|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 28 ละครลวง
หลังจากเข้าใจผิดกับชีเส้าเฟย เส่เยี่ยไม่สบายใจจนนอนไม่หลับ หญิงสาวเดินเหม่อลอยเลาะขอบเรือไปเรื่อยๆ จนมาสุดอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ เส่เยี่ยมองดูท้องทะเลที่มีแต่ความมืดมิด แม้ตอนนี้หญิงสาวจะได้ดวงตาทั้งสองข้างกลับคืนมาแล้ว แต่ในใจของนางกลับมืดมนยิ่งกว่าตอนที่มองไม่เห็นเสียอีก ความรู้สึกอ้างว้างไร้จุดหมายเหมือนครั้งที่สูญเสียผู้เป็นบิดา กลับมาเข้ามาถาโถมจิตใจของหญิงสาวอีกครั้ง หลังจากสูญเสียพ่อไปแล้ว เส่เยี่ยคิดว่าตนเองจะหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ชีเส้าเฟยก็ก้าวเข้ามาในชีวิตของนาง ทำให้นางยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง เขาทำให้นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะกลั่นแกล้ง ทำให้เขากับนางต้องพลัดพรากจากกัน หญิงสาวนึกถึงวันที่ตนเองได้รู้จักกับฮ่องเต้ ภาพวันเวลาแห่งความสุขค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจของหญิงสาว ที่วังหลวงนางมีเจ้าหยาจือ ฮูหยินที่ดูแลนางเหมือนลูกสาวแท้ๆ คนหนึ่ง นางมีหลินกุเหนียง องครักษ์ผู้ร่าเริงที่เป็นเหมือนเพื่อนสนิท และที่นั่นนางมีฮ่องเต้ ชายที่พร้อมจะสละทุกอย่างเพื่อทำให้นางมีความสุข
รอยยิ้มของคังซื่อปรากฏในมโนภาพของหญิงสาว ซ้อนกับภาพของชีเส้าเฟย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่คนทั้งสองดูคล้ายกันมาก หากแต่ว่านิสัยแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน หากชีเส้าเฟยมีความอ่อนโยนเพียงครึ่งหนึ่งของฮ่องเต้ นางคงไม่ต้องทุกข์ใจเช่นนี้ พลันใบหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นเศร้าทันที เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระหว่างนางกับฮ่องเต้ในคืนนั้น เส่เยี่ยยกมือขึ้นป้องปาก ไม่อยากให้ตนเองร้องไห้ออกมา แต่แล้วก็ต้องพ่ายแพ้กับความรู้สึกไม่สบายใจของตนเอง น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตากลมโต อาบแก้มทั้งสองข้างจนเปียกชุ่ม มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ที่เจ้าของเสียงเท่านั้นที่ได้ยิน ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางรู้สึกอ้างว้างเดียวดายเท่านี้มาก่อนเลย
หญิงสาวร้องไห้จนถึงเวลาเช้าโดยที่ไม่รู้ตัว...
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
บนเรือเหลียนอิ๋น คนในค่ายตื่นกันแต่เช้ามืดเพื่อมาอบอุ่นร่างกายบริเวณหัวเรือ วันนี้อ้อมหมิงเจิ้งเป็นคนพาบรรดาศิษย์ออกมาฝึกซ้อมวรยุทธ เป็นที่รู้กันในค่ายเหลียนอิ๋นว่า เรื่องเพลงกระบี่ต้องยกให้ชีเส้าเฟย วิชาตัวเบาต้องยกให้ลู่เสี่ยวฟง หากเป็นเรื่องวรยุทธแล้ว คงต้องยกให้อ้อมหมิงเจิ้ง นางเคยศึกษากับสำนักที่มีชื่อเสียง ทำให้มีพื้นฐานดีกว่าคนอื่น ทุกเช้าขงเบ้งชุดแดงจึงรับหน้าที่ฝึกซ้อมวรยุทธให้กับศิษย์ในค่ายทุกคน เหล่าผู้กล้าฝึกซ้อมกันอย่างขันแข็ง โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า มีหญิงสาวนั่งเหม่อลอยอยู่ที่มุมหนึ่งของหัวเรือ
"เอาเร็วเข้า!! ให้มันทะมัดทะแมงหน่อย แขนขาอ่อนแบบนี้จะไปสู้กับพวกศัตรูได้ยังไง!!" อ้อมหมิงเจิ้งเคี่ยวเข็ญบรรดาศิษย์ให้ซ้อมท่าที่ตนเพิ่งสอนไปเมื่อครู่
หลังจากอบอุ่นร่างกายเสร็จแล้ว อ้อมหมิงเจิ้งก็สั่งให้พวกศิษย์แบ่งออกเป็นคู่ๆ แล้วประลองแบบตัวต่อตัว มีศิษย์อยู่คนหนึ่ง เพื่อนๆ เรียกกันว่าเจ้ายักษ์ เพราะมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนอื่น ไม่ว่าจะสู้กับใครก็จะชนะทุกครั้งไป ทำให้เจ้ายักษ์ลำพองในความสามารถของตน เขาชอบทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บเสมอ จนไม่มีใครอยากจับคู่ด้วย วันนี้ศิษย์ร่างเล็กคนหนึ่งจับคู่กับเขา ในที่สุดก็โดนเจ้ายักษ์จับทุ่มจนหลังเกือบหัก อ้อมหมิงเจิ้งเห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งเข้าไปดูและกล่าวตักเตือนผู้เป็นศิษย์ ทว่าเจ้ายักษ์กลับไม่สำนึก และยังกล่าวกับอ้อมหมิงเจิ้งว่าในสนามรบ ศัตรูก็ไม่ปราณีเราเช่นกัน คนที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่รอด อ้อมหมิงเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า เลยท้าให้เจ้ายักษ์สู้กับตน เจ้ายักษ์เห็นว่าอ้อมหมิงเจิ้งเป็นสตรีอีกทั้งเป็นอาจารย์ด้วยคงไม่กล้าลงมือหนัก ซ้ำเขายังเชื่อมั่นอีกว่าฝีมือของตนเองนั้นถึงขั้นทัดเทียมกับอาจารย์แล้ว จึงรับคำท้า อ้อมหมิงเจิ้งไม่รอช้า ใช้ลูกเตะมหาประลัยแค่ท่าเดียวก็ซัดเจ้ายักษ์ซะจนกระเด็นไปชิดขอบเรือ "ปัก!!!" ร่างของเจ้ายักษ์กระเด็นไปชนหญิงสาวที่นั่งเหม่ออยู่ เส่เยี่ยตกใจจึงลุกขึ้นดู พอมองไปก็เห็นว่าอ้อมหมิงเจิ้งกำลังเดินเข้ามา ฝ่ายอ้อมหมิงเจิ้งพอเห็นว่าเป็นเส่เยี่ยก็ยิ้มที่มุมปาก เหมือนนึกเรื่องอะไรสนุกๆ ได้ "ที่แท้ก็แม่นางเส่เยี่ยนี่เอง มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้" เส่เยี่ยมองหน้าคนพูดด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก นางคาดหวังว่าอ้อมหมิงเจิ้งจะขอโทษนางมากกว่าที่จะมาถามว่านางมานั่งทำอะไรอยู่ แต่พอนึกถึงหน้าชีเส้าเฟยแล้วนางก็ไม่อยากจะมีเรื่อง หญิงสาวนับหนึ่งถึงสิบให้ตัวเองใจเย็นๆ พอตั้งสติได้แล้วก็ทำท่าจะเดินหนีออกมา "เดี๋ยวก่อน ข้าถามเจ้าไม่ได้ยินหรือยังไง" อ้อมหมิงเจิ้งเดินมาขวางหน้าเส่เยี่ยไว้ หลายครั้งแล้วที่เส่เยี่ยทำให้นางรู้สึกหงุดหงิด ไม่ว่านางจะพูดอะไร เส่เยี่ยก็มักจะนิ่งเฉยราวกับว่านางเป็นอากาศธาตุ ไม่เคยมีใครปฏิบัติเช่นนี้กับนางมาก่อน "หลีกไป!!" "แล้วถ้าไม่หล่ะ" คนพูดยิ้มเอาเชิง "อย่านึกว่ามีวรยุทธแล้วจะรังแกคนอื่นได้นะ" เส่เยี่ยจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง นางรู้ว่าอ้อมหมิงเจิ้งฝีมือดีแต่ก็ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย "โอ้ มิกล้าๆ เขาว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เจ้าเป็นถึงลูกสาวของมือกระบี่อันดับหนึ่ง มีหรือข้าจะกล้าไปรังแกเจ้า" คำพูดของอ้อมหมิงเจิ้งเหมือนคำท้าประลองเป็นนัยๆ นางนึกสงสัยว่าซุนเส่เยี่ยทายาทของซุนซิ่งจะมีฝีมือสักแค่ไหนกันเชียว "พ่อข้าก็คือพ่อข้า ข้าก็คือข้า เจ้าไม่ต้องมาใช้คำพูดแดกดัน ข้าไม่สู้กับเจ้าแน่" เส่เยี่ยได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็นึกเจ็บใจ เพราะบิดาของนางไม่เคยถ่ายทอดวรยุทธให้ ไม่อย่างนั้นนางคงสั่งสอนสตรีผู้นี้ให้รู้ถึงพิษสงของกระบี่สกุลซุนไปแล้ว "เฮ้อ...น่าเสียดาย มีทายาทขี้ขลาดแบบนี้ ดูท่าต่อไปกระบี่สกุลซุนคงเหลือแต่ชื่อเท่านั้น" เส่เยี่ยกำลังจะเดินคล้อยหลังไป พอได้ยินประโยคนี้ก็กำมือแน่น นางรู้สึกหมดความอดกลั้นแล้ว "พรึบ!!!" หญิงสาวหันมาซัดฝ่ามือใส่อ้อมหมิงเจิ้งทันที โชคดีที่อ้อมหมิงเจิ้งเบี่ยงตัวหลบได้ทัน นางยิ้มอย่างมีชัย เส่เยี่ยเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า จึงซัดใส่อ้อมหมิงเจิ้งไม่ยั้ง "พรึบ พรึบ พรึบ!!!" ฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า เสเยี่ยก็ไม่สามารถโดนตัวอ้อมหมิงเจิ้งได้สักที วรยุทธของนางหากจะเปรียบกับอ้อมหมิงเจิ้งแล้ว เรียกว่าไม่ถึงหนึ่งในสิบ "อะไรกันฝีมือเจ้ามีแค่นี้งั้นหรือ" เสียงอ้อมหมิงเจิ้งพูดยั่วยุเป็นระยะ ทำให้เส่เยี่ยยิ่งทวีความโมโหขึ้นไปอีก จังหวะนั้นเส่เยี่ยเหลือบไปเห็นศิษย์คนหนึ่งยืนถือกระบี่อยู่ จึงตรงเข้าไปคว้ากระบี่เล่มนั้นแล้วจู่โจมใส่อ้อมหมิงเจิ้งอย่างไม่ไว้หน้า พวกศิษย์พากันมามุงดูด้วยความสนุกสนาน บางคนก็เชียร์อ้อมหมิงเจิ้ง บางคนก็เชียร์เส่เยี่ย "โห ดูสิ แม่นางเส่เยี่ยมีวรยุทธด้วยนะ" ศิษย์คนหนึ่งทำท่าแปลกใจ "แต่ข้าว่ายังไงนางก็สู้หัวหน้าสามไม่ได้หรอก" "จริงด้วย หัวหน้าสามไม่ได้ใช้อาวุธเลย ยังดูเป็นต่อนางขนาดนี้" ศิษย์อีกคนพยักหน้า แม้ดูเหมือนจะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว แต่เส่เยี่ยก็ยังจู่โจมอ้อมหมิงเจิ้งไม่หยุด อ้อมหมิงเจิ้งเห็นว่าตนเองชนะแล้วจึงไม่คิดจะประลองต่อ "พอเถอะ เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก" หญิงสาวพูดไปก็หลบคมกระบี่ไป "น่าผิดหวังจริงๆ ถ้าไม่ใช่หัวหน้าใหญ่บอก ข้าคงไม่เชื่อว่าเจ้าเป็นลูกสาวของซุนซิ่ง" ทีแรกเส่เยี่ยคิดจะวางมือแล้ว แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของอ้อมหมิงเจิ้ง ใบหน้าของหญิงสาวก็แดงกร่ำไปด้วยความโกรธ นางพุ่งกระบี่เข้าหาอีกฝ่ายทันที จังหวะเดียวกันนั้น อ้อมหมิงเจิ้งหันไปเห็นชีเส้าเฟยกับลู่เสี่ยวฟงกำลังเดินขึ้นมาพอดี จึงได้เสียสมาธิ กระบี่ของเส่เยี่ยพุ่งเข้าหาร่างของอ้อมหมิงเจิ้งที่ยืนเหมือนเป้านิ่ง แม้แต่เจ้าของกระบี่เองก็ไม่สามารถหยุดมันได้ทันแล้ว "เคร้งงงงงงงงงง!!!" เสียงกระบี่อีกเล่มปะทะเข้ากับกระบี่ของเส่เยี่ยดังลั่น กระบี่ของเส่เยี่ยตกลงพื้นก่อนจะถึงร่างของอ้อมหมิงเจิ้งเพียงไม่ถึงคืบ อ้อมหมิงเจิ้งหันมาก็ตกใจไม่น้อยที่ตนเองประมาทจนเกือบจะเอาชีวิตทิ้งไปแล้ว " พรึบ!!!" ชีเส้าเฟยโฉบมาขวางหน้าอ้อมหมิงเจิ้งไว้ทันพอดี เขามองเส่เยี่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เหตุการณ์เมื่อครู่ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเส่เยี่ยถึงได้ลงมือหนักขนาดนี้ ทั้งๆ ที่อ้อมหมิงเจิ้งไม่ได้ถืออาวุธด้วยซ้ำ "เส่เยี่ยนี่เจ้าคิดจะทำอะไร!!" คำถามของชีเส้าเฟยเต็มไปด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ ทำให้เส่เยี่ยยิ่งทวีความโกรธขึ้นไปอีก "ถอยไป!!! ข้าจะสั่งสอนนาง!!!" หญิงสาวรั้นทำท่าจะตรงเข้าไปหาอ้อมหมิงเจิ้งอีก ชีเส้าเฟยก็เอาตัวมาขวางไว้ "สั่งสอนอะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!" ชีเส้าเฟยขมวดคิ้ว หันไปขอคำตอบจากทั้งสองฝ่าย "อยากรู้ก็ถามศิษย์รักของท่านดูสิ!!!" คนพูดกระแทกเสียง จากที่น้อยใจชายหนุ่มอยู่แล้ว นางคิดว่าครั้งนี้ชีเส้าเฟยก็ต้องเข้าข้างพี่น้องของเขาอีก ไม่ว่านางจะทำอะไร ก็ผิดเสมอ ชีเส้าเฟยเห็นท่าไม่ดี จึงคิดจะพาเส่เยี่ยไปพูดคุยลำพังสองคน ชายหนุ่มเดินเข้าไปคว้าแขนหญิงสาวให้เดินตามเขาออกมา แต่เส่เยี่ยสะบัดมือของเขาออกสุดแรง "ปล่อยข้านะ!!!!! มีอะไรก็พูดกันตรงนี้ หรือว่าท่านไม่กล้าว่าข้าต่อหน้าพี่น้องของท่าน!!!" "มีเหตุผลหน่อยได้ไหม ตามข้ามา!!" ชายหนุ่มส่งเสียงดุนางเบาๆ คราวนี้เขาจับมือนางแน่น ไม่ว่าเส่เยี่ยจะสะบัดอย่างไรก็ไม่หลุด ศิษย์คนอื่นๆ มองตาม แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเมามัน
ครู่หนึ่ง ชีเส้าเฟยก็พาเส่เยี่ยลงมายังห้องโถงด้านล่าง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วชายหนุ่มก็ยอมปล่อยมือหญิงสาว เส่เยี่ยกำแขนตัวเองแล้วก็มองค้อนชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ "คราวนี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น" คนพูดสีหน้าเรียบ "ในเมื่อข้าพูดอะไร ท่านก็ไม่เชื่อ แล้วจะมาถามข้าทำไม อยากรู้อะไร ก็ไปถามพี่น้องของท่านเถอะ" เส่เยี่ยพูดประชด แล้วหันหน้าไปทางอื่น "เจ้ายังไม่ได้ให้โอกาสข้าเลย แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่เชื่อเจ้า" ชีเส้าเฟยพยายามอารมณ์เย็นสุดๆ "รู้สิ ข้ารู้ตั้งแต่ที่ท่านเดินเข้ามาแล้ว แววตาของท่านมันฟ้อง น้ำเสียงของท่านมันก็บอก ท่านคิดว่าข้าผิดที่ไปรังแกพี่น้องของท่าน!!" "ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เมื่อครู่นี้ข้าอาจตกใจ พูดไม่ดีกับเจ้าไป ข้าก็ขอโทษด้วย แต่ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าเพราะอะไรเจ้าถึงได้ทำเช่นนั้น" "ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่ไม่ชอบหน้านาง!!!" เส่เยี่ยตอบเขาตรงๆ "เส่เยี่ย เจ้าอย่าทำแบบนี้ได้ไหม" ชีเส้าเฟยไม่เชื่อ เขาคิดว่านางต้องการพูดประชดเขาเท่านั้น "ข้าก็พูดความจริงแล้ว ข้าไม่ชอบนาง แล้วข้าก็รู้ด้วยว่านางก็ไม่ชอบข้า!! แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไง!!" "เส่เยี่ย ขืนเจ้าไม่มีเหตุผลแบบนี้ ต่อไปจะอยู่ที่นี่กับข้าไม่ได้นะ!!" "แล้วใครอยากไปอยู่กับท่านเล่า!!!!!!" หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มด้วยความเสียใจ ไม่ว่านางจะพูดอะไร สุดท้ายแล้วพี่น้องของเขาก็ถูกเสมอ ในเมื่อนางเป็นตัวปัญหาของเรื่องทั้งหมด สู้นางเป็นคนหลีกทางไปไม่ดีกว่าหรือ ฝ่ายชายหนุ่มพอได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนั้นก็เสียใจไม่แพ้กัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยถามนางเลยว่า อยากจะอยู่กับเขาหรือเปล่า ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ "แล้วเจ้าจะเอายังไง" ชีเส้าเฟยพูดโดยไม่มองหน้าเส่เยี่ย เส่เยี่ยมองหน้าเขาด้วยความน้อยใจ แม้แต่คำเดียวเขาก็ไม่เคยง้อหรือร้องขอให้นางอยู่กับเขาเลย เช่นนี้แล้วนางจะอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร "ข้าอยากกลับบ้าน..." น้ำตาของหญิงสาวก็ค่อยๆ ไหลมารวมกันรอบดวงตาทั้งสองข้าง นอกจากผู้เป็นบิดาแล้ว ไม่เคยมีใครที่ห่วงใยนางจริงเลย หญิงสาวคิด "ได้..." ชีเส้าเฟยหลับตาแล้วกลั้นใจพูด "ข้าจะไปส่งเจ้าเอง" ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าหญิงสาวที่เขาตามหามาตลอด สุดท้ายแล้วจะต้องมาจากกันไปง่ายๆ เช่นนี้ "งั้นคงต้องรบกวนจอมยุทธชีแล้ว" คนพูดน้ำเสียงสั่น น้ำตายังคงไหลไม่หยุด เมื่อพูดจบแล้วหญิงสาวก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งก้มหน้าด้วยความเสียใจ 'จอมยุทธชีงั้นหรือ' คำพูดที่ดูห่างเหินของนางช่างทิ่มแทงใจเขาเหลือเกิน แต่เมื่อไร้วาสนาก็ยากจะฝืน ในเมื่อเขาไม่สามารถหาเหตุผลอะไรมารั้งหญิงสาวเอาไว้ได้ ก็คงต้องปล่อยนางไป
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาของหัวหน้าสี่แห่งค่ายเหลียนอิ๋นไปได้ ลู่เสี่ยวฟงแอบดูชีเส้าเฟยคุยกับเส่เยี่ยอยู่นานแล้ว "หัวหน้าใหญ่ ท่านนี่เก่งแต่เรื่องวรยุทธจริงๆ แค่นี้ก็ดูไม่ออกหรือยังไง" ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วก็บ่นพรึมพรำกับตัวเอง
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ช่วงสาย ชีเส้าเฟยกลับมาที่ประชุมกับพวกหัวหน้าค่ายที่ห้องควบคุม เรือของพวกเขารอนแรมมาหลายคืนแล้ว คงต้องเข้าฝั่งเร็วๆ นี้ เพื่อหาเสบียงเพิ่ม กงซุนเช่อรับหน้าที่ดูเรื่องนี้จึงเสนอความคิดให้ขึ้นฝั่งที่ท่าเรืออีกสองวัน
"เราจะจอดเรือตรงนี้ แล้วค่อยๆ ลำเลียงคนบางส่วนลง จากนั้นสามวันให้หลังพวกเจ้ากับคนที่เหลือค่อยมาเจอข้าที่ท่าเรือเมืองหลิงโจว หากเราจอดเรือไว้นิ่งๆ อาจตกเป็นเป้าสายตาของทางการได้" กงซุนเช่ออธิบายพร้อมชี้ไปบนแผนที่ "หัวหน้าใหญ่ท่านคิดว่าอย่างไร" เมื่อทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้ว กงซุนเช่อจึงหันไปถามความคิดเห็นของชีเส้าเฟย "หัวหน้าใหญ่..." "หา ท่านว่าอะไรนะ" ชายหนุ่มสะดุ้งแล้วก็หันมามองคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ "ข้าถามว่าพวกเราจะเทียบเรือที่นี่ ท่านคิดว่าอย่างไร" กงซุนเช่อชี้ไปบนแผนที่แล้วก็ทวนคำถาม "พวกเราเทียบเรือที่หมู่บ้านหลิวก่อนได้หรือเปล่า" ชีเส้าเฟยถามเขากลับ "หมู่บ้านหลิวงั้นเหรอ หากเทียบเรือที่นั่น พวกเรายังต้องเดินทางเท้าอีกไกลกว่าจะถึงตัวเมืองเลยนะหัวหน้าใหญ่" กงซุนเช่อขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าชีเส้าเฟยจะให้เทียบเรือที่หมู่บ้านหลิวทำไม "ข้ามีธุระนิดหน่อย จะขอแวะลงก่อน พวกเจ้าก็เดินทางต่อไปได้เลย ห้าวันให้หลังข้าจะไปพบกับพวกเจ้าที่เมืองหลิงโจวเอง" ชีเส้าเฟยอธิบาย "หัวหน้าใหญ่ท่านมีธุระอะไรงั้นหรือ ให้ข้าไปด้วยนะ ทางการกำลังเพ่งเล็งพวกเรา เดินทางคนเดียวอันตราย" อ้อมหมิงเจิ้งเสนอขึ้น "ไม่ต้องหรอกหงเผา ข้าจะไปส่งเส่เยี่ยหน่ะ" อ้อมหมิงเจิ้งพอได้ยินชื่อเส่เยี่ยก็ชะงักไปเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยชอบเสเยี่ย แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องวันนี้จะเป็นสาเหตุให้เส่เยี่ยทนอยู่ไม่ได้ คนอื่นๆ ก็พากันเงียบไม่กล้าถามอะไรชีเส้าเฟยต่อ "งั้นๆ ให้ข้าไปด้วยละกันนะหัวหน้าใหญ่" ลู่เสี่ยวฟงเสนอตัวขึ้นบ้าง "ไม่ต้องไปทั้งสองคนนั่นแหละ ข้าไปคนเดียวสะดวกกว่า" "เอ่อ... แต่ว่า..." ลู่เสี่ยวฟงกำลังพูดแต่ก็ถูกชีเส้าเฟยแทรกขึ้นก่อน "เอาหล่ะ งั้นก็ตกลงตามนี้ เลิกประชุมแค่นี้ก็แล้วกัน" ชายหนุ่มรีบสรุป ทุกคนมองหน้ากันแบบไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร บรรดาหัวหน้าทะยอยกันเดินออกจากห้องไป อ้อมหมิงเจิ้งกำลังลุกขึ้นตามคนอื่นๆ ออกไปแต่ก็ถูกชีเส้าเฟยรั้งเอาไว้ก่อน "หงเผา เจ้าอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย" "ข้าเหรอ" หงเผาชี้ที่หน้าตัวเอง ลู่เสี่ยวฟงก็แกล้งหันมาเย้านาง ทำท่าเอามือเชือดคอ อ้อมหมิงเจิ้งจึงตีไหล่เขาดังเผลียะ
อ้อมหมิงเจิ้งรู้อยู่แล้วว่าชีเส้าเฟยจะคุยกับนางเรื่องเส่เยี่ย ตามนิสัยของนางเป็นคนกล้าทำกล้ารับ นางเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ชีเส้าเฟยฟังโดยไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย พร้อมทั้งกล่าวคำขอโทษกับชีเส้าเฟย นางไม่ได้มีเจตนาให้เส่เยี่ยออกจากเรือลำนี้ไป และยินดีจะปรับปรุงนิสัยของตนเอง หากแต่ว่าคำขอโทษของอ้อมหมิงเจิ้งอาจจะสายไปเสียแล้ว
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เช้าวันต่อมา ชีเส้าเฟยเดินมาที่หน้าห้องของเส่เยี่ย เขาพบว่าอาหารที่เขาให้ศิษย์จัดมาให้เส่เยี่ยเมื่อคืน ยังคงวางอยู่หน้าห้องเหมือนเดิมทุกอย่าง หญิงสาวไม่ได้แตะต้องมันเลยแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องหญิงสาวอยู่นาน เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเรียกนางดีหรือไม่ พอจะยกมือขึ้นเคาะประตู อยู่ๆ ก็ชะงักไปเสียอย่างนั้น ชีเส้าเฟยถอนหายใจอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็บอกกับตัวเองว่าควรตัดใจเสียดีกว่า จังหวะที่เขากำลังจะหันหลังกลับนั้น เส่เยี่ยก็เปิดประตูห้องออกมาพอดี สองคนเจอหน้ากันโดยไม่ได้ตั้งตัว ต่างก็ทำหน้าไม่ถูกด้วยกันทั้งคู่ เส่เยี่ยดูตกใจไม่น้อยที่พบว่าชีเส้าเฟยอยู่หน้าห้องของตน หากแต่ว่าในใจลึกๆ แล้ว นางก็รู้สึกดีใจที่เขายังคงเป็นห่วงนาง "อรุณสวัสดิ์" หญิงสาวกล่าวทักทายเขาหลังจากที่ยืนเงียบอยู่นาน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองยังคงดูห่างเหิน "เจ้าไม่กินอะไรเลย" ชีเส้าเฟยมองไปที่สำรับอาหารแล้วก็เหลือบมองหญิงสาว ใบหน้าของนางดูอิดโรยเหมือนคนร้องไห้มาทั้งคืน "ข้าไม่หิว..." เส่เยี่ยตอบเพียงแค่นั้น นางไม่ได้ให้เหตุผลอะไรต่อ ชีเส้าเฟยดูออกว่าหญิงสาวยังคงโกรธเขาอยู่ หารู้ไม่ว่าความจริงแล้วหญิงสาวรู้สึกน้อยใจกับคำพูดของเขาเสียมากกว่า "สองวันมานี้เจ้าไม่กินอะไรเลย" "ก็ข้าไม่อยากกิน" "ถ้าพ่อเจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นแบบนี้ คงไม่พอใจข้าแน่" ความจริงชีเส้าเฟยเป็นห่วงนางแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ จึงคิดจะใช้บิดาของนางมาอ้าง เผื่อว่าหญิงสาวจะยอมเชื่อเขาบ้าง "อย่าห่วงเลย ถ้าข้าเจอท่านพ่อที่ปรโลก จะไม่กล่าวโทษท่านหรอก" คนพูดทำเสียงเศร้า "ปรโลกอะไร ทำไมเจ้าพูดแบบนี้" ชีเส้าเฟยได้ยินหญิงสาวพูดถึงเรื่องความเป็นความตายก็รู้สึกไม่สบายใจ "ข้าพูดจริงๆ นะ ข้าขอบคุณที่ท่านช่วยข้ามาตลอดเพราะอยากตอบแทนท่านพ่อ แต่ท่านก็ช่วยข้ามาหลายครั้งแล้ว เกรงว่าตอนนี้ข้าจะติดค้างท่านมากกว่า" หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ ที่หลงคิดไปว่าเขาอาจจะมีใจให้นาง ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเขาดีต่อนางเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณพ่อของนางเท่านั้นเอง 'เส่เยี่ย ความจริงเรื่องบุญคุณอะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าข้าปักใจต่อเจ้า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกันแล้ว' ชีเส้าเฟยคิด น่าเสียดายที่เขาได้แต่คิดประโยคเหล่านี้อยู่ในใจ เขาไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้นางได้รับรู้ความในใจของเขา "หากเจ้ารู้สึกติดค้างข้าจริง ก็กินอะไรสักหน่อยแล้วกัน เอาหล่ะงั้นข้าไม่รบวนเจ้าแล้ว" ชายหนุ่มพูดส่งท้ายหน้าเศร้าๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากมา
ลู่เสี่ยวฟงที่ยืนแอบฟังอยู่ข้างๆ ถึงกับส่ายหัว รู้สึกหงุดหงิดเหมือนคนเชียร์มวยแพ้ "หากเจ้ารู้สึกติดค้างข้าจริง ก็กินอะไรสักหน่อยแล้วกัน " ลู่เสี่ยวฟงทำเสียงล้อเลียนชีเส้าเฟย "สำนวนไม่ไหวเลยหัวหน้าใหญ่... แบบนี้ไม่ว่าสาวที่ไหนก็วิ่งหนี" ชายหนุ่มส่ายหัวด้วยความไม่ได้ดั่งใจ หัวหน้าใหญ่ของเขาไม่ได้เรื่องจริงๆ สงสัยงานนี้คงต้องออกโรงเองเสียแล้ว
ขณะที่ชีเส้าเฟยกำลังเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของเรือ ลู่เสี่ยวฟงก็ปรากฏตัวจากทางด้านหลังของเขา "หัวหน้าใหญ่" "อ้าว น้องสี่เจ้ามาทำอะไรแถวนี้" "ข้าก็เอ่อ... มาเดินเล่น..." "หือ มาเดินเล่นงั้นเหรอ" ชีเส้าเฟยมองซ้ายมองขวา แถวนี้ไม่เห็นมีอะไรน่าให้เดินเล่นเลย "ช่างเถอะๆ ว่าแต่ท่านเถอะมาทำอะไรแถวนี้ หวังว่าคงไม่ได้มาเดินเล่นเหมือนกับข้านะ ฮ่าๆๆ" ลู่เสี่ยวฟงหรี่ตา ทำท่าเหมือนว่ารู้ทัน ชีเส้าเฟยก็เงียบไม่ตอบอะไร "จริงสิ ได้ยินพวกศิษย์พูดๆ กันว่า พวกท่าน... แบบว่า... เอ่อ... ทะเลาะกันเหรอ" ลู่เสี่ยวฟงชี้ไปทางห้องของเส่เยี่ยแล้วก็ตีหน้าซื่อสุดๆ เหมือนว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไร "เปล่าหรอก แค่เรื่องเข้าใจผิด" ชีเส้าเฟยตอบแบบขอไปที "ก็อย่างนี้หล่ะหน่า คนเรารักกันก็ต้องมีผิดใจกันบ้าง ท่านก็อย่าเพิ่งท้อซะหล่ะ ข้ากลัวว่าชาตินี้จะไม่มีนายหญิง" คนพูดหัวเราะชอบใจ "นายหญิงอะไร อย่าพูดเหลวไหลสิ ข้ากับเส่เยี่ยไม่ได้เป็นอะไรกันนะ" โอโหปากแข็งได้อีก ลู่เสี่ยวฟงคิด "จริงอ่ะ" ชายหนุ่มเลิกคิ้ว "เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ ข้าไม่พูดแล้ว" คนพูดทำท่าจะเดินหนี "อ่ะเดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว หัวหน้าใหญ่เรื่องนี้จะเอามาล้อเล่นไม่ได้นะ" ลู่เสี่ยวฟงรีบเอาตัวมาขวางไว้ "ใครไปล้อเล่นกับเจ้าเล่า" ชีเส้าเฟยถอนหายใจ (เฮ้อ... คนกำลังอกหักอยู่ เข้าใจป่ะเนี่ย ถามอยู่ได้) "จริงอยู่ข้าอาจจะขี้เล่นไปบ้าง แต่เรื่องนี้ข้าจริงจังนะ ท่านกับแม่นางเส่เยี่ยไม่ได้แบบว่า... เอ่อ... ชอบกัน... จริงๆ เหรอ" คนพูดเอานิ้วชี้สองข้างมาจิ้มกันแบบเขินๆ "เจ้าหมายความว่ายังไง" ชีเส้าเฟยหันมาขมวดคิ้วใส่ลู่เสี่ยวฟง "ท่านก็บอกมาก่อนสิ ว่าท่านปิ๊งแม่นางเส่เยี่ยเขาหรือเปล่า" "ก็บอกแล้วไงว่าไม่!!" คนพูดๆ จบก็หันหน้าไปทางอื่น ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะบอกความในใจให้คนอื่นฟัง ในเมื่อยังไงชาตินี้เขากับนางก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว "ฟูวววววว" เสียงลู่เสี่ยวฟงถอนหายใจยาวเหมือนยกภูเขาออกจากอก "เจ้ามีอะไรกันแน่น้องสี่" ชีเส้าเฟยขมวดคิ้ว ชักสังหรณ์ใจไม่ดี "คือ... ถ้าข้า... จะบอกว่า... ข้าชอบ... แม่นางเส่เยี่ยหล่ะ... ท่านจะว่าอย่างไร" ลู่เสี่ยวฟงยืนบิดไปบิดมาหน้าแดงเหมือนเด็กๆ "หา!!!!!! อะไรนะ เจ้าชอบนาง!! ไม่ได้นะ!!!!!!" ชีเส้าเฟยลืมตัว พูดเสียงดัง ลู่เสี่ยวฟงตกใจจนถอยไปชิดกำแพง "อ้าวหัวหน้าใหญ่ ก็ไหนท่านบอกว่าท่านไม่ชอบนางยังไง แล้วทำไมข้าถึงชอบนางไม่ได้หล่ะ" "เอ่อ... คือ... " "เอาเถอะๆ ถ้าท่านชอบนางก็บอกข้ามาเถอะ ข้าไม่คิดแย่งท่านอยู่แล้ว" คนพูดทำท่าปลงนิดๆ "มันไม่ใช่อย่างนั้น เฮ้อออ..." ชีเส้าเฟยทำท่าคิดหนัก "แล้วมันยังไงหล่ะ" "ถึงเจ้าชอบนางก็ไม่มีประโยชน์หรอก!! เจ้าก็รู้ว่านางกำลังจะไปอยู่แล้ว!!" "เรื่องนั้นท่านไม่ต้องห่วงหรอก ข้าหน่ะเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ ต่อให้มีเวลาแค่สองวัน ข้าก็ทำให้นางเปลี่ยนใจได้ ขอเพียงท่านอนุญาติ เท่านั้นก็พอ" ลู่เสี่ยวฟงทำท่ามั่นใจสุดๆ "นางกับข้าไม่ได้เป็นอะไรกัน ข้าไม่มีสิทธิ์ไปอนุญาตหรอก" ชีเส้าเฟยรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ "ในเมื่อท่านไม่ปฏิเสธ ข้าก็ถือว่าท่านตกลงแล้วนะ" คนพูดกระพริบตาให้ชีเส้าเฟย "เดี่ยวก่อน!!" "มีอะไรอีกหัวหน้าใหญ่ หวังว่าท่านคงจะไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ" "ต่อให้พวกเจ้าชอบพอกันจริง นางก็ไม่เหมาะกับที่นี่หรอก เจ้าคงไม่คิดตามนางไปอยู่ที่หมู่บ้านหลิวนั่นหรอกนะ" ชีเส้าเฟยแอบค้อนให้หัวหน้ารุ่นน้อง "ทีจริงก็ไม่เลวนะ ข้าเองก็เคยคิดจะถอนตัวจากยุทธภพนานแล้ว และที่นั่นก็ดูสงบดี ขอเพียงมีแม่นางเส่เยี่ยอยู่เคียงข้าง ให้ข้าอยู่ที่ไหนข้าก็อยู่ได้" ลู่เสี่ยวฟงยิ้มกริ่มแล้วก็ตบไหล่ชีเส้าเฟยเบาๆ ชีเส้าเฟยทำหน้าไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก จำต้องปล่อยเลยตามเลย ในใจก็ภาวนาอย่าให้เส่เยี่ยชอบลู่เสี่ยวฟงขึ้นมาจริงๆ เลย ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาคงทำใจไม่ได้ ฝ่ายลู่เสี่ยวฟงก็แอบสังเกตอาการของชีเส้าเฟยด้วยความพอใจ 'งานนี้ท่านต้องขอบคุณข้าแน่หัวหน้าใหญ่'
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
อีกด้านหนึ่ง ณ คุกหลวง
หลินกุเหนียงนั่งเซ็งอยู่ในห้องขัง โชคดีที่องครักษ์เหอไม่ได้จับนางไปขังรวมกับนักโทษชายจริงๆ ไม่งั้นนางคงอกแตกตายแน่ๆ ระหว่างที่หญิงสาวกำลังนั่งเขี่ยกองฟางไปมานั้น ก็ปรากฏเท้าคู่หนึ่งก้าวเข้ามาหน้าห้องขังของนาง หลินกุเหนียงเงยหน้าขึ้นไปมอง พอเห็นว่าเป็นจั๋วอี้หังก็ดีใจ เผยยิ้มกว้าง ชายหนุ่มสั่งให้ทหารเปิดกุญแจห้องขังออก แล้วก็เดินเข้าไปหาหญิงสาว "เป็นอย่างไรบ้างน้อง... เอ่อ... ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าแม่นางหลิน... มากกว่า" จั๋วอี้หังกล่าวคำทักทายหญิงสาว ท่าทางของเขาดูห่างเหิน "ความจริงท่านเรียกข้าเหมือนเดิมก็ได้" หลินกุเหนียงยิ้มให้เขา แต่จั๋วอี้หังไม่ยิ้มตอบ สีหน้าของเขาดูไม่สบายใจเท่าไหร่ "ข้ารู้ ท่านยังโกรธข้าอยู่ใช่ม่า ความจริงข้าไม่ได้ตั้งใจหลอกท่านนะ แต่ว่าตอนที่เรารู้จักกัน มันเป็นเรื่องบังเอิญ ข้า..." "เอาหล่ะๆ เจ้าไม่ต้องอธิบายหรอก ข้าเข้าใจ แต่เรื่องที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ เจ้ากับแม่นางเส่เยี่ยเป็นกบฏ" "ฮึยยย ไม่ใช่นะพี่จั๋ว ข้าไม่ใช่กบฏ ตระกูลข้าเป็นขุนนางหลายสมัย จะเป็นกบฏได้อย่างไร พ่อข้าหักคอฆ่าตายพอดี" "อะไรนะ นี่เจ้าเป็นลูกขุนนางงั้นเหรอ!!!" จั๋วอี้หังทำท่าตกใจ "ชูววว นี่ท่านอย่าไปบอกใครนะ" หลินกุเหนียงหรี่เสียงพูดลง "อืมข้ารู้แล้ว แล้วแม่นางเส่เยี่ยหล่ะ นางมาหลอกฮ่องเต้หรือเปล่า" "โอยยย ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ นี่ท่านอย่าบอกนะว่าท่านก็บ้าตามฮ่องเต้ไปด้วย" "เจ้าอย่าพูดลบหลู่ฝ่าบาทแบบนี้สิ" "ก็ได้ๆ พี่จั๋ว ในบรรดาคนในวังหลวงทั้งหมด ข้าเชื่อใจท่านที่สุด แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าท่านไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนกับคนอื่นๆ ถามจริงๆ เถอะ ท่านเชื่อว่าแม่นางเส่เยี่ยเป็นกบฏอย่างนั้นหรือ" "ข้าก็ต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว" ชายหนุ่มถอนหายใจ "นั่นไง!! นึกแล้วว่าท่านต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง" หลินกุเหนียงยิ้มกว้าง โชคดีที่ชายตรงหน้าเข้าใจนางและมองความเป็นจริงออก อย่างนี้สิถึงจะเหมาะมาเป็นพ่อของลูก (หุๆ เกี่ยวไหมนั่น) "พี่จั๋ว งั้นข้าขอถามท่านอีกเรื่อง" หลินกุเหนียงทำสีหน้าจริงจัง จั๋วอี้หังก็รอฟังคำถามอย่างตั้งใจ "ท่านเชื่อไหมว่าชีเส้าเฟยเป็นกบฏ" เจอคำถามนี้เข้าไป จั๋วอี้หังถึงกับอึ้งตอบไม่ถูก ความจริงเขาผาดโผนในยุทธภพมาหลายปี เรื่องราวของชีเส้าเฟยก็ได้ยินมามาก เขารู้ว่าชีเส้าเฟยเป็นคนดี ไม่เพียงแต่มีวรยุทธสูง แต่ยังรักชาติบ้านเมืองอีกด้วย เขาคอยรวบรวมผู้กล้า ต่อต้านพวกเหลียว คนแบบนี้ย่อมไม่ใช่กบฏอยู่แล้ว แต่สำหรับราชสำนักแล้ว ค่ายเหลียนอิ๋นเป็นเหมือนเสี้ยนหนามสำคัญ กองกำลังของพวกเขายิ่งใหญ่จนน่ากลัว แถมพวกเขายังได้รับความศรัทธาและการช่วยเหลือจากชาวบ้านอีก ซึ่งถ้าคิดจะก่อกบฏขึ้นมาจริงๆ ก็ยากที่จะรับมือได้ "ว่าไงพี่จั๋ว ทำไมไม่ตอบข้าหล่ะ" "เอ่อ... คือ... " "ท่านอ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้ ข้าก็รู้แล้ว ในเมื่อท่านไม่เชื่อว่าชีเส้าเฟยเป็นกบฏจริง แล้วทำไมยังไปช่วยฮ่องเต้จับเขาอีก" "เจ้าไม่เข้าใจหรอก บางครั้งเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน เพื่อความอยู่รอดของคนส่วนใหญ่ เราก็ต้องเสียสละบางอย่างไป" "เสียสละอะไร ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย ถ้าท่านอยากให้บ้านเมืองมั่นคง ประชาชนอยู่รอด สู้ท่านไปกำจัดเสนาบดีใหญ่นั่นไม่ดีกว่าเหรอ เรื่องอะไรถึงต้องไปหาเรื่องกับค่ายเหลียนอิ๋นด้วย" หญิงสาวทำหน้าไม่พอใจ ก็เพราะราชสำนักมีแต่คนคิดแบบนี้สิ คนดีถึงได้ไม่มีที่อยู่ "กำจัดเสนาอ๋าวเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ทั้งในและนอกราชฐานเขากุมกำลังทหารไว้ทั้งหมด ถึงโค่นเขาลงได้จริงๆ บ้านเมืองก็จะระส่ำระส่าย ไร้ผู้นำ กองกำลังตามหัวเมืองอาจจะฉวยโอกาสนี้โจมตีเมืองหลวงได้ "เฮอะ น่าขัน ถ้าเขาสำคัญขนาดนั้น แล้วจะมีฮ่องเต้ไว้ทำไม ให้เขาเป็นฮ่องเต้ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ" คนพูดเบ้ปาก "เจ้าพูดเบาๆ หน่อยได้ไหม" จั๋วอี้หังเอ็ดให้หญิงสาวหรี่เสียงลง "ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่พูดแล้ว ในเมื่อท่านก็มีความคิดของท่าน ข้าก็มีความคิดของข้า แบบนี้พูดกันไปก็ไม่รู้เรื่อง" "ข้าก็ไม่ได้จะมาเถียงกับเจ้าเรื่องนี้นะ" "แล้วท่านมาหาข้าทำไมหล่ะ" "ข้าเอานี่มาให้ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนกินยาก" ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับส่งกล่องอาหารให้หลินกุเหนียง หลินกุเหนียงรับกล่องอาหารมาเปิดดู พอเห็นว่าอาหารข้างในเป็นของที่นางชอบกินทั้งนั้น หญิงสาวก็ดีใจจนน้ำตาซึม ทั้งๆ ที่นางหลอกเขามาตลอด แต่เขาก็ไม่ถือโทษโกรธนาง ซ้ำยังเป็นห่วงเป็นใยนางขนาดนี้ แบบนี้ไม่รักเขาแล้วจะให้ไปรักแมว (หลวง) ที่ไหนอีก "พี่จั๋ว..." หลินกุเหนียงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ "ความจริงข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง" "เรื่องอะไรงั้นเหรอ (ข้ายินดีให้ท่านหมดเลยทั้งกายทั้งใจ )" "ฝ่าบาทกำลังจะมาสอบสวนเจ้าอีก ข้าอยากให้เจ้าบอกความจริงกับเขา" "นี่ท่านจะให้ข้าทรยศเพื่อนของข้างั้นเหรอ!!" หญิงสาวชักสีหน้าไม่พอใจ "ถ้าครั้งนี้เจ้าไม่ยอมพูดอีก เกรงว่าต่อไปข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ฝ่าบาททรงเอาจริงนะ!!" ชายหนุ่มพูดขู่ "ฮึให้ข้าตาย ดีกว่าขายเพื่อน!!" หลินกุเหนียงหันหน้าหนีไปทางอื่น "เฮ้อออ ที่ข้าจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว เจ้าจะเลือกทางไหนก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน" จั๋วอี้หังถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินออกมาจากห้องขัง ยังไม่ทันขาดคำ ฮ่องเต้ก็เดินสวนเข้ามาพอดี "ฝ่าบาท!!!!" จั๋วอี้หังตกใจเมื่อเห็นผู้มาเยือน "เอาตัวนางออกมา!!!" คังซื่อไม่รีรอ เขาสั่งให้ทหารคุมตัวหลินกุเหนียงออกมา หญิงสาวมองหน้าจั๋วอี้หังด้วยความไม่พอใจ ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าใครดีใครชั่ว แต่ก็ยังเลือกที่จะทำร้ายคนดี นางมองเขาผิดไปจริงๆ "นอนในนี้สบายดีหรือเปล่า" คังซื่อทักทายหญิงสาวด้วยคำพูดที่ฟังดูเป็นมิตร แต่แววตาของเขาช่างดูน่ากลัว "หม่อมฉันควรจะถามฝ่าบาทมากกว่า ว่าจะหลับสบายดีหรือเปล่า" หลินกุเหนียงเองก็ใช่ย่อย นางรู้ว่าฮ่องเต้นั้นปักใจต่อเส่เยี่ยมากแค่ไหน เชื่อว่าทุกคืนคงนอนไม่หลับสนิทแน่ๆ "ดูท่า อยู่ในนี้วันเดียวคงไม่ทำให้เจ้าคิดได้นะ" คังซื่อยิ้มให้นางอย่างน่ากลัว "จับตัวไปโบยข้างนอก!!!" ฮ่องเต้พูดจบก็ชี้ไปที่จั๋วอี้หัง ชายหนุ่มเงยหน้ามองฮ่องเต้ด้วยความไม่เข้าใจ พวกทหารองครักษ์เองก็ตกใจเหมือนกัน แต่เห็นว่าเป็นฮ่องเต้สั่งจะขัดก็ไม่ได้ จึงจำต้องจับตัวองครักษ์จั๋วออกไปด้านนอก ฝ่ายหลินกุเหนียงก็ตกใจสุดขีด คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะใช้แผนนี้มาข่มขู่นาง ครู่หนึ่งฮ่องเต้ก็พาหญิงสาวออกมาชมการลงทัณฑ์จั๋วอี้หังที่ด้านนอก ชายหนุ่มถูกจับให้คุกเข่าอยู่กลางลานหน้าคุกหลวง เสื้อท่อนบนของเขาถูกปลดออก เผยให้เห็นแผ่นหลังขาวและผืนไหล่กว้าง โจทย์เจ้าประจำของหลินกุเนียงก็ยืนรออยู่แล้ว ดูเหมือนองรักษ์เหอจะเป็นคนลงโทษจั๋วอี้หังเอง "โบย!!!" สิ้นเสียงที่ฮ่องเต้สั่ง องครักษ์เหอก็ลงแส้ไปบนหลังขาวเนียนของจั๋วอี้หังทันที "พั่วะ!!! พั่วะ!!! พั่วะ!!!" เสียงแสร้กระทบกับหลังของจั๋วอี้หังดังสะท้านไปทั่ว เมื่อแส้ต้องกับหลังของเขา ชายหนุ่มก็สะดุ้งด้วยความเจ็บปวด หลินกุเหนียงยืนมองหน้าฮ่องเต้ด้วยความโกรธแค้น คนอะไรใจร้ายที่สุด แม้แต่ลูกน้องของตัวเองยังทำได้ลงคอ "พั่วะ!!! พั่วะ!!! พั่วะ!!!" องครักษ์เหอฟาดแส้ไม่หยุดมือ หลังของจั๋วอี้หังตอนนี้เต็มไปด้วยสีแดงของเลือด หลินกุเหนียงทนดูไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องขอร้องให้เขาหยุด "พอแล้ว พอได้แล้ว!!!!" หญิงสาวตะโกนลั่น ฮ่องเต้จึงส่งสัญญาณให้องครักษ์เหอหยุดมือ "ว่าไง ทีนี้จะพูดกับเราได้หรือยัง" "ท่านมันต่ำช้าที่สุด ต่อให้เจอแม่นางเส่เยี่ย นางก็ไม่มีวันรักผู้ชายต่ำช้าอย่างท่านหรอก" หลินกุเหนียงด่าทอฮ่องเต้ด้วยน้ำตานองหน้า คังซื่อโกรธกับคำพูดของนางมาก แต่ก็หันหลบไปทางอื่นเพื่อตั้งสติไม่ให้ทำอะไรวู่วาม "ชีเส้าเฟยกับเส่เยี่ยอยู่ที่ไหน!!" เขาถาม หลินกุเหนียงได้ยินคำถามก็เม้มปากแน่น หากฮ่องเต้ไม่เอาชีวิตของจั๋วอี้หังมาขู่ ถึงตายนางก็ไม่ยอมพูดหรอก "ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนแน่ รู้แต่ว่าวันที่พวกเขาหลบหนีไป พวกเขานัดเจอกันที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง" "เรื่องนั้น ข้ารู้อยู่แล้ว" ชายหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ เขารู้ว่าข้อมูลที่หลินกุเหนียงให้เป็นความจริง แต่ก็ยังต้องการทราบเรื่องอื่นที่เขายังไม่รู้ "ที่ข้านึกออกก็มีแค่นี้..." หลินกุเหนียงยืนกราน เนื่องจากพวกชีเส้าเฟยอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง นางเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนแน่ "ดี งั้นข้าจะช่วยฟื้นความจำให้เจ้านะ" ฮ่องเต้สั่งให้องครักษ์เหอโบยจั๋วอี้หังอีก แต่องครักษ์เหอบอกว่าจั๋วอี้หังสลบไปแล้ว ฮ่องเต้จึงสั่งให้คนไปเอาน้ำเกลือมาหลายๆ ถังเพื่อสาดให้ชายหนุ่มได้สติ หลินกุเหนียงได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็อึ้ง แทบไม่เชื่อหูของตัวเองว่าฮ่องเต้จะโหดร้ายถึงเพียงนี้ "ช้าก่อน" หลินกุเหนียงห้ามขึ้น "เจ้านึกอะไรออกแล้วงั้นหรือ" ฮ่องเต้ถาม "อืม" หญิงสาวพยักหน้า เวลานี้คงต้องช่วยให้จั๋วอี้หังรอดพ้นจากอันตรายเสียก่อน เรื่องอื่นๆ ค่อยคิดกันทีหลัง "ข้าจำได้ว่าแม่นางเส่เยี่ยเป็นคนหมู่บ้านหลิว ถ้าท่านไปหาพวกเขาที่นั่นอาจจะพบก็ได้ ที่ข้ารู้ก็มีแค่นี้ หากท่านไม่เชื่อ จะฆ่าเราสองคนก็เชิญเลย" หลินกุเหนียงให้ข้อมูลนี้ไปเพราะไม่คิดว่าเส่เยี่ยจะกลับไปที่นั่นจริงๆ นางแค่ต้องการจะซื้อเวลาให้จั๋วอี้หังเท่านั้น แต่ทว่านางคิดผิด ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ชีเส้าเฟยก็กำลังจะไปส่งเส่เยี่ยที่นั่น "ดี" ฮ่องเต้ยิ้มอย่างพอใจ เขาส่งสัญญาณให้องครักษ์เหอปล่อยตัวจั๋วอี้หังได้ องครักษ์เหอก็เข้าไปประคององครักษ์รุ่นน้องขึ้น ความจริงจั๋วอี้หังไม่ได้สลบ พอองครักษ์เหอถามจั๋วอี้หังว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ทหารอีกสองคนรีบเอาน้ำมาเช็ดคราบสีแดงตามตัวของชายหนุ่มออกจนหมด จนไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นองครักษ์อีกคนก็เอาชุดมาสวมให้จั๋วอี้หังตามเดิม "ทำได้ดีมาก" ฮ่องเต้เดินเข้าไปตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆ "ทีนี้เจ้าเข้าใจความรู้สึกของข้าแล้วสินะ" ฮ่องเต้หันมาพูดกับหลินกุเหนียง หญิงสาวถึงกลับยืนอึ้งเหมือนคนถูกสาบ คราบน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งถูกไหลทับด้วยน้ำตาแห่งความผิดหวัง นางโดนหักหลัง ที่แท้นางหลงกลของฮ่องเต้กับจั๋วอี้หัง ทั้งหมดนี้เป็นแค่แผนการณ์ลวงโลกเท่านั้นเอง....
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เวลาพลบค่ำ บนเรือเหลียนอิ๋น
"ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องเส่เยี่ย หญิงสาวตั้งใจปล่อยให้เสียงนั้นดังไปเรื่อยๆ จะมีอะไรได้อีก นอกเสียจากชีเส้าเฟยให้คนเอาอาหารมาให้นาง แต่เสียงเคาะประตูนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเส่เยี่ยก็ทนไม่ไหว จึงเดินออกไปเปิดประตู "ท่าน..." หญิงสาวเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็แปลกใจ "ลู่เสี่ยวฟง" ชายหนุ่มพูดชื่อของตัวเองพร้อมกับยิ้มหวาน "มีอะไรกับข้างั้นเหรอ" เส่เยี่ยทำหน้าสงสัย นางกับเขาเคยคุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง "เบื่อหรือเปล่า" "ท่านถามข้าทำไมเหรอ" หญิงสาวทำหน้างง "อยากไปเที่ยวหรือเปล่าหล่ะ" คนพูดยิ้ม "เที่ยวเหรอ บนเรือเนี่ยนะ" หญิงสาวขมวดคิ้ว ชายคนนี้จะมาไม้ไหนกัน "อืม ไปเถอะน่า" ลู่เสี่ยวฟงไม่พูดเปล่า เขาคว้ามือของหญิงสาวให้ออกมาจากห้อง "เดี๋ยวๆ ท่านจะพาข้าไปไหน" เส่เยี่ยตกใจชักมือกลับแทบไม่ทัน "ดวงดาว" คนพูดกระพริบตา "อย่าล้อเล่นหน่อยเลย" หญิงสาวหัวเราะ "ไม่ได้ล้อเล่นนะ ข้ากล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าเจ้าต้องชอบ" หญิงสาวได้ยินแล้วก็ทำหน้าแปลกใจ ความจริงตั้งแต่ขึ้นมาอยู่บนเรือลำนี้ ก็ดูจะมีแต่ลู่เสี่ยวฟงนี่แหละที่ดูเป็นมิตรกับนางมากที่สุด "มาเถอะหน่า เจ้าอยากรากงอกตายคาห้องหรือไง" ลู่เสี่ยวฟงไม่รอช้า เส่เยี่ยยังไม่ทันตอบ เขาก็คว้ามือของนางเดินขึ้นบันไดมา
ครู่หนึ่งทั้งสองก็มาอยู่บนชั้นดาดฟ้าของเรือ
พอหญิงสาวก้าวพ้นบันไดขึ้นมา ชายหนุ่มก็บอกให้นางเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า เส่เยี่ยถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ "สวยจัง" หญิงสาวถูกความงดงามของดาวนับล้านดวงสะกดให้แน่นิ่งไปชั่วครู่ ทั้งๆ ที่คืนก่อนนางก็เดินมาแถวนี้ ทำไมถึงได้ไม่เห็นความงามของดวงดาวพวกนี้เลยนะ หรืออาจเป็นเพราะในใจนางมีแต่ความเศร้าจึงไม่ได้สังเกตเห็นความงามของพวกมันก็ได้ "วันนี้เป็นคืนเดือนมืด ลมทะเลพัดเมฆไปจนหมด ทำให้เห็นดวงดาวได้ชัดเจนที่สุด" ลู่เสี่ยวฟงอธิบาย "บางครั้งคนเราก็ต้องขจัดเมฆหมอกออกไป ถึงจะเห็นดวงดาวที่สุกใสได้" ชายหนุ่มพูดแล้วก็ยิ้มให้หญิงสาว เส่เยี่ยเข้าใจว่าลู่เสี่ยวฟงต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มกำลังหมายถึงเรื่องอะไร "นี่ เจ้าเคยบินหรือเปล่า" ชายหนุ่มหันมาถาม "บินเหรอ... " เส่เยี่ยทำหน้างง คราวนี้เขาจะมีอะไรให้นางแปลกใจอีกนะ "อืม หลับตาสิ" เส่เยี่ยก็ลองหลับตา ทันใดนั้นลู่เสี่ยวฟงก็ใช้วิชาตัวเบาพาร่างของหญิงสาวเหาะขึ้นไปในอากาศ "ท่าน!!!" หญิงสาวตกใจเมื่อพบว่าร่างของตนเองกำลังลอยขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งทั้งสองก็มายืนอยู่บนยอดของเสากระโดงเรือ จุดที่สูงสุดของเรือเหลียนอิ๋น เส่เยี่ยมองไปข้างล่างแล้วก็โวยวายด้วยความกลัว "ชูววว... ฟังสิ" ชายหนุ่มบอกให้หญิงสาวเงียบลง พอหญิงสาวเงียบลง นางก็ได้ยินเสียงคลื่นปะทะกับลมเป็นจังหวะ มันทำให้นางสบายใจอย่างบอกไม่ถูก "บางครั้งคนเราก็ต้องขจัดเมฆหมอกออกไป ถึงจะเห็นดวงดาวที่สุกใสได้ เจ้ารู้มั้ยว่าใครพูดประโยคนี้กับข้า" ชายหนุ่มหันมายิ้มอย่างอบอุ่นให้หญิงสาว "ข้าไม่รู้หรอก" เส่เยี่ยส่ายหน้า "หัวหน้าใหญ่" "ท่านลุงงั้นเหรอ" "อืม ใช่ สามปีก่อนระหว่างที่พวกเรากำลังทำศึกกับพวกต้าเหลียวอย่างหนัก ที่บ้านให้คนส่งข่าวมาบอกว่าปู่ของข้าตายแล้ว ตอนนั้นข้าเสียใจมาก คืนหนึ่งระหว่างที่พวกเรากำลังตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู หัวหน้าใหญ่พูดประโยคนี้กับข้า โชคดีที่ในที่สุดพวกเราก็ฝ่าวงล้อมของศัตรูออกมาได้สำเร็จ หัวหน้าใหญ่ขอร้องให้ข้ารีบกลับไปจัดการเรื่องงานศพปู่ ข้าก็เชื่อเขาเดินทางกลับบ้านทันที หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ข้ากลับมาที่ค่าย ถึงได้รู้ว่าหัวหน้าใหญ่ได้รับบาดเจ็บ เขานอนหมดสติไปเป็นสัปดาห์" "ท่านลุงได้รับบาดเจ็บตอนที่พวกท่านฝ่าวงล้อมออกมางั้นหรือ" "ไม่ใช่ ความจริงเขาถูกทำร้ายตั้งแต่วันที่ข้าได้รับข่าวจากที่บ้านแล้ว" "ท่านหมายความว่า..." หญิงสาวทำหน้าสงสัย "หมายความว่าหัวหน้าใหญ่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาไม่ยอมบอกข้า เพราะเขารู้ว่าข้ากำลังเป็นกังวลเรื่องของท่านปู่ จึงไม่อยากให้ข้าต้องมากังวลกับเรื่องของเขาอีก เขาจึงซ่อนอาการบาดเจ็บเอาไว้ ไม่บอกให้ใครรู้" "ไม่น่าเชื่อเลย" "อืม นี่คือข้อเสียของหัวหน้าใหญ่ เขาไม่เคยพูดถึงความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่เคยบอกคนอื่นว่าต้องการอะไร ถ้าเจ้าอยากจะเข้าใจเขา ก็ต้องขจัดเมฆหมอกออกไป" ลู่เสี่ยวฟงพูดเป็นปริศนา นี่เป็นครั้งแรกที่เส่เยี่ยได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับชีเส้าเฟย มันทำให้นางรู้จักเขาเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง "นี่ เจ้าเชื่อเรื่องบุพเพรึเปล่า" อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น "หือ" เส่เยี่ยทำหน้าสงสัย "ว่าไงล่ะ เชื่อหรือเปล่า" "ทำไมอยู่ๆ ถามเรื่องนี้" "ตอบมาเหอะน่า" "เมื่อก่อนก็เคยเชื่อมั้ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้สิ" หญิงสาวส่ายหน้า โชคชะตาเล่นตลกกับนาง จนตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรแล้ว "เคยได้ยินเรื่องเล่าไหมว่า ถ้ากระพริบตาครบพันครั้ง คนแรกที่เจอจะเป็นเนื้อคู่ของตนเอง" "ท่านเป็นผู้ชายนะ เชื่อนิทานปรัมปราแบบนี้ด้วยเหรอ" หญิงสาวหัวเราะ "แน่นอน ข้าต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว เพราะว่าข้ามีผ้าที่วิเศษกว่านั้น" ลู่เสี่ยวฟงพูดพรางหยิบผ้าสีขาวออกมาผืนหนึ่ง "ผ้าวิเศษอะไรกันอีก" เส่เยี่ยหรี่ตามองคนตรงหน้า คราวนี้จะมาไม้ไหนอีกนะ "เชื่อหรือเปล่าว่า เจ้าแค่กระพริบตาครบสิบครั้ง ภาพเนื้อคู่ของเจ้าก็จะปรากฏบนผ้าผืนนี้ทันที" ลู่เสี่ยวฟงบรรยายสรรพคุณเสร็จสรรพ "ไม่เอาหรอก ถ้าเจ้าเปลี่ยนเอาผืนที่วาดหน้าตัวเองไว้ แล้วข้าจะทำยังไง" หญิงสาวพูดติดตลก ลู่เสี่ยวฟงก็หัวเราะ "เอาอย่างนี้ ข้าให้เจ้าถือไว้เองเลย เอาหน่า... แค่กระพริบตาสิบครั้งเอง ไม่เชื่อก็ไม่เห็นจะเป็นไรใช่ม่า" เส่เยี่ยทนคำรบเร้าของชายหนุ่มไม่ไหว จึงยอมกระพริบตาสิบครั้ง "หนึ่ง" "สอง" "สาม" "สี่" "ห้า" "หก" "เจ็ด" "แปด" "เก้า" "สิบ..." เส่เยี่ยกระพริบตาครบสิบครั้งแล้ว นางมองไปบนผ้าที่ตัวเองถืออยู่ ไม่มีภาพวาดใดๆ อยู่บนผ้าผืนนั้น แต่ว่า... หญิงสาวมองทะลุผ่านผ้าผืนบางลงไป เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า นางค่อยๆ เลื่อนผ้าออก จนเห็นใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน เขาคือ "ชีเส้าเฟย" นั่นเอง เส่เยี่ยมองหน้าลู่เสี่ยวฟงแล้วก็หน้าแดงไปถึงหู "โอววว ผ้าศักดิ์สิทธิ์ของข้าใช้ได้ผลจริงๆ ด้วย" ลู่เสี่ยวฟงมองไปเห็นชีเส้าเฟยซึ่งอยู่ด้านล่างก็หัวเราะชอบใจ "ท่านเข้าใจผิดแล้วหล่ะ" "ข้าเข้าใจอะไรผิดงั้นเหรอ" ลู่เสี่ยวฟงตีหน้าซื่อ "ถ้าท่านคิดว่าข้ากับท่านลุงเป็นอะไรกัน ท่านก็เข้าใจผิดแล้ว" "นี่เจ้าไม่ได้ชอบหัวหน้าใหญ่งั้นเหรอ" "ข้าไม่กล้าหรอก" "ข้าไม่ได้ถามว่าเจ้ากล้าหรือเปล่า ข้าถามว่าเจ้าชอบหัวหน้าใหญ่ของข้าหรือเปล่าต่างหาก ว่าไง ชอบหรือว่าไม่ชอบ" "ไม่ชอบ" เส่เยี่ยโดนรบเร้ามากๆ ก็ตอบแบบขอไปที "จริงอ่ะ" "อือ" "แหม พวกเจ้าสองคนนี่เหมาะสมกันดีจริงๆ คนหนึ่งก็ใจแข็ง คนหนึ่งก็ปากแข็ง อย่างนี้ก็แปลว่าข้ามีสิทธิ์ใช่ไหม" "สิทธิ์อะไร..." เส่เยี่ยทำหน้าสงสัย แล้วอยู่ๆ ลู่เสี่ยวฟงก็ตะโกนเรียกคนที่อยู่ด้านล่าง "หัวหน้าใหญ่!!!" ชีเส้าเฟยได้ยินเสียงเรียกก็มองตามเสียงนั้นขึ้นไป เมื่อพบว่าเส่เยี่ยอยู่กับลู่เสี่ยวฟงก็แปลกใจ "พวกเจ้าไปทำอะไรบนนั้น!!" น้ำเสียงคนถามดูไม่พอใจสักเท่าไหร่ "ก็ทำเรื่องที่ข้าถนัดหน่ะสิ" ลู่เสี่ยวฟงพูดจบแล้วก็หัวเราะ เส่เยี่ยหันมาตาเขียวใส่เขา นางกลัวว่าชีเส้าเฟยจะเข้าใจนางผิดไปด้วย "ลงไปกันเถอะ" พูดจบชายหนุ่มก็โอบร่างของหญิงสาวบินลงมาด้านล่างอย่างรวดเร็ว เส่เยี่ยไม่ทันตั้งตัวจึงกอดลู่เสี่ยวฟงไว้แน่น เมื่อลงมาถึงดาดฟ้าเรือ ใบหน้าของชีเส้าเฟยก็แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เส่เยี่ยรีบผละมือออกจากลู่เสี่ยวฟงทันที "ท่านลุง" "เจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วสินะ" ชีเส้าเฟยทักหญิงสาวด้วยแววตาไม่พอใจ เส่เยี่ยก็ได้แต่พยักหน้าไม่พูดอะไร สามคนมองกันไปมองกันมา จนเส่เยี่ยรู้สึกอึดอัด จึงขอตัวขึ้นก่อน "นี้ก็ดึกแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน" ว่าแล้วเส่เยี่ยก็ค่อยๆ เดินลงจากดาดฟ้าไป ลู่เสี่ยวฟงกระพริบตาให้ชีเส้าเฟยแล้วก็เดินตามนางไปติดๆ พอทั้งสองเดินลงไปแล้ว ชีเส้าเฟยก็แอบชะเง้อมอง เสียงเส่เยี่ยจามเหมือนจะไม่สบาย ลู่เสี่ยวฟงถอดเสื้อคลุมของเขาให้หญิงสาว ชีเส้าเฟยเห็นภาพนั้นแล้วก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าเรือไป ลู่เสี่ยวฟงหันมามองว่าชีเส้าเฟยดูเหตุการณ์อยู่หรือเปล่า เขายิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วก็เดินตามเส่เยี่ยไป
อีกมุมหนึ่งก็มีสายตาของหญิงสาวคนหนึ่งแอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เช่นกัน สายตานั้นแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด...
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
Julian Cheung - A Man Who Doesn't Lie
Create Date : 14 มิถุนายน 2552 |
|
44 comments |
Last Update : 19 มีนาคม 2560 2:36:51 น. |
Counter : 760 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ทับทิม IP: 125.26.37.79 14 มิถุนายน 2552 19:41:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:37:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:40:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:41:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:41:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:43:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:43:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:44:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:44:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:46:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:47:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:47:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:48:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:48:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:49:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:50:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 14 มิถุนายน 2552 21:57:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 14 มิถุนายน 2552 22:02:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 14 มิถุนายน 2552 22:20:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 61.90.98.191 14 มิถุนายน 2552 22:29:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทับทิม IP: 125.26.37.79 14 มิถุนายน 2552 22:32:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 61.90.98.191 14 มิถุนายน 2552 22:34:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 61.90.98.191 14 มิถุนายน 2552 22:36:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 14 มิถุนายน 2552 22:38:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 14 มิถุนายน 2552 22:42:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 61.90.98.191 14 มิถุนายน 2552 22:52:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 61.90.98.191 14 มิถุนายน 2552 23:10:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo IP: 61.90.98.191 14 มิถุนายน 2552 23:12:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 14 มิถุนายน 2552 23:14:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลินอี้ 14 มิถุนายน 2552 23:17:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 15 มิถุนายน 2552 16:29:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 15 มิถุนายน 2552 16:33:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทับทิม IP: 125.26.40.253 15 มิถุนายน 2552 20:34:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: O-yohyo 16 มิถุนายน 2552 8:52:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: มลเยี่ย IP: 203.152.13.62 22 มิถุนายน 2552 9:12:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: มลเยี่ย IP: 203.152.13.62 24 มิถุนายน 2552 9:47:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: แนน IP: 58.8.169.179 26 กรกฎาคม 2552 0:42:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ตอนนี้ชื่อเหมาะกับองครักษ์หลินและแม่นางเส่เยี่ยมากค่ะ "ละครลวง" ปั่นมาสดๆ เลย ทีแรกคิดว่าจะลงไม่ทันแล้ว แต่ดันเสร็จทัน ก็เลยลงสัปดาห์นี้เลยดีกว่า หลังจากนี้ไปก็คงลงไม่ถี่แล้วค่ะ เพราะพล๊อตเรื่องที่ตุนเอาไว้หมดแล้ว ต้องไปนั่งปั้นใหม่ก่อน
หวังว่าเพื่อนๆ จะชอบกันเน้อ ถึงจะเขียนไม่เก่ง แต่ก็สัญญาว่าจะพาตัวละครทั้งหมดไปถึงฝั่งให้จงได้
รักนะจุ๊บๆๆ
จาก ผกก.