แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
2 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 16 เคลื่อนทัพหลวง


ความเดิมจากตอนที่แล้ว

กงซุนเช่อ ลู่เสี่ยวฟง และอ้อมหมิงเจิ้งชิงตัวชีเส้าเฟยจากกองทัพของอ๋าวเทียนลี่และหันจุ้นได้สำเร็จ หลังจากนั้นชีเส้าเฟยก็แยกกับพี่น้องที่ค่ายเพื่อตามหาเส่เยี่ย ด้านฮ่องเต้หลังจากที่พาเส่เยี่ยเข้าวังมา เขาก็พานางไปฝากไว้กับเจ้าหยาจือ ส่วนหลินกุเหนียงได้รับการฝึกฝนจากจั๋วอี้หังให้เป็นองครักษ์ขั้นที่ 1

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ ห้องครัว จวนถูจิ้นอ๋อง เจ้าหยาจือจัดแจงให้สาวใช้ช่วยกันหุงหาอาหาร ส่วนนางกับฮ่องเต้ก็เตรียมพวกเครื่องเทศกับผักต่างๆ ระหว่างนั้นเจ้าหยาจือก็ชวนฮ่องเต้คุยไปด้วย นางถามถึงความเป็นมาของเส่เยี่ย
"แล้วนางเคยพูดถึงครอบครัวหรือว่าพ่อแม่ของนางบ้างหรือเปล่า” เจ้าหยาจือถามขึ้น
"ไม่เลย” ฮ่องเต้ส่ายหน้า
"นางบอกว่าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว เราเองก็ไม่อยากที่จะซักต่อ เกรงว่าจะทำให้นางยิ่งไม่สบายใจ”
"คงต้องให้เวลาอีกหน่อย นางเพิ่งเข้าวังมา ยังไม่รู้ว่าจะไว้ใจใคร หรือไม่ไว้ใจใคร” เจ้าหยาจือปลอบใจฮ่องเต้
"อืม” ฮ่องเต้พยักหน้า พร้อมกับส่งผักในตระกร้าให้กับเจ้าหยาจือ
"จริงสิฝ่าบาท แล้วอาการตาบอดของเส่เยี่ยยังพอมีโอกาสรักษาไหมเพคะ”
"เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะนางไม่ยอมบอกว่า ที่ตาบอดนั้นเป็นมาตั้งแต่กำเนิด หรือว่าเป็นอุบัติเหตุ”
"ดูท่า นางก็ดื้อเอาการเหมือนกันนะเพคะ” เจ้าหยาจือพูดแล้วก็นึกถึงบุตรสาวของตนเอง
"ใช่แล้ว เหมือนกับ...” ฮ่องเต้พูดแล้วก็เงียบไป
"เหมือนกับปิงเยี่ย” เจ้าหยาจือจึงตอบแทนเขา พอได้ยินชื่อหญิงสาว คังซื่อก็หน้าเศร้าลงไปทันที
"เราคิดถึงปิงเยี่ยนะ ไม่รู้ว่าป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” คนพูดแววตาเหม่อ
"ท่านอ๋องบอกว่า ก่อนกลับจากซีอี้จะแวะไปเยี่ยมนาง ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วง หม่อมฉันรู้จักลูกสาวคนนี้ดี หากนางไม่มีความสุขแล้วหล่ะก็ จะต้องร้องโวยวายให้ท่านอ๋องพากลับวังหลวงแน่ๆ” เจ้าหยาจือพยายามพูดปลอบใจชายหนุ่ม ทั้งที่จริงๆ แล้วในใจของนางก็เป็นห่วงปิงเยี่ยไม่แพ้กัน
"หากปิงเยี่ยกลับมาจริงก็ดีสินะ” ชายหนุ่มพรึมพรำกับตัวเอง
"แน่ใจหรือเพคะ" เจ้าหยาจือเทผักใส่หม้อแกงเสร็จแล้วก็หันมามองหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อ
"ถ้าอย่างนั้น แล้วแม่นางเส่เยี่ยหล่ะ ฝ่าบาทจะว่าอย่างไร” นางยิ้ม ส่วนคังซื่อก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับนาง เขาคิดในใจ จริงสิ หากมีทั้งสองคน แล้วเขาจะเลือกใคร

ผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสองก็เตรียมอาหารจนเสร็จ เจ้าหยาจือให้นางกำนัลสองคนช่วยกันยกสำรับออกมาที่ห้องโถง ทั้งหมดจึงนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน บรรยากาศช่างดูเป็นกันเอง ฮ่องเต้ไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย ทำให้เส่เยี่ยให้คะแนนเขาเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง และแม้เส่เยี่ยจะไม่ค่อยพูด แต่มุขตลกของหลินกุเหนียงก็ทำให้ทุกคนหัวเราะและมีความสุขไปกับอาหารมื้อนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ณ ร้านเหล้าฉีถิง ชีเส้าเฟยนั่งทอดสายตาเหม่อลอยออกไปนอกร้าน บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและสุราที่ยังไม่ถูกแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว
"นี่ศิษย์หลาน เจ้ากินอะไรสักหน่อยเถอะนะ” จิวแปะทงนั่งเอามือเท้าคางเหมือนเด็กกำลังเบื่อ เขามองชีเส้าเฟยด้วยความเวทนา
"ข้าไม่หิว” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ดวงตาของเขานิ่งมาก
"เจ้าไม่หิว แต่ข้าหิวนี่” จิวแปะทงเริ่มโวยวายเหมือนเด็ก
"อาจารย์ปู่หิว ท่านก็กินสิ” ชายหนุ่มพูดจบก็หันหน้าเลี่ยงไปทางอื่น
"ก็เจ้าเล่นทำหน้าหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ ใครจะไปกินลงเล่า” พอจิวแปะทงพูดจบ ชีเส้าเฟยก็ลุกหนีไปนั่งโต๊ะข้างๆ
"อะไร พูดแค่นี้ต้องหนีด้วย นึกว่าเจ้างอนเป็นคนเดียวหรือไง ข้าก็มีหัวใจนะ สนใจข้าบ้างซี๊” จิวแปะทงทำท่างอนเหมือนผู้หญิง เขาโวยวายทุบโต๊ะแล้วก็เดินหน้ามุ่ยขึ้นบันไดไป พอเดินขึ้นไปได้สักพัก ไม่เห็นว่าชีเส้าเฟยเดินตามมา เขาก็วิ่งกลับลงมาที่โต๊ะอีก
"นี่! จะไม่ง้อข้าจริงๆ เหรอ” ชายชรามากระเง้ากระงอดอยู่หน้าชายหนุ่ม ชีเส้าเฟยจึงหันหลบไปทางอื่น ดูเหมือนว่าเขาอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า
"ก็ได้ๆ ข้าไม่ดีเอง ข้าผิดเอง ดูแลนางในดวงใจเจ้าไม่ดี ปล่อยให้หายไป เอานี่ เจ้าแทงข้าเลยสิ เอาเลย แทงเลย เจ้าจะได้หายแค้น” จิวแปะทงหยิบกระบี่บนโต๊ะ แล้วก็คะยั้นคะยอส่งให้ชีเส้าเฟยแทงตนเอง
"โธ่อาจารย์ปู่ข้ากำลังใช้ความคิดอยู่นะ ว่าจะไปตามหานางที่ไหน ไม่ได้ว่าอะไรท่านสักหน่อย”
"ก็ข้ารู้สึกผิดนี่หน่า เจ้าเล่นไม่กินข้าวไม่กินปลาแบบนี้ ข้าเป็นห่วงนะ” ชายชราบ่นคิ้วขมวด
"เอาหล่ะๆ งั้นข้าจะกินก็ได้ เพื่อให้ท่านสบายใจ จากนั้นขอข้าอยู่เงียบๆ สักครู่จะได้ไหม” ชีเส้าเฟยลุกกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเดิม แล้วเขาก็คว้าตะเกียบมาคีบข้าวเข้าปากอย่างเซ็งๆ กินไปได้สองสามคำเขาก็ลุกออกจากโรงเตี๊ยมไป
"โอโห! สาบานนะว่านี่เรียกว่ากิน” จิวแปะทงบ่นพรึมพรำ แล้วอยู่ๆ เขาก็เหมือนจะนึกแผนอะไรออก จึงรีบจัดการจ่ายค่าอาหารก่อนจะเดินทางออกจากโรงเตี๊ยมไปเช่นกัน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เช้าวันต่อมา ฮ่องเต้เสด็จมาห้องประชุมเสนาบดีตั้งแต่เช้า แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่พบกับอ๋าวป้ายและเยี่ยปี้หลง พอถามหาก็ปรากฏว่าพวกขุนนางไม่มีใครกล้าพูด แถมยังทำท่าซุบซิบเหมือนมีความลับกันอีกด้วย
"ตกลงว่าพวกท่านไม่รู้ หรือว่าไม่อยากให้เรารู้” คังซื่อถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ พอเห็นฮ่องเต้โกรธ พวกขุนนางก็พยายามจะแย่งกันอธิบาย คังซื่อจึงชี้ให้ซูเค่อซ่าฮาเป็นคนอธิบาย เสนาซูเล่าว่า กองทัพของอ๋าวเทียนลี่ถูกปล้นชิงนักโทษเมื่อวันก่อน แถมพวกค่ายเหลียนอิ๋นยังจับตัวอ๋าวเทียนลี่กับหันจุ้นไปประจาณจนเป็นที่อับอายอีกด้วย ฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าชีเส้าเฟยผิดจริงหรือไม่ แต่ค่ายเหลียนอิ๋นก็ไม่ควรจะดูถูกราชสำนักแบบนี้ พวกเขาทำเหมือนกับว่าบ้านเมืองไม่มีกฏหมาย หากแค่กลุ่มคนเล็กๆ แค่นี้ ยังจัดการไม่ได้ แล้วเขาจะบริหารบ้านเมืองได้อย่างไร
"แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เสนาอ๋าวจะใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงการประชุมเช้าได้” คังซื่อกล่าว พอพวกขุนนางได้ยินฮ่องเต้วิจารณ์เช่นนั้นก็พากับซุบซิบเหมือนจะมีความลับอะไรกันอีก ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
"นี่ตกลง พวกท่านเห็นหัวเราหรือไม่ หากจะซุบซิบกันเช่นนี้ต่อไป เราจะได้สั่งให้เลิกการประชุม” คังซื่อถมเสียงดุ
"พระอาญาไม่พ้นเกล้าๆ” บรรดาขุนนางพากันลนลานแย่งกันตอบ จนมีขุนนางคนหนึ่งตะโกนแทรกพวกเขาขึ้นมา
"ตอนนี้ เสนาอ๋าวป้ายกำลังรวมพลกองทัพหลวงหลายพันจะบุกไปค่ายเหลียนอิ๋นเช้านี้พะยะค่ะ!!!” ขุนนางคนนั้นตะโกนดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจมาก เขาโกรธจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก อ๋าวป้ายตัดสินใจอะไรโดยที่ไม่ถามเขาเลย การนำทัพหลวงเคลื่อนออกจากเมืองนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากมีข้าศึกคิดร้ายก็จะเปิดทางให้พวกมันโจมตีวังหลวงได้อย่างง่ายดาย ฮ่องเต้ไม่รอช้าเขาเดินฝ่าพวกขุนนางออกไปยังจุดรวมพลอย่างรวดเร็ว ฝ่ายองครักษ์เหอและคนอื่นๆ ก็หน้าซีดไปตามๆ กัน ครั้งนี้คงจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่

ณ จุดรวมพล อ๋าวป้ายทำร้ายทหารคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนพลครั้งนี้ เยี่ยปี้หลงรีบเข้ามาห้ามก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต
"ท่านพี่อ๋าวใจเย็นๆ น่า”
"ฮึย มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ข้าเป็นใคร มันเป็นใคร กล้าขัดขืนคำสั่งข้างั้นเหรอ” อ๋าวป้ายตะโกนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"เสนาอ๋าวนี่ท่านคิดจะทำอะไร!!!” ทันใดนั้น เสียงของฮ่องเต้ก็ดังฝ่ากลุ่มทหารเข้ามา เมื่อทุกคนรู้ว่าฮ่องเต้เสด็จจึงลุกเข่าลงพร้อมๆ กัน
"ถวายบังคมฝ่าบาท” อ๋าวป้ายคุกเข่าลง คังซื่อโกรธมากจึงไม่ได้สั่งให้ใครลุกขึ้น พวกทหารและองครักษ์ที่เดินตามมาก็วิ่งกันจนขาขวิดกว่าจะไล่ฮ่องเต้ทัน
"ท่านเสนา ไม่ทราบว่าท่านคิดจะนำกองทัพหลวงไปไหน!!!”
"หม่อมฉันจะพาทหารไปปราบกบฏพะยะค่ะ”
"ไปปราบกบฏงั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกเราก่อน”
"พระอาญาไม่พ้นเกล้าหม่อมฉันเห็นว่าเป็นเรื่องด่วน จึงยังไม่ได้กราบทูลฝ่าบาท”
"ด่วนแค่ไหนก็ต้องบอกเรา นี่ท่านเห็นเราอยูในสายตาหรือไม่”
"ฝ่าบาท ปราบกบฏเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของบ้านเมือง หากหม่อมฉันต้องรายงานทุกอย่าง แล้วจะเดินเกมทันศัตรูได้อย่างไร”
"เหลวไหล!!! นี่มันทัพหลวงนะท่านเสนา ไม่ใช่ทัพธงเหลืองของท่านที่จะเคลื่อนพลได้ตามใจชอบ”
"ฝ่าบาทกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเสนาบดีทั้งสี่ ให้มีอำนาจทั้งด้านการปกครองและทหาร ในเมื่อหม่อมฉันเห็นว่ามีความจำเป็น ทำไมถึงจะเคลื่อนทัพไม่ได้” อ๋าวป้ายตอบอย่างกวนประสาทที่สุด ทำให้สีหน้าคังซื่อเปลี่ยนไปทันที
"ท่านไม่ต้องยกเสด็จพ่อมาอ้าง!!! เรารู้ว่าเรายังไม่ได้รับคืนอำนาจ แต่ถึงอย่างไรเราก็เป็นฮ่องเต้ ท่านน่าจะให้เกียรติเราบ้าง” ชายหนุ่มพยายามสะกดความไม่พอใจเอาไว้
"ในเมื่อฝ่าบาทยังทรงเยาว์ หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์สอนงั้นหรือพะยะค่ะ อย่าลืมว่าหม่อมฉันก็เคยเป็นราชครูของพระองค์” อ๋าวป้ายรีบย้อน
"นี่ท่าน!!!” คังซื่อกำมือแน่น เขารู้สึกโกรธจนแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว
"ไม่ต้องพูดแล้ว!!! เราไม่อนุญาตให้เคลื่อนทัพ ได้ยินไหม!!! สลายกำลังเดี๋ยวนี้ มีอะไรพรุ่งนี้เช้า ท่านค่อยมารายงานเราตอนแผ่นดิน!!!” ฮ่องเต้พูดจบก็เดินหุนหันออกไปทันที บรรยากาศตรงนั้นเงียบสงัด ทหารทั้งกองทัพมองหน้ากันอย่างกลัวตาย ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฮ่องเต้กับอ๋าวป้ายทะเลาะกันแรงขนาดนี้มาก่อนเลย

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ สวนดอกไม้ ถูจิ้นอ๋อง หลินกุเหนียงได้ข่าวเรื่องชีเส้าเฟยหลบหนีการจับกุม และอ๋าวป้ายกำลังจะเคลื่อนทัพไปจับชีเส้าเฟยรอบสอง นางก็โดดซ้อมวรยุทธมาหาเส่เยี่ยที่จวนอ๋องแต่เช้า
“จริงเหรอ แล้วแบบนี้ฮ่องเต้จะห้ามเสนาอ๋าวได้ไหม” เส่เยี่ยฟังข่าวแล้วก็กระสับกระส่าย ลุกเดินไปเดินมา นั่งไม่ติดที่ นางเป็นห่วงชีเส้าเฟยเหลือเกิน ตอนนี้เขาคงต้องหลบซ่อนตัวเพื่อหลบหนีการจับกุมจากทางการ
“แม่นางเส่เยี่ย เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” หลินกุเหนียงเห็นเส่เยี่ยดูร้อนรนผิดปกติก็รู้สึกแปลกใจ
“เปล่าๆ ข้าแค่รู้สึกเป็นห่วงหน่ะ”
“เป็นห่วงเหรอ เจ้าเป็นห่วงใคร” หลินกุเหนียงสงสัย
“ออ.. คือ.. ข้าเป็นห่วง.. ฮ่องเต้หน่ะ กลัวว่าจะมีเรื่องกับอ๋าวป้าย” หญิงสาวรีบพูดกลบเกลื่อน นางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางมีความสัมพันธ์อะไรกับชีเส้าเฟย
“โอววว แม่นางเส่เยี่ย นี่ถ้าฮ่องเต้ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้จะต้องดีใจแน่ๆ” หลินกุมองเส่เยี่ยตาเป็นประกาย เหมือนวิญญาณแม่สื่อจะเข้าสิง ความจริงฮ่องเต้คนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน นางน่าจะเชียร์ให้เขาลงเอยกับเส่เยี่ยซักหน่อย ส่วนนางก็จะได้ลงเอยกับพี่จั๋วอี้หังสุดหล่อหน้าขาวคนนั้น หญิงสาวคิด
“งั้นเหรอ” เส่เยี่ยทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“นี่! ข้าคิดอะไรออกแล้ว เราไปกันดีกว่า” หลินกุเหนียงทำท่านึกอะไรออก แล้วก็คว้ามือเส่เยี่ยวิ่งออกจากสวนไป
“เดี๋ยวๆ นี่เจ้าจะพาข้าไปไหน”
“ตามมาเหอะน่า เดี๋ยวก็รู้เอง”

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ที่ห้องหนังสือ คังซื่อกำลังหงุดหงิดกับเรื่องเสนาอ๋าวป้าย เขาทุบโต๊ะเก้าอี้จนพังไปหลายตัว องครักษ์เหอพยายามพูดให้เขาใจเย็นลง หลินกุเหนียงพาเส่เยี่ยเดินมาแถวๆ หน้าประตู พอได้ยินเสียงฮ่องเต้กับองครักษ์กำลังคุยกันอยู่ นางจึงบอกให้เส่เยี่ยเงียบเพื่อที่จะแอบฟังเหตุการณ์
“ทำแบบนี้จะดีเหรอหลินกุ” เส่เยี่ยกระซิบ
“ไม่เห็นเป็นไรน่า เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่าเรื่องราวเป็นยังไง” ว่าแล้วหลินกุก็ค่อยๆ ชะเง้อเข้ามาในห้อง
“ข้าก็อยากรู้ แต่ว่ามาแอบฟังแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ก็ได้ๆ งั้นเอางี้” ว่าแล้วหลินกุก็คว้ามือเส่เยี่ยยกขึ้น
“เราเดินโทงๆ เข้าไปเลย!!! แล้วบอกว่า อยากรู้เรื่องที่ฮ่องเต้ทะเลาะกับเสนาอ๋าวป้าย เพราะว่าแม้นางเส่เยี่ยเป็นห่วงฝ่าบาทเหลื๊อเกิ๊นเพคะ ดีมั๊ยหล่ะ” หลินกุแกล้งทำเสียงล้อเลียนเส่เยี่ย
“ใครว่าข้าห่วงเขาหล่ะ” คนพูดก้มหน้า ความจริงนางก็ไม่ได้เป็นห่วงฮ่องเต้เลยซักนิด
“อ่ะก็เมื่อกี๊ที่สวนใครยังพูดดีอยู่เลย” หลินกุเหนียงทำเป็นรู้ทัน
“ข้าเป็นห่วงคนอื่นหรอก”
“คนอื่น ใคร อย่าบอกนะว่าท่านเป็นห่วงเสนาอ๋าวป้าย ฮ่าๆ ข้าไม่เชื่อหรอก” หลินกุหัวเราะ ฝ่ายเส่เยี่ยก็ได้แต่เงียบ จะให้นางบอกหลินกุได้อย่างไรว่าคนที่นางห่วงก็คือกบฏชีเส้าเฟยคนนั้น
“เจ้าไม่เชื่ออะไรงั้นเหรอ” แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งถามขึ้น หลินกุรู้สึกตะหงิดๆ ทำไมเสียงนี้มันฟังดูคุ้นหูยังไงชอบกล พอหันหน้ากลับมาเท่านั้น นางก็แทบจะเป็นลม
“อ๊า.. องครักษ์จั๋ว”
“อืมใช่” ชายหนุ่มหน้าขาวยิ้ม
“เจ้าสองคนมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าพระตำหนักเนี้ย” จั๋วอี้หังถาม
“เอ่อ.. เอ่อ..” หลินกุเหนียงเกิดอาการใบ้กินขึ้นมาทันที
“เห็นครูฝึกบอกว่าตอนเช้า เจ้าไม่ได้เข้าซ้อมด้วยนี่ หนีมาเที่ยวอยู่นี่เอง”
“แหะๆ” หลินกุยิ้มเจื่อนๆ ให้เขา โชคดีที่คนที่มาพบพวกนางคือองครักษ์จั๋วผู้แสนจะมองโลกในแง่ดี ถ้าหากเป็นองครักษ์เหอป่านนี้นางสองคนคงจะถูกแขวนคอประจารรอบเมืองไปแล้ว

แล้วอยู่ๆ เส่เยี่ยก็รู้สึกว่าตนเองเห็นแสงอะไรแว๊บๆ แยงเข้าที่ตา นางกุมศีรษะแล้วทรุดตัวลง
“แม่นางเส่เยี่ยเป็นอะไรหรือเปล่า!!!” องครักษ์จั๋วเห็นท่าไม่ดีจึงร้องถาม ทำให้ฮ่องเต้กับองครักษ์เหอที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของเขา
“เส่เยี่ย!!!” คังซื่อรีบวิ่งออกมาดู
“นี่พวกเจ้ามาทำอะไรกัน!!!” องครักษ์เหอมาถึงหน้าห้องก็ถามเสียงดุ ฝ่ายคังซื่อที่เดินตามหลังมา เห็นเส่เยี่ยยืนกุมศีรษะอยู่ จึงรีบเข้าไปประคองนางด้วยความห่วงใย
“เส่เยี่ย เจ้าเป็นอะไรไป”
“หม่อมฉันรู้สึกปวดตาเพคะ” น้ำเสียงคนตอบไม่ค่อยจะสู้ดีนัก คังซื่อจึงสั่งให้ทุกคนพาเส่เยี่ยเข้ามานั่งพักในห้องหนังสือก่อน องครักษ์เหอไม่เห็นด้วย เพราะนี่เป็นห้องทำงานส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ ไม่ควรให้คนนอกเข้า หากคนอื่นมาเห็นจะไม่ดี แต่ฮ่องเต้ก็ท้วงขึ้นว่าเส่เยี่ยกำลังไม่สบายให้องครักษ์เหอยกเว้นนางบ้างก็ได้

หลังจากเส่เยี่ยเข้ามานั่งพักด้านในแล้ว ฮ่องเต้ก็รบเร้าจะให้หมอหลวงมาดูนางให้ได้ แต่หญิงสาวปฏิเสธ นางบอกว่านางอยากกลับจวนมากกว่า แต่ฮ่องเต้ยืนกรานว่าจะให้นางพักที่นี่ก่อน เส่เยี่ยเลยยื่นข้อเสนอว่านางจะพักที่นี่ก็ได้ แต่ต้องไม่ให้หมอหลวงมาตรวจ และเมื่อนางรู้สึกดีขึ้นแล้ว ก็จะขอกลับจวนทันที ฮ่องเต้จึงยอมตามใจนาง หลินกุเหนียงเห็นฮ่องเต้ดูห่วงใยเส่เยี่ยมาก จึงเริ่มปฏิบัติการแม่สื่อแม่ชักทันที
“รู้สึกว่าฝ่าบาทดูจะห่วงใยแม่นางเส่เยี่ยเหลือเกินนะพะยะค่ะ” องครักษ์หลินกล่าว
“ฝ่าบาทก็มีน้ำพระทัยอย่างนี้กับทุกคนนั่นแหละ” องครักษ์เหอค้อนใส่หลินกุเหนียง เหมือนเขาจะรู้ทันว่านางกำลังจะพูดอะไร
“ว้า แย่จัง นึกว่าฝ่าบาทจะทรงห่วงใยแม่นางเส่เยี่ยเป็นพิเศษเสียอีก เพราะแม่นางเส่เยี่ยอุตส่าห์มาถึงนี้ด้วยความห่วงใยฝ่าบาท”
“องครักษ์หลินท่านพูดอะไร!” เส่เยี่ยที่กำลังปวดหัวอยู่รีบดึงแขนเสื้อหลินกุแล้วทำเป็นไม่รู้เรื่องที่เขาพูด
“ก็เมื่อกี๊อยู่ที่จวนท่านยังบอกว่าเป็นห่วงฝ่าบาทอยู่เลย กลัวว่าฝ่าบาทจะมีเรื่องกับท่านอ๋าวป้ายไง” หลินกุเหนียงทำเป็นพูดลอยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสบจริงๆ
“นี่ท่าน..” เส่เยี่ยรู้ตัวว่ากำลังโดนหักหลังแต่ก็พูดอะไรไม่ออก ฝ่ายคังซื่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มกริ่ม จากที่กำลังเครียดอยู่ ก็ลืมความไม่สบายใจไปจนหมด
“เอ่อจริงสิ องครักษ์จั๋วท่านมานี่มีอะไรงั้นเหรอ” ฮ่องเต้กลัวว่าเส่เยี่ยจะอายจึงหันไปชวนองครักษ์จั๋วคุยแก้เขิน
“ไทเฮาทราบเรื่องเสนาอ๋าวแล้วเป็นห่วงฝ่าบาท เลยให้หม่อมฉันมาดูเหตุการณ์พะยะค่ะ”
“ไปบอกเสด็จแม่เถอะว่าเราไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราจะคุยเรื่องนี้ตอนแผ่นดินอีกที” ชายหนุ่มตอบ ด้านองครักษ์จั๋วเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงขอตัวลากลับ หลินกุเหนียงทำเป็นเนียนจะอยู่กับเส่เยี่ยต่อ แต่องครักษ์จั๋วตำหนิที่นางหนีซ้อมวรยุทธมา แล้วยังพาเส่เยี่ยมาเที่ยวเล่นอีก ยังไงก็ต้องกลับไปรับโทษ นางจึงจำใจตามจั๋วอี้หังออกไป ฮ่องเต้รับปากว่าจะเป็นคนพาเส่เยี่ยไปส่งที่จวนเอง ตอนนี้จึงเหลือแค่ฮ่องเต้ เส่เยี่ย และองครักษ์เหอซึ่งพยายามกันท่าสองหนุ่มสาวสุดฤทธิ์ จนฮ่องเต้ทนไม่ไหว ต้องขอให้เขาออกไปก่อน เพื่อที่จะคุยกับเส่เยี่ยเพียงลำพัง
“เมื่อกี๊ ที่องครักษ์หลินพูด จริงเหรอ” ฮ่องเต้ถือโอกาสนั่งข้างๆ เสเยี่ยแล้วถามนาง
“อะไรจริงเพคะ”
“ก็ที่เขาบอกว่า เจ้าเป็นห่วงเรายังไงหล่ะ” คังซื่อตอบ
“คือ.. หม่อมฉันก็พูดรวมๆ ว่าเป็นห่วงฝ่าบาท เป็นห่วงบ้านเมือง” ถึงแม้จะบอกกับตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรกับเขา แต่เจอคำถามตรงๆ แบบนี้ ก็ทำเอาหญิงสาวหัวใจเต้นรัวได้เหมือนกัน
“ยังไงก็ขอบใจนะ” ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวแล้วก็ยิ้ม
“แล้วฝ่าบาทจะทำอย่างไรต่อไปเพคะ” เส่เยี่ยรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ยังไม่รู้เลย พรุ่งนี้อ๋าวป้ายต้องยืนกรานขอเคลื่อนทัพแน่” คังซื่อตอบแล้วก็ถอนหายใจ
“ในเมื่อฝ่าบาทไม่เห็นด้วย เสนาอ๋าวยังจะกล้าขัดคำสั่งเชียวหรือ”
“เฮ้อ นี่แหละปัญหา หากว่าเขาเกรงใจเราสักนิดก็คงจะดี”
“แล้วคนอื่นๆ ในราชสำนักหล่ะเพคะ พอจะมีใครที่เขาเกรงใจบ้างไหม”
“เมื่อก่อนหน่ะมีท่านเสนาสั่วหนี่ แต่หลังจากท่านสั่วหนี่สิ้น ทุกคนก็พากันเกรงใจอ๋าวป้ายกันไปหมด แม้ว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เพราะเกรงว่าตนเองจะเดือดร้อน”
“แบบนี้ก็แสดงว่า เขาจะต้องจับตัวชีเส้าเฟยให้ได้ถึงจะยอมเลิกรา” เส่เยี่ยถือโอกาสหลอกถามฮ่องต้
"อืมไม่ยักรู้ว่าเจ้าก็สนใจเรื่องบ้านเมืองเหมือนกัน” คังซื่อเห็นว่าเส่เยี่ยดูจะสนใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นพิเศษจึงถามขึ้น
“เอ่อ.. คือ.. ความจริงหม่อมฉันก็เป็นห่วงบ้านเมือง แล้วก็..” หญิงสาวตอบตะกุกตะกักเกรงว่าตนเองจะดูมีพิรุธ
“แล้วก็อะไร”
“แล้วก็เป็นห่วงฝ่าบาทด้วย” คนตอบกลั้นใจพูดประโยคหลังเบาๆ หวังว่าแผนนี้คงจะทำให้ฮ่องเต้ไว้ใจนางได้ และแล้วก็ได้ผลจริงๆ คังซื่อได้ยินประโยคนั้นก็ยิ้มจนแก้มบุ๋ม เขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวจากหอคณิกาที่เคยเอาไม้ฟาดศีรษะเขา จะอ่อนโยนลงได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
“ทีแรกนึกว่าเจ้าไม่ค่อยชอบหน้าเราเสียอีก” คนพูดตัดพ้อ
“ก็จริงเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันยังไม่รู้นิว่าฝ่าบาทเป็นคนอย่างไร”
“แล้วตอนนี้รู้แล้วเหรอ” ชายหนุ่มรุก
“เอ่อ.. ความจริงตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว อยากจะกลับจวนแล้วหน่ะเพคะ” หญิงสาวไม่ตอบ นางเห็นท่าไม่ดี กลัวว่าฮ่องเต้จะคิดไปใหญ่ไปโตจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง ความจริงนางไม่เพียงรู้สึกอึดอัดที่จะอยู่ใกล้ๆ เขา แต่นางเริ่มไม่ชอบตัวเอง ที่เริ่มจะรู้สึกดีกับคนๆ นี้เลย
“เจ้าแน่ใจเหรอ ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า” คังซื่อเอามือมาอังที่หน้าผากของเส่เยี่ย หญิงสาวก็ส่ายหน้าว่าตนเองไม่เป็นอะไรแล้ว
“งั้นเดี๋ยวเราไปส่งนะ” เขายิ้ม
“เพคะ” นางตอบ...




Create Date : 02 มกราคม 2552
Last Update : 19 มีนาคม 2560 1:48:19 น. 6 comments
Counter : 267 Pageviews.

 
เส่เยี่ยร้อนใจเป็นห่วงท่านลุงชี สอบถามเหตุการณ์จากองครักษ์หลินใหญ่เลย



โดย: O-yohyo วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:18:44:12 น.  

 
ฮ่องเต้จะเคลื่อนทัพจริงรึ



โดย: O-yohyo วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:18:44:49 น.  

 
เส่เยี่ยเริ่มอึกอักเมื่อถูกองครักษ์หลินซักไซ้มากๆ เข้า



โดย: O-yohyo วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:18:45:21 น.  

 
ก็ไม่อยากให้รู้นี่ว่าเป็นห่วงท่านลุงชี




โดย: O-yohyo วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:18:45:50 น.  

 
ณ ห้องทำงานของฮ่องเต้คังซื่อ เส่เยี่ยเริ่มทำตัวไม่ถูก เมื่อองครักษ์หลินทำตัวเป็นแม่สื่อ




โดย: O-yohyo วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:18:46:32 น.  

 
เส่เยี่ยเริ่มเริ่มไม่ชอบตัวเอง ที่เริ่มจะรู้สึกดีกับคังซื่อ



โดย: O-yohyo วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:18:47:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.