แฟนฟิคชั่น : กระบี่สะท้านฟ้า ราชาสะท้านแผ่นดิน (The Hero & The King)
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
12 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

กระบี่สะท้านฟ้าฯ ตอนที่ 27 อุปสรรค



เหตุการณ์ที่ชีเส้าเฟยบุกเข้าวังหลวงนั้น ไม่ช้าก็แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง เจ้าหยาจือกลับมาจากทำบุญ พอรู้เรื่องที่เส่เยี่ยหายตัวไป ก็เสียใจจนล้มป่วย ที่จวนจึงส่งข่าวไปบอกอ๋องถูจิ้นซึ่งเดินทางไปว่าราชการที่ต่างเมือง อ๋องถูจิ้นเมื่อได้รับข่าวก็รีบเดินทางกลับมาดูผู้เป็นภรรยาทันที

อ๋าวป้ายรู้สึกสะใจเป็นพิเศษที่ฮ่องเต้เสียหน้าคราวนี้ เพราะก่อนหน้านี้อ๋าวป้ายจับคนของค่ายเหลียนอิ๋นสองคนมาดำเนินคดี เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจฮ่องเต้จากเรื่องที่ทัพธงเหลืองเวรคืนที่ดินประชาชน ฮ่องเต้ไม่เพียงมีรับสั่งให้ปล่อยตัวนักโทษสองคนนั้น เพราะไม่มีหลักฐานเพียงพอ ซ้ำยังตำหนิที่อ้าวป้ายไม่รายงานความคืบหน้าคดีเวรคืนที่อีกด้วย อ๋าวป้ายเกิดบันดาลโทสะจึงสังหารนักโทษสองคนนั้นโดยไม่รายงานให้ฮ่องเต้ทราบ

ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ณ ตำหนักใน เจ้าจอมอ๋าวเทียนเจียวและเจ้าจอมเยี่ยปี้เสียได้ยินข่าวลือเรื่องเส่เยี่ยหายตัวไป ก็จัดงานเลี้ยงฉลองกันอย่างเอิกเกริก บนโต๊ะอาหารพูดถึงแต่เรื่องนี้ อ๋าวเทียนเจียวซึ่งมีความทะเยอะทะยานและไม่ชอบหน้าซุนเส่เยี่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คิดจะอาศัยจังหวะนี้เอาใจฮ่องเต้ เพื่อที่จะได้ขึ้นเป็นเจ้าจอมคนโปรด บันดาลิ่วล้อต่างพากันสนับสนุน เจ้าจอมเยี่ยปี้เสียแม้จะมีความริษยาอ๋าวเทียนเจียวอยู่ลึกๆ แต่ก็ยอมลู่ตามลม เพราะต้องการเอาตัวรอดในวังหลวง ใครๆ ก็รู้ว่าอ๋าวป้ายบิดาของอ๋าวเทียนเจียวนั้นทรงอิทธิพลขนาดไหน มีมิตรหนึ่งคนย่อมดีกว่ามีศัตรูหนึ่งคน

คนที่ดูจะผิดคาดมากที่สุดก็คือ ฮ่องเต้ คืนนั้นทรงเสวยน้ำจันทร์จนเมามายบรรทมไป แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ตื่นมาทรงหนังสือ ศึกษางานราชกิจอย่างขันแข็งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มไม่เคยกล่าวถึงเส่เยี่ยอีกเลย แม้หลายคนจะนึกสงสัย แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม มีเพียงองครักษ์เหอท่านั้นที่เข้าใจว่าฮ่องเต้กำลังทำอะไรอยู่

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

รุ่งเช้า ณ ลานฝึกวรยุทธขององครักษ์ วังหลวง

หลินกุเหนียงกำลังซ้อมเพลงกระบี่อย่างขะมักขะเม้น ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ คิ้วขมวด เขาดูไม่ค่อยพอใจกับท่ารำขององครักษ์รุ่นน้องสักท่าไหร่
"ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น ยืดแขนให้ตรงๆ หน่อย ย่อเข่าลงอีกนิด" องครักษ์จั๋วส่ายหัวแล้วก็เดินไปจับแขนหญิงสาวให้อยู่ในท่าที่ถูกต้อง
"แบบนี้เหรอ" หลินกุเหนียงถาม
"ไม่ใช่ๆ มานี่ ข้าจะรำให้ดูอีกรอบนะ" องครักษ์จั๋วถอนหายใจ เขาสอนนางท่าเดิมมาสามวันแล้ว นางก็ยังฝึกไม่สำเร็จสักที ชายหนุ่มคว้ากระบี่ขึ้นมารำเสียเอง หลินกุเหนียงเห็นแล้วก็แอบหัวเราะ ความจริงนางเข้าใจสิ่งที่เขาสอนตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่แสร้งทำว่าไม่เข้าใจ จะได้มีโอกาสใกล้ชิดชายหนุ่ม คนสอนก็ไม่รู้สึกเอะใจเลยแม้แต่น้อย ตั้งอกตั้งใจสอนเต็มที่ หลินกุเหนียงเห็นจั๋วอี้หังรำกระบี่อย่างจริงจังก็ยิ้ม พี่จั๋วรำท่านี้ได้น่ารักจริงๆ แบบนี้ต้องแกล้งเรียนไม่รู้เรื่องไปอีกสิบวัน
"แบบนี้ เข้าใจหรือยัง" ชายหนุ่มรำเสร็จก็หันมาถามหญิงสาว
"อื่อๆ เข้าใจแล้ว" หลินกุเหนียงเห็นหน้าเขาแล้วก็อดสงสารไม่ได้ คราวนี้นางเลยตั้งใจรำอย่างเต็มที่ หญิงสาวตวัดกระบี่ขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว นางลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ย่อเข่าลงนิดนึง แล้วแตะพื้นด้วยท่าที่สวยงาม น่าประทับใจ
"เป็นไง แบบนี้ใช้ได้หรือยังพี่จั๋ว" หลินกุเหนียงยิ้มพริ้มอย่างภูมิใจ จั๋วอี้หังก็ทำหน้าตกใจเหมือนคนเจอผี
"นี่ถึงกับตกตะลึงไปเลยเหรอ" หญิงสาวหัวเราะ ความจริงนางก็ฝีมือดีเหมือนกันนะเนี่ย

หลินกุเหนียงกำลังจะเดินเข้าไปหาจั๋วอี้หัง นางสังเกตเห็นใบหน้าของชายหนุ่มดูซีดเผือดผิดปกติ หญิงสาวค่อยๆ ชายตามองมาด้านข้าง จึงได้พบว่า มีกระบี่สีเงินกำลังจ่ออยู่ที่คอของนาง หลินกุเหนียงหันไปมองหน้าเจ้าของกระบี่แล้วก็ทำหน้าเซ็ง
"องรักษ์เหอ เล่นอะไรเนี่ย" นางเอามือปัดกระบี่ออก แต่ทว่าองครักษ์เหอไม่ได้ล้อเล่น เขาตวัดกระบี่กลับมาจ่อคอนางด้วยท่าทางขึงขัง
"ตามข้ามา" คนพูดสั่งสีหน้านิ่ง
"พี่เหอ มีเรื่องอะไรกัน" จั๋วอี้หังรู้จักองครักษ์เหอดี ดูจากสีหน้าของเขาก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปขวาง
"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า" องครักษ์เหอตอบสีหน้าเรียบ ทำเอาจั๋วอี้หังพูดอะไรไม่ออก
"อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ" องครักษ์เหอมองหลินกุเหนียงด้วยแววตาอำมหิต หลินกุเหนียงเห็นสายตาขององครักษ์เหอแล้วก็ยิ้มไม่ออก นางกลืนน้ำลายดังเอื้อก ซวยแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันหว่า
"พี่เหอ องครักษ์หลินเป็นคนของข้า หากท่านมีอะไรกับเขาก็ควรจะบอกให้ข้ารู้เสียก่อน" จั๋วอี้หังพยายามหว่านล้อมองครักษ์เหอด้วยเหตุผล แม้เขาจะรู้สึกยำเกรงรุ่นพี่คนนี้ แต่องครักษ์เหอก็ควรจะเห็นแก่หน้าเขาบ้าง
"ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ทรงต้องการพบแค่หลินกุเท่านั้น" คราวนี้คนฟังตาโต ทรงต้องการพบงั้นหรือ หมายความว่าฮ่องเต้เป็นคนสั่งให้จับตัวหลินกุงั้นหรือ
"ฝ่าบาทต้องการพบเขาทำไมหรือ" จั๋วอี้หังยังคงตั้งสติถามองครักษ์เหอต่อ ด้านหลินกุเหนียงเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง นางรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร คราวนี้ไม่รอดแน่ๆ
"เจ้าอยากรู้ก็ไปถามฝ่าบาทเอง" องครักษ์เหอไม่คิดจะตอบคำถามนี้ เขาคว้าแขนของหลินกุเหนียงทำท่าจะพานางเดินออกไป
"พี่จั๋ววววววว!!!" หลินกุเหนียงส่งสายตาอ้อนให้จั๋วอี้หังช่วย หญิงสาวรู้ดีว่าถ้านางตามองครักษ์เหอกลับไป นางต้องไม่รอดแน่
"ช้าก่อน! ข้าอยากดูราชโองการ" จั๋วอี้หังเดินมาขวางหน้าคนทั้งสอง
"เจ้าว่าอะไรนะ!" องครักษ์เหอหรี่ตามองคนตรงหน้า เขาไม่เข้าใจว่าคนพูดต้องการอะไร ในเมื่อเขาเป็นถึงองครักษ์ขั้นหนึ่ง มีป้ายอาญาสิทธิ์ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนขององค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว แล้วทำไมจะต้องแสดงราชโองการด้วย
"ท่านว่าฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เขาไปพบ ไหนหล่ะราชโองการ" จั๋วอี้หังยืนกรานขอดูราชโองการ จริงๆ มันก็เป็นแค่แผนถ่วงเวลาเท่านั้น หลินกุเหนียงเห็นจั๋วอี้หังยื่นมือมาช่วยก็ยิ้มจนแก้มปริ พี่จั๋วไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ คนอะไรทั้งหล่อทั้งแมน
"ทำไมข้าต้องให้เจ้าดูด้วย" คนพูดย้อนถามด้วยสีหน้ามั่นใจ
"ถ้าไม่ให้ดู ท่านก็พาเขาไปไม่ได้" คนตอบก็ไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน
"แล้วถ้าข้าจะพาเขาไปหล่ะ" องครักษ์เหอยิ้มที่มุมปาก
"งั้นก็ต้องล่วงเกินแล้ว" จั๋วอี้หังไม่รอช้าซัดฝ่ามือใส่คนตรงหน้าทันที องรักษ์เหอขยับหลบเพียงเล็กน้อยก็หลบฝ่ามือของรุ่นน้องได้แล้ว เขาไม่ยอมตอบโต้จั๋วอี้หัง เพียงแค่ถอยหลบเป็นระยะ เท่านี้ก็ทำให้จั๋วอี้หังรู้แล้วว่าฝีมือของตนนั้นยังห่างไกลรุ่นพี่มากเพียงใด จั๋วอี้หังจึงตัดสินใจใช้กระบี่ องครักษ์เหอก็ชักกระบี่ออกบ้าง สองคนสู้กันไปมา หลินกุเหนียงก็ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ พอจั๋วอี้หังจะโดนฟัน นางก็ทำท่าเสียวเอามือปิดตา แต่จั๋วอี้หังก็ไวใช่เล่น เขาหลบได้อย่างฉิวเฉียดอยู่หลายรอบ หลินกุเหนียงเห็นว่าจังหวะกำลังชุลมุน จึงคิดได้ว่าควรจะหนีไปตอนนี้ นางค่อยๆ ย่องถอยหลังออกไป แต่ทว่าไม่อาจพ้นสายตาของแมวหลวงอย่างองครักษ์เหอได้
"ไม่เล่นด้วยแล้ว" องครักษ์เหอกล่าว ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่กำลังสวนกระบี่กัน ซัดฝ่ามือใส่จั๋วอี้หังเต็มแรง องครักษ์รุ่นน้องกระเด็นไปไกลหลายลี้ เลือดกระอักออกทางปาก
"พี่จั๋วววววว!!!" หลินกุเหนียงที่กำลังคิดจะหนี พอเห็นว่าองครักษ์จั๋วได้รับบาดเจ็บก็รีบวิ่งกลับมา
"จะไปไหนตัวแสบ" องครักษ์เหอโฉบมาตัดหน้าแล้วก็คว้าตัวนางไว้
"น้องหลิน!!!" คนกระอักเลือดร้องตาม
"เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้า" องครักษ์เหอกล่าวเตือนองครักษ์รุ่นน้อง ว่าแล้วก็พาหลินกุเหนียงเดินจากไป

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ ตำหนักใน ห้องส่วนพระองค์

องครักษ์เหอคุมตัวหลินกุเหนียงมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หญิงสาวมองเขาตาเขียวตลอดทาง นางแค้นที่เขาทำร้ายพี่จั๋วของนาง พอฮ่องเต้เดินออกมา หลินกุเหนียงก็ก้มหน้าหลบ เรื่องของชีเส้าเฟยทำให้นางรู้สึกผิดต่อเขาไม่น้อย
"เอาหล่ะ เราจะถามเจ้าง่ายๆ สั้นๆ..." คังซื่อพูดด้วยสีหน้านิ่ง
"...เส่เยี่ย อยู่ที่ไหน" หลินกุเหนียงได้ยินคำถามแล้วก็กลืนน้ำลายดังเอื้อก นางไม่เคยเห็นฮ่องเต้หน้าหวานทำหน้าดุขนาดนี้มาก่อนเลย
"หม่อม... หม่อมฉันไม่รู้พะยะค่ะ..." หญิงสาวยังคงทำหน้าแอ๊บว่าตนไม่รู้เรื่อง
"องครักษ์เหอ ถอดชุดองครักษ์นางออก!!!" ฮ่องเต้มองหญิงสาวด้วยแววตาอำมหิต
"เฮ๊ยยยย!!! เดี๋ยวๆ ฝ่าบาท อยู่ๆ จะมาแก้ผ้ากันแบบนี้ หม่อมฉันทำอะไรผิดพะยะค่ะ" หลินกุเหนียงถอยหล่นไปจนชิดขอบประตู เรื่องอะไรจะมาแก้ผ้าประจารกันตรงนี้ ทั้งองครักษ์ ขันที ผู้ชายทั้งนั้น
"ไม่ต้องเล่นละครแล้ว นึกว่าบนโลกนี้ทุกคนใสซื่อเหมือนจั๋วอี้หังหรือยังไง!!!" คนพูดจิกสายตามาที่หลินกุเหนียง นางขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
"ว่ายังไงจะพูดหรือไม่พูด!!!" หญิงสาวหน้าซีด เหงื่อชุ่มเท้า มือก็กำขอบเสื้อไว้แน่น

ทันใดนั้น เสียงขันทีเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอก
"เข้าไม่ได้... เข้าไม่ได้... ท่านองครักษ์... เข้าไม่ได้..." ครู่หนึ่งชายหนุ่มในชุดสีฟ้าก็เดินเข้ามา ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียว
"พี่จั๋ว!!!" หลินกุเหนียงเงยหน้าไปเห็นสุดหล่อชุดฟ้า ก็ดีใจจนน้ำตาไหล เหมือนฝนตกหน้าแล้ง เขามาช่วยนางแล้ว ซึ้งใจจริงๆ เลย
"พระอาญาไม่พ้นเกล้า หม่อมฉันมีเรื่องสงสัย จึงบังอาจล่วงเกินฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงลงพระอาญาด้วยพะยะค่ะ" จั๋วอี้หังถวายพระพรฮ่องเต้แล้วก็ไม่ยอมลุกขึ้น
"จั๋วอี้หัง บังอาจบุกห้องส่วนพระองค์ไม่กลัวตายหรือยังไง" องครักษ์เหอตำหนิรุ่นน้อง ฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นห้ามบอกว่าไม่เป็นอะไร
"เดิมทีเราไม่อยากให้เจ้าเกี่ยวข้องด้วย แต่ในเมื่อเจ้ารั้นเองก็ช่วยไม่ได้" คังซื่อเดินไปนั่งที่บัลลังก์
"จั๋วอี้หัง เราอยากรู้ว่าเจ้าภักดีต่อเราหรือไม่" คนถามพูดเสียงดัง
"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันจงรักภักดีต่อฝ่าบาทและองค์ไทเฮา แม้แต่ชีวิตก็ถวายให้ได้ ฟ้าดินเป็นพยานพะยะค่ะ" จั๋วอี้หังตอบอย่างฉะฉาน
"ดี งั้นถ้าเกิดมีกบฏคิดร้ายต่อเรา เจ้าจะช่วยพวกมันหรือไม่" องครักษ์จั๋วได้ยินคำถามแล้วก็หันหน้าไปมองหลินกุเหนียง
"ไม่พะยะค่ะ หม่อมฉันจะปกป้องฝ่าบาทด้วยชีวิต"
"ดี งั้นเราสั่งให้เจ้าถอดหมวกกับชุดองครักษ์ของเจ้ากบฏคนนั้นออกเดี๋ยวนี้!!!" คังซื่อชี้ไปที่หลินกุเหนียง องครักษ์จั๋วยืนอึ้ง ตกใจกับข้อกล่าวหา นี่หลินกุเป็นกบฏอย่างนั้นหรือ ไม่อยากจะเชื่อเลย
"เจ้าไม่ได้ยินที่เราพูดหรือ!!!" จั๋วอี้หังยืนนิ่ง
"พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้อหากบฏเป็นข้อหาใหญ่ อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้ ขอฝ่าบาททรงทบทวนด้วยพะยะค่ะ"
"เรื่องนี้เราเห็นเองกับตา รึว่าแม้แต่คำพูดของเรา เจ้าก็สงสัย!!!"
"ไม่ใช่นะพะยะค่ะ"
"งั้นก็ทำตามที่เราสั่ง!!!"
"เอ่อ..." องครักษ์จั๋วอ้ำๆ อึ้งๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาหลินกุเหนียง คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะยังไงก็เป็นผู้ชายด้วยกัน ด้านหลินกุเหนียงตาโตเท่าไข่ห่าน ถ้าเป็นที่ลับตาคน จะไม่ว่าอะไรเลย (โหะๆ) แต่ว่านี่มันต่อหน้าพระพักตร์เลยนะ คนอื่นก็อยู่กันตรึม กรรมของคนสวยแท้ๆ
"ช้าก่อน..." หญิงสาวยกมือขึ้นห้ามเขา
"มีอะไรหรือน้องหลิน"
"ไม่ต้อง ข้าถอดเองได้" คนพูดตอบเสียงอ่อย จากนั้นก็บรรจงถอดชุดองครักษ์ออก จั๋วอี้หังจ้องแล้วจ้องอีกก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ (สงสัยจะแบนราบเท่ากันทั้งหน้าหลัง) นอกจากชุดตัวในสีขาวที่องครักษ์หลินใส่ทับซะหลายชั้น ไม่รู้สึกร้อนหรือยังไง
"ปล่อยผมเจ้าออกด้วย!!!" ฮ่องเต้สั่ง หลินกุเหนียงค้อนให้เขา ถอดหมวก แล้วก็ค่อยๆ ปล่อยผมตัวเองออก เผยให้เห็นผมสลวยสวยเงางามรับกับใบหน้าหวานของหญิงสาว
"หา!!! น้องหลิน... นี่เจ้า...!!!!" คราวนี้จั๋วอี้หังตาโตเท่าไข่ช้าง ชายหนุ่มถอยครูดไปจนชิดขอบกำแพง ในที่สุดความจริงก็เปิดเผย หลินกุเหนียงก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้เขา
"ตาสว่างหรือยัง" ฮ่องเต้หนุ่มถาม องครักษ์จั๋วก็ใบ้กินไปครู่ใหญ่ เขาใช้ชีวิตอยู่กับนางแทบทุกวัน ทำไมถึงได้ไม่รู้เลยนะว่านางเป็นผู้หญิง
"เราไม่สนหรอกนะว่าเจ้าเป็นใคร ขอเพียงเจ้ายอมบอกมาว่าเส่เยี่ยอยู่ที่ไหน เราสัญญาจะปล่อยเจ้าไป" ฮ่องเต้หนุ่มยื่นข้อเสนอ หลินกุเหนียงส่ายหน้า นางไม่มีวันขายเพื่อนอยู่แล้ว
"องครักษ์เหอ งั้นคงต้องยกให้เจ้าจัดการแล้ว" ฮ่องเต้รู้แต่แรกแล้วว่าหลินกุจะไม่ยอมพูด จึงได้ให้องครักษ์เหอเตรียมการเอาไว้แล้ว องครักษ์เหอได้ยินรับสั่งแล้วก็ตบมือเรียกลูกน้องให้เอาอุปกรณ์ทรมานนักโทษมาวางตรงหน้าหญิงสาว มีทั้งโซ่ตรวน เครื่องบีบนิ้ว เจาะจมูก ควักลูกตา บีบขมับ เรียกว่าขนมาจนหมดกรมราชทัณฑ์เลยทีเดียว หลินกุเหนียงเห็นเครื่องทรมานแล้วก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ โซ่แต่ละอันยังมีคราบเลือดติดอยู่เลย ช่วยเอาไปฆ่าเชื้อก่อนได้ไหมเนี่ย
"เจ้าชอบอันไหนหล่ะ" องครักษ์เหอเดินเข้ามาถามหญิงสาว นางมองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย หน้าตาก็ดี ทำไมชอบรังแกผู้หญิงสวยๆ อย่างนางนะ ไม่แมนเอาเสียเลย หรือว่าเขาจะชอบผู้ชาย เห็นวันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับฮ่องเต้ อ๋อมิน่าหล่ะถึงไม่ค่อยชอบหน้าแม่นางเส่เยี่ย เพราะว่าแอบกิ๊กกับฮ่องเต้อยู่นี่เอง
"งั้นข้าเลือกให้นะ เอาจากเจ็บน้อยก่อนก็แล้วกัน" คนพูดยิ้มโหดๆ แล้วก็สั่งให้ลูกน้องหยิบเครื่องบีบนิ้ว เครื่องทรมานยอดฮิตของยุคซ่งขึ้นมา ทหารองครักษ์สองคนช่วยกันจับมือของหลินกุใส่เครื่องบีบนิ้ว หญิงสาวหลับตาปี๋ นึกถึงท่านพ่อ ท่านแม่ พี่หลินชง ฮือๆๆ ช่วยลูกด้วย
"โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย" เสียงโอดครวญของหญิงสาวดังไปทั่ว จั๋วอี้หังไม่กล้าหันไปมอง ทหารองครักษ์สองคนมองหน้ากันงงๆ ยังไม่ได้เริ่มบีบเลย นางร้องทำไมเนี่ย
"ชีเส้าเฟยกับเส่เยี่ยอยู่ไหน จะพูดหรือไม่พูด" องครักษ์เหอเดินมาขู่เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวปฏิเสธจึงสั่งให้ทหารองครักษ์เริ่มลงทัณฑ์ทันที หลินกุเหนียงถูกบีบนิ้วจนมือบวมแต่ก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไร จั๋วอี้หังทนดูไม่ไหวจึงขอร้องให้ฮ่องเต้เลื่อนการไต่สวนออกไปก่อน ฮ่องเต้เองก็ใจอ่อน เขาเห็นด้วยว่าหลินกุเหนียงคงไม่ยอมพูดอะไร จึงมีรับสั่งให้นำตัวหลินกุเหนียงไปคุมขังไว้ก่อน ไว้ค่อยหาวิธีให้นางพูดต่อไป
"เอาตัวนางไปขังไว้ที่คุกหลวง" องครักษ์เหอหน้าเข้มสั่งลูกน้อง
"ขอรับ!"
"ไม่ต้องขังเดี่ยวนะ เอาไปขังรวมกับนักโทษชาย จะได้ไม่เหงา" คนพูดยิ้มแบบมีเลศนัย หลินกุเหนียงมองเขาตาเขียว องครักษ์เกย์โรคจิต ทำไมจ้องรังแกนางอยู่เรื่อยนะ อย่าให้หนีไปได้ละกัน จะให้ท่านพ่อกับพี่หลินชงจับตอนเป็นขันทีซะเลย

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ช่วงบ่ายๆ บนเรือเหลียนอิ๋น

ซุนเส่เยี่ยออกมาเดินเล่น ชมวิวทะเล หวังว่าความสวยงามของธรรมชาติจะให้นางลืมเรื่องที่ไม่สบายใจไปได้ ระหว่างที่หญิงสาวกำลังนั่งดูคลื่นทะเลลอยไปลอยมาอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงคนบนเรือสามสี่คนกำลังพูดคุยกัน
"นี่เจ้าว่าแม่นางเส่เยี่ยอะไรนั่นสวยหรือเปล่า" คนพูดอยู่แต่ชายแดนไม่เคยเห็นสาวงามมาก่อนจึงอดวิจารณ์ไม่ได้
"สวยไม่สวยไม่รู้ แต่ดูหัวหน้าใหญ่เกรงใจนางมากเลยนะ"
"ก็แน่หล่ะ นางเป็นลูกสาวของผู้มีพระคุณนี่"
"เฮ้ยผู้มีพระคงพระคุณอะไร ข้าว่าเรื่องบังหน้าทั้งนั้น มองแป๊บเดียวก็รู้แล้วว่าหัวหน้าใหญ่กับนางมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน"
"ไม่น่าเชื่อว่าหัวหน้าใหญ่ของเราจะมาสยบเพราะสาวหน้าหวานแบบนี้" ชายอีกคนหัวเราะ
"เจ้าไม่รู้อะไร หน้าหวานๆ แบบนี้ข้าว่าไม่ธรรมดาหรอก" คนพูดทำหน้ากรุ่มกริ่ม
"ยังไงเหรอที่ว่าไม่ธรรมดา" อีกคนทำหน้าสงสัย
"ก็..." ชายหนุ่มหัวโจกหันซ้ายหันขวาก่อนจะพูดต่อไปว่า
"ข้าว่านางต้องมีทีเด็ดแน่ๆ ข้าได้ข่าวมาว่า นางอยู่ในวังหลวงเป็นถึงพระสนมเอกเชียวนะ ฮ่องเต้หน่ะหลงนางมากๆ แล้วนี่หัวหน้าใหญ่ของเราก็มาหลงนางอีกคน แบบนี้เจ้าว่าธรรมดาหรือเปล่าหล่ะ"
"เฮ๊ยพวกเจ้าพูดอะไร ข่าวลือก็คือข่าวลือ เรายังไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า อย่าไปพูดให้หัวหน้าใหญ่ได้ยินเชียว"
"เจ้าไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้" คนพูดยักไหล่แล้วยกเหล้าขึ้นซด
"แล้วเจ้าว่าหัวหน้าใหญ่รู้เรื่องนี้หรือเปล่า" อีกคนสงสัยไม่เลิก
"ข้าว่าเขาไม่รู้หรอกมั้ง ถ้ารู้ มีหรือจะยอมโดนสวมเขา"
"แต่ข้าว่าไม่แน่นะ บางทีหัวหน้าใหญ่อาจจะรู้ แต่ว่าหลงลีลาของนางจนถอนตัวไม่ขึ้นก็ได้ ฮ่าๆๆ"
"แบบนี้พวกเราก็แย่นะสิ"
"จริงด้วย เหมือนชักศึกเข้าบ้าน"
"ชักศึกเข้าบ้านยังไงเหรอ" ชายคนที่ดูเข้าใจช้าที่สุดถามขึ้น
"โธ่เจ้าทึ่ม ก็นางเป็นพระสนมของฮ่องเต้ต้าซ่ง นางจะมาหวังดีต่อค่ายเหลียนอิ๋นของเรารึยังไง"
"แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีนางอาจจะติดใจหัวหน้าใหญ่ เปลี่ยนใจมาช่วยพวกเราก็ได้ ฮ่าๆๆ" ชายคนหนึ่งพูดอย่างคะนองปาก คนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะชอบใจ

หญิงสาวยืนฟังชายหนุ่มวิจารณ์ตัวเองด้วยความโกรธ นางกำมือแน่น อยากจะเข้าไปตบปากพวกมันทีละคน แต่พอนึกถึงหน้าชีเส้าเฟยแล้วก็ไม่อยากทำให้เขาต้องมีปัญหา จึงตัดสินใจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่ได้ยินมา

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

ณ ห้องควบคุม บนเรือเหลียนอิ๋น

ชีเส้าเฟย กงซุนเช่อ อ้อมหมิงเจิ้ง ลู่เสี่ยวฟง และศิษย์เอกหลายคนอยู่กันพร้อมหน้า กำลังปรึกษาเรื่องที่จะโจมตีราชสำนักกันอย่างเคร่งเครียด ความเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากให้ชีเส้าเฟยกำจัดฮ่องเต้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย ชีเส้าเฟยคิดหนัก จริงอยู่ฮ่องเต้คนนี้ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ แต่ถ้ากำจัดเสาหลักออกไป แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
"หัวหน้าใหญ่พวกเรารอไม่ได้แล้วนะ ต้องให้ประชาชนเสียเลือดเนื้อไปอีกเท่าไหร่ ในอดีตแม่ทัพเจ้ากวงยิ่นก็ยึดแผ่นดินมาจากฮ่องเต้น้อยเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นมีหรือที่ต้าซ่งจะรวมเป็นปึกแผ่นได้ขนาดนี้" อ้อมหมิงเจิ้งกล่าว
"แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก อีกอย่างฮ่องเต้ก็ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่ได้รับพระราชพิธีคืนอำนาจเลย จะไปตัดสินเขาไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ" ลู่เสี่ยวฟงค้าน อาจเป็นเพราะเบื้องหลัง ปู่ของเขาเคยเป็นขุนนางจึงมีความรู้สึกเกรงใจราชสำนักอยู่บ้าง
"ใช่ว่าข้าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ข้ามองไม่ออกว่าจะมีวิธีไหนอีก อีกอย่างฮ่องเต้ก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อายุเท่ากับหัวหน้าใหญ่ด้วยซ้ำ จะเอาชีวิตของประชาชนกับบ้านเมืองไปแขวนไว้กับคนแบบนั้นได้อย่างไร" กงซุนเช่อแย้ง ทว่าคำพูดของกงซุนเช่อทำให้ชีเส้าเฟยนึกถึงใบหน้าของฮ่องเต้ อายุเท่ากัน ใบหน้าคล้ายกัน ทำไมถึงได้บังเอิญเช่นนี้
"หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าใหญ่" อ้อมหมิงเจิ้งต้องเรียกถึงสองครั้งกว่าชีเส้าเฟยจะรู้ตัว
"หา... ขอโทษด้วย"
"มีคนมาหาท่านหน่ะ" ลู่เสี่ยวฟงชี้ไปที่หน้าประตู เส่เยี่ยก็ค่อยๆ เดินเข้ามา
"เส่เยี่ย"
"ดูเหมือนพวกท่านกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่" หญิงสาวทำท่าเกรงใจ
"เอ่อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร พวกเราแค่คุยกันเรื่อง..." ชีเส้าเฟยอ้ำอึ้ง เขาไม่อยากให้เส่เยี่ยรู้เรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ แต่ก็ดันโกหกไม่เป็น
"เรื่องวางแผนจัดการพวกต้าเหลียวหน่ะ" โชคดีที่ลู่เสี่ยวฟงช่วยคิดมุขทัน
"ใช่ๆ" ชีเส้าเฟยพยักหน้า เส่เยี่ยรู้ทันทีว่าพวกเขาโกหก นางได้ยินพวกเขาพูดถึงฮ่องเต้และราชสำนักตั้งแต่ตอนที่เดินมาอยู่หน้าห้องแล้ว
"งั้นข้าไม่รบกวนหล่ะ" หญิงสาวยิ้มเป็นมารยาทก่อนจะเดินออกไป ชีเส้าเฟยรีบลุกตามไปหาหญิงสาว
"นี่ ตอนเย็นลงมากินข้าวด้วยกันนะ" ชายหนุ่มยิ้มให้นาง
"ค่ะท่านลุง" หญิงสาวรับปากแล้วก็เดินจากไป

ชีเส้าเฟยขอกลับไปทบทวนเรื่องที่คุยกันวันนี้อีกครั้ง สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก จึงไม่อยากทำอะไรผลีผลาม กงซุนเช่อ อ้อมหมิงเจิ้งและลู่เสี่ยวฟงก็เห็นด้วย จึงตัดสินใจพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว

ด้านเส่เยี่ย ความจริงนางกำลังรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งทำให้คิดมาก หญิงสาวต้องการพูดคุยกับใครสักคน บนเรือลำนี้ มีเพียงชีเส้าเฟยคนเดียวเท่านั้นที่นางไว้ใจ ศิษย์คนหนึ่งบอกว่าชีเส้าเฟยกำลังประชุมอยู่กับหัวหน้าคนอื่นๆ หญิงสาวจึงเดินไปหาเขาที่หัวเรือ ไม่นึกว่าจะได้ยินเรื่องสำคัญเข้า มันทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นไปอีก
"ชีเส้าเฟยกับฮ่องเต้เป็นอะไรกันรึเปล่า"
"พวกเขาคิดวางแผนจะทำอะไรฮ่องเต้"
"ทำไมเขาต้องปิดบังนางด้วย หรือว่าไม่ไว้ใจนางเหมือนที่คนอื่นๆ บนเรือพูดกัน"

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เวลาพลบค่ำ บนเรือเหลียนอิ๋น

บรรดาหัวหน้าค่ายและพี่น้องกำลังดื่มสุราอาหาร สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ มีเพียงเส่เยี่ยเท่านั้นที่นั่งนิ่งไม่แตะอาหารในจานเลยแม้แต่คำเดียว ชีเส้าเฟยกำลังสนทนากับพี่น้องอย่างถูกคอ พอหันมาพบว่าหญิงสาวไม่ยอมทานอะไรเลยจึงทักขึ้น
"อาหารไม่ถูกปากงั้นเหรอ" เขาถามนางด้วยสายตาอ่อนโยน
"เปล่าคะ" เส่เยี่ยส่ายหน้า
"ถ้างั้นกินอะไรสักหน่อยนะ" เส่เยี่ยพยักหน้ารับแต่ก็ยังนั่งนิ่ง ไม่คีบอะไรมาใส่จานเลย ชีเส้าเฟยเองปกติเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเห็นนางนิ่งเงียบ เขาก็ยิ่งเงียบกว่า ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มกร่อยลง
"นี่แม่นางเส่เยี่ย ปลาตู้เจียนเมานี่ ข้าลงมือทำเองเลยนะ เจ้าลองชิมดูหน่อยสิ" ลู่เสี่ยวฟงถนัดเรื่องทำลายความเงียบอยู่แล้ว ชายหนุ่มพูดพลางคีบเนื้อปลาชิ้นโตลงบนจานของเส่เยี่ย หญิงสาวยิ้มรับ นางเขี่ยปลาในจานไปมา แต่ก็ไม่ยอมกินอยู่ดี
"เจ้าไม่ทานเนื้อสัตว์แน่ๆ เลย รึว่าจะลองผัดผักนี่" ลู่เสี่ยวฟงยังไม่หมดความพยายาม เขาคีบโน่นคีบนี่ให้เส่เยี่ยเต็มจาน จนหงเผาหันมาทำหน้าไม่พอใจ
"ข้าว่าเจ้าอย่าเสียเวลาดีกว่ามั้ง"
"เสียเวลาอะไร นี่เจ้าคงไม่ได้คิดหึงข้าใช่ม่า" ลู่เสี่ยวฟงยักคิ้วให้คนข้างๆ
"ใครไปหึงเจ้า" อ้อมหมิงเจิ้งเบ้ปากก่อนจะกล่าวต่อไปว่า
"แม่นางเส่เยี่ยหน่ะอาศัยอยู่ในพระตำหนักเสียนาน บางทีนางอาจจะไม่เคยชินกับอาหารบ้านๆ อย่างที่พวกเรากินก็ได้" อ้อมหมิงเจิ้งแกล้งพูดยั่วโทสะหญิงสาวและก็ได้ผล เส่เยี่ยวางตะเกียบแล้วลุกออกจากโต๊ะอาหารทันที ทำเอาอึ้งกันไปทั้งโต๊ะ
"เส่เยี่ย" ชีเส้าเฟยเห็นท่าไม่ดีก็รีบลุกตามนางไปติดๆ เมื่อทั้งคู่เดินพ้นประตูออกมา ชายหนุ่มก็คว้าแขนหญิงสาวเอาไว้
"ปล่อยข้านะ" หญิงสาวสะบัดแขนเขาออก
"เป็นอะไรไป"
"เป็นอะไรไปเหรอ ไปถามพี่น้องของท่านจะดีกว่า" หญิงสาวพูดจบก็เบือนหน้าหนีเขา
"จริงอยู่ หงเผาอาจจะพูดจาโผงผางไปบ้าง แต่ความจริงแล้วนางไม่ได้คิดอะไร เจ้าไม่ควรเสียมารยาทลุกออกมาแบบนั้น" หญิงสาวค้อนใส่ชายหนุ่ม แทนที่จะไปตำหนิอ้อมหมิงเจิ้ง แต่ชีเส้าเฟยกลับมาต่อว่านาง มันน่าน้อยใจจริงๆ
"เสียมารยาทเหรอ!!! ถ้าข้าเสียมารยาท แล้วพวกพี่น้องของท่านหล่ะ พูดจาให้ร้ายคนอื่นลับหลัง แบบนี้เรียกว่ามีมารยาทงั้นเหรอ" เส่เยี่ยเริ่มพูดเสียงดังขึ้นด้วยความไม่พอใจ
"หมายความว่าอย่างไร มีใครพูดอะไรให้เจ้าไม่สบายใจงั้นเหรอ" เส่เยี่ยพูดไม่ออก คำพูดจาบจ้วงของผู้ชายพวกนั้นจะให้เล่าให้ชีเส้าเฟยฟังได้อย่างไรกัน
"ช่างเถอะ ถือว่าข้าขอโทษพี่น้องของท่านก็แล้วกัน" หญิงสาวประชด นางทำท่าจะเดินจากไป แต่ชีเส้าเฟยก็ขวางไว้
"ทำแบบนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะ เจ้าควรจะบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น"
"ก็พี่น้องของท่านไม่ชอบข้า คิดดูถูกข้า ยังจะให้ข้าพูดอะไรได้อีก!!!" หญิงสาวขึ้นเสียง
"เจ้าคิดมากไปแล้ว หากพวกเขาคิดดูถูกเจ้าแล้วจะยอมเสี่ยงชีวิตช่วยเจ้าทำไม!!!"
"นั่นสิ ท่านไม่น่าลำบากช่วยข้าออกมาเลย!!!" พอรู้ตัวเส่เยี่ยก็หลุดปากพูดออกไปแล้ว ในใจของนางเองก็เจ็บปวดเหมือนกัน ชีเส้าเฟยหน้าถอดสี เขาคิดย้อนถึงเหตุการณ์ที่เส่เยี่ยปกป้องฮ่องเต้ นางถึงกับยอมเสียสละชีวิตของตนเอง หรือว่านางได้มอบใจให้ฮ่องเต้องค์นั้นไปแล้ว ที่แท้แล้วเขาควรช่วยนางออกมาหรือไม่ บางทีนางอาจจะอยากอยู่ที่นั่นก็ได้ เขาไม่เคยถามนางเรื่องนี้มาก่อนเลย

เส่เยี่ยหวังลึกๆ ว่าชีเส้าเฟยจะไม่ถือสาคำพูดของนาง นางหวังว่าเขาคงจะง้อนางสักนิดก็ยังดี แต่ก็ผิดคาด
"ขอโทษนะ ข้าลืมนึกถึงความรู้สึกของเจ้าไป" ชีเส้าเฟยกัดฟันแน่น ไม่คิดว่าคำพูดของหญิงสาวจะมีอิทธิพลต่อตนเองขนาดนี้
"หากเจ้าอยากกลับไปที่นั่นก็บอกข้าแล้วกัน" ชายหนุ่มละแขนของหญิงสาวลง เขาเดินกลับไปยังห้องอาหาร เส่เยี่ยรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
"ทำไมท่านไม่เคยเข้าใจข้าเลย ท่านลุง..." น้ำตาของหญิงสาวร่วงริน ดูเหมือนความรักครั้งนี้จะมีอุปสรรคเสียแล้ว...

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

Julian Cheung - A Man Who Doesn't Lie




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2552
7 comments
Last Update : 19 มีนาคม 2560 2:34:52 น.
Counter : 629 Pageviews.

 

ไม่ต้องตกใจ ไม่ใช่ตอนใหม่นะคะ เอ่อ คือ เผลอลบบล๊อกตอนที่แล้วไปค่ะ แป่ววววว

 

โดย: realtomtam 12 มิถุนายน 2552 23:25:46 น.  

 

ตามมาแปะรูปค่ะ แต่คงเมนต์ใหม่ไม่ได้แล้วนะ


 

โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:32:13 น.  

 

 

โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:32:36 น.  

 

 

โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:33:13 น.  

 

 

โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:33:35 น.  

 

 

โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:34:03 น.  

 

 

โดย: O-yohyo 14 มิถุนายน 2552 21:34:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


realtomtam
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add realtomtam's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.