้งจะได้เป็นที่วางพระทัยว่าผู้สำเร็จราชการฯ จะไม่อาจคิดการใด ๆ ได้ตลอดรอดฝั่งเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันครบจำนวน
เมื่อขบวนอัญเชิญพระศพถึงกรุง ผู้สำเร็จราชการฯ ทั้งแปดคนก็ถูกจับกุมทันที พระนางซูสีไทเฮาโดยการสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายกง ออกประกาศว่าด้วยความผิดของบุคคลดังกล่าวแปดข้อหา เป็นต้นว่า คบคิดกับชาวต่างชาติให้เข้าปล้นเมืองจนเป็นเหตุให้พระจักรพรรดิเสียนเฟิงต้องเสด็จลี้ภัยเปลี่ยนแปลงพระราชประสงค์จนส่งผลให้เสด็จสวรรคต และลักลอบใช้อำนาจในพระนามของพระพันปีหลวงทั้งสองโดยไม่ชอบจากนั้นได้มีพระราชเสาวนีย์โปรดให้พ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ ทั้งคณะ และพระราชทานโทษประหารชีวิตแก่ซู่ซุ่น ประธานคณะผู้สำเร้๗ราชการฯ ส่วนผู้สำเร็จราชการฯ คนที่เหลือ พระราชทานแพรขาวให้ผูกคอตายเอง ทั้งนี้ ซูสีไทเฮาไม่ทรงเห็นด้วยที่จะให้ประหารชีวิตสมาชิกในครอบครัวของผู้สำเร็จ ราชการฯ ตามประเพณี "ฆ่าล้างโคตร" ของราชสำนักชิงที่มักกระทำแก่ผู้เป็นกบฏ
พระนางซูสีไทเฮาได้ประกาศสถาปนาพระองค์เองและพระนางซูอันไทเฮาขึ้นเป็นผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ โดยออกว่าราชการอยู่หลังม่าน ซึ่งเป็นการขัดจารีตประเพณีของราชวงศ์ชิงที่ห้ามไม่ให้ฝ่ายในข้องเกี่ยวก้าวก่ายการบริหารราชการงานเมือง พระนางซูสีไทเฮาจึงทรงเป็นฝ่ายในพระองค์แรกและพระองค์เดียวในราชวงศ์ชิงที่ออก "ว่าราชการอยู่หลังม่าน"


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:58:23 น.  

 

พระรูปของพระนางซูอันไทเฮา

(ต่อจากข้างบนเลยนะครับ)

พระนางซูสีไทเฮาทรงเข้มงวดกวดขันพระจักรพรรดิถงจื้อในทุก ๆ ด้านอย่างยิ่ง โดยด้านการศึกษา ทรงเลือกสรรและแต่งตั้งราชครูสำหรับพระจักรพรรดิด้วยพระองค์เอง ราชครูทูลเกล้าฯ ถวายการสอนวิชาวรรณกรรมคลาสสิก และให้ทรงศึกษาคัมภีร์โบราณ ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิไม่ทรงสนพระทัยแม้แต่น้อย พระนางซูสีไทเฮาจึงทรงเข้มงวดกับพระราชโอรสกว่าเดิมเพื่อให้ทรงใฝ่พระทัยศึกษาเพื่อพระจักรพรรดิพระองค์เอง
เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1873 (พ.ศ. 2415) พระจักรพรรดิถงจื้อมีพระชนมายุครบ18 พรรษา ซึ่งถือว่าทรงบรรลุนิติภาวะและทรงสามารถบริหารพระราชภาระได้โดยพระองค์เองแล้ว ซึ่งหมายความว่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทั้งสองก็จะพ้นจากตำแหน่งโดยนิตินัย แต่โดยพฤตินัยแล้ว พระนางซูสีไทเฮายังทรงกำกับการบริหารราชการแผ่นดินอยู่เช่นเคย เนื่องจากพระจักรพรรดิทรงแต่พระสำราญกับพระจักรพรรดินีตลอดจน พระชายาองค์อื่น ๆ หาได้เอาใจใส่กิจการบ้านเมืองอย่างเต็มที่ไม่
พระนางซูสีไทเฮาทรงตักเตือนพระจักรพรรดิถงจื้อและพระจักรพรรดินีเจียชุ้นว่าทั้งสองพระองค์ยังทรงเยาว์ด้วยพระชนมายุเกินไป สมควรกลับไปทรงศึกษาวิธีการบริหารบ้านเมืองให้บังเกิดประสิทธิผลให้ทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน สมควรแล้วที่พระนางซูสีไทเฮาจะได้ทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยบริหารราชการ พระนางซูสีไทเฮายังได้ทรงส่งขันทีในพระองค์ปลอมปนเข้าไปสอดแนมความเคลื่อนไหวของพระจักรพรรดิอย่างใกล้ชิด หลังจากที่ทรงทราบว่า ทั้งสองพระองค์ไม่ทรงนำพาคำเตือนดังกล่าว ก็มีพระราชเสาวนีย์เป็นเด็ดขาดให้พระจักรพรรดิเอาใจใส่พระราชภาระให้ มากขึ้น ซึ่งพระจักรพรรดิก็ได้แต่ทรงตกปากรับคำ
อย่างไรก็ดี พระจักรพรรดิไม่ทรงมีความอดทนเพียงพอต่อความคับข้องพระทัยในอัน ที่ถูกพระชนนีบังคับเคี่ยวเข็ญ กับทั้งมีพระราชดำริว่าพระองค์ทรงโดดเดี่ยวเปลี่ยวพระทัยเกินไป จึงทรงระบายพระอารมณ์บ่อย ๆ ด้วยการทรงโบยขันทีอย่างรุนแรงด้วยพระองค์เองสำหรับความผิดเล็กน้อย อันเป็นผลจากพระโทสะที่ร้ายกาจขึ้นเพราะความบกพร่องลงของความอดทนของพระองค์ดังกล่าวด้วยนอกจากนี้ ด้วยความช่วยเหลือและชักชวนของบรรดาขันทีและองค์ชายไจ้เชิง พระโอรสพระองค์แรกขององค์ชายกงและพระสหายคนสนิทของพระจักรพรรดิถงจื้อ จึงทรงสามารถเสด็จออกไปทรงพระสำราญนอกพระราชวังได้บ่อยครั้ง โดยปลอมพระองค์เป็นสามัญชนแล้วลอบเสด็จออกจากพระราชวังในยามเย็นเพื่อไป ประทับอยู่ ณ โรงหญิงนครโสเภณีตลอดคืน
พฤติกรรมทางเพศดังกล่าวของพระจักรพรรดิจึงเป็นที่ติฉินนินทาตลอดทั้งชาววังถึงชาวบ้านร้านตลาด และยังได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารทางประวัติศาสตร์จีนหลายฉบับด้วยดังนั้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1874 (พ.ศ. 2416) บรรดาเชื้อพระวงศ์ตลอดจนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ต่างเอือมระอาใน พฤติกรรมพระจักรพรรดิ จึงพากันเข้าชื่อกันทูลเกล้าฯ ถวายคำแนะนำเพื่อให้ทรงนำพาราชการไปให้ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งพระจักรพรรดิไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงมีพระราชโองการให้ปลดองค์ชายกงซึ่งทรงร่วมเข้าพระนามด้วย ออกเสียจากฐานันดรศักดิ์ในพระราชวงศ์ กลายเป็นสามัญชน ไม่กี่วันถัดจากนั้นได้มีพระราชโองการให้ปลด องค์ชายเตวิน องค์ชายฉุนองค์ชายอี้จวน องค์ชายอี้ฮุย องค์ชายชิง ตลอดจนข้าราชการและรัฐบุรุษคนอื่น ๆ ที่เข้าชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาดังกล่าว เช่น นายพลเจิงกั๋วฝัน, หลี่หงจัง, เหวินเสียง ออกจากจากฐานันดรศักดิ์ในพระราชวงศ์ บรรดาศักดิ์ และตำแหน่งหน้าที่ทางราชการทั้งสิ้น
พระนางซูสีไทเฮาและพระนางซูอันไทเฮาทรงทราบความโกลาหลในราชสำนักแล้ว ก็เสด็จออก ณ ท้องพระโรงด้วยกันขณะที่พระจักพรรดิถงจื้อทรงออกขุนนาง ทั้งสองพระองค์ทรงตำหนิิพระจักรพรรดิ พร้อมมีรับสั่งแนะนำให้ทรงยกเลิกพระราชโองการปลดเชื้อพระวงศ์และข้าราชการเหล่านั้นเสีย เป็นเหตุให้ พระจักรพรรดิทรงเสียพระทัยมากที่ไม่อาจทรงบริหารพระราชอำนาจได้อย่างเด็ดขาด และทรงระบายพระราชอารมณ์ด้วยการเสด็จประทับโรงหญิงนครโสเภณีเช่นเดิมอีก
หลังจากนั้นเป็นที่ร่ำลือทั่วกันว่า พระจักรพรรดิประชวรพระโรคซิฟิลิส ซึ่งโบราณเรียก “โรคสำหรับบุรุษ” เกิดจากการสัมผัสหรือร่วมประเวณีกับผู้ป่วยโรคนี้ พระนางซูสีไทเฮาจึงมีพระราชเสาวนีย์ให้คณะแพทย์หลวงเข้าตรวจพระอาการ พบว่าพระจักรพรรดิประชวรพระโรคซิฟิลิสจริง เมื่อทรงทราบแล้วพระนางซูสีไทเฮาทรงเตือนให้คณะแพทย์เก็บงำความข้อนี้เอาไว้ เพราะเรื่องดังกล่าวย่อมเป็นความอื้อฉาวน่าอดสูขนานใหญ่ คณะแพทย์จึงจัดทำรายงานเท็จเกี่ยวกับพระอาการแทน โดยรายงานว่าพระจักรพรรดิประชวรไข้ทรพิษ และถวายการรักษาตามพระอาการไข้ทรพิษ อันไข้ทรพิษนั้นมีลักษณะและอาการแต่ผิวเผินคล้ายคลึงกับโรคซิฟิลิส และชาวจีนยังนิยมว่าผู้ป่วยเป็นเป็นไข้ทรพิษถือว่ามีโชค
อย่างไรก็ดี เมื่อพระจักรพรรดิประชวรนั้น พระนางซูสีไทเฮาได้ทรงประกาศในพระนามพระจักรพรรดิว่า พระจักรพรรดิประชวรไข้ทรพิษ ถือเป็นมงคลแก่บ้านเมืองและในระหว่างการรักษาพระองค์นี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระนางซูสีไทเฮาและพระนางซูอันไทเฮาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปพลางก่อน ซึ่งนับได้ว่าพระานางซูสีไทเฮากลับเข้าดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกครั้ง
โดยที่คณะแพทย์ถวายการรักษาพระอาการไข้ทรพิษเพื่อตบตาผู้คน แต่ความจริงแล้วทรงเป็นซิฟิลิส พระจักรพรรดิถงจื้อ เสด็จสวรรคตในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1875 (พ.ศ. 2417)


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:19:41:09 น.  

 


(ต่อนะครับ)
ด้วยพระจักรพรรดิถงจื้อมิได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้ และในการเฟ้นหาผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการสืบราชสมบัติก็ไม่อาจหาพระ ราชวงศ์ในลำดับชั้นสูงกว่าพระจักรพรรดิคือที่ประสูติก่อนพระจักรพรรดิได้ จึงจำต้องคัดเลือกจากผู้มีประสูติกาลในรุ่นเดียวกันหรือรุ่นหลังจากรุ่นดังกล่าว พระนางซูสีไทเฮาจึงทรงเห็นชอบให้องค์ชายไจ้เถียน พระโอรสขององค์ชายฉุนกับน้องสาวของพระนางซูสีไทเฮา พระชนมพรรษา 4 พรรษา เสวยราชย์เป็นรัชกาลถัดมา โดยให้เริ่มปีที่ 1 แห่งรัชศก "กวางสู" อันมีความหมายว่า "รัชกาลอันรุ่งเรือง" ใน ค.ศ. 1875 (พ.ศ. 2417) เมื่อพระนางซูสีไทเฮามีพระราชเสาวนีย์ดังนั้น องค์ชายไจ้เถียนก็ทรงถูกนำเสด็จพระองค์ออกจากตำหนักองค์ชายฉุนทันทีและนับแต่นี้ไปจนตลอดพระชนม์ก็ทรงถูกตัดขาดจากครอบครัวโดยสิ้นเชิง ทรงได้รับการศึกษาจากราชครูเวิงถงเหอ เมื่อมีพระชนมพรรษาได้ 5 พรรษา
วันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2423) ระหว่างทรงออกขุนนางตอนเช้า พระนางซูอันไทเฮาทรง รู้สึกไม่สบายพระองค์จึงเสด็จกลับพระตำหนักและสวรรคตในบ่ายวันนั้น การสวรรคตโดยปัจจุบันทันด่วนของพระนางซูอันไทเฮาสร้างความตื่นตะลึงแก่ประชาชนทั่ว ไป เพราะพระพลานามัยของพระนางอยู่ในขั้นดีเสมอมา ครั้งนั้น เกิดข่าวลือแพร่สะพรัดทั่วไปในจีนว่าเป็นพระนางซูสีไทเฮาที่ทรงวางยาพิษพระนางซูอันไทเฮา ว่ากันว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะกรณีประหารขันทีอันเต๋อไห่ หรือเพราะพระนางซูอันไทเฮาทรงถือพระราชโองการของพระจักรพรรดิเสียนเฟิง ให้มีพระราชอำนาจสั่งประหารพระนางซูสีไทเฮาได้หากว่าพระนางทรงก้าวก่ายการบ้านการเมืองหรือมีพระราชอัธยาศัยไม่เหมาะสมแก่ฐานันดรศักดิ์ อย่างไรก็ดี ข่าวลือดังกล่าวยังไร้หลักฐานยืนยันข้อเท็จจริง และนักประวัติศาสตร์ไม่ยอมรับอย่างเต็มร้อยในเรื่องการวางยาพิษดังกล่าว แต่สันนิษฐานกันว่าพระนางซูอันไทเฮาทรงประชวรพระโรคลมปัจจุบันโดยอ้างอิงบันทึกทางการแพทย์ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์สมัยนั้น การสวรรคตของพระนางซูอันไทเฮาส่งผลให้พระนางซูสีไทเฮาทรงเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินแต่เพียงผู้เดียวอย่างเต็มพระองค์


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:21:07 น.  

 

พระรูปพระนางซูสีไทเฮา รายล้อมด้วยเหล่าบริวารขันที

(ขอต่ออีกนะครับ)
ค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2429) หลังจากที่พระจักรพรรดิกวางซวีมีพระชนมพรรษาได้ 16 พรรษา เป็นการทรงบรรลุนิติภาวะ สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้โดยลำพัง พระนางซูสีไทเฮาจึงมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดพระราชพิธีเถลิงถวัลยราชสมบัติ อย่างไรก็ดี ด้วยความเกรงพระทัยและพระราชอำนาจของพระนางซูสีไทเฮา บรรดาข้าราชการ นำโดยองค์ชายฉุน และราชครูเวิงถงเหอ ซึ่งต่างคนต่างก็มีความมุ่งประสงค์ต่างกันไป ได้พากันคัดค้านและเสนอให้เลื่อนเวลาเสวยพระราชอำนาจตามลำพังของพระจักรพรรดิออกไปก่อนโดยให้เหตุผลว่ายังทรงพระเยาว์นัก พระนางซูสีไทเฮาก็ทรงสนองคำเสนอดังกล่าว และมีพระราชเสาวนีย์ความว่า ด้วยพระจักรพรรดิยังทรงพระเยาว์นัก พระพันปีหลวงจึงทรงจำต้องอภิบาลราชการแผ่นดินทั้งปวงต่อไปอีก อย่างไรก็ดี พระนางซูสีไทเฮาก็จำต้องทรงคลายพระหัตถ์ออกจากพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อพระจักรพรรดิมีพระชนมพรรษาได้ 18 พรรษาและทรงเสกสมรสใน ค.ศ. 1889
และเพื่อให้ทรงสามารถครอบงำกิจการทางการเมืองได้ต่อไป พระนางซูสีไทเฮาทรงบังคับให้พระจักรพรรดิทรงเลือกนางจิ้งเฟิน พระประยูรญาติของพระนางซูสีไทเฮาเอง เป็นพระอัครมเหสี ซึ่งพระจักรพรรดิไม่ทรงโปรดเช่นนั้นแต่ก็ไม่อาจทรงขัดขืนได้
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าพระจักรพรรดิจะมีพระชนมพรรษา 19 พรรษา และถึงแม้ว่าพระนางซูสีไทเฮาจะเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับยังพระราชวังฤดูร้อนโดยทรงอ้างเหตุผลว่าเพื่อให้พระจักรพรรดิได้ทรงคลายพระทัยว่าพระนางจะไม่ทรงก้าวกายการบริหารราชการแผ่นดินอีก แต่โดยพฤตินัยแล้วพระนางซูสีไทเฮายังทรงมีอิทธิพลเหนือพระจักรพรรดิผู้ซึ่ง ต้องเสด็จไปพระราชวังฤดูร้อนทุก ๆ วันที่สองหรือสามของสัปดาห์ เพื่อทูลถวายรายงานเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองต่าง ๆ ต่อพระนางซูสีไทเฮา และหากพระนางซูสีไทเฮามีรับสั่งประการใดก็ต้องเป็นไปตามนั้น


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:41:15 น.  

 

พระนางซูสีไทเฮา และเหล่านางกำนัล

(ต่อนะครับ)
หลังจากที่ทรงสามารถบริหารพระราชอำนาจโดยลำพังตามนิตินัยแล้ว พระจักรพรรดิกวางซวีก็มีพระทัยใฝ่ไปในทางพัฒนาอย่างสมัยใหม่มากกว่าใฝ่อนุรักษนิยมอย่างพระนางซูสีไทเฮา และภายหลังที่จีนพ่ายแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งแรก และด้วยแรงผลักดันของนักปฏิรูปนิยมอย่างคังหยูเว่ย และเหลียงฉีเฉา พระจักรพรรดิจึงทรงเห็นดีเห็นงามในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอันมี ญี่ปุ่นและเยอรมันนี เป็น ตัวอย่าง ซึ่งทรงเห็นว่าจะช่วยพัฒนาการเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศจีนไปสู่ความ รุ่งเรืองได้ ดังนั้น จึงทรงเริ่ม "การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" หรือที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่า "การปฏิรูปร้อยวัน" เพราะดำเนินไปเพียงหนึ่งร้อยวันก็ถูกพระนางซูสีไทเฮาล้มเลิกหมดสิ้น การปฏิรูปดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2440) โดยพระจักรพรรดิได้มีพระราชโองการเป็นจำนวนมากให้มีการปฏิรูปด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการเมือง ด้านกฎหมาย และด้านสังคม เพื่อให้เปลี่ยนเข้าสู่ระบอบราชาธิปไตยฯ ดังกล่าว
การปฏิรูปดังกล่าวเป็นสิ่งที่ปัจจุบันทันด่วนเกินไปสำหรับสังคมจีนที่อิทธิพลของลัทธิขงจื้อยังมีอยู่มาก และยังทำให้พระนางซูสีไทเฮาไม่พอพระทัยอย่างยิ่งในแนวคิดเรื่องการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอีกด้วยเฉกเช่นเดียวกับข้าราชการบางกลุ่ม พระนางซูสีไทเฮาจึงก่อรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินอีกครั้งในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2440) โดยสั่งให้ทหารของหยงลู่จับกุมพระจักรพรรดิไปคุมขังไว้ ณ พระตำหนักสมุทรมุข ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะจำลองที่สรา้งขึ้นกลางทะเลสาบจงหนานถัดออกไปจากหมู่นครต้องห้าม แล้วทรงประกาศพระราชเสาวนีย์ความว่า ด้วยเหตุที่สภาวะบ้านเมืองระส่ำระสาย มีการกบฏทั่วไปโดยมีอิทธิพลญี่ปุ่นหนุนหลังอันแทรกซึมมาภายใต้แนวคิดการ ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน พระจักรพรรดิไม่ทรงมีพระปรีชาสามารถพอจะทรงรับมือกับสถานการณ์ได้ จึงกราบบังคมทูลเชิญพระนางซูสีไทเฮาให้ทรงรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อีกครั้ง นับว่ารัชกาลของพระจักรพรรดิกวางซวีสิ้นสุดลงโดยพฤตินัยตั้งแต่วันนั้น
การยึดอำนาจการปกครองของพระนางซูสีไทเฮา ส่งผลให้บรรดาสมัครพรรคพวกของพระจักรพรรดิ เช่น คังหยูเว่ยเป็นต้นถูกเนรเทศออกจากประเทศ และคนอื่น ๆ ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะ สำหรับคังหยูเว่ยนั้นแม้จะถูกเนรเทศแต่ก็คงมีใจซื่อตรงต่อพระจักรพรรดิกวางซวีและปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อการปฏิรูปตามแนวคิดของพระองค์เสมอ เขายังตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งพระจักรพรรดิจะได้ทรงกลับสู่พระราชบัลลังก์อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังส่งผลให้นานาชาติและประชาชนทั่วไปไม่พอใจการยึดอำนาจของพระนางซูสีไทเฮาอย่างยิ่ง
วันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2450) พระจักรพรรดิกวางซวีสวรรคตอย่างปัจจุบันทันด่วน พระนางซูสีไทเฮาจึงทรงสถาปนา ปูยี (ผู่อี๋) องค์ชายพระองค์น้อย เป็นพระจักรพรรดิพระองค์ต่อไป ก่อนพระองค์เองจะสวรรคตในวันรุ่งขึ้น ณ พระที่นั่งจงไห่อี๋หลวนเตี้ยน ครั้งนั้น มีข่าวลือสะพรัดว่าพระนางซูสีไทเฮาทรงทราบในพระสังขารของพระองค์เองว่าจะทรงดำรง พระชนม์ต่อไปได้อีกไม่นาน ก็ทรงปริวิตก ว่าพระจักรพรรดิจะรื้อฟื้นการปฏิรูปแผ่นดินอีกครั้งหลังจากพระนางสวรรคตแล้ว บ้างก็ลือว่า ทรงเกรงว่าพระจักรพรรดิจะทรงเล่นงานบรรดาคนสนิทของพระนาง จึงมีรับสั่งให้ขันทีคนสนิทไปลอบวางยาพระจักรพรรดิ ครั้นทรงทราบว่าพระจักรพรรดิสวรรคตแล้ว พระนางซูสีไทเฮาก็ทรงจากไปโดยสบายพระทัย
หลังจากพระนางซูสีไทเฮาสวรรคตแล้ว ทรงได้รับการเฉลิมพระนามใหม่ว่า "สมเด็จพระจักรพรรดินีเสี้ยวชิงฉือสี่ตวนโย้วคังอี๋จาวยู้จวงเฉิงโช้วกงชิงเสี้ยนฉงซีเป่ย์เทียนซิงเชิงเสี่ยน" เรียกโดยย่อว่า "สมเด็จพระจักรพรรดินีเสี้ยวชิงเสี่ยน" ทั้งนี้ พระศพพระนางซูสีไทเฮาได้รับการบรรจุ ณ สุสานหลวงราชวงศ์ชิงฝ่ายตะวันออก ห่างจากกรุงปักกิ่งไปทางตะวันออกเป็นระยะทาง 125 กิโลเมตร เคียงข้างกับพระศพของพระนางซูอันไทเฮาและพระจักรพรรดิเสียนเฟิง
ฮวงซุ้ยของ พระนางซูสีไทเฮานั้นมีพระราชเสาวนีย์ให้เตรียมไว้สำหรับพระองค์เองตั้งแต่ยังทรง พระชนมชีพอยู่แล้ว และมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร กว่าของพระนางซูอันไทเฮาหลายเท่านัก อย่างไรก็ดี เมื่อฮวงซุ้ยสร้างเสร็จครั้งแรกก็ไม่ทรงพอพระทัย มีพระราชเสาวนีย์ให้ทำลายทิ้งเสียทั้งหมดแล้วให้สร้างใหม่ใน ค.ศ. 1895 (พ.ศ. 2437) หมู่ฮวงซุ้ยใหม่ของพระนางซูสีไทเฮาประกอบด้วยเหล่าพระอาราม พระที่นั่ง และพระทวาร ซึ่งประดับประดาด้วยใบไม้ทองและเครื่องเงินเครื่องทองตลอดจนรัตนชาติอัญมนีต่าง ๆ อย่างหรูหรา
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2470) นายพลซุนเตี้ยนอิง แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง ได้ยกพลเข้าปิดล้อมและยึดหมู่ฮวงซุ้ยของพระนางซูสีไทเฮา แล้วสั่งทหารให้ถอดเอาของมีค่าที่ประดับประดาฮวงซุ้ยออกทั้งหมด ก่อนจะระเบิดเข้าไปถึงห้องเก็บพระศพ แล้วเปิดหีบและขว้างพระศพออกมาเพื่อค้นหาของมีค่า ไข่มุกเม็ดโตซึ่งบรรจุในพระโอษฐ์พระศพตามความเชื่อโบราณว่าจะพิทักษ์พระศพมิให้เน่าเปื่อยยังถูกฉกเอาไปด้วย ว่ากันว่าไข่มุกเม็ดดังกล่าวได้รับการนำเสนอให้แก่นายพลเจียงไคเช็ก หัวหน้าพรรคฯ และนายพลเจียงไคเช็ก ได้นำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับรองเท้าของนางซ่งเหม่ยหลิง ภริยาตน แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานรองรับเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ โชคดีว่ามิได้เกิดความเสียหายอันใดแก่พระศพของพระนางซูสีไทเฮา ต่อมาภายหลัง ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) รัฐบาลจีนได้สั่งให้ปฏิสังขรณ์หมู่ฮวงซุ้ยของพระนางซูสีไทเฮา และปัจจุบันก็เป็นสุสานพระศพราชวงศ์จีนที่มีความงดงามจับใจเป็นที่สุดแห่งหนึ่ง


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:20:15 น.  

 
หุหุ สุดท้ายล่อวะยาว้ลยครับ เพราะว่า พระนางซูสีไทเฮา แกมีบทบาทมากมาย ยาวไปหน่อย ไม่รู้จะขี้เกียจอ่านกันหรือป่าวนะครับ ก็อื่นก็ออกตัวก่อนด้วยว่า ก็ก๊อปมาให้อ่านกันแหล่ะครับ เพราะขี้เกียจพิมพ์ แต่ถ้าเล่าปากเปล่ามันก็อีกเรื่องนึง หุหุ



สุดท้ายครับ รูปนี้ เป็นรูปจักรพรรดิ ที่หล่อ ที่สุดใน ราชวงศ์ชิงครับ อิอิ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:26:34 น.  

 
โอว อ่านเรื่องพระนางซูสีไทเฮาเพลินเลย จริงๆ พระนางก็หวังดีกับประเทศชาตินะคะ โชคไม่ดีที่พระนางสอนคนไม่เก่งเท่าเสด็จย่าของฮ่องเต้คังซี อุตส่าห์จับองค์ชายมาสร้างเป็นฮ่องเต้ตั้งหลายพระองค์ แต่ก็ไม่มีใครใช้การได้เลย สุดท้ายราชวงศ์ชิงก็ต้องล่มสลายในที่สุด

เคยดู the last emperor เป็นหนังที่ดีและสนุกมากเลยค่ะ ประวัติของฮ่องเต้ปูยีน่าสนใจที่สุดแล้ว ส่วนฮ่องเต้คังซีนี่มาสนใจเพราะว่าชิแลมเล่นเป็นบทนี้อ่ะค่ะ พออ่านประราชประวัติของพระองค์แล้วยิ่งหลงรัก คังซีเป็นจักรพรรดิที่ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง (ต้องใช้ราชาศัพท์ไหมเนี่ย) ที่สำคัญคือเป็นคนใฝ่รู้ และรักชาติบ้านเมือง เคยอ่านเจอเรื่องหนึ่ง มีคนถามฮ่องเต้คังซีว่า แท้จริงแล้วพระองค์ศึกษาศาสตร์ไหนกันแน่ (เพราะพระองค์ชอบอ่านหนังสือมากๆ อ่านทุกอย่าง) พระองค์ตรัสตอบว่า เราศึกษาศาสตร์ที่ทำให้เป็นประมุขที่ดี โอ๊ยยย ฟังแล้วตายไปเลย


โดย: realtomtam วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:48:37 น.  

 
คนข้างบนคือใคร หน้าคุ้นๆ แต่ถ้าถามซ้อๆ บ้านจางหล่ะก็ ฮ่องเต้องค์ด้านล่างนี้ หน้าหล่อ น่ารัก น่าหยิกที่สุดแล้วค่ะ



โดย: realtomtam วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:41:52 น.  

 
ช่วยแปะรูปฮ่องเต้คังซีค่ะ



โดย: realtomtam วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:46:34 น.  

 
ส่วนใหญ่จะเป็นภาพที่ทรงหนังสืออยู่เพราะเป็นกษัตริย์ที่รักการอ่านค่ะ



โดย: realtomtam วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:48:19 น.  

 
ฮ่องเต้คังซี อันนี้เป็นภาพวาดโดยชาวตะวันตก (เขาว่างั้นนะคะ) ดูคล้ายจื้อหลินบ้างไหมเนี่ย



โดย: realtomtam วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:50:26 น.  

 


ใช่ครับ ฮ่องเต้คังซี โปรดการอ่านหนังสือมากมาย สังเกตุจากหลายๆเรื่อง คาแรคเตอร์่ฮ่องเต้คังซี มักจะคลุกอยู่ในห้องทรงพระอักษร


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:53:04 น.  

 

รูปนี้ รูปของ ผิงซีอ๋อง อู๋ซานกุ้ยครับ

อู๋ซานกุ้ย เป็น ขุนนางราชวงศ์หมิง แต่เป็นคนเปิดประตู ให้แมนจูเข้าด่านมา จนตัวเองได้ดิบได้ดี ได้รับแต่งตั้งเป็น ผิงซีอ๋อง ถ้าหนังเรื่องไหนสร้างเกี่ยวกับรัชสมัย ฮ่องเต้คังซี ก็ มักจะมี อู๋ซานกุ้ย มาแจมด้วย ไม่มากก็น้อย อิอิ หรือ บางเรื่องจะเน้นไปที่ลูกชายของ อู๋ซานกุ้ย คือ อ๋องน้อย อู๋อิงสง


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:59:52 น.  

 


อ่ะ ฮ่าๆๆ เอาขาวดำมาให้ดูด้วยครับ เผื่อจะดูขลังๆ อิอิ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:06:49 น.  

 
ขอบคุณแนนอีกครั้งค่ะสำหรับข้อมูล มีคำถามอีกแล้ว
พระจักรพรรดิ นูรฮาชี กับ พระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ พระองค์ไหนคือองค์ที่ยึดวังต้องห้ามได้สำเร็จแต่ว่าต้องมาสวรรคตระหว่างการรบเพราะว่าเส้นโลหิตในสมองแตกคะ (อันนี้ดูมาจากเรื่องรักเหนือฟ้า ธิดาจักรพรรดิ) เดาว่าเป็นพระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ใช่รึเปล่า

เรื่องมองโกลกับแมนจู เคลียร์แล้วค่ะ จะพยายามจำข้อมูลไว้ ตอนนี้กำลังรอดูเรื่อง Beyond the Realm of Conscience เป็นเรื่องราวสมัยราชวงศ์ถัง แล้วก็จะมีชนเผ่าหนึ่งส่งทูตมาจำชื่อไม่ได้ ไว้ละครฉายแล้วจะลองเทียบดูว่าชนเผ่านั้นคือมองโกลหรือกิมก๊ก แต่คำที่ใช้เดาว่าเค้าคงใช้ว่า เผ่าหนี่เจิน ไม่ก็พวกซีเซี่ย นี่คือรูปภาพค่ะ คนผู้ชายน่ะเค้าไว้ผมเปียด้วยเดาว่าผมเปียแบบนี้น่าจะเป็นพวกซีเซี่ย (มองโกล) ใช่รึเปล่า




โดย: O-yohyo วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:41:37 น.  

 
ดูรูปละคร Beyond เห็นการแต่งกายสมัยถัง เนื้อผ้าค่อนข้างบางและเปิดเผย พอมาราชวงศ์ชิงเสื้อผ้าจะหนาๆ เลยอยากรู้ที่ตั้งของเมืองหลวงด้วยค่ะ สมัยถังเมืองหลวงอยู่ในเขตที่ร้อนหน่อยใช่มั้ย ส่วนปักกิ่งนี่ก็คงเป็นแถบหนาวพอสมควร เท่าที่จำได้พวกกิมก๊กก็เป็นเขตหนาวเช่นกันใช่รึเปล่าคะ ถ้ายึดสมัยถังเป็นที่ตั้ง มองโกลอยู่ส่วนไหนของจีน แล้วกิมก๊กอยู่ส่วนไหนของจีนเหรอ



โดย: O-yohyo วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:44:17 น.  

 
อีกหนึ่งคำถาม ที่คาใจมานาน ทำไมในละครบางเรื่องพวกแมนจูถึงได้โกนศีรษะครึ่งหนึ่ง บางเรื่องก็ไม่โกนแต่ไว้แค่ผมเปียเฉยๆ มีที่มาที่ไปมั้ยคะ หรือแค่ความสะดวกของนักแสดงทำให้บางเรื่องจึงไม่โกนศีรษะ แล้วที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร หรือจะโกนก็ได้ไม่โกนก็ได้


สมัยพระนางซูสีไทเฮายาวมาก เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอก ไว้ค่อยมาอ่านวันหลัง

ปล. รูปจักรพรรดิ ที่แนนว่าหล่อที่สุดในราชวงศ์ชิงน่ะ มาจากไหนเนี่ย ภาพสีซะด้วย


โดย: O-yohyo วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:52:24 น.  

 
*พระจักรพรรดิ นูรฮาชี กับ พระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ พระองค์ไหนคือองค์ที่ยึดวังต้องห้ามได้สำเร็จแต่ว่าต้องมาสวรรคตระหว่างการ รบเพราะว่าเส้นโลหิตในสมองแตกคะ (อันนี้ดูมาจากเรื่องรักเหนือฟ้า ธิดาจักรพรรดิ) เดาว่าเป็นพระจักรพรรดิหวงไท่จี๋ใช่รึเปล่า ---

--- ก็น่าจะหวงไท่จี๋แหล่ะครับ ประมาณว่า วซุ่นจื้อ ปกครองปักกิ่ง หลังจากหวงไท่จี๋บุกปักกิ่งเกือบๆสำเร็จแล้วอ่ะครับ ซุ่นจื้อเป็นฮ่องเต้่แมนจูองค์แรก ที่ได้ครองปักกิ่งไงครับ
ถ้านับที่ครองกรุงปักกิ่ง ซุ่นจื้อคือ รัชกาลที่1 ครับ แต่ถ้านับทั้งราชวงศ์ นูรฮาชี คือ รัชกาลที่1 ครับ ...


*ตอนนี้กำลังรอดูเรื่อง Beyond the Realm of Conscience เป็นเรื่องราวสมัยราชวงศ์ถัง แล้วก็จะมีชนเผ่าหนึ่งส่งทูตมาจำชื่อไม่ได้ ไว้ละครฉายแล้วจะลองเทียบดูว่าชนเผ่านั้นคือมองโกลหรือกิมก๊ก แต่คำที่ใช้เดาว่าเค้าคงใช้ว่า เผ่าหนี่เจิน ไม่ก็พวกซีเซี่ย นี่คือรูปภาพค่ะ คนผู้ชายน่ะเค้าไว้ผมเปียด้วยเดาว่าผมเปียแบบนี้น่าจะเป็นพวกซีเซี่ย (มองโกล) ใช่รึเปล่า ---


--- ผมก็ว่า อาจจะเป็น มองโกล หรือ พวกอุยกูร์(อุยเก้อ) ก็ได้นะครับ เพราะสมัยถัง ผมยังไม่เคยได้ยินการกล่าวถึงพวกแมนจู หรือ เผ่าหนี่เจิน เลยนะครับ (อาจจะมีชนเผ่าแล้ว หรืออาจจะยังไม่มี ก็ได้นะครับ เพราะผมไม่เคยได้ยินจริงๆ แบบว่าอาจจะมีแล้วแต่ยังพวกเค้าไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับจีน) แต่ที่แน่ๆ มีมองโกลแน่นอน ครับ เพราะ ดูจากการขยายอำนาจของอาณาจักรถัง
ทางทิศเหนือ รบชนะพวกเผ่าเติร์กมีอำนาจเหนือมองโกเลีย ( เผ่าเติร์ก สำหรับชนเผ่านี้ เรื่องนี้ในนิยายกำลังภายในมังกรคู่สู้สิบทิศก็คือ ถูเจี๋ยตะวันออก และถูเจี๋ยตะวันตก ที่แยกเป็นตะวันตก - ตะวันออก เพราะมีการรบกันเองในเผ่าเพื่อแย่งชิงตำแหน่ง ข่าน เลยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ในสมัยราชวงศ์ฮั่น จนถึง ราชวงศ์ถัง เ่ผ่าที่ดังและมีอำนาจอีกเผ่านึงถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะชื่อ เผ่าซงหนู นะครับ อย่างที่เรียนไปข้างต้นอ่ะนะครับว่า มองโกล เค้าดินแดนกว้างขวางอยู่กันร้อยกว่าเผ่า สุดแท้แต่ว่ายุคไหนเผ่าไหน จะมีวีรบุรษมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้เผ่าตัวเองแจ้งเกิด อิอิ)

ทางทิศตะวันออก มีอำนาจเหนือคาบสมุทรเกาหลี

ทางทิศใต้ มีอำนาจเหนือเวียดนาม

ทางทิศตะวันตก รบชนะพวกอุยกูร์(อุยเก้อ)มีอำนาจเหนือซินเจียง,ทุ่งหญ้าสเตปป์,ทะเลสาบแคสเปียน พวกชนชาติ อุยกูร์ คือชนชาติที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบซินเจียง ของจีน
ปัจจุบันคือเขต ปกครองตนเองชนชาติอุยกูรซินเจียงมีชื่อย่อว่า "ซินเจียง" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินใหญ่ยุโรปกับเอเซีย มีเนื้อที่ประมาณ 1.66 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นเขตปกครองตนเองที่ใหญ่ที่สุดของจีน ภาคตะวันตกและภาคเหนือของซินเจียงมีพรมแดนติดกับ8ประเทศ ได้แก่ มองโกเลีย รัสเซีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย มีพรมแดนยาวถึง 5,400 กว่ากิโลเมตร เป็นเขตปกครองตนเองที่มีพรมแดนยาวที่สุดและมีเมืองที่ติดต่อกับภายนอกมากที่สุดของจีน
ใน สมัยของราชวงศ์ถัง บรรพบุรุษของชาวอุยกูร์ก็เดินทางเข้ามาในดินแดนแถบซินเกียง ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ถังอย่างแนบแน่น ทั้งนี้ตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมา ถือได้ว่าราชวงศ์ถังเป็นยุคที่สองที่ชาวจีนได้กลับเข้ามาแผ่อิทธิพลและมี บทบาทต่อชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ที่อยู่ในดินแดนแถบนี้อีกครั้ง โดยชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์นี้ต้องส่งเครื่องบรรณาการให้กับราชสำนักถังตามกำหนด ระยะเวลา

หุหุนอกจาก ร้อยกว่าเผ่านในมองโกล ยังมีเผ่าอีกมากมายเลยเนอะ สังเกตุสิครับ พวกนอกด่านพวกนี้ หน้าตาเค้าจะผสมกันเละเลยครับ จะจีนก็ไม่จีน จะแขกก็ไม่แขก จะฝรั่งก็ไม่ฝรั่ง หน้าเค้าผสมกันได้กลมกลืนจริงๆ ...






โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 30 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:17:05 น.  

 
*ดูรูปละคร Beyond เห็นการแต่งกายสมัยถัง เนื้อผ้าค่อนข้างบางและเปิดเผย พอมาราชวงศ์ชิงเสื้อผ้าจะหนาๆ เลยอยากรู้ที่ตั้งของเมืองหลวงด้วยค่ะ สมัยถังเมืองหลวงอยู่ในเขตที่ร้อนหน่อยใช่มั้ย ส่วนปักกิ่งนี่ก็คงเป็นแถบหนาวพอสมควร เท่าที่จำได้พวกกิมก๊กก็เป็นเขตหนาวเช่นกันใช่รึเปล่าคะ ถ้ายึดสมัยถังเป็นที่ตั้ง มองโกลอยู่ส่วนไหนของจีน แล้วกิมก๊กอยู่ส่วนไหนของจีนเหรอ ---

--- มองโกลอยู่ทางเหนือของจีนครับ ส่วนแมนจู หรือ กิมก๊กอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนครับ

คือเป็นที่ทราบกันว่า สมัยราชวงศ์ถังนะครับ มีเมืองหลวง 2 ยุคนะครับ
ยุคแรก (พ.ศ. 1161 - 1447) คือเมืองฉางอาน อยู่ถัดลงมาทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ปัจจุบันเมืองฉางอานถูกเปลี่ยนชื่อเมืองซีอาน ในสมัยราชวงศ์ชิง (อากาศน่าจะอบอุ่นกว่าปักกิ่ง)

ยุคที่สอง(พ.ศ. 1447 - 1450)คือเมืองลั่วหยาง
เมืองลั่วหยางปัจจุบันตั้งอยู่ทางตะวันตกของมณฑลเหอหนาน
มณฑลเหอหนานเดิมชื่อ จงโจว หรือ จงหยวน ตั้งอยู่ทางตอนกลางเยื้องทาง ตะวันออกของประเทศจีน อยู่ทางตอนกลางส่วนล่างของ แม่น้ำเหลือง (หวงเหอ)

เมืองลั่วหยาง และเมืองฉางอาน อยู่ทางใต้จากเมืองปักกิ่งลงมาอีกที ก็น่าจะอบอุ่นกว่าปักกิ่ง ทั้งสองเมือง

ส่วนปักกิ่งนั้น อยู่ใกล้ทั้ง มองโกลและแมนจู ก็เป็นไปได้ครับ ว่าสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ปักกิ่งจะหนาวกว่า สมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ เมืองฉางอาน และ ลั่วหยางซึ่งสองเมืองนี้อยู่ใต้ลงมามากกว่า ปักกิ่งครับ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:31:42 น.  

 


ว่างครับ เลย ต่อเติมแผนที่มาให้ดูครับ

ที่ผมวงไว้สีแดงอ่ะนะครับ เมืองXi'an ที่ผมเขียนเองว่าฉางอานอ่ะนะครับ คือเมืองฉางอาน ส่วนจุดแดงที่ถัดมาทางขวาของคำว่าฉางอานที่ผมเขียน บริเวณนั้นก็เมืองลั่วหยางอ่ะนะครับ

ส่วน เมืองปักกิ่ง หรือ BEIJING ก็ตรงจุดที่มีดาวสีส้มอ่ะนะครับ

ส่วนบริเวณที่ผมล้อมเส้นสีเขียวไว้บริเวณนั้นก็คือ แมนจูเรีย ครับ

แล้วมองโกล หรือ มองโกเลีย ก็บริเวณที่ผมวงสีฟ้าไว้นะครับ


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:43:14 น.  

 
*อีกหนึ่งคำถาม ที่คาใจมานาน ทำไมในละครบางเรื่องพวกแมนจูถึงได้โกนศีรษะครึ่งหนึ่ง บางเรื่องก็ไม่โกนแต่ไว้แค่ผมเปียเฉยๆ มีที่มาที่ไปมั้ยคะ หรือแค่ความสะดวกของนักแสดงทำให้บางเรื่องจึงไม่โกนศีรษะ แล้วที่ถูกต้องควรเป็นเช่นไร หรือจะโกนก็ได้ไม่โกนก็ได้ ---

--- ถ้าตามกฏหมายแมนจู แน่นอนครับ พอแมนจูเข้าเมืองมา ใครที่คิดจะยอมจำนน ก็ต้องโกนผมแล้วถักเปียให้ไวเลยนะครับ ไม่งั้นมีเรื่องอาจจะหัวหลุดข้อหากบฏเลยทีเดียว ชาวแมนจู ช่วงเข้าเมืองมาแรกๆ ก็จะบังคับให้ชายชาวจีนโกนหัวครึ่งหน้าและด้านหลังไว้ยาวถักเปีย และก็จะมีคำว่า จะไว้เปีย หรือ จะเสียหัว ซึ่งทรงผมทรงนี้ ชายชาวจีนจะรังเกียจเอามากๆเพราะถือเป็นความอัปยศอดสู และ ไร้ซึ่งอิสระถาพ (แต่แปลกนะครับพอคณะปฏิวัติ ยึดอำนาจได้แล้วออกกฏหมายให้ตัดเปีย มีหลายๆคนก็เสียดายเปียที่ไว้มาเป็นเวลานานครับ ถึงกับซ่อนไว้ในเสื้อข้างหลังเอาผ้ามาพันคอ แต่ก็ไม่พ้นถูกทหารของคณะปฎิวัติจับได้และตัดทิ้ง อิอิ แต่บางคนก็ตัดทิ้งเองทันทีเพราะรอวันนี้มานาน อันนี้ผมดูมาจากเรื่องหวงเฟยหง นะครับ) หรือ จากภาพยนตร์เรื่อง SINO-DUTCH WAR 1661 ชื่อไทยว่า มังกรระห่ำดาบปราบพยัคฆ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เจิ้งเฉิงกง ขุนนางสมัยหมิง ที่ต่อสู้กับแมนจู จนตัวเองโดนตีกระเจิงไปขึ้นฝั่งตั้งรกรากอยู่บนเกาะไต้หวัน คำพูดหนึ่งที่เจิ้งเฉิงกง กล่าวก็คือ "ข้าขอยอมตาย แต่ไม่ขอ โกนผมจำนน ชิง" ซึ่งทั้งๆที่จริงแล้ว พ่อของเจิ้งเฉิงกง ซึ่งเป็นขุนพลของราชวงศ์หมิง ยอมจำนนไปเข้าพวกกับแมนจูตั้งนานแล้ว และภายหลังก็โดนประหาร ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีเหตุผลใดเลยที่จะมีผู้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องโกนผมไว้เปีย อ่อ ยกเว้นพวกนักพรตในลัทธิเต๋าครับ
ส่วนในหนังนั้น สมัยก่อนผมก็เคยคิดนะครับว่า อาจจะเป็นพวกชาวฮั่นที่ถักเปียอย่างเดียวไม่ต้องโกนผม จะโกนเฉพาะชาวแมนจู ฮ่าๆ แต่จริงๆแล้วผมว่า มันอยู่ทีฟอร์มหนังมากกว่าครับ ถ้างบไม่เยอะอัดฉีดไม่พอ ก็ไม่โกนจริง ก็เหมือนละครไทยแหล่ะครับ สำหรับดาราบางคนที่ต้องเล่นบทพระ ถ้าเงินถึง หรือ ดาราใจถึงเอง ก็จะโกนจริง หรือ ถ้าหนังฟอร์มยักษ์ ก็โกนจริงไงครับ ดังนั้น โกนผมไว้เปีย เป็นกฏหมายครับ ใครไม่ไว้ หัวขาด !!!




*ปล. รูปจักรพรรดิ ที่แนนว่าหล่อที่สุดในราชวงศ์ชิงน่ะ มาจากไหนเนี่ย ภาพสีซะด้วย ---

--- ขอตอบว่า มันคือ ไอแนน เอง ครับ 555+


โดย: เจ้าคุณเล็ก วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:1:27:37 น.  

 
พี่กระจ่างแล้วค่ะแนน ข้อมูลแน่นปึ้กจริงๆ นี่แนนได้ไปเมืองจีนด้วยเหรอ ถ่ายรูปเครื่องแต่งกายและฉากแบบนี้แสดงว่าไปถ่ายที่เมืองจีนใช่รึเปล่าคะ ได้ไปเที่ยวที่ราชวังต้องห้ามมารึยัง วังใหญ่มากมั้ย ข้างในมีพวกพิพิธภัณฑ์ให้ดูเยอะแค่ไหนคะ

ในละคร Beyond เห็นว่าเป็นยุคถังตอนปลายแล้วค่ะ อีกไม่กี่รัชกาลหลังจากเหตุการณ์ในละคร ก็จะถึงช่วงเปลี่ยนราชวงศ์ (ไม่รู้ว่าต่อจากถังคือราชวงศ์อะไรนะ)

เมืองปักกิ่งอยู่ใกล้กับพวกแมนจูนี่เอง เค้าถึงได้รุกรานกันแล้วก็ส่งสายสืบเข้ามาง่ายดาย พี่เคยสงสัยอยู่อย่างนะ ว่าทำไมพวกแมนจูสามารถรวมเผ่ากันได้ บุกรบชนะพวกฮั่นแล้วทำไมถึงไม่ลงทุนสร้างเมืองหลวงใหม่ล่ะ วัฒนธรรมของชาวแมนจูก็น่าจะมี กลับมาใช้วังต้องห้ามที่สร้างในสมัยหมิงอยู่จนถึงยุคสุดท้าย ที่แท้วังนี้ก็อยู่ใกล้กับดินแดนบ้านเกิดของพวกแมนจูอยู่แล้ว ที่ตั้งดีแบบนี้ เค้าถึงได้ไม่คิดที่จะไปสร้างใหม่ที่ไหน ในยุคชิงนี่เป็นยุคที่รับวัฒนธรรมต่างชาติมาเยอะ บวกกับการรวมวัฒนธรรมให้กลมกลืนกับชาวฮั่น แต่การสร้างวัฒนธรรมหรือศิลปะของตนเอง พี่ยังไม่เห็นมีที่เด่น หรือว่าเค้าก็มีแต่ว่าพี่ไม่เคยเห็นก็ไม่รู้ค่ะ ความรู้สึกคือยุคชิงเนี่ยเป็นยุคที่เด่นในด้านกฎต่างๆ ด้านการประสานสัมพันธ์ เค้าจึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะมาสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เท่าที่ควร

ที่คิดว่าพวกกฎจะเด่นและเข้มงวด ก็อย่างการคัดนางสนม จะมีพิธีรีตองเยอะมากๆ มีลำดับขั้นตอน แต่ถ้าดูละครสมัยจิ๋น สมัยถัง บางทีฮ่องเต้ถูกใจสาวคนไหน ก็แต่งตั้งทันที หรือขึ้นเป็นสนมเอกกันง่ายดายเหลือเกิน แต่ของพวกแมนจู ต้องผ่านการคัดเลือก ต้องมีการอบรม จะขึ้นตำแหน่งใหญ่ๆ ก็ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจหนุนอยู่พอสมควรเลย (ก็ที่เคยสงสัยพวกกองธงนั่นแหล่ะค่ะ) มานึกอีกทีอาจเป็นเพราะว่าเค้ารวมเผ่ากันเยอะ ดังนั้นภายในแล้วอำนาจจึงคานกันอยู่พอสมควรล่ะมั้ง


โดย: O-yohyo วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:6:57:45 น.  

 
ปล. ถ้าจะโม้ต่อ ขอไปตั้งต้นที่ตอน 26 นะคะแนน จะได้ไม่ต้องกดย้อนไปย้อนมา


โดย: O-yohyo วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:6:58:47 น.  

 
อ๊ากกกกกกกกกก ช๊อก กำลังคิดเลยว่าฮ่องเต้ชิงคนนี้ใครฟระ หน้าคุ้นๆ (เหมือนดาราจีนเหมือนกันนะเนี่ย) แป่วววววววว หน้าแตก ที่แท้ฮ่องเต้อ๊ายซินเจียหลอแนนแนนเองหรือนี่ โอวววว

แล้วทำไงถึงได้ไปถ่ายอ่ะคะ เท่ห์จังเลย อยากไปถ่ายแบบนี้บ้าง ขอเป็นฮ่องเต้หญิงได้รึป่ะ หรือว่าเขาให้แต่ผู้ชายใส่อ่ะ

ปล. แต่ยังไงซะฮ่องเต้คนนี้ก็ยังไม่หล่อที่สุดในราชวงศ์ชิงค่ะ ให้เป็นที่สองละกัน หล่อน้อยกว่าฮ่องเต้คังซีคนนี้นิดนึง



โดย: realtomtam วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:7:49:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.