Group Blog |
everything is her fault (6) everything is my fault เราไปกินข้าวด้วยกันบ่อยขึ้นแทบจะทุกวัน ไปเรียนภาษารัสเซีย เราคุยกันมากขึ้น เหมือนฉันได้เข้าไปในโลกของเขาเพิ่มอีกนิด คอนเสริตจบก็เครียดมากขึ้น เรามีความเห็นไม่ตรงกันเรื่อยๆ ฉันร้องไห้คนเดียวบ่อยๆเพราะเสียใจที่ทำตามที่เขาหวังไม่ได้ ในคอนเสริตของฉันต้องใช้วงคอรัส ฉันเลยคุยกับพี่กี้ว่าพอจะแนะนำนักร้องให้ได้มั้ย พี่กี้เลยเอาวงที่พี่กี้เพิ่งทำมาช่วยในงานจบของฉัน ฉันกลัวอาจารย์ไม่พอใจเช่นเดียวกัน แต่ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหาคนนอกมหาลัย ยิ่งจัดการยากขึ้นไปอีก และเขาก็เคยสอนฉันว่า มืออาชีพ ต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกและร่วมงานกับใครก็ได้ ฉันเลยตัดสินใจให้พี่กี้ช่วย เขาดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่ด้วยเหตุผลก็ไม่ได้ดุอะไร เหตุการณ์เริ่มอึมครึมมากขึ้นเมื่อฉันได้งานพิเศษที่ใหม่แล้วเป็นที่เดียวกับที่พี่กี้ทำอยู่ เขารู้เพราะพี่กี้ถามขึ้นมาต่อหน้าเขาว่าฉันมีสอนตอนกี่โมง? เดี๋ยวพี่ไปส่ง งานเข้าเลยโดนซักเลย ฉันพยายามถามว่ามีอะไรกัน แต่ไม่มีใครตอบ แต่รุ่นพี่ที่สนิทกับเขาบอกว่า เขาไม่ชอบพี่กี้ ทัศนคติไม่ตรงกัน อ้าวแล้วมาลงที่ฉันทำไม? แต่พอหลังๆถ้าเขาเห็นฉันแล้วมีพี่กี้อยู่ไม่ไกลหรือนั่งใกล้ๆ เขาจะแสดงอาการไม่พอใจ ครั้งหนึ่งฉันนั่งรอเพื่อนแล้วพี่กี้มาเจอเลยนั่งด้วยเพราะไม่มีที่นั่ง เขาเดินผ่านมาเห็น เขาหน้าไม่พอใจ พี่กี้ถามว่า "อาจารย์จะไปไหนเหรอครับ" เขาตอบกลับทันทีว่า "มันไม่ใช่เรื่องของคุณ!!!" ทิ้งระเบิดตู้ม แล้วเดินจากไป กลางคืนไลน์นี่เงียบเลย เพลงที่จะต้องใช้ในคอนเสริตจบถูกแก้แล้วแก้อีก จนเหมือนจะไม่ทัน เขาเลยเสนอว่าเลื่อนไปจัดเทอมหน้ามั้ย? ตอนแรกฉันไม่เห็นด้วยเพราะเท่ากับว่าฉันเรียน 4 ปีครึ่งแล้วฉันก็จะไม่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วย แต่ฉันก็คิดว่ามันก็ไม่ได้แย่นะเพราะรุ่นพี่รุ่นก่อนก็ 4ปีครึ่ง 5 ปี เกียรตินิยมไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จหรอก แต่พ่อแม่ของฉันไม่เห็นด้วยมากๆ ท่านอยากให้ฉันเรียนจบ 4 ปีแล้วออกมาหางานทำ แม่ของฉันคาดหวังในตัวฉันมาก และฉันก็ไม่อยากทำให้ท่านผิดหวังเสียใจ เลยตัดสินใจดื้อกับอาจารย์ว่าจะจบ 4 ปีให้ได้ ช่วงนั้นเขาไม่พอใจมาก เขาเครียดมากฉันเองก็เครียดมาก เวลาที่คุยกับเขาเสร็จฉันก็มักจะร้องไห้คนเดียวเสมอ ฉันพยายามทำตัวปกติแต่ในใจนี่ยับมาก เรายังไปกินข้าวด้วยกันบ้างแต่เราก็ไม่ค่อยคุยกันเหมือนเดิม แต่เขาก็ยังส่งไลน์มาขอโทษที่พูดแรงๆทำร้ายใจฉัน ซึ่งฉันก็บอกว่าฉันไม่ได้โกรธอะไรเขา ฉันเข้าใจทุกอย่าง ช่วงนั้นฉันก็ไม่ได้ไปบ้านเขาเพราะเขาอยากให้ฉันโฟกัสเรื่องคอนเสริต วันหนึ่งฉันนัดวงคอรัสของพี่กี้มาซ้อมและเขาก็มาดูด้วย หลังซ้อมเสร็จเราสามคนก็นั่งคุยเรื่องงานกันต่อ เขาพูดกับพี่กี้ประมาณว่า ลำบากหน่อยนะมาช่วยงานแบบนี้ พี่กี้เอามือมาวางไว้ที่ตักฉันแล้วบอกว่า ไม่เป็นไรเลยครับ ผมยินดีช่วย เขามองด้วยสายตาไม่พอใจ แล้วเขาก็พูดว่า everything is her fault ใจฉันวูบ แต่ก็เป็นความผิดฉันเองจริงแหละที่จัดการอะไรไม่ดี ทำงานช้า อ่อนแอ สุขภาพกายและจิตของฉันแย่ลงเรื่อยๆ มีอาจารย์อีกท่านนึงเป็นอาจารย์ที่สนิทกับเขามาช่วยปรับความเข้าใจและให้กำลังใจฉัน ท่านรู้แค่ว่าฉันกับเขาสนิทกันมากและฉันก็แคร์เขามาก และอาจารย์คนนั้นเห็นฉันดูเศร้าเหมือนคนร้องไห้ตลอดเวลาจนน่าเป็นห่วง เพื่อนสาขาเดียวกับฉันมาเล่าให้ฟังว่า นัดเขาไปดื่มเหล้าที่ร้านนึงแล้วถามเรื่องของฉัน ประมาณว่าถ้า(ฉัน)บอกว่าพร้อมจะจัดคอนเสริตทำไมไม่ยอมล่ะคะ? เขาไม่พอใจทันทีจากที่อารมณ์ปกติ แล้วตอบว่า Its not your bussiness!! She is my student!! แล้วแยกตัวออกไปเลย เพื่อนของฉันเคืองมากบอกจะไม่คุยกับเขาอีก ทำไมเขาถึงทำเหมือนเป็นเจ้าของฉัน ใกล้วันแสดงแล้วฉันตัดสินใจที่จะไม่แก้เพลงแล้วเพราะต้องส่งโน้ตให้นักดนตรีแล้ว เขาไม่พอใจมากพูดประมาณว่า ฉันคงอยากเป็นอิสระจากเขาเร็วๆอย่างนั้นสินะ อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ฉันใจคอไม่ดีมากๆ ฉันพยายามที่ขอโทษและบอกว่าฉันเสียใจแค่ไหน แต่เหมือนเขาไม่ฟังฉันเลย เขาพูดประมาณว่าทำไมเราต้องทำให้กันละกันเจ็บด้วย ฉันทำเขาเจ็บปวด? เขาเจ็บปวด? ฉันพยายามขอโทษเขา ฉันเสียใจมาก แต่งานทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อ จนกระทั่งวันแสดงคอนเสริตทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เรื่องฉันกับเขาไม่เป็นเช่นนั้น |
สมาชิกหมายเลข 2120426
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Link |