แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
2 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 14 แผนการของกงซุนเช่อ (3)


ความเดิมจากตอนที่แล้ว

ชีเส้าเฟยถูกจับตัวได้ที่ค่ายแม่ทัพหลินเซียง อ๋าวเทียนลี่และหันจุ้นกำลังนำตัวเขากลับไปรับโทษที่เมืองหลวง ด้านเส่เยี่ยหลังจากหนีออกมาจากหอนางโลมก็ได้พบกับคังซื่อ องครักษ์เหอ และองครักษ์จั๋ว

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เช้าวันต่อมา แดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนใบหน้าของหญิงสาว หลินกุเหนียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าองครักษ์จั๋วกำลังจ้องมองนางอยู่
“องครักษ์จั๋ว ท่านมีอะไรงั้นเหรอ” หญิงสาวกระพริบตาถี่ด้วยความเขินอาย
“ข้ากำลังมองหญิงสาวที่งามที่สุดในแผ่นดินไง” องครักษ์จั๋วยิ้ม
“หา ท่านองครักษ์ ท่านพูดอะไร ไม่อายบ้างหรือ” หญิงสาวหน้าแดง
“ข้าพูดความจริง ต้องอายใคร หรือว่าเจ้าไม่เชื่อ” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำให้หลินกุเหนียงหูซ้ายแแดงไปถึงหูขวา
“อี้หัง” หญิงสาวเรียกชื่อชายหนุ่มเบาๆ แล้วมองไปที่ตาของเขา
“หลินกุ” ชายหนุ่มก็มองหญิงสาวด้วยแววตาหวานซึ้ง จนหลินกุเหนียงค่อยๆ รู้สึกตัวว่ามีมือมาลูบๆ คลำๆ บนเรือนร่างของตนเอง
“อ๊า...” หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเส่เยี่ยนั่งอยู่หน้าตนเอง
“ชูว... เบาๆ สิ เดี๋ยวพวกเขาก็ตื่นหมดหรอก” เส่เยี่ยเอามือปิดปากหลินกุเหนียงไว้ แล้วส่งสัญญาณให้นางเงียบลง นางมองไม่เห็นจึงคลำร่างของหลินกุเหนียงเพื่อจะหาทางแก้มัดให้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเด็กขอทานดันมีหน้าอกด้วย
“หา! นี่เจ้า... เอ่อ... เจ้าเป็น... เอ่อ... ข้า... ข้าขอโทษนะ... ข้าไม่รู้ว่าเจ้า... เอ่อ...” เส่เยี่ยตกใจมาก นางรีบขอโทษขอโพยหลินกุเหนียงจนพูดไม่เป็นประโยค
“ช่างเถอะ นี่แม่นาง เจ้ารีบๆ แก้มัดให้ข้าก่อนเถอะน่า” หลินกุเหนียงกลัวคนอื่นจะตื่นมาพบเข้า จึงเร่งให้เส่เยี่ยรีบแก้มัดให้ตน พอเส่เยี่ยแก้มัดให้นางเสร็จ หลินกุเหนียงก็ประคองเส่เยี่ย ทั้งคู่พากันเดินหนีออกจากวัดร้างเงียบๆ แต่ขณะที่กำลังจะก้าวพ้นขอบประตูไปนั้น
“ฮี ฮืม จะไปไหนกันแต่เช้า” เสียงองครักษ์เหอดังไล่หลังมา ทำให้ขาของทั้งคู่นิ่งตายสนิท
“นึกแล้ว ว่าเจ้าสองคนต้องไม่ธรรมดา” องครักษ์เหอค่อยๆ เดินอ้อมมาด้านหน้าหญิงสาว แล้วยกกระบี่กั้นทางเดินเอาไว้
“นี่คุณชาย ที่ท่านต้องการคือข้าไม่ใช่หรือ ขอทานน้อยคนนี้ไม่เกี่ยวอะไรด้วย ท่านปล่อยเขาไปเถอะ” เส่เยี่ยกล่าวขึ้น
“ไปไหนไม่ได้ทั้งสองคนนั่นแหละ” องครักษ์จั๋วตอบเสียงเข้ม
“แต่เมื่อคืน ท่านเป็นคนสัญญาเองว่าจะปล่อยเขาไป หรือว่าท่านจะเสียสัจจะ” เส่เยี่ยเถียง
“จุๆๆ แม่นาง... เจ้าตาบอดแต่ไม่ธรรมดาเลยนะ แอบฟังพวกเราคุยกันด้วย” องครักษ์เหอมองหน้าเส่เยี่ยอย่างไม่ไว้วางใจ ดูท่าหญิงสาวคนนี้คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ฮ่องเต้คงต้องระวังตัวหน่อยแล้ว

ระหว่างนั้นคังซื่อรู้สึกตัวขึ้นมาพอดี เมื่อไม่พบร่างเส่เยี่ยอยู่ข้างๆ เขามองไปรอบๆ เห็นทั้งสามยืนคุยกันอยู่ที่หน้าประตูวัด จึงรีบวิ่งมาถาม
“นี่องครักษ์เหอ เกิดอะไรขึ้น!!!”
“ฝ่าบาท สองคนนี้คิดหนีพะย่ะค่ะ” องครักษ์เหอรายงาน
“หนีเหนออะไรกัน พวกท่านต่างหาก มีสิทธิ์อะไรมาจับเราสองคนไว้ อย่านึกว่าเป็นฮ่องเต้แล้วจะใช้อำนาจมาข่มเหงประชาชนได้นะ ข้าไม่กลัวพวกท่านหรอก” หลินกุเหนียงเริ่มหมดความอดทน นางพับแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะลุยเต็มที่
“เอาหล่ะๆ น้องชาย เข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง องครักษ์เหอปล่อยเขาไปเถิด อย่ามากเรื่องเลย เดี๋ยวเราก็ต้องเดินทางกันต่อแล้ว”
“แต่ว่า...” องครักษ์เหอทำท่าจะไม่ยอม แต่ก็ต้องลดกระบี่ลง เมื่อคังซื่อส่งสายตาแกมบังคับมา
“เจ้ารีบไปสิ” เส่เยี่ยเห็นสบโอกาส นางจึงผลักให้หลินกุเหนียงรีบแยกตัวออกไป หลินกุเหนียงเดินไปได้เพียงสองก้าว ก็ทำท่านึกอะไรออก นางจึงเดินย้อนกลับมาที่เดิม
“เฮ้อออออ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าไม่ไปแล้ว” หลินกุเหนียงหันมาคว้ามือเส่เยี่ยไว้ ทำเอาคังซื่อตาโต (ด้วยความหึงเล็กน้อย)
“ถ้าจะไป เจ้าก็ต้องไปกับข้าด้วยนะ... พี่สาว” หลินกุเหนียงเห็นคังซื่อทำท่าไม่พอใจ ก็ยิ่งอยากแกล้งเขาอีก นางดึงเอาแขนของเส่เยี่ยมากอดไว้กับแขนของตน
“เอ่อ.. ใช่ๆ ถ้าเขาไปไหนข้าก็จะไปด้วย ข้าจะไม่ยอมไปกับพวกท่านตามลำพังหรอกนะ” หลินกุเหนียงสะกิดให้เส่เยี่ยรีบรับมุข นางก็เล่นต่อได้อย่างแนบเนียน
“นี่เจ้า!!!” คังซื่อเริ่มคิดไม่ตก ดูเหมือนคงต้องยอมให้ขอทานน้อยคนนี้ไปด้วย ไม่งั้นเส่เยี่ยคงไม่ยอมไปกับเขาเป็นแน่
“ฝ่าบาทอย่าบอกนะว่าจะพาสองคนนี้กลับพระตำหนักด้วย ไม่ได้นะพะย่ะค่ะ” องครักษ์เหอรีบเข้ามาค้านเต็มที่ ฝ่ายฮ่องเต้ก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ฝ่าบาท” เมื่อไม่มีคำตอบจากคังซื่อ องครักษ์เหอก็ยิ่งกังวลเข้าไปอีก
“เจ้าไปปลุกองครักษ์จั๋วไป พวกเราจะได้รีบออกเดินทาง” ฮ่องเต้สั่งแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปโดยไม่สนใจคำคัดค้าน องครักษ์เหอจึงจำต้องเดินไปปลุกจั๋วอี้หังที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ พอเขาตื่นขึ้นมาก็โวยวายเมื่อรู้ว่าฮ่องเต้ตัดสินใจจะพาคนทั้งสองเข้าวัง แม้สององครักษ์จะช่วยกันคัดค้านเท่าไหร่ แต่ฮ่องเต้ก็รั้น ไม่สนใจคำคัดค้านเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทั้งคู่ต้องจำใจออกเดินทางต่อไป

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ขบวนแห่นักโทษชีเส้าเฟยใหญ่โตอลังการ ไม่ว่าจะผ่านเมืองไหนก็เป็นที่สนใจของชาวบ้าน บ้างคนแอบเอาน้ำเอาอาหารมาส่งให้ชีเส้าเฟย บางคนก็ก้มลงคาราวะด้วยความนับถือ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะฝ่าเข้าไปช่วยเขา เพราะเพียงแค่ทหารของจวนอ๋าวป้ายก็มีร่วมร้อยคนแล้ว ซ้ำแม่ทัพหลินเซียงยังสมทบทหารให้หันจุ้นอีกกว่าสองร้อยนาย
“เจ้าดูชาวบ้านพวกนี้สิ พวกเขาก้มลงกราบไหว้เราแบบนี้ เรารู้สึกเหมือนกับเป็นองค์รัชทายาทก็ไม่ปาน ฮ่าๆๆ” อ๋าวเทียนลี่นั่งยืดอยู่บนม้าอย่างพอใจ โดยหารู้ไม่ว่าชาวบ้านก้มลงคาราวะชีเส้าเฟยที่พวกเขานับถือต่างหาก
“โผละ” ทันใดนั้นก็มีคนปาเศษผักเข้ามาโดนหน้าของอ๋าวเทียนเต็มๆ
“อารักขาๆ” เสียงพวกทหารร้องโวยวายกันให้วุ่น พอจะหาตัวคนที่ก่อเหตุก็มองไม่เห็นแล้ว เพราะเหตุการณ์มันรวดเร็วมาก อีกทั้งชาวบ้านที่มามุงดูก็มีนับร้อย
“หนอย!!! ใครมันกล้าบังอาจ!!! หันจุ้นถ้าจับตัวมันมาไม่ได้ ก็เอาไอ้พวกนี้ไปประหารให้หมดเลย!!!” อ๋าวเทียนลี่กัดฟันแน่นด้วยความโกรธ
“คุณชายใจเย็นๆ เรื่องนี้ไว้ให้ข้าจัดการดีกว่า ท่านก็เดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว ข้าว่าเราแวะพักกันที่ร้านน้ำชาข้างหน้าก่อนดีกว่าไหมครับ” หันจุ้นรีบเข้ามาประจบ ทำให้อ๋าวเทียนลี่คลายความโมโหลงไป หลังจากนั้นหันจุ้นก็สั่งให้ลูกน้องไปจับใครมาก็ได้เพื่อมาเป็นแพะ สักพักหนึ่งทหารคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับชาวบ้านบริสุทธิ์คนหนึ่ง
“ไว้ชีวิตข้าด้วยๆ ฮือๆ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไต้เท้าพวกท่านจับข้ามาทำไม ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้ามีแม่แก่ๆ ต้องดูแล...” ชาวบ้านที่ถูกจับมาร้องไห้คร่ำควรญร้องขอชีวิตอย่างน่าสงสาร อ๋าวเทียนลี่ไม่ฟังคำ เขาเข้าไปถีบชายคนนั้นจนกระเด็นลงไปกองกับพื้น
“หยุดนะ” ชีเส้าเฟยที่เห็นเหตุการณ์อยู่ทนไม่ได้
“เจ้าว่าไงนะ” อ๋าวเลียนลี่หันมาส่งสายตาอำมหิตทันที
“ข้าบอกให้หยุด เจ้ายังไม่ทันถามไถ่ สืบสาวหาความเลย ทำไมถึงได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เช่นนี้”
“หนอยเจ้าคนแซ่ชี ตัวเจ้าเองตอนนี้ยังเอาตัวไม่รอดเลย กล้าดียังไงมาสั่งสอนข้า”
“ข้าไม่ได้สั่งสอน เพิ่งแค่กล่าวมโธรรมพื้นฐานของขุนนางเท่านั้น บิดาเจ้าไม่เคยสอนงั้นหรือ”
“นี่เจ้า!!!” อ๋าววเทียนลี่โมโหมากที่ถูกพูดจาลบหลู่ เขาสั่งให้ทหารลากชีเส้าเฟยออกมาจากรถเข็นนักโทษ ระหว่างนั้นเองจู่ๆ พวกทหารก็ค่อยๆ ล้มลงไปโอดครวญทีละคนสองคน
“นี่พวกเจ้าเป็นไรไป ลุกขึ้นมา ข้าบอกให้ลุกขึ้นมาไง” หันจุ้นเห็นไม่ได้ความจึงเข้าไปคว้าตัวพวกทหารที่ล้มลงไปกอง
“ท่านมือปราบ ข้าปวดท้อง โอยท้องของข้า มัน...” ทหารคนหนึ่งตอบยังไม่จบประโยคดี ก็ลงไปนอนดิ้นด้วยความทรมาน
“โอยๆๆ ปวดท้อง... ไม่ไหวแล้ว...” จากทหารที่ค่อยๆ ล้มลงไปทีละคนสองคน เป็นสิบคน ร้อยคน จนในที่สุดทุกคนก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นจนเกือบหมด เหลือเพียงทหารอีกสี่คนกับอ๋าวเทียนลี่และหันจุ้นเท่านั้นที่ไม่รู้สึกปวดท้อง
“รึว่าพวกเขาจะโดนวางยา” หันจุ้นสงสัย สักพักหนึ่งก็ปรากฏร่างสามร่างยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“เป็นฝีมือพวกเจ้างั้นเหรอะ”
“เอาคืนเล็กน้อย อย่าถือสาเลยนะ” ลู่เสี่ยวฟงเดินยิ้มมาแต่ไกล
“ต้องการอะไร” อ๋าวเทียนลี่ใจดีสู้เสือตะคอกกลับ
“ไม่น่าถาม” ลู่เสี่ยงฟงชี้ไปที่ชีเส้าเฟยแล้วกระพริบตาให้อ๋าวเทียนลี่
“กลางวันแสกๆ เจ้าคิดจะปล้นนักโทษงั้นหรือ” อ๋าวเทียนลี่เริ่มเสียงแผ่วลง
“กลางวันแสกๆ เจ้ากับข้า มาตัวๆ กันดีกว่าไหม วันนี้ข้าต่อให้ก็ได้ จะใช้พลังแค่ห้าในสิบ”
“งั้นเจอกับข้าก่อนก็แแล้วกัน” ทันใดนั้นหันจุ้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ลู่เสี่ยวฟงเผลอ จู่โจมลู่เสี่ยวฟงทันที มันรัวกระบี่ใส่เขาอย่างรวดเร็ว ลู่เสี่ยวฟงใช้ฝ่ามือทั้งซ้ายและขวารับกระบี่สลับกันไป ฝ่ายอ้อมหมิงเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปเล่นงานอ๋าวเทียนลี่กับพวกทหารที่เหลือ กงซุนเช่อเองก็ตรงเข้าไปช่วยชีเส้าเฟยที่ถูกมัดอยู่
“หัวหน้าใหญ่เป็นอะไรไหม” กงซุนเช่อตั้งท่าจะแก้ล่ามโซ่ให้ชีเส้าเฟย แต่ถูกห้ามไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรพี่รอง พวกเขาไม่ได้ปลดกำลังภายในข้า” ชีเส้าเฟยเดินพลังวัตรแล้วก็ปลดล่ามโซ่ออกอยากง่ายดายจนโซ่ขาดกระจุย

ที่แท้นี่เป็นแผนของแม่ทัพหลินเซียงตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว ที่ตั้งใจจะให้พวกลู่เสี่ยวฟงมาช่วยชีเส้าเฟย เสบียงที่เขาเตรียมให้นั้นก็มียาพิษอยู่ มีเพียงอ๋าวเทียนลี่และทหารติดตามเท่านั้นที่ไม่ยอมกินอาหารร่วมกับคนอื่นจึงไม่โดนพิษ อีกทั้งทหารสองร้อยคนที่แม่ทัพหลินเซียงจัดมาให้ก็รู้เห็นเป็นใจ พวกเขาไม่ได้โดนยาพิษแต่ก็แกล้งล้มลงไปนอน และยิ่งขบวนนักโทษใหญ่โตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้พวกลู่เสี่ยวฟงตามรอยชีเส้าเฟยได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ส่วนโซ่ตรวนที่ใช้ล่ามหัวหน้าใหญ่ก็เป็นของที่ไม่แข็งแรง และแม่ทัพหลินเองก็ไม่ได้ปลดกำลังภายในชีเส้าเฟย เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินเขาจะได้สามารถหนีเอาตัวรอดได้ แผนทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับกงซุนเช่อ ที่สามารถช่วยให้หลินชงพ้นผิด และค่ายแม่ทัพหลินเซียงก็ไม่ต้องผิดใจกับทางการอีกด้วย

ในบรรดาพวกทหารที่เหลือ หันจุ้นดูจะมีวรยุทธสูงที่สุด ชีเส้าเฟยจึงตรงเข้าไปช่วยลู่เสี่ยวฟงก่อน พวกเขาเข้าขากันเป็นอย่างดี คนหนึ่งมีความเร็ว อีกคนก็มีความแรง ในที่สุดทั้งคู่ก็ล้มหันจุ้นได้โดยที่ไม่ต้องใช้กระบี่ ชีเส้าเฟยและลู่เสี่ยวฟงซัดเข้าไปที่หน้าอกของหันจุ้นจนเลือดกระอักออกมา หันจุ้นล้มลงไปกองจนแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เพราะภายในบอบช้ำ

ฝ่ายอ้อมหมิงเจิ้งที่กำลังต่อสู้อยู่กับพวกทหาร ไม่ทันสังเกตว่าอ๋าวเทียนลี่เตรียมจะซัดอาวุธใส่นางอีกแล้ว อ๋าวเทียนลี่รอจังหวะที่หญิงสาวหันด้านข้างให้ตนและซัดอาวุธออกไป
“พรีบ” ดูเหมือนมีผู้ทักษะยุทธคนหนึ่งโฉบเข้ามาคว้าอาวุธลับอย่างรวดเร็วแล้วหายตัวไป อ๋าวเทียนลี่มองไม่ทันจึงพยายามซัดอาวุธใส่อ้อมหมิงเจิ้งอีกครั้ง
“พรีบ” แล้วร่างนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้ามาคว้าอาวุธลับไปอีก
“พรั้บๆๆ” ในที่สุดฝ่ามือนั้นก็ซัดทหารสี่คนร่วงลงไปกองต่อหน้าอ้อมหมิงเจิ้ง
“ใครหน่ะ” อ้อมหมิงเจิ้งมองรอบๆ ตัวด้วยความสงสัย ใครกันมาช่วยนางไว้ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ แม้ว่านางจะรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่เห็นว่าผู้ทักษะยุทธคนนี้ไม่น่าจะประสงค์ร้ายจึงไม่ได้โวยวายใดๆ

ชีเส้าเฟย กงซุนเช่อ และลู่เสี่ยวฟง เดินเข้ามาสมทบอ้อมหมิงเจิ้ง และล้อมอ๋าวเทียนลี่ไว้
“คุณชายอ๋าว ดูเหมือนพวกเราจะต้องชะตากันนะ” ลู่เสี่ยวฟงเดินยิ้มกริ่มเข้าไปใกล้ๆ อ๋าวเทียนลี่
“ทำไม พวกเจ้าจะทำอะไรข้า พวกเจ้ากล้าเหรอ พ่อข้าเอาพวกเจ้าตายแน่”
“หนอย จะตายแล้วยังปากดี ข้าขอสั่งสอนแทนพ่อเจ้าหน่อยเหอะ” อ้อมหมิงเจิ้งทำท่าจะเข้าไปซัดอ๋าวเทียนลี่ แต่ก็ถูกชีเส้าเฟยห้ามไว้
“ช่างเถอะ อย่ามีเรื่องมากกว่านี้เลย”
“แต่... หัวหน้าใหญ่”
“หัวหน้าใหญ่พูดถูกแล้ว ฆ่าเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้ราชสำนักต้องการตัวเรามากขึ้น” กงซุนเช่อช่วยเตือนสติหญิงสาว
“ฆ่าไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าแกล้งไม่ได้ใช่ไหมหัวหน้ารอง” ลู่เสี่ยวฟงทำหน้าทะเล้นเหมือนคิดแผนอะไรออก เขาเข้าไปกระซิบกับอ้อมหมิงเจิ้ง นางได้ยินแผนแล้วก็หัวเราะ
“สองคนนี้โตแล้วยังเล่นอะไรเหมือนเด็กๆ อีก” กงซุนเช่อหันไปถอนหายใจกับชีเส้าเฟย
“แย่แล้ว..” อยู่ๆ ชีเส้าเฟยก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“มีอะไรงั้นเหรอหัวหน้าใหญ่” กงซุนเช่อเห็นชีเส้าเฟยสีหน้าไม่ดีจึงถามขึ้น
“วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้วพี่รอง”
“แรมสี่ค่ำ”
“งั้นก็เลยสิบวันมาแล้วสิ”
“เลยสิบวันอะไรเหรอหัวหน้าใหญ่”
“หัวหน้าทั้งหลาย คือข้า มีภาระต้องไปจัดการก่อน ที่นี่ข้าขอทิ้งไว้ให้กับพวกท่านก็แล้วกันนะ” ชีเส้าเฟยพูดจบก็รีบเดินขึ้นเหนือทันที ทำเอาพี่น้องตั้งตัวแทบไม่ทัน
“เดี๋ยวๆ หัวหน้าใหญ่” อ้อมหมิงเจิ้งร้องตาม
“เจอกันที่ค่ายนะหงเผา ไม่ต้องห่วงข้า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ใช้วิชาตัวเบาเดินลับตาไปอย่างรวดเร็ว
“เขามีธุระอะไรของเขานะ” อ้อมหมิงเจิ้งบ่นพรึมพรำ
“อย่าคิดมากหน่า ตอนนี้เรามาจัดการกับเจ้าคนถ่อยนี่ก่อนดีกว่า” ว่าแล้วลู่เสี่ยวฟงก็หันมามองอ๋าวเทียนลี่อย่างมีเลศนัย

ลู่เสี่ยวฟงและอ้อมหมิงเจิ้งจับอ๋าวเทียนลี่ใส่ชุดกระโปรงผู้หญิง และแต่งหน้าทำผมให้อย่างสวยงาม ส่วนหันจุ้นก็ถูกจับแก้ผ้า แล้วผูกไว้กับต้นไม้ข้างๆ โดยมีจดหมายเขียนไว้ว่า “ชายผู้นี้ลอบเป็นชู้กับบุตรสาวเสนาบดีชื่อดัง” ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมา อ่านข้อความแล้ว บางคนก็ส่ายหัวด้วยความสลดใจ บางคนก็หัวเราะเพราะใบหน้าของอ๋าวเทียนลี่ แต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยทั้งสองเลย ลู่เสี่ยวฟงและอ้อมหมิงเจิ้งที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่ ส่วนกงซุนเช่อแม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่อยากขัดใจเด็กทั้งสอง จึงปล่อยให้เลยตามเลย

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ชีเส้าเฟยเดินมาได้สักระยะ ก็รู้สึกว่าตนเองถูกติดตาม จึงลองหยุดเดิน แล้วก็จะได้ยินเสียงพุ่มไม้เคลื่อนไหวเป็นระยะๆ ในที่สุดเขาก็เร่งฝีเท้า จนคนที่ติดตามมาตามไม่ทัน
“เฮ๊ย หายไปไหนแล้ว เร็วจริงๆ เลย” จิวเแปะทงยืนเท้าสะเอวมองซ้ายมองขวา รอบตัวเขามีกิ่งไม้ พุ่มไม้พันอยู่เต็มตัวไปหมด
“ท่านเองเหรอ อาจารย์ปู่” ชีเส้าเฟยโผล่มาจากด้านบน ทำเอาจิวแปะทงตกใจร้องเสียงหลง
“จ๊ากกกก เจ้า เจ้า เจ้า โผล่มาได้ไงเนี้ย รู้ได้ไงว่าข้าตามเจ้ามา” ชีเส้าเฟยมองไปที่พุ่มไม้บนตัวของจิวแปะทง เคลื่อนไหวพร้อมกับต้นไม้พวกนี้ ใครไม่ได้ยินเสียงก็แปลกแล้ว
“นี่ๆ เจ้าว่าเป็นไง ข้าปลอมตัวเหมือนไหม” จิวแปะทงจับกิ่งไม้ไปมา แล้วเอาใบลงมาปิดที่หน้าของตน ชีเส้าเฟยเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้
“จริงด้วยสิ อาจารย์ปู่ ทำไมท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วเส่เยี่ยหล่ะครับ”
“จ๊ากกกก” จิวแปะทงนึกขึ้นได้ว่ามีความผิดติดตัว ก็รีบหันหลัง ค่อยๆ เดินย่องออกไป
“นี่อาจารย์ ท่านจะไปไหน ข้าถามว่าแล้วเส่เยี่ยหล่ะ”
“คือ คือ เอ่อ สะเส่เยี่ย สาวตาบอดคนนั้นใช่ม่า”
“ครับ” ชีเส้าเฟยพยักหน้าตาแป๋ว
“เอ่อ นาง ออก ไป...”
“นางออกไปไหนเหรอครับ”
“นาง ออก ไป... ไหน แล้ว ก็ ไม่ รู้”
“หา!!! อาจารย์ปู่ ท่านหมายความว่ายังไง นางออกไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“ก็ เอ่อ คือ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ แค่ออกไปหาไรทำแก้เซ็งแป๊บเดียว พอกลับมา นางก็... หายตัวไปแล้ว”
“อาจารย์ปู่ ท่านไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม นางมองไม่เห็นนะ” ชีเส้าเฟยคาดคั้นความจริงจากจิวแปะทงด้วยหน้าตาขึงขัง
“หลานชี เจ้าใจเย็นๆ นะ นางคงออกไปเดินเล่น เดี๋ยวก็กลับมามั๊ง” จิวแปะทงตอบเสียงสั่นๆ
“ใจเย็นยังไง นางตาบอด คงไม่ออกไปเดินเล่นหรอก ไม่ได้ ข้าต้องตามหานาง!!!” เหตุการณ์ที่เพิ่งได้ยินทำให้ชีเส้าเฟยกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก เขารีบพุ่งตรงเข้าเมืองไปยังร้านเหล้าฉีถิงทันที
“เส่เยี่ยๆ” ชายหนุ่มเปิดประตูห้องดังโครม แล้วตะโกนเรียกหาเส่เยี่ยดังลั่น เมื่อไม่พบเขาก็เริ่มส่งเสียงตะโกนไปรอบๆ โรงเตี๊ยม จนเสี่ยวเอ้อต้องวิ่งมาห้าม
“นี่คุณชาย ที่นี่ส่งเสียงเอะอะโวยวายไม่ได้นะ”
“เส่เยี่ยๆ เจ้าอยู่ไหน นี่ข้าเอง เส่เยี่ยๆ” ชีเส้าเฟยไม่สนใจคำเตือนของเสี่ยวเอ้อ เขาตะโกนเข้าไปตามห้องพักต่างๆ ทำให้เสี่ยวเอ้อวิ่งไปตามเถ้าแก่มาช่วยกันห้าม
“เส่เยี่ยๆ”
“คุณชายๆ ใจเย็นๆ ด้วยครับ อย่าส่งเสียงดังแบบนี้สิ เดี๋ยวแขกของข้าจะพากันหนีหมดนะครับ”
“เส่เยี่ยๆ” ชีเส้าเฟยไม่สนใจคำห้ามปรามของเถ้าแก่ เขายังคงตะโกนร้องหาหญิงสาวต่อไป
“นี่คุณชาย ถ้าพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ คงคุยกันดีๆ ไม่ได้แล้ว” เถ้าแก่เริ่มมีโมโห
“ได้ คุยกับกระบี่ข้าก่อนก็แล้วกัน” ชีเส้าเฟยยกนี่สุ่ยหานเล่มโตขึ้นมา ทำเอาเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อหงายหลังคว่ำไปตามๆ กัน (แค่ยกเฉยๆ นะ) จิวแปะทงเห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงก็รีบเข้ามาห้าม ไม่ให้มีเรื่องมีราวใหญ่โต
“เอ่อนี่คุณศิษย์หลานครับ ใจเย็นๆ ก่อนนะ เถ้าแก่เขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา ข้าว่าเจ้าเก็บไอ้นี่ก่อนดีกว่าไหม กระบี่ไม่มีหูไม่มีตานะ” จิวแปะทงพูดจบก็เอามือซับเหงื่อบนหน้า ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นชีเส้าเฟยดุจนน่ากลัวก็คราวนี้หล่ะ
“นี่เถ้าแก่ๆ จำได้ไหม ข้าเคยมาพักที่นี่กับหญิงสาวคนหนึ่ง” เถ้าแก่พินิจพิเคราะห์หน้าตาของจิวแปะทงแล้วก็ร้องอ๋อ
“อ๋อๆ จำได้ๆ หญิงสาวคนนั้นที่ตาบอดใช่ไหมอ่ะ”
“ใช่ แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน!!!” ชีเส้าเฟยได้ยินเถ้าแก่ตอบ ก็รีบหันมาถามเขาอย่างมีความหวัง
“เอ่อ คือว่า เมื่อสองสามวันก่อน ข้าให้เด็กขึ้นมาถามว่าพวกท่านจะกินอะไรไหม แต่พอเปิดข้ามาก็เห็นแต่ห้องเปล่าๆ ข้าก็เลยนึกว่าพวกท่านออกเดินทางไปแล้วหน่าครับ”
“เป็นไปไม่ได้ นางตาบอด จะออกไปข้างนอกเองได้ยังไง” ชีเส้าเฟยส่งเสียงดุ ทำให้เถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อตกใจถอยครูดไปถึงสามลี้
“คุณศิษย์หลาน ใจเย็นๆ นะ เถ้าแก่เขาคงไม่รู้เรื่องจริงๆ บางทีนางอาจจะเบื่อแล้วออกไปเดินเล่นแถวนี้ก็ได้ ข้าว่าเรารออยู่ที่นี่ก่อน เผื่อว่านางจะกลับมาดีกว่าไหม”
“ไม่ ข้าไม่อยากรอ นางมองไม่เห็นอาจจะเป็นอันตรายเมื่อไหร่ก็ได้ ข้าต้องตามหานาง เส่เยี่ยๆ” ชีเส้าเฟยพูดจบก็เดินลงมาที่ชั้นล่าง เมื่อมองไปรอบๆ ไม่เห็นหญิงสาว เขาก็ออกตามหานางไปจนทั่วเมือง
“เส่เยี่ยๆๆๆ” ชายหนุ่มไม่ละทิ้งความพยายาม เขายังคงตามหานางทุกซอกทุกมุมของเมือง จนตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้าแล้ว
“ศิษย์หลาน ข้าว่าเจ้าก็พักก่อนเถอะ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป เจ้าตัวใหญ่ ข้าแบกไม่ไหวนะ”
“ข้าไม่อยากกิน ตอนนี้เส่เยี่ยนางจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ นางอาจจะหิว นางอาจจะไม่ได้กินเหมือนกัน” พูดจบชายหนุ่มก็ออกตะโกนหาหญิงสาวอีก จิวแปะทงก็ได้แต่ส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้จะไปตามหานางที่ไหนเหมือนกัน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ระหว่างเดินทางกลับวังหลวงหลินกุเหนียงและเส่เยี่ยดูสนิมสนมกันเป็นพิเศษ สร้างความไม่พอใจให้กับคังซื่อเล็กน้อย คังซื่อเห็นว่าองครักษ์จั๋วดูเป็นมิตรกับคนอื่นได้ง่าย และท่าทางเด็กขอทานคนนั้นก็ดูจะเกรงใจเขาเป็นพิเศษ จึงสะกิดให้จั๋วอี้หังเข้าไปชวนหลินกุเหนียงคุย เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสคุยกับเส่เยี่ยตามลำพัง
“นี่แม่นาง เจ้ายังไม่บอกข้าเลยว่าเจ้าชื่ออะไร” เมื่อมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง คังซื่อก็เปิดประเด็นคุยกับหญิงสาว แต่เส่เยี่ยก็นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
“เจ้าคงจะไม่ให้ข้าเรียกเจ้าว่า แม่นางๆ ไปตลอดทางหรอกนะ” คังซื่อหัวเราะแก้เขิน
“เส่เยี่ย”
“เจ้าชื่อเส่เยี่ยงั้นเหรอ”
“ทำไมหล่ะ”
“ออ เปล่าๆ ข้าว่าเป็นชื่อที่เพราะมาก เส่เยี่ย แล้วบ้านเจ้าหล่ะ อยู่ที่ไหน”
“ข้าไม่มี”
“ข้าขอโทษด้วยนะ เอ่อจริงสิ แล้วญาติพี่น้องของเจ้าหล่ะ”
“ไม่มี”
“ข้าเสียใจด้วยนะ เจ้าคงต้องเหงามากแน่ๆ เลย เอ่อจริงสิ แล้วทำไมเจ้าถึงได้มองไม่เห็นหล่ะ เป็นมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า” เส่เยี่ยเองที่เดิมก็ไม่อยากจะสนทนากับฮ่องเต้อยู่แล้วจึงนิ่งเงียบไปเฉยๆ หวังจะให้เขาปล่อยนางไว้ตามลำพัง
“เอ่อ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงหรอก ถ้าเจ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวเงียบไปก็รีบกล่าวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ พอถึงตำหนักแล้ว ข้าจะให้หมอหลวงมารักษาอาการเจ้า หมอหลวงคนนี้เก่งมาก แม้กระทั่งตอนที่ข้าเป็นเด็กป่วยเป็นโรคฝีดาษ เขายังรักษาข้าหายได้เลย ใครๆ ก็ว่าเขาเป็นหมอเทวดา ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องรักษาเจ้าได้แน่ๆ” คังซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หากแต่ว่าหญิงสาวไม่ได้มีอาการยินดีกับข่าวดีนี้เลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ ปกติเจ้าก็พูดน้อยแบบนี้งั้นเหรอ” ชายหนุ่มเริ่มหมดมุขไม่รู้จะชวนนางคุยอะไรดี
“หากไม่รู้ใจ ก็ไร้เหตุผลที่จะเสวนา”
“หนึ่ง สอง สาม สี่... สิบสาม... โอ้โห เจ้าพูดกับข้าตั้งสิบสามคำแหนะ ตั้งแต่คุยกันมา ประโยคนี้ยาวที่สุดเลยนะ” คังซื่อพยายามสร้างสถานการณ์ให้หญิงสาวยิ้ม หากแต่ว่ามันไม่ได้ผลเลย เส่เยี่ยกลับยิ่งนิ่งเงียบเข้าไปอีก จะให้นางฝืนคุยกับเขาได้อย่างไร ในเมื่อในใจของนางเห็นเขาเป็นศัตรูไปเสียแล้ว
“องครักษ์เหอ ข้างหน้ามีหมู่บ้านใช่ไหม คืนนี้เราแวะพักกันที่นั่นก่อนเถอะนะ” ฮ่องเต้เห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงเปลี่ยนเรื่องหันไปคุยกับองครักษ์เหอที่เดินตามมา
“จะว่าไปแล้ว วังหลวงก็อยู่อีกไม่ไกล หม่อมฉันว่า เรารีบเดินทางกลับจะดีกว่านะพะยะค่ะ”
“เส่เยี่ยเดินทางมาไกลแล้ว นางคงจะเหนื่อยมาก ข้าอยากให้พักข้างนอกอีกสักคืน คงจะไม่เป็นไรนะ” ฮ่องเต้กล่าวประโยคคำถาม แต่มีความหมายแกมบังคับ ทำให้องครักษ์เหอไม่ว่าอะไร เขารีบเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อทำการตรวจสอบความเรียบร้อย สักพักหนึ่งก็เดินกลับมารายงานฮ่องเต้
“ฝ่าบาท หมู่บ้านข้างหน้าเป็นหมู่บ้านร้างพะยะค่ะ”
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าเคยอ่านในหนังสือทูลเกล้า หมู่บ้านจางปกติอุดมสมบูรณ์นี่หน่า ทำไมถึงได้กลายเป็นหมู่บ้านร้างไปได้” ด้วยความสงสัย ทั้งหมดจึงเดินเข้าไปสำรวจในตัวหมู่บ้าน
“ดูนี่สิพะยะค่ะ” องครักษ์จั๋วชี้
“นี่มันธงของทัพธงเหลืองนี่” คังซื่อมองด้วยความสงสัย
“จริงด้วย ตรงนี้ก็มี ฝ่าบาท” องครักษ์เหอชี้ไปที่อีกฝั่งหนึ่งของหมู่บ้าน
“สงสัยจะเป็นการเวรคืนที่ดินนะพะยะค่ะ” องครักษ์จั๋วกล่าว
“เป็นไปไม่ได้ ประชุมคราวที่แล้ว ท่านเสนาซูได้เสนอให้มีการยกเลิกการเวรคืนที่ดินประชาชนไปแล้ว ทำไมถึงได้ยังมีการเวรคืนอยู่อีก” ทันใดนั้นก็มีลุงแก่ๆ คนหนึ่งถือไม้ท่อนใหญ่ออกมา ทำท่าจะไล่ตีพวกคังซื่อ
“พวกขุนนางมาทำไม จะมาเวรคืนที่งั้นเหรอ ข้าไม่ไป วันนี้ข้าขอสู้ตาย!!!” ว่าแล้วลุงก็ฟาดท่อนไม้ลงมากลางวง โชคดีที่ไม่โดนใคร องครักษ์เหอต้องรีบเข้าไปคว้าตัวลุงไว้ก่อนที่จะโวยวายมากไปกว่านี้
“ปล่อยข้านะ ไอ้พวกขุนนางโฉด พวกเจ้ามันก็ดีแต่ขูดรีดประชาชน สักวันหนึ่งสวรรค์จะต้องลงโทษ”
“นี่จะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานหน่อยสิลุง” องครักษ์เหอกล่าว
“แต่ข้าว่า ที่เขาพูดก็มีเหตุผลนะ” หลินกุเหนียงเห็นสบโอกาส ก็รีบฉวยพูดขึ้นมาก่อน
“บ้านเมืองตอนนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นอย่างไร ทางเหนือมีศึกกับต้าเหลียว ทางตะวันตกก็มีซีเซียะ ประชาชนตกอับแร้นแค้น แม้แต่ข้าเองก็ต้องมาเป็นขอทาน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คนนี้คิดอย่างไร คนดีไม่ใช้ ปล่อยให้คนชั่วครองเมือง แบบนี้จะโทษใครได้เล่า” พอถึงคำว่าฮ่องเต้ หลินกุเหนียงก็จงใจมองไปที่คังซื่อ
“จริงด้วย ไอ้หนุ่ม เจ้าพูดถูก มีฮ่องเต้แบบนี้ไม่มีเสียดีกว่า ราษฏรทุกข์ร้อนขนาดไหน เขาไม่เคยมาใส่ใจเราเลย” ลุงช่วยกล่าวสมทบอีกที
“นี่พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ กล้าลบหลู่เบื้องสูงงั้นเหรอ” องครักษ์จั๋วดุใส่ทั้งคู่
“ช่างเถอะ ที่พวกเขาพูดมาก็มีเหตุผล แต่เป็นเพราะฮ่องเต้ยังเยาว์วัย ไม่มีอำนาจในมือ หากเขาสามารถกุมอำนาจคืนมาได้ เขาจะต้องแก้ไขปัญหาของราษฏรอย่างแน่นอน อาจิ้งเจ้าเอาเงินของเราไปให้ท่านลุงท่านี้แล้วปล่อยเขาไปซะ อี้หังเจ้าไปเก็บธงเหลืองพวกนั้นออกให้หมด พรุ่งนี้ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”
“ครับ” สององครักษ์รีบปฏิบัติตามคำสั่งฮ่องเต้ เส่เยี่ยที่ยืนฟังเหตุการณ์อยู่ก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ทั้งๆ ที่หลินกุเหนียงกับลุงคนนี้พูดจาดูถูกฮ่องเต้ต่อหน้า แต่เขาก็ยังไม่โกรธเลย แถมยังให้เงินช่วยเหลือไปอีก หรือว่าฮ่องเต้คนนี้จะไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่ใครๆ เขาว่ากันนะ
“เอ่อคุณชาย แล้วตกลงคืนนี้พวกเราจะพักกันที่นี่ไหม”
“ไม่ดีกว่า เราอยากกลับตอนนี้เลย ดูเหมือนพรุ่งนี้มีเรื่องต้องให้ทำอีกมาก” ฮ่องเต้ตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“เอ่อแล้วสองคนนี้...” องครักษ์จั๋วถามขึ้น
“พวกเจ้าเดินทางมาไกลคงจะเหน็ดเหนื่อย อี้หังเจ้ากับขอทานน้อยและเส่เยี่ย พักอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน ส่วนข้ากับอาจิ้งจะกลับก่อน พรุ่งนี้เจ้าค่อยพาพวกเขาไปพบข้าก็แล้วกันนะ” คังซื่อกล่าว แม้ว่าเขาจะไม่อยากจากเส่เยี่ย แต่ว่านางเป็นสตรี เขาไม่อยากให้นางต้องเดินทางค่ำมืดลำบากเช่นนี้
“เจ้ารักษาตัวด้วยนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยพบกัน ข้าสัญญา” ฮ่องเต้เข้าไปกระซิบข้างๆ หญิงสาว ทำเอานางใจหายวูบ เพราะน้ำเสียงและวิธีการพูดของเขาช่างเหมือนกับชีเส้าเฟยเหลือเกิน นางฝืนพยักหน้าให้เขาแต่ก็ไม่พูดอะไรตอบ คังซื่อผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะเขาพอจะมองออกว่า เส่เยี่ยคงยังไม่ไว้ใจเขาสักเท่าไหร่ แต่เขายังไม่หมดความพยายามง่ายๆ หรอก

จากนั้นองรักษ์เหอและคังซื่อก็ออกจากหมู่บ้านจางกลับไปยังวังหลวง...




Create Date : 02 มกราคม 2552
Last Update : 19 มีนาคม 2560 0:41:01 น. 0 comments
Counter : 431 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.