ความทรงจำเก่า ๆ ก่อนจะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
2 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 

จะทิ้งพระ-ทวดหนอน

สมัยไปที่สทิงพระใหม่ ๆ
ญาติมักบอกว่าให้พาลูกไปไหว้ ทวดหนอน
ก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทวดนี้ชื่อแปลก ๆ
ชื่อเหมือน หนอนผีเสื้อ หรืออะไรทำนองนั้น
แต่พอพาเข้า วัดจะทิ้งพระ
จึงทราบว่าคือ พ่อเฒ่านอน (พ่อเฒ่า=ทวด)
ส่วนแม่แก่ (ย่า หรือ ยาย หรือ ย่าทวด ยายทวด)
นอน ภาษาใต้ออกเสียงยาวเลยกลายเป็น หนอน

หมายเหตุ จากการสอบถาม ปแฏง บุญเรือน คชมาย์
(ปแฏง = ผู้รู้ หรือ ผู้ผ่านการบวชเรียนเป็นพระมาแล้ว)
อาจารย์สอนภาษาเขมร ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ สุรินทร์
และเคยสอนภาษาไทยให้แคมป์อพยพชาวเขมร
สมัยเขมรแดงแตกทัพ มาออกันหรือรออพยพไปประเทศที่สาม
ตั้งแคมป์อยู่ที่ใกล้ชายแดนไทย
บริเวณใกล้ ๆ เขาพระวิหารก็มีไม่น้อยเช่นกัน

ท่านสันนิษฐานว่า มาจากคำว่า สทึง
(อักษร ท ทางเขมรออกเสียงว่า ต สทิง แปลว่า แม่น้ำ/คลอง)
เปรี๊ยะ = พระ ดังนั้นแต่เดิมอาจจะอ่านว่า สะ ตึง เปรี๊ยะ
ก่อนจะกร่อนมาเป็น จะ ทิ้ง พระ ให้เข้ากับภาษาไทย
ท่านคาดว่า อาจจะมาจากการเจอพระพุทธรูปในแม่น้ำ
แล้วอัญเชิญพระขึ้นมาตั้งเป็นวัด
หรือเป็นท่าน้ำที่พระมาอาบน้ำกัน
หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปที่อื่น ๆ

แต่ผู้เขียนสันนิษฐานว่า
เดิมภาคใต้มีประเพณีชักพระ หรือแห่พระทางเรือ
มีร่องรอยที่วัดเจ้าแม่อยู่หัว (สทิงพระ)
หรือ แหลมโพธิ์ ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ
ที่มีประเพณีแห่เรือทางน้ำ/ทะเล
ตรงบริเวณวัดจะทิ้งพระแห่งนี้
น่าจะเป็นจุดสุดท้ายก่อนออกทะเล
หรือจุดเริ่มต้นออกทะเล
บริเวณวัดปัจจุบันอยู่ห่างไกลจากทะลและหาดทรายมาก
เพราะหาดทรายได้งอกทับถมจนไปอยู่ไกลจากจุดนี้
เหมือนเช่นร่องรอย วัดพระมหาธาตุไชยา และ
วัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช

หมายเหตุ หาดใหญ่มีพื้นที่ติดทะเล
คือส่วนหนึ่งของทะเลน้อย หรือส่วนหนึ่งของทะเลสาปสงขลา
ที่แหลมโพธิ์จุดนี้ จะมองเห็นเกาะยอ ด้านหลังที่ถนน/สะพานติณฯ ข้ามไป
แต่ชายหาดค่อนข้างเป็นดินโคลนเลน ไม่ใช่หาดทราย


เคยอ่านพบว่า ที่มีร่องรอยภาษาเขมร ในภาคใต้
น่าจะมาจาก ชาวอินเดีย รุ่นอารยธรรมแรก ๆ ของชมพูทวีป
ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับ กลุ่มอารยัน
(ตระกูลภาษาสันสกฤต ที่ใกล้เคียงกับภาษาละติน
ที่พวก กรีก/โรมัน เคยใช้กัน)
้กลุ่มอารยันเป็นต้นกำเนิดชนชั้นวรรณะในอินเดีย
ได้บุกรุกขับไล่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมกลุ่มนี้
หรือรบจนได้รับชัยชนะ แล้วจับมาเป็นข้าทาสบริวาร
หรือเหยียดหยามผู้แพ้ให้เป็น พวกจัณฑาล
กลุ่มนี้บางกลุ่มก็หลบหนีมาได้เพื่อมีเสรีภาพ
โดยมาตั้งรกรากละแวกแถวเอเซียอาคเนย์ก่อน
อาจมีบางส่วนหนีไปแถวอัฟริกา
บางส่วนก็ย้ายไปเรื่อย ๆ
ก่อนจะย้ายไปอยู่เขมรในภายหลัง
เพราะชาวบ้านเขมรเดิมมักจะกล่าวว่า
ขอม ตัวใหญ่ สูง ผิวคล้ำ
ส่วน เขมร ตัวเตี้ย เล็ก ผิวดำ

จึงมีปรากฎร่องรอยภาษา ขอม หรือ เขมร แล้วแต่จะเรียกกัน
ในแถวภาคใต้ของไทยและหลายจังหวัด

ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วย
เพราะบันทึกจากความทรงจำ
เอกสารสูญหายไปหลายส่วนจากอุทกภัยหลายครั้งหลายครา
ถ้ามีผู้รู้ก็โปรดช่วยแนะนำด้วย จักขอบคุณยิ่ง




เจดีย์น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับ
วัดพระบรมธาตุศรีนครศรีธรรมราช วัดพระบรมธาตุไชยา
แต่การบูรณะอาจจะเปลี่ยนแปลงรูปทรง





ภาพพระพุทธรูปรอบพระเจดีย์





งานปั้นค่อนข้างจะกระด้าง (ฝีมือช่างท้องถิ่น)



ภาพเจดีย์ในมุมสูง



ถึงสักทีที่ต้องมาไหว้ ทวดหนอน



ทางเข้าเพื่อนมัสการ ทวดหนอน



เดินเข้าไปเพื่อชม ทวดหนอน อย่างใกลชิด



พื้นที่จำกัดถ่ายเต็มรูปไม่ได้





ทวดหนอน ย่อส่วนเพื่อให้ชาวบ้านปิดทองแทน พ่อเฒ่านอน องค์จริง



งานฝีมือของช่างในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง (มีเพียงด้านเดียว)







งานไม้/โครงไม้รองรับหลังคาอาคาร





ด้านนอกอาคารที่ ทวดหนอน ได้นอนพักผ่อน
(จริง ๆ คือ ปางไสยาสน์ หรือ ปางปรินิพพาน)





งานปูนปั้นของอาคาร





ด้านนอกของวัดจะทิ้งพระ



มองเข้าไปข้างในวัด



กำแพงด้านข้างซ้ายมือของวัด (เมื่อหันหน้าเข้าหาวัดจะทิ้งพระ)
จะเห็นการก่ออิฐถือปูนแบบสมัยก่อน





ตำนานที่มาของ จะทิ้งพระ
จากเรื่อง ทองสูง ของผู้เขียน (นำมา reused)

ตามประวัติและตำนานพระมหาธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช
มีการสร้างพระธาตุเจดีย์ ประมาณ พ.ศ.850
เจ้าฟ้าหญิงเหมชาลา กับ เจ้าฟ้าชายนนทกุมาร
ได้ร่วมเดินทางจากชมพูทวีป
เืพื่อนำพระธาตุไปบรรจุที่พระมหาธาตุเจดีย์ (นครศรีธรรมราช)

เมื่อเดินทางมาถึงเมืองพาราณศรี
(เมืองสทิงปุระ สมัยก่อนสังกัดกับเมืองพัทลุง)
ได้แวะพักที่บริเวณ หาดมหาราช
ชายหาดตรงข้ามที่ว่าการอำเภอสทิงพระปัจจุบัน

เมื่อเสด็จขึ้นมาพักผ่อนเพื่อหาน้ำจืดดื่ม และสรงน้ำ
โดยได้มาพักผ่อน ณ บริเวณวัดปัจจุบันแห่งนี้
จึงวางพระธาตุไว้ ณ ที่บริเวณวัดแห่งนี้
เมื่อพักผ่อนเพียงพอจนหายจากเหน็ดเหนื่อย
ก็ทรงเดินทางกลับขึ้นเรือสำเภาต่อไป
เพื่อไปยังเมืองนครศรีธรรมราช
ทั้งสองพระองค์ก็หลงลืมพระธาตุไว้

ต่อมา เจ้าฟ้าชายนนทกุมาร
ระลึกขึ้นได้ก็ตกพระทัย
ถามเจ้าฟ้าหญิงเหมชาลาว่า
น้องจะทิ้งพระธาตุแล้วหรือ

บางตำนานว่า น้องหญิงถามพี่
แต่น่าจะใช่ เพราะผู้ชายมักจะหลงลืมมากกว่าผู้หญิง

คำนี้เลยกลายเป็น ชื่อสถานที่ วัด ,บ้าน, สืบมา
จนปัจจุบันว่า จะทิ้งพระ
และได้มีการสร้างเจดีย์เป็นอนุสรณ์สถานไว้ ณ ที่แห่งนี้

เจ้าฟ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าฟ้าชายทนทกุมาร
ได้กลับไปที่ชายหาดอีกครั้ง
เพื่อนำพระธาตุกลับขึ้นเรือเพื่ออัญเชิญ
พระบรมสารีริกธาตุไป บรรจุพระบรมธาตุเจดีย์
นครศรีธรรมราชประมาณ พ.ศ. 854

ส่วนตำนานของพระมหาธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
ได้รับเขี้ยวแก้วเบื้องซ้าย และทันตธาตุจากประเทศอินเดีย
ตามที่ เจ้าฟ้าหญิงเหมชาลา กับ เจ้าฟ้าชายทนทกุมาร
ทรงอัญเชิญมาเมื่อประมาณ พ.ศ.850
โดยได้ทรงก่อพระธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ไว้ที่หาดทรายแก้ว นครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ.854
ซึ่งสอดคล้องกับตำนานของนครศรีธรรมราช
แต่ทั้งนี้ชื่อเสียงเรียงนามแตกต่างกันบ้าง





 

Create Date : 02 มิถุนายน 2554
6 comments
Last Update : 3 สิงหาคม 2554 15:58:23 น.
Counter : 3122 Pageviews.

 

หน้าบันน่าสนใจมาก

ถ้าหากเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

แต่ไม่เคยเห็นแบบยืนน่ะค่ะ

 

โดย: tuk-tuk@korat 2 มิถุนายน 2554 15:42:13 น.  

 


ป้ายชื่อวัดขยะเพียบเลยนะคะเนี่ย
เทศบาลไปไหนหนอ
แต่พอเข้าไปในวัด
บรรยากศร่มรื่นขยะไม่มี

 

โดย: อุ้มสี 2 มิถุนายน 2554 19:46:53 น.  

 

ขอบคุณนะคะที่เอาวัดนี้มาเล่าสู่กันฟัง
เคยได้ยินชื่อวัดผ่านโทรทัศน์ยังสงสัยว่า
ทำไมถึงชื่อนี้ ตัววัดน่าสนใจมากค่ะ

 

โดย: ส้มแช่อิ่ม 2 มิถุนายน 2554 19:51:45 น.  

 

ภาพแรกสุดกับภาพท้ายสุด
ไปถ่ายตอนที่มีงานบุญเดือนสิบ
เพื่อมาประกอบการเขียน
ความเรียงเรื่อง ทองสูง
เลยรกรุงรังมากช่่วงนั้น
ส่วนภาพช่วงกลาง
ไปถ่ายวันธรรมดาครับ

 

โดย: ravio 2 มิถุนายน 2554 20:16:52 น.  

 

Thank you for sharing... I am going back to Songkhla soon. Hopefully, I could take my girls to visit the temple.

 

โดย: kittiya IP: 76.114.46.252 3 มิถุนายน 2554 5:59:54 น.  

 

เป็น blog เขมร และแปลภาษาเขมรได้ดีจริงๆครับ

 

โดย: ต้าโก่ว 12 กรกฎาคม 2554 9:57:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ravio
Location :
สงขลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา

เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง

ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้

ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน






Friends' blogs
[Add ravio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.