Group Blog
 
 
เมษายน 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
16 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
รวมสองมาตรฐานฉบับละเอียด





รวมมิตร 26 สองมาตรฐานฉบับละเอียด อ่านแล้วย้อนอดีตที่ลืมๆ ไปได้อีกครั้ง
« เมื่อ: เมษายน 09, 2010, 03:07:30 pm »

--------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณข้อมูลจากพันทิพ ราชดำเนิน

1. คดียุบพรรคไทยรักไทยโดยใช้กฎหมาย ย้อนหลัง
ว่าจ้าง พรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง
ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย
แต่พอพยานออกมา แฉว่าเทพเทือกจ้างมาให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย
กกต. ท่านกลับบอกว่า ตัดสินไปแล้ว แก้ไขผลแห่งคดีไม่ได้

2. คดียุบพรรคประชาธิปัตย์
ว่า จ้างพรรคเล็กไม่ให้สมัครรับเลือก ตั้ง
ทั้งที่พรรคตัวเองบอยคอตการเลือก ตั้งไปแล้ว
โจทก์มีหลักฐานเป็นวีดีโอเทประ หว่างเจราจาจ้างคนอยู่
ศาล ท่านไม่ยอมให้เปิดวิดีโอเทป
แล้วตัดสินว่าหลักฐานอ่อน ยกฟ้อง

3. คดียุบพรรคพลังประชาชน
ศาลท่านเชื่อพยานเพียงคนเดียวที่ อ้างว่ารับเงิน จากยงยุทธ ติยะไพรัช
ทั้งที่จำเลยแย้งว่าพยานปากนี้ มีความเกี่ยวพันกับ พรรคคู่แข่ง
โดยพยานมีหลักฐานเป็นวีดีโอเทป ที่บันทึกว่าไปพบคุณยงยุทธ
กรณี นี้ท่านยอมให้ใช้วีดีโอเทปเป็น หลักฐานได้ (หรือเปล่า)
แต่ท่านไม่ยอม เชื่อพยานอีกหลายปากที่ไปด้วยกันว่าไม่ได้รับเงิน

4. คดีกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แจกตั๋วหนังที่อุบลฯ
มีหลักฐานเป็นเทป บันทึกภาพด้วย
กกต.ท่านดึงเวลาไป 6-7 เดือน
แล้วหวยออกมาว่าผู้สมัคร ส.ส.ได้ใบแดง
กรรมการบริหารพรรคได้ใบขาว
พรรคประชาธิปัตย์รอดตัวอีก ตามเคย

5. คดีผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ถูก จับเงินซื้อเสียง 1.3 ล้านบาทที่เพชรบูรณ์
หวยเข้าทางพรรคประชาธิปัตย์อีก ตามเคย จับได้พร้อมของกลางเงินสดสด ได้แค่ใบเหลือง ต้องเลือกตั้งใหม่ สุดท้ายปชป. ก็แพ้เลือกตั้งชนิดคะแนนห่างกระจุย แต่ก้อนะ ศาลท่านปกป้องเต็มที่ ถ้าเป็นพรรคอื่นหลักฐานขนาดนี้ ใบแดง และโดนยุบพรรคแน่นอน

6. คดีนายตี๋ใช้เงิน 10,000.-บาท
จ้างรถขนคนไปฟังพรรคพลังประชา ชนหาเสียงที่ อีสาน
ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชน โดนใบแดงซะงั้น

7. ผู้สมัครพรรคพลังประชาชนถ่ายรูป คู่กับรูปถ่ายคุณทักษิณ
แจกซีดีคุณทักษิณ กกต.ท่านขู่จะแจกใบแดง

8. เนวินกอดกันกลมกับอภิสิทธิ์ จัดตั้งรัฐบาล ออกตามสื่อทุกฉบับ
กกต. ท่านบอก ไม่เป็นไร กฎหมายไม่ได้ห้ามไว้

9. คดีลุงหมักทำกับข้าวถูกปลด
แทนที่จะใช้ คำจำกัดความจากกฎหมายแรงงานที่มีอยู่แล้ว
ศาลท่านเลือกใช้พจนานุกรมตี ความคำว่า ลูกจ้าง คือผู้ที่รับเงินจากนายจ้าง

10. นายจรัญ ภักดีธนากุล ไปสอนหนังสือ รับเงินค่าจ้างจากมหาวิทยาลัยเอกชน
อ้างว่า มหาวิทยาลัยเอกชนเป็นสถานบันการ ศึกษาไม่ใช่บริษัทที่แสวงหา กำไร
ครั้งนี้ ไม่ใช่พจนานุกรมในการอ้างอิงคำ ว่าลูกจ้าง





11. นายกสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกพระราชบัญญัติความมั่นคง
ให้ ทหารออกมาป้องกันไม่ให้พันธมิตรฯ เข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ทหารทำหูทวน ลม เป็นเหตุให้พันธมิตรฯ เข้าปิดสนามบินสุวรรณภูมิสำเร็จ
จนประเทศชาติ เสียหายยับเยิน แต่ก็ยังไม่มีดำเนินการเอาผิดกับผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ได้

12. พอพวกเสื้อแดงประกาศจะออกชุมนุ มคราวใด
ทหารนักกอล์ฟขมีขมันบอกรัฐบาล อภิสิทธิ์
กระผมพร้อมเป็นผู้ช่วยเจ้าพนัก งาน
ว่าแล้วก็ลาก M16 มาเป็นเครื่องมือปราบม็อบ

13. คดีเงินบริจาคของ TPI 258 ล้านบาท
ประธาน กกต.ท่านก็ยื้อเหลือเกิน
ทั้งที่มีหลักฐานเป็นทั้งพยานบุคคล และเอกสาร
นี่ ก็มีข่าวแว่วๆ ว่าเอกสารสำคัญที่ส่ง กกต.หายไปอีกหรือเปล่า

14. คดีมาร์คหนีทหาร
ผบ.สส. กับ ผบ.ทบ. ทำไมไม่เห็นออกมาชี้แจงประชาชนเลย
ว่า ที่กล่าวหา ข้อเท็จจริงเป็นยังไง
งานในหน้าที่ตัวเองมี ดันไม่ทำ
แต่ ไปออกสื่อ บีบให้นายกฯ ที่มาตามระบอบลาออก

15. คดีที่ดินรัชดา
คุณ หญิงพจมานเข้าประมูลโดยถูกต้อง
ก่อนเข้าประมูลทำหนังสือถาม กองทุนฟื้นฟูฯ ว่าเข้าร่วมประมูลได้หรือไม่
กองทุนฯบอกไม่มีปัญหา
ประมูล เสร็จ คุณหญิงให้คุณทักษิณเสร็จยินยอมในฐานะสามี
เพื่อทำนิติกรรมรับโอน ที่ดิน (ทุกท่านที่แต่งงานก็น่าจะทราบ สามีภรรยาถ้าฝ่ายใดต้องทำนิติกรรมอีกฝ่ายต้องเซ็นยินยอมเพื่อเป็นการรับทราบ ตามกฎหมายบังคับไว้ ถึงจะทำนิติกรรมใดใดได้ ไม่ผิดหลักจริยธรรมตรงไหน ถูกต้องตามกฎหมายด้วยซ้ำ แถมราคาประมูลก็สูงที่สุดสูงก ว่าราคากลาง ถ้าคิดว่าผิดก้อย่าให้เข้าประมูลตั้งแต่ต้นสิ แต่นี่ บอกว่าถูกต้องให้เข้าประมูลได้)

คตส.เอาผิดเรื่องทุจริตไม่ได้
คตส.ฟ้องบอกคุณทักษิณทำผิด กฎหมาย ปปช. มาตรา 100
ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ ใดดำเนินกิจการดัง ต่อไปนี้
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสี ยในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของ รัฐที่
เจ้า หน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้า ที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของ รัฐซึ่งมี อำนาจ
กำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
หม่อมอุ๋ยแจง คตส.ซื้อขายที่ดินรัชดาทำถูกขั้นตอน
สรุป ตัดสินคดีออกมา ผู้เข้าประมูลไม่ผิด, ผู้ร่วมเข้าประมูลไม่ผิด,หน่วยงานผู้ให้ประมูลไม่ผิด
หวยมาออกตรงธง การเซ็นชื่อให้ภรรยาไปรับโอนที่ดินผิดจริยธรรม
ติดคุกไป 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ไม่มีการพิจารณาถึงคุณงามความดี ที่เคยทำให้ประเทศมา
ราว กับว่าเซ็นชื้อให้ภรรยาเป็นความ ผิดร้ายแรงยิ่งกว่าสั่งฆ่าคน

16. คดีที่ดินเขายายเที่ยง
มีประชาชนไปฟ้องขับไล่ไว้หลายปี แล้ว
หน่วยงาน ที่รับผิดชอบไม่รับเรื่อง
บอกว่าคนที่ไปฟ้องไม่ใช่ผู้เสีย หาย
หน่วย งานที่ดูแลป่าสงวนเอาหูไปนาเอา ตาไปไล่
ท่านสุรยุทธ บอกซื้อต่อคนอื่นมาไม่รู้ว่าเป็นป่าสงวน
แต่ก็ทำมึนไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมคืนที่ดินให้เป็นสมบัติของชาติตามเดิม
อัยการ ออกมารับรอง คุณสุรยุทธไม่มีเจตนาย่อมไม่มีความผิด
จนกระทั่ง แกนนำ นปช. ระดมพลไปถามหาความถูกต้อง
บอกว่าจะไปถวายรายงานที่ รพ.ศิริราช
หน่วย งานที่รับผิดชอบจึงรีบเร่งดำเนิ นการ
สั่งให้คืนที่ภายใน 30 วัน ถึงได้ที่ดินคืนมา

17. ชาวบ้านเข้าชื่อถวายฎีกาให้นายก ทักษิณ 3.5 ล้านรายชื่อ
หน้าที่รัฐบาลคือถวายความเห็นประกอบ ฎีกา
รัฐบาลปชป.กลับ ทะลึ่งเอารายชื่อมานั่งไล่ตรวจสอบ
ตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อ หรือ เอารายชื่อไปทำ Black List ไม่ทราบ
นักวิชาการและนักกฎหมายใหญ่ทั้ง หลาย ออกมาโวยวาย
ว่าผิดขั้นตอน ต้องกลับมารับโทษก่อนจึงจะมีสิทธิ์ถวายฏีกา
บ้าง ก็บอกว่าต้องเป็นท่านทักษิณหรือ ลูกเมียและญาติพี่น้องจึงจะมี สิทธิ์ถวาย

18. สนธิ ลิ้มทองกุล โดนคดีหมิ่น
ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิด
ตำรวจ ออกหมายเรียกให้ไปพบ
สนธิชิงถวายฎีกา อัยการแถลงทันทีต้องรอผลแห่งฎีกาก่อน
จึงจะดำเนินการต่อได้
นักกฎหมาย นักวิชาการที่เคยคัดค้านกรณีคุณ ทักษิณเงียบกริบ
ไม่พูดอะไรซักคำ

19.พันธมิตรชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา เมื่อ 7 ตุลาคม 2551
ไม่ ยอมให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ตำรวจได้รับคำสั่งให้สลายการชุมนุม
เพื่อ ให้รัฐบาลสมชายเข้าแถลงนโยบายต่อ รัฐสภา
ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา สลายสำเร็จ
สาร วัตรจ๊าบทำอีท่าไหนไม่รู้ เกิดระเบิดตายในรถจิ๊บ
พันธมิตรรวบรวมกำลังไป บุก บชน. ตอนเย็น
ถูกตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายอีกที
น้องโบว์เสียชีวิต โดยยังเป็นปริศนาว่าเสียชีวิตเพราะสาเหตุอะไรกันแน่
ทั้งสองคนได้รับการ จัดงานศพอย่างเร่งรีบ
โดยไม่มีใครสนใจจะหาคำตอบทางวิทยา ศาสตร์
ว่าโดน แรงระเบิดจากแก๊สน้ำตา หรือระเบิดที่หอบหิ้วกันไปเอง
ผลต่อมา น้องโบว์และสารวัตรจ๊าบ ได้เป็นวีรสตรีและวีรบุรุษ
พันธมิตรที่บาดเจ็บ ทุกคนได้รับเงินชดเชย
นายกสมชายและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดน ปปช.เล่นงาน
ตำรวจ ชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่
และได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ไม่มีใครมาเหลียวแล

20. นปช. ชุมนุมไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ชนเมื่อ สงกรานต์ 52
ทหารออกมาเต็มพิกัด พร้อมอาวุธสงครามครบมือ
การชุมนุมเกิดเหตุรุนแรง ทหารใช้อาวุธเข้าปราบปราม
อ้างว่าใช้กระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า กระสุนแบ้งค์ยิงใส่คน
แต่ผู้เข้าชุมนุมได้รับบาดเจ็บ จากกระสุนปืนหลายคน
ผล ต่อมา ทหารได้รับคำแซ่ซ้องสรรเสริญ
อนาคตคงได้ป็นนายพลหลายคน
หนึ่งใน นั้นต้องได้เป็น ผบ.ทบ.แน่นอน
ส่วนผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ได้รับ บาดเจ็บ
โรง พยาบาลของรัฐหลายแห่งไม่ยินดี ที่จะทำการรักษา
ต้องรักษาตัวตามมีตามเกิด
เงิน ชดเชยก็คงไม่มีใครเหลียวแล หรือหากพอมีบ้างก็น้อยนิด
ทั้งที่ใช้สิทธิ์ ชุมนุมตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัน

21. คดี ปรส. ที่ DSI เสรุปสำนวนส่งให้ ปปช.ดำเนินการมาหลายปีแล้ว
แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ไม่แน่ใจว่าจะรอให้หมดอายุความหรือไม่
ถ้าคดีนี้ดำเนินการต่อ ตามมาตรฐานที่คุณทักษิณถูกกระทำอยู่นี่
เราอาจจะได้มีโอกาสเห็น นายชวน,นายธารินทร์,นายอมเรศ,นายอานันท์ เหล่าคนดี
ทั้งหลายแห่งประเทศ สารขัณฑ์แลนด์ติดคุกก็เป็นได้

22. คดีกล้ายางที่รอดได้หวุดหวิด การที่เนวิน ชิดชอบ เปลี่ยนข้าง
และความเกี่ยวพันกับการเข้าไป คุยกับ ระดับบิ๊กในค่ายทหารก่อนหน้านั้น
เบื้องหน้าเบื้องหลัง แกนนำรู้ดีอยู่แล้ว

23.คดีสนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ ที่ จ.จันทบุรี
ของ ธนาคารกรุงเทพ ที่มีประธานที่ปรึกษา ชื่อพลเอกเปรม
คนเสื้อแดงไปเปิดโปง ว่าบุกรุกป่าสงวน
กรมป่าไม้ดำเนินการฟ้องร้องไป หลายปีแล้ว
แต่พอไปเจอ ตอเลยถอยตั้งหลัก
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่ง สะสาง

24.คดี ประวัติศาสตร์ สปก.4-01

สมัยนายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็น รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
แจกที่ สปก.4-01 ให้กับทศพร เทพบุตร สามีของ อัญชลี เทพบุตร ขณะเป็นเลขานุการของตนเอง
ไม่ เพียงแต่ ทศพร เทพบุตร คนเดียวที่ได้รับที่ดินผืนงามของเกาะภูเก็ต ไปกว่า 90 ไร่
ยังมี “นายหัว” อีกหลายคนของเกาะภูเก็ต ที่เป็นนายทุนของพรรคประชาธิปัตย์
และสนิทสนมชิดเชื้อกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พรรคประชาธิปัตย์
ได้รับเอกสารสิทธิสปก.4-01 เหมือนกับทศพรเทพบุตร ไปด้วย
ทั้งนายทศพร เทพบุตร และคนเหล่านี้ ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเอกสารสิทธิที่ดินสปก.4-01
ซึ่งเป็นที่ดินของหลวง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะยกให้แก่เกษตรกรคนยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน
ต่อ มาศาลฎีกาพิพากษาแล้วว่าทำผิด และสั่งให้ ทศพร เทพบุตร
ออกจากที่ดินหลวง ที่ยึดครองเป็นสมบัติส่วนตัวนานถึง 12 ปี
ในกรณีหนึ่ง ศาลฎีกาพิพากษาว่า ทศพร เทพบุตร ไม่ใช่ผู้มีสิทธิได้รับสปก.4-01 และต้องคืนที่ดินให้หลวง
แต่ พรรคประชาธิปัตย์ กลับบอกว่าทศพร ไม่ผิด สุเทพ ไม่ผิด ที่ผิดคือ กฎหมายที่เขียนไว้ไม่รองรับถึง นายทศพร
ผลที่ตามมาหลังคดีนี้คือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

25.เรื่อง ที่มีคนไปร้องเรียนที่ ปปช.กรณีของ บิ๊กชื่อดัง ใน สตง. ดังนี้

1.การ บริหารงานบุคคลที่ไร้คุณธรรม จริยธรรม และเล่นพรรคเล่นพวก ปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ สตง.
ฟ้องผู้บริหารระดับสูงของ สตง.ต่อศาลปกครองในการโยกย้ายแต่งตั้งถึง 4 คดี
ในจำนวนนี้มีหนึ่งคดีที่ ศาลปกครองกลางพิพากษาว่า
คำสั่งแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณา
นอกจากนั้นมีการกล่าวว่า แต่งตั้งพรรคพวกของตัวเอง 13 คน ข้ามหัวคนอื่นให้เป็นเจ้าหน้าที่ ระดับ 9

2.ใช้ อำนาจหน้าที่และตำแหน่งข่มขู่เรียก เงินจากหน่วยรับตรวจโดยอ้าง ว่า ตรวจพบความผิด
โดยมีการปล่อยข่าวทางสื่อ จากนั้นจะส่งมือไม้ของตนเองไปรีดเงินแลกกับการไม่รายงานผลการตรวจสอบ
ถ้า ใครยอมเรื่องก็จะเงียบหายไป

3.ซื้อที่ดิน 3 แปลงๆละ 1 ไร่ โดยทำสัญญาซื้อขายเพียงไร่ละ 2 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม 2549
ในย่าน ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ในชื่อของน้องสาวและลูกชาย (แต่ทำสัญญากันที่สำนักงาน สตง.)
ทั้งๆ ที่แค่ราคาประเมินก็ไม่ต่ำกว่า ไร่ละ 8 ล้านบาท ในประเด็นนี้ ยังมีการตั้งข้อกล่าวหาว่า น่าจะเป็นการฟอกเงิน
โดยนำเงินที่ได้มาโดยมิ ชอบมาซื้อที่ดินและสร้างบ้านราคาแพง
แต่ทำเป็นซื้อที่ดินมาราคาถูกๆ ผู้คนจะได้ไม่สงสัยว่า เอาเงินมากมายมาจากไหน นอกจากนั้นยังมีการหาว่า
มี การใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับก รมธนารักษ์ให้ยกที่ดินบริเวณ ใกล้เคียงเพื่อ สร้างสำนักงานใหญ่ สตง.ใหม่อีกด้วย

4.มีเงินจำนวน 46 ล้านบาท ไหลเข้าบัญชีญาติสนิท 46 ล้านบาท ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2549
และมีการ ถอนออกในเดือนธันวาคม 2549 ถึง 26 ล้านบาท โดยกล่าวหาว่า
ส่วนหนึ่งนำไป ซื้อที่ดินและสร้างบ้านราคาแพงข้างต้น
ทั้งนี้ เงินก้อนนี้น่าจะเป็นเงินที่นัก การเมืองใหญ่รายหนึ่งยอมจ่าย ให้เพื่อแลกกับ ถอนข้อกล่าวหา
โครงการหนึ่งในสนามบินสุวรรณภูมิ

5.การจัด จ้างบริษัทฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ สตง.ในลักษณะผูกขาดและผลประโยชน์ ทับซ้อน
เพราะ บริษัทดังกล่าวเช่าที่ทำการ ซึ่งเป็นของคู่สมรมของตนเอง

6.บีบบังคับ ให้บริษัทการบินไทยออกตั๋วและค่าใช้จ่ายให้กับลูกชายเดินทางไป ญี่ปุ่น รัสเซีย
และเดนมาร์กโดยอ้างว่าติดตามคณะ ไปตรวจสอบสำนักงานการบินไทยใน ต่างประเทศ

7.การนำรถส่วนกลางไปใช้ ทั้งๆ ที่มีรถประจำตำแหน่งอยู่แล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง
ในกรณี ดังกล่าวนี้สตง.เคยทำหนังสือทัก ท้วงหน่วยงานอื่นมิให้กระทำใน ลักษณะ ดังกล่าว
เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่มิ ชอบ แต่ผู้บริหารระดับสูงรายนี้กลับ กระทำเสียเอง
(จาก //www.onopen.com/prasonglert/09-07-18/4909)

26.เรื่อง จีที200 ที่กำลังอื้อฉาวในเวลานี้ซึ่งมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน ว่า

1. เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ตามที่มีผลทดสอบออกมาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. มีการทุจริตชัดแจ้ง เพราะราคาที่จัดซื้อโดยหน่วยงานต่างๆ แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว






Create Date : 16 เมษายน 2553
Last Update : 16 เมษายน 2553 22:47:33 น. 29 comments
Counter : 482 Pageviews.

 
ความทรงจำสีเลือด 10 เมษามหาโหด

ทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ภาพในวันที่ 10 เมษามหาโหด ยังคงคอยหลอกหลอนผม เสียงปืน เสียงระเบิด ยังคงกึกก้อง
อยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ภาพนักสู้มือปล่าว ที่ถือตีนตบ หัวใจตบ เข้าห้ำหั่นกับทหาร ที่มีอาวุธสงครามเต็มรูปแบบ
หัวจิตหัวใจ ของพี่น้องร่วมรบ ที่ดาหน้าฝ่าดงกระสุนเข้าไป ศพแล้วศพเล่า บาดเจ็บแขนขาขาด คนแล้วคนเล่า ...
เสียงกู่ร้องว่า อย่าฆ่าพวกเรา อย่าฆ่าพวกเรา ของพี่น้องเสื้อแดงไร้ผล "ยิงมันเข้าไป ยิงมัน อย่าถอยๆ"คุณพระ..
ผมไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะได้ยิน จากเหล่าหทาร ที่ถือว่าเป็นหทารของประชาชน แม้ในส่วนลึกแล้ว ผมเข้าใจดีว่า
มันเป็นความอดสูอยู่ไม่ใช่น้อยที่ทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้น ต้องมาทำอะไรที่ไม่อยากทำ เพื่อสนองอำนาจของเจ้านาย
คนที่ชื่อว่า "อภิสิทธิ์" และคณะผู้อยู่เบื้องหลังปมสังหารโหดครั้งนี้

การต่อสู้ครั้งนี้ ตัวผมอาจโชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ส่วนลึกของจิตใจผมนั้น มันเจ็บและสุดจะหาคำใดมาเอ่ยได้
หยดน้ำตา หยดเลือด หยอดเหงื่อที่ ที่นองบนถนนสายประชาธิไตย ของเหล่าวีรชน ที่ร่วมต่อสู้กันมา จะไม่สูญเปล่า..
เพราะอย่างน้อย มันก็จะคอยตามหลอกหลอน พวกบ้าอำนาจไปชั่วกาล แม้ว่าร่างกายของพวกมันจะดับสูญ ประวัติศาตร์
จะจาลึกไปตลอด เพื่อกระตุ้นให้ลูกหลานรุ่นหลัง ได้รับรู้ ...

คนบางพวก ที่ฝักใฝ่พวกบ้าอำนาจ อาจจะมองว่า พวกเราโง่เขลา ที่เอาชีวิตไปเสี่ยงกับคำว่า ประชาธิไตย ผมไม่ได้ต่อว่า
คนเหล่านี้หลอกนะ ที่เขาว่าเราโง่ แต่ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า ความโง่ของพวกเราคงไม่สูญเปล่า อย่างน้อย ความโง่ของพวกเรา
ก็อาจจะทำให้พวกเขาเหล่านั้น ได้มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น หลังจากเราได้รับชัยชนะ ผมภาวนาให้เป็นเช่นนั้น ผมขออุทิศ ความโง่
ของพวกเรา เพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลานสืบไป...

จากใจจริง


โดย: Sweet Little Beezz วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:0:40:20 น.  

 

ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ไปร่วมมั่วสุมชุมนุมทางความคิดทุกวัน

ช่วงเช้าถึงบ่าย เขาอยู่ที่ตึกบีบีดี บิวดิ้ง ย่านพระราม 4 เพื่อประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเพื่อไทย

กลางวัน บางวัน เขาไปออกกำลังกายในดงผู้ดี ที่สปอร์ตคลับหรูหรา ปะปน ชนชั้นสูง

ช่วงค่ำ บางคืน "ปลอดประสพ" ไปปรากฏตัวหลังเวที "โค่นอำมาตย์-ยุบสภา" เป็นกำลังใจให้กลุ่ม "เสื้อแดง-นปช."

เมื่อเสื้อแดงบุกปิดราชประสงค์ เขาทำหน้าที่ "เจ้าที่ดิน" รายใหญ่ เดินสำรวจกำลังซื้อพวกกลุ่มเศรษฐีและชาวไพร่ย่านประตูน้ำ

เขายอมรับเป็นอำมาตย์ตัวพ่อในพรรคเสื้อแดง

เขาเกรงว่าบางคำ-บางประโยคของเขาอาจทำให้พวก "ผู้ดี" หมั่นไส้

บรรทัดจากนี้ไป ออกจากใจ "ปลอดประสพ" ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย

- ในฐานะเจ้าของที่ดินรายใหญ่ย่าน ราชประสงค์
ประเมินผลกระทบเนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงอย่างไรบ้าง

คืองี้นะ...ถ้าตอบตามที่คุณถาม ผมก็ต้องตอบว่ามีความเสียหาย
แต่มีสิ่งที่ต้องอธิบาย เพราะคนที่มาชุมนุม เขาคง ไม่อยากมา ถ้าไม่อัดอั้นตันใจ หรือไม่มี หลักการ
แต่เหตุที่เขามา
เพราะมีความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของประเทศชาติ เขาควรได้รับสิทธิ์ที่เขาไม่ได้รับ เขาอยากจะมีโอกาสทำให้ลูกหลานเขามีความเจริญเติบโตขึ้นเข้มแข็ง เขามาก็ลำบากอย่างที่คุณเห็น
คุณต้องคำนึงว่า ผู้ที่เขามาเขาเสียหายแค่ไหน
ถ้าไปสัมภาษณ์จะเห็นได้ว่า บางคนปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ปิดร้านขายของ ไม่ขับรถแท็กซี่ ไม่ขับรถมอเตอร์ไซค์ นั่นคือความเสียหายของผู้มาชุมนุม แต่เขามองความเสียหายของเขานั้นเป็นความเสียสละ

การประท้วงทางการเมืองที่ไหนก็ตามในโลก
เขามาแสดงออก เท่า ๆ กับมากดดันให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกร้อง สิ่งที่เขากดดันมันมีหลายทาง เช่น กดดันให้เกิดความไม่สะดวกให้ฉุกคิด กดดันเพื่อให้ต้องมาปวดหัวกับเขา เพื่อให้รับรู้ว่ามีคนลำบาก หรือกดดันให้เห็นว่ายังมีคนอย่างนี้อยู่นะ เพราะฉะนั้น การที่มาแล้วเกิดความเสียหาย ก็ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นลักษณะธรรมชาติของการประท้วงทางการเมือง ซึ่งทุกคนต้องยอมรับ

การชุมนุมที่ราชประสงค์ในวันต้น ๆ ทุกคนก็ตกใจ
เพราะมีคนมาชุมนุมเป็นหมื่นและไม่รู้จักมักจี่ ห้างก็ปิดเพื่อความปลอดภัย ก็ต้องเสียหายแหง ๆ
แต่เมื่อเขาตั้งหลักได้ และเขารู้ว่าผู้มาคือใคร มีพฤติกรรมยังไง ความเสียหายมันก็จะชะลอลง
อย่างวันนี้ ร้านส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดเปิด ก่อนหน้านี้วันสองวัน เปิดเป็นบางร้าน เพื่อทดลอง เช่น
บิ๊กซี เปิดวันหนึ่ง แล้วประชุมบอร์ด แล้วถึงเปิดต่อ และเซ็นทรัลเวิลด์ตัดสินใจเปิด
และเท่าที่ผมรู้ ทุกบริษัท ก่อนที่เขาจะเปิด เขาพยายามพูดคุยกับฝ่ายแกนนำ เพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจกันนะ บางครั้งผมได้ยินว่า หลังจากรับปากกันแล้วมีคำถามเล่นๆ ว่า ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น คุณรับผิดชอบนะ ใครจะเป็นคนจ่ายสตางค์ อะไรอย่างงี้ แต่จนกระทั่งเขามั่นใจ แล้วเขาก็เปิดเต็มที่

เมื่อเปิดเต็มที่แล้ว ความเสียหายก็บรรเทาไปเยอะ แต่ก็ยังมีความเสียหายอยู่ คือ
ผู้ไปซื้ออาจจะไม่ convenience ไม่สะดวกใช่ไหม ไม่รู้จะเอารถไปจอดที่ไหน อะไร ยังไง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าจำไม่ผิด ในสมัยก่อน คุณจะได้ยินคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) ขึ้นไปพูด (บนเวที) มีคนไปบ่นว่าปิดโน่น ปิดนี่ ปิดนั่น มีความเสียหาย คุณสนธิบอกว่า คนกรุงเทพฯต้องยอมรับว่ามีความเดือดร้อน
แต่ต้องยอมเดือดร้อน เพื่อที่จะรักษาราชบัลลังก์ เพราะภารกิจของคุณสนธินั้นยิ่งใหญ่ เป็นภารกิจในการรักษาราชบัลลังก์ นั่นคือสิ่งที่คุณสนธิออกมาพูด แล้วคนเชื่อ แล้วไม่ออกมาโต้แย้งอะไรมากนัก เพราะคนไทยทุกคนก็เคารพศรัทธาในราชบัลลังก์ ทั้ง ๆ ที่คุณสนธิเองก็ไม่ใช่ผู้จงรักภักดีอะไร วันเวลาก็พิสูจน์

มาถึงวันนี้ ทางเสื้อแดงก็อธิบายอย่างนี้เหมือนกันว่า ขอโทษด้วยนะ มันคงเสียหาย
แต่ขอให้เห็นใจเถอะ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงทำให้สังคมประเทศชาติดีขึ้น ก็ต้องเสียสละ ยอมเสีย
เพราะฉะนั้นอย่าโกรธเลย นั่นคือคำอธิบายของคนเสื้อแดงในขณะนี้

ทีนี้กลับมาที่ตัวผม ให้มันใกล้ตัวนิดนึง ไม่ใช่ว่ามีปากก็พูดไปเรื่อย ๆ บังเอิญผมก็มีที่ดินอยู่แถว ๆ นั้น แต่อยู่ปลายออกไปหน่อยนึง
แต่ก็ไม่ใช่เล็กเลย เนื่องจาก เป้าหมายของที่ของผม เขาไม่ได้เล็งไปที่คนระดับสูง ไม่ใช่ 5 ดาว 7 ดาว
เพราะฉะนั้น ไม่เดือดร้อน คนเสื้อแดงก็ไป แล้วก็เป็น คนที่เราเคยชิน เห็นหน้าอยู่
เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า เราจึงไม่เสียหาย กลับได้ลูกค้าเพิ่ม
แต่บังเอิญ แถว ราชประสงค์เนี่ย เป็น 5 ดาว 7 ดาว
ซึ่งคนพวกนั้นก็ค่อนข้างระมัดระวังตัวอยู่แล้ว รถก็ราคาแพง แต่งตัวก็มีเครื่องแหวน เงินทองเยอะแยะ เดินไกล ๆ ก็ไม่ได้ เขาเรียกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน แล้วก็ ไม่อยากโดนแดด ถือร่มก็แล้ว ทาหน้าก็แล้ว ก็เลยไม่ค่อยจะไป
เพราะฉะนั้น ความเสียหายย่อมมีเป็นธรรมดา ณ ที่ตรงนี้นะครับ

- การปิดสี่แยกราชประสงค์ ถ้าเทียบกับปิดสนามบิน ต่างกันอย่างไร

โอ้ย เรื่องปิดสนามบิน มันไม่ใช่แค่ความเสียหายตรงนี้นะครับ มันเป็น reputation เป็นหน้าตาของประเทศ
มีกฎหมายเฉพาะ กฎหมายเกี่ยวกับ terrorist ผู้ก่อการร้าย แล้วปิดสนามบินดอนเมือง
และสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินนานาชาติ เมื่อเราประกาศเป็นสนามบินนานาชาติ เท่ากับประเทศไทยยอมบอกว่าส่วนหนึ่งไม่ใช่ของประเทศไทย
เพราะมีเครื่องบินส่วนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับประเทศไทยเลย เขาบินมาเติมน้ำมัน บินมาเปลี่ยน transit แล้ววันหนึ่งประเทศไทยบอกว่า ไม่ใช่นานาชาติ เป็นของชาติฉัน
อย่างงี้มันไม่ได้โดยเด็ดขาด มันจึงได้เกิดความ เสียหายมากกว่านี้

แล้วอีกอย่าง ถ้าพลาดพลั้ง ตายนะ เครื่องบินตก ไม่มีเจ็บขานะ ไม่มีเมื่อยนะ ตายลูกเดียวนะ มันถึงได้เป็นความร้ายแรงอย่างยิ่ง ในขณะที่สี่แยกราชประสงค์ มันเป็นเรื่องแค่ความไม่สะดวก แค่ไม่สะดวกกับขายของได้น้อย

- ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการเสียหาย แต่ผู้ชุมนุมก็มีต้นทุนที่เสียไป

ครับ...ผมก็อยากให้มองอย่างงั้นนะ มันเป็น cost ถ้าเราจะพัฒนาประชาธิปไตย
ถ้ามองอย่างงั้นได้ มันก็จะดีนะ จะทำให้เกิดความสบายใจ

- เป็นต้นทุนที่ทุกฝ่ายต้องจ่ายกับเหตุการณ์ตรงนี้

ต้องจ่าย...คือยอมรับไหมล่ะว่า มีการ ปฏิวัติ แล้วหลังปฏิวัติ ประชาชนทะเลาะกัน ยอมรับไหมว่า ประชาธิปไตยของเรามันครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยอมรับไหมล่ะครับว่า
สังคมไทยจริง ๆ ยังคงมีชั้นวรรณะอะไรอยู่พอสมควรนะ ถ้ายอมรับตรงนี้
ต้องถามว่า อยากเปลี่ยนแปลงไหมล่ะ ถ้าอยากเปลี่ยนแปลง อันนี้ก็เป็น process เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อยใช่ไหม ถ้าใช่ ก็ต้องแปลว่า ทุกคนได้ประโยชน์เหมือนกัน

- พูดอย่างงี้ได้ไหมว่า cost ของผู้ชุมนุมราคาถูกกว่า

ก็ได้ คือถ้าจะมองในแง่ของเงินนะครับ ตัวเงินนะครับ อย่าลืมว่า
วันหนึ่งชาวบ้านได้เงิน 100 บาท เขาก็พอใจแล้วนะ เดือนหนึ่งเท่ากับ 3,000 บาท
แต่คนที่มาซื้อนาฬิกานะครับ

อย่างที่ผมใส่เรือนนี้ 3-4 แสนนะ ก็ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ผม พร้อมทั้งความขยันของผม ฉะนั้น ถ้านาฬิกาเรือนนี้ของผมเสียไป เป็นเงิน 3 แสนนะ
แต่สำหรับคนที่เขามาในม็อบ ถ้าเกิดไปพลาดตกอะไร หรือมีดบาดปุ๊บ แล้วนิ้วหัวแม่โป้งเขาขาดไป
แล้วจะว่ายังไงล่ะครับ หัวแม่โป้งมนุษย์คนหนึ่งกับนาฬิกาเรือนนี้เรือนละ 3 แสน มันเทียบไม่ได้นะครับ
ถ้าเรายอมรับว่าคนเราเท่ากัน เราก็ต้องบอกว่าหัวแม่โป้งมันสำคัญกว่านาฬิกา

ผมยกตัวอย่างนะ
ผมเป็นคนช่างคิด บ้านผมก็มีคนใช้เป็นธรรมดา วันหนึ่งคนใช้ก็ลงน้ำไปเหยียบกระจก พอขึ้นมาก็มีเลือดออก
ผมก็บอกว่า นี่มาดู ไม่ต้องทำแล้ว ไปใส่ยา แต่คนใช้ของผม เขาบอกไม่เป็นไรหรอกครับ แล้วเขาไปหยิบรองเท้าแตะมาทุบปั๊ว ๆ ๆ ๆ แล้วกระโดดลงไป
ผมก็มานั่งนึกว่า เอ๊ะ ทำไมเขาคิดอย่างงั้นล่ะ นี่ถ้าเป็นผมนะ โดนบาดอย่างงั้น
ผมต้องขึ้นมาทำแผล ไปโรงพยาบาล ไปฉีดยาป้องกันบาดทะยัก เห็นไหมว่า ค่าของคน
แม้แต่ตัวเขาเป็นคนคิด ยังมีความแตกต่างกัน

ฉะนั้น วันนี้เราจะไปบอกว่า ความ เสียหาย หรือการลงทุนของผู้ที่มา มันมีมูลค่าแค่วันหนึ่ง
ถ้าจะประเมินราคาแค่หมื่นหนึ่ง หรือแสนหนึ่ง เทียบกับความเสียหายล้าน-สองล้าน เป็นความแตกต่าง ผมว่าไม่ใช่หรอก

เอาไหมล่ะ เศรษฐีเนี่ยนะครับ ลองไปต่างจังหวัดบ้าง ไปกินนอนแบบนี้ 5 วัน 7 วัน คุณจะทุกข์ใจลำบากใจแค่ไหน ไอ้มูลค่าอย่างนั้นไหวไหม ผมถามหน่อยซิ ฉะนั้น โปรดเห็นใจความเสียสละของคนยากคนจนบ้างเถอะ ยิ่งไปพูดไปตีราคาอย่างงั้นทุกวันนะ ดีนะที่พวกเขาไม่ค่อยอ่านหนังสือพิมพ์ ถ้าเขาอ่าน เขาคงจะช้ำใจพอควร ที่มาตีราคาอะไรกับเขา เห็นเขาต่ำขนาดนั้นเลยเชียวเหรอ ทั้ง ๆ ที่เขารู้สึกว่าเขาทำถูกต้องนะ เขาเสียสละ

- การชุมนุม ตีราคาเป็นเงินไม่ได้

ไม่ได้หรอกครับ มันเป็นเรื่อง moral เรื่อง determination ความตั้งใจอย่างแรงกล้า ครั้งนี้
เขามีส่วนร่วมในความเป็นชน ในชาติ มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของชาติมาก เขาเห็นว่านี่เป็นโอกาส

- ในสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งมีการประกาศกฎหมายแบบนี้ออกมา ขณะที่ผู้ชุมนุมก็อยู่แยกราชประสงค์ และถ้ามีการใช้กำลังสลาย

เขาก็ยอมตาย เท่าที่ผมได้ยิน
เพราะเขามาก็ไม่มีใครเห็นความสำคัญของเขา คิดว่าเขาเป็นผักเป็นปลา ฉะนั้น จะฆ่า จะแกงก็ไม่เป็นไร ดูเหมือนเขาจะไม่กลัวนะ ผมเห็น พอบอกทหารมา เขาก็เฮ พอถามว่ากลัวไหม เขาบอกว่าไม่กลัว
ผมก็เชื่อว่าเขาพูดจริงนะ ก็ไม่เป็นไร เมื่อไม่เห็นค่าเขา จะฆ่าเขา ก็ฆ่าไปเถอะ ผีก็จะมาหลอกคุณตลอดไป แล้วคุณก็จะเป็นคนที่มือเปื้อนเลือดตลอดไป
แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย เราไม่ยอมหรอก เราจะสู้กับพวกคุณ ตัวผมและครอบครัวผมก็ไม่ยอม ผมจะสู้กับคุณ

- การขับเคลื่อนทางการเมืองตอนนี้ พรรคเพื่อไทยแทบจะแยกไม่ออกจาก นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ)

แยกออกครับ ฝาแฝดยังแยกออกเลย ทำไมจะแยกไม่ออกครับ คือเราแชร์อะไรที่ตรงกันหลายอย่างมาก และก็เกี่ยวข้องกันทั้งทางตรงและทางอ้อม ก็ไม่เห็นจะประหลาดอะไร

- การต่อสู้ของ นปช.นอกสภา ก็เข้าใจได้ แต่ ส.ส.เพื่อไทย ในฐานะสมาชิกองค์กรพรรคการเมือง

ก็เขาเป็นการเมืองภาคประชาชน เป็น street politics
แต่เราเป็น organization เป็น institution เป็นสถาบันทางการเมือง
แต่เราแชร์ความเห็นที่ตรงกันหลายเรื่อง ผมก็พูดไปแล้ว พรรคนี้ทำทีทำท่าจะเป็นตัวแทนของ คนชั้นล่างนะ เพราะเราเชื่อในมุมมองทางเศรษฐกิจ ในมิติทางเศรษฐกิจ ว่าคนชั้นล่างเป็น majority ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งมีพื้นฐานทางเกษตรกรรมมาช้านาน แม้ขณะนี้จะเปลี่ยนไป คนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้รับการ ดูแลแล้วเนี่ย มันแฟร์กับเขาไหม ข้อต่อมา คือคนส่วนใหญ่ของประเทศ แม้จะมีผลผลิตจำนวนน้อย แต่เมื่อมารวมกันเนี่ย sum up แล้วเป็นผลผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศชาติ เราเป็นสถาบันทางการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมือง มีงานในสภา เป็นหลัก บางครั้งก็เป็นรัฐบาล บางครั้งก็เป็นฝ่ายค้าน

- ต้องมีทั้งภาระในสภาผู้แทนราษฎร กับภาระร่วมกันสู้บนท้องถนนกับ นปช.

คือถ้าจะถามเกี่ยวกับมติการอภิปราย ไม่ไว้วางใจ คือพรรคเพื่อไทยเป็นเพื่อนกันกับ นปช.
เรามีความเห็นตรงกันหลายอย่าง เราเป็นเพื่อนตายต่อกัน ขณะนี้มันเป็นวาระของ นปช. ซึ่งเขาต้องการยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน ก็ต้องปล่อยเขาให้ไปถึงที่สุด เราเอง แม้ว่าอยากทำหน้าที่ของเราในรัฐสภา
เราก็ต้องเคารพเขา เพราะเราก็ยังมีเวลาทำ ยังมีเวลาอีก ยังมีเวลาอยู่เสมอ เอาไว้ใกล้ ๆ
เมื่อไม่มีเวลาแล้ว บางทีเราก็อาจจะต้องคุยกัน หรือตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด ตราบเท่าที่เรายังมีเวลาในการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจอยู่นะครับ
ตอนนี้ต้องปล่อยให้ขบวนการของ นปช.ไปให้สิ้นสุด มันจึงจะเคารพซึ่งกัน และกัน

- หากรัฐบาลตัดสินใจพลาด หรือเดินเกมไม่ถูก ความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องเจอคืออะไร

เสี่ยงหลายอย่าง เพราะตัดสินใจห้ำหั่นกับประชาชน รัฐบาลกับกองทัพคงชนะแน่ แต่มีคนบาดเจ็บล้มตาย ความเจ็บแค้นนี้ก็จะฝังลึกกับคนจำนวนมากมาย กลับไปบ้านคงไปเล่าให้ญาติพี่น้องลูกหลานฟัง แล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็จะสูญเสียฐานทางการเมืองไปมากเหลือเกิน ข้อต่อมา
ประเทศไทยก็คงจะไม่มีความสุขไปอีกนาน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามไม่ให้เขาแก้แค้น
ส่วนเขาจะแก้แค้นกับใคร ด้วยวิธีอะไร ผมก็ไม่รู้นะครับ ทำกับเขาแรงแค่ไหน เขาก็แก้แค้นเท่านั้น

- แต่ถ้ารัฐบาลยังปล่อยให้ผู้ชุมนุมยึดพื้นที่แยกราชประสงค์อยู่

ก็ทำไมไม่รีบตกลงกับเขาล่ะ เขาขอร้อง ขออย่างเดียว คือ
ขอให้ยุบสภา คนตัดสินใจก็มีคนเดียว คือคุณอภิสิทธิ์
ก็เป็นอำนาจของคุณอภิสิทธิ์ เขาไม่ได้บอกให้รัฐบาลลาออกด้วยซ้ำไป


//www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02pol01150453§ionid=0202&day=2010-04-15


โดย: nutangmo วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:0:54:13 น.  

 
? ความจริงของการศึกษาไทย ?





1.โรงเรียนรัฐบาล เรียนหนัก วันละ 7-8 คาบ


2.เมื่อ มีคาบว่าง คุณครูวิชาใดวิชาหนึ่ง มักขอ


3.รร.เอกชน เด็กนักเรียนไม่เคร่งกฏ


4.รร.ที่เก่าแก่ ยึดติดศักดิ์ศรีมากเกินไป บ่มเพาะให้เด็กเป็นศัตรูกับสถาบันอื่น


5.รร.รัฐบาล เข้าแถวหน้าเสาธง ฟัง ผอ.ให้โอวาทก่อนเข้าคาบแรกแต่กิน เวลาไป 10-20 นาที


6.เด็ก ต้องตากแดด ร้อน หน้ามืดเป็นลม


7.บาง รร. ผิดกฏนิดหน่อย ก็เรียกผู้ปกครอง ทั้งๆที่ควรจะตักเตือนก่อน


8.เด็กไทยขนหนังสือ ในกระเป๋าเป็นสิบกิโล หลังงอไปโรงเรียน

(รวมทั้งนิยายและการ์ตูน หนังสือโป๊)


9.การบ้าน งานต่างๆ ฝึกให้นักเรียนรับผิดชอบก็จริง แต่สั่งทีเยอะแล้ววันนึงเรียนกี่วิชา ครูคนนึงสั่งกี่อย่าง? เด็กตายห่-า พอดี


10.มา รร. เช้า ลอกการบ้าน แล้วเด็กได้อะไร จากการสั่งงานเยอะ


11.หลับตี 1-2 พิมพ์รายงานส่ง


12.เนื้อหา รายงานมาจากอินเตอร์เน็ต หามา ก็อปใส่เวิด ปริ้น เข้าเล่ม ส่ง


13.พรี เซนต์ งานโดยการออกมาอ่าน


14.ครูแก่ เกินรับได้ โบราณ


15.คน เก่งไปเรียนหมอ แล้วใครมาเป็นครู?


16.รร.ในไทย แต่งยูนิฟอร์ม ชุดนักเรีย ชุดพละ ชุดลูกเสือ ทั้งที่อากาศร้อนจัด


17.มีเด็กที่ ไม่ได้เรียนหนังสือเยอะแยะ


18.มีเด็กที่ได้เรียน แต่ไม่อยากเรียน


19.พ่อแม่เสียเงินค่าเรียนพิเศษ มากว่า ค่าเทอม มากเป็นเท่าตัว


20.ต่างประเทศ ปิดเทอม ไปเที่ยว ทำงานพิเศษ ทำกิจกรรม


21.เด็กไทยเรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง


22.มหาวิทยาลัย อันดับ 1 ของประเทศไทย ไม่ติดใน 100 มหาวิทยาลัยโลก


23. บาง รร.จ่ายค่าเรียนคอมพิวเตอร์ทุกปี แต่ว่า ได้เรียนแค่ ม.1และม.4 = =


24.ครู บางคน การสอนคือการอ่านให้เด็กฟัง


25.ครูบางคน สอนไม่รู้เรื่อง ออกข้อสอบหิน เด็กตก ไม่ยอมให้แก้


26.ครู ขายของแก่นักเรียน ทำธุรกิจ ทดลองสินค้าในห้องเรียน ตั้งแต่ของเล็กๆน้อยๆ ยันถึงกิฟฟารีน แอมเวย์


27.ครูไม่สอน นั่งบ่นเรื่องที่ไม่ในตำรา แต่นักเรียนชอบฟัง(เพราะไม่ได้เรียน)


28.เวลาว่างที่ รร. นร.นั่งนินทาครู


29.ปัจจุบัน ทั่วไปคิดว่า ครู แค่คือ คนที่รับจ้างสอน ไม่ใช่แม่พิมพ์ที่แท้จริง


30.สอนไป ทุก10 นาที โทรศัพท์ดัง


31.ครูใช้เด็กซื้อกับข้าว ซื้อโอเลี้ยง ซื้อส้มตำ


32.ครู สนใจ เด็กที่เรียนพิเศษด้วยมากกว่า


33.ช่องว่างระหว่างครูและ เด็กเยอะมาก เนื่องจากจำนวนเด็กในห้อง เฉลี่ย 50 ขึ้น ครูจำนักเรียนได้ไม่หมด ยิ่งครูแก่ๆก็....


34.รร. นานาชาติ มีความผูกพัน กับครูที่สอน ทั้ง รร.รักกันดี


35.บางคนเกรด 4.00 สอบไม่ติดก็มี เพราะการศึกษาไทยเก็บคะแนนสอบแค่ 15-30% นอกนั้นงาน การบ้านที่สั่ง


36.ครูบางคนตั้งใจสอน แต่ไม่มีเทคนิค ทำให้เด็กเบื่อที่จะเรียน



37.ความรู้ที่ใช้สอบ มาจากที่เรียนพิเศษ



38.กวดวิชาแต่ละจังหวัดมากกว่า 50 แห่ง


39.ครู บางคนชอบโอ้อวดว่าจบที่นั่น เอกอย่างนี้ ได้เกียรตินิยม แต่สอนไม่รู้เรื่อง


40.เด็ก ในห้องมี 50 คน เก่งสุดๆแค่ 1-2 คน


41.นอก นั้น เรียนๆเล่นๆ เที่ยวๆ


42.เด็ก ม.3 สะกดคำว่า family house ศัพท์อังกฤษง่ายๆไม่ได้


43.โรงเรียน ประจบผู้ปกครองที่มีเงิน


44.โรงเรียน หญิงล้วน มีทอมดี้เยอะ โรงเรียนชายล้วน มีเกย์ ตุ๊ดเต็ม


45.ต่าง ประเทศ เรียนวันละ 3-5 ชม. หลังจากนั้นก็สนามบาส สระว่ายน้ำ ห้องดนตรี ไม่ก็กลับบ้าน ทำกิจกรรม ไปอ่านหนังสือเอง


46.ถ้าเด็กเรียนที่ ไทย ก็ไปกวดวิชา เรียนเลิก3 -4 ทุ่ม


47.เด็กเที่ยวนั่งรถไฟฟ้าไป สยาม


48.เด็กใส่แว่นเนื่องจากเล่นคอม มากกว่าเรียน


49.ครู คาดหวังกับเด็กห้องคิงเกินไป ทำดีนิดหน่อย ชมเว่อร์ๆ ทำผิดนิดเดียว คือเรื่องคอขาดบาดตาย


50.เอาใจใส่เด็กแต่ละห้องไม่เท่ากัน


51.รร.รัฐ ให้เด็กทำป้าย เดินรณรงค์ยาเสพติด เลือกตั้ง ฯตามนโยบาย ทำเอาหน้าตา รร. เด็กต้องเดิน 2-3กิโล แดดก็ร้อน หน้ามืดเป็นลม


52.วิชาอาจารย์ ฝรั่ง ดูเหมือนจะมีความสุข จะหลับก็ได้ คุยกันไปแต่ก็เรียนไม่รู้เรื่อง


53.เด็ก ไทยอวดฉลาด


54.เด็กไทยตามกระแส แฟชั่น


55.เด็กไทย บ้า เที่ยว บ้าเรียน บ้าใช้เงิน บ้าดารา


56.วัยรุ่นมีเพศ สัมพันธ์ เป็นธรรมดา


57.ท้อง แท้ง ฆ่าตัวตาย ใจแตก ติดยา คือ ปัญหาวัยรุ่นไทยที่แก้ไม่ได้


58.เด็กส่วนใหญ่ฝันมี รร.ที่กว้าง ต้นไม้ สบายๆ บรรยากาศดี การเรียน สนุก มีกิจกรรมทำ


59.ความฝัน ห่างไกลความจริง รร. อากาศร้อนไม่มีพัดลม เสียงรถที่ถนนดัง ห้องเรียนติดห้องน้ำ ครูสอนก็ดุ แก่ โหดคะแนน น่าเบื่อ ครูลามก


60.มี พ่อแม่ บังคับ อนาคตวางแผนให้ลูกเสร็จสรรพ โดยไม่ถามว่าลูกชอบหรือไม่


61.พ่อ แม่ชอบกดดัน ซึ่งความจริงในยุคนี้ การเลี้ยงลูกแบบนี้หัวโบราณมากเด็กไทยฆ่าตัวตายเพราะเครียดเยอะขึ้นทุกปี


62.ไฮ โซ ต้องให้ลูกเรียนเอกชน นานาชาติ รร.รัฐสุดโด่งดัง


63.ไปเรียน พิเศษต่างประเทศตอนปิดเทอม


64.รู้ไหมคนต่างชาติคิดว่าวัยรุ่น ไทย ที่รวย พ่อแม่คุณทำงานใหญ่โต นักการเมือง นักธุรกิจส่งลุกมาใช้เงินนั้น เค้าคิดว่าพ่อแม่คุณคอรัปชั่นและคุณทำตัวไร้สาระ


65.ประเทศไทย เป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่เรียกตัวเองว่า กำลังพัฒนา


66.วัยรุ่น ไม่เคารพผู้ใหญ่ ด่าได้ก็ด่า ก็พ่อแม่ฉันยังไม่ว่า คุณเป็นใครมาว่า


67.แต่ง ตัว ใช้เงิน ซื้อของอวดกัน


68.ตบกันแย่งผู้หญิง ผู้ชาย ทอมดี้ เกย์


69.มีเพื่อนในชีวิตจริงและสังคมอินเตอร์เน็ต


70.เล่น เกมออนไลน์ เล่นmsn ทุกวัน หลับดึก


71.เที่ยวจัด จนบางวันไม่กลับบ้าน พรุ่งนี้มีสอบ เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำ รร.แล้วเข้าสอบก็มี


72.พ่อแม่เลี้ยงลูกดีเกินไป แย่เกินไป โอ๋ลูกเกินไป ด่าลูกเกินไป เด็กเก็บกด


73.เด็กที่ไม่ได้รับการ ศึกษา มีคุณภาพชีวิตที่แย่ บางคนยอมขายตัวเพือเอาเงินมาเรียนก็มี


74.ครู แนะแนว คือครูที่เด็กชอบมากที่สุด


75.เด็กไทย เกรด 4.00 เอ็นเข้าคณะอินเตอร์ไม่ติด เด็กนานาชาติไม่เก่งเท่าเด็กรัฐบาล แต่นั่งฝนข้อสอบฉลุยเมื่อจะเอ็นเข้าคณะอินเตอร์


76.ต่างประเทศ อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เรียนน้อยกว่าไทย แต่ทำไมฉลาดกว่ามีคุณภาพกว่า?


77. เด็กคืออนาคตของชาติ แต่มีตัวอย่างบุคคลชั้นนำของประเทศที่เห็นได้ตามหน้า หนังสือพิมพ์ว่า...แค่ไหนเป็นแบบนี้ คุณยังจะหวังอะไรกับเด็กไทยศตวรรษที่ 21 อย่างเราไหม


78.วัยรุ่นไทยไม่อยากรับรู้เรื่องข่าวสารของ ประเทศไทย ที่มีแต่อะไรที่ชวนทำให้น่าเบื่อ เกิดการแอนตี้ ไม่อยากรู้


79.เด็ก ไทยไปโรงเรียน และ มหาวิทยาลัย จากการสำรวจแล้ว พบว่า ปัจจัยคือ เพื่อน เท่านั้น


80.โลกก้าวหน้าไปทุกวัน แต่การศึกษาไทย ยังอยู่กับที่ ! เครดิต คลิปแมสฯ





อยากบอก โคตรตรง ตรงโคตรๆ



เอามาจากโพสต์ที่บล๊อกเดียวกัน


โดย: nutangmo วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:21:24:50 น.  

 
วันพุธ, เมษายน 21, 2010
คดีพลิก!พฐ.ชี้ทหารยิงเสื้อแดง-ฆ่านักข่าวญี่ปุ่น มาร์ค-อูมั่วมาตลอดเห็นใบไม้ไหวเป็นผู้ก่อการร้าย

หนังสือพิมพ์ข่าวสดพาดหัวข่าวใหญ่วันนี้

เวบประชาไทเปิดเผย วิดีโอคลิปบันทึกเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน โดยผู้ชุมนุมเสื้อแดงนั่งขวางทหารหลายร้อยนายที่ใช้รถถังสายพานลำเลียง Type-85 และอาวุธสงครามผลักดันผู้ชุมนุม มีการยิงแก๊สน้ำตาอย่างน้อย 2 ครั้ง และใช้กระสุนยางยิงเข้าใส่ ขณะที่มีผู้ชุมนุมนั่งพนมมือไหว้เผชิญหน้ากับรถถัง

ประชาไทรายงานว่า สำหรับเรื่องการใช้รถสายพานลำเลียงนั้น พ.อ.สรรเสริญ โฆษกทหารได้เคยโกหกว่า การเคลื่อนย้ายรถถังสายพานลำเลียงไม่ใช่เป็นการเข้าสลายการชุมนุมหรือมีเหตุอื่น แต่เป็นการนำรถดังกล่าวไปจอดประจำการที่บริเวณหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ชมคลิปวิดิโอผู้ชุมนุมมือเปล่าขวางรถถัง คลิ้กที่นี่

ที่มา เนชั่น
21 เมษายน 2553



ข่าวเกี่ยวเนื่อง:
-FRANCE 24: คลิปเผยทหารยิงปืนกลไรเฟิลตรงไปที่ชุมนุม.."ยากที่จะเชื่อเจ้าหน้าที่ที่อ้างว่ายิงขึ้นฟ้า"
-ข้อมูลดิบและภาพหลักฐานกรณีนักข่าวญี่ปุ่นถูกสังหาร


สำนักข่าวเนชั่น ซึ่งมีแนวโน้มเอียงสนับสนุนรัฐบาลและดิสเครดิตผู้ชุมนุมเสื้อแดงมาตลอด ได้รายงานข่าวเมื่อค่ำวานนี้แจ้งว่า กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รายงานผลการตรวจพื้นที่เกิดเหตุบริเวณแยกคอกวัว และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หลังเกิดเหตุการณ์การปะทะระหว่างทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน ให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) โดยระบุว่า ตรวจสอบจุดบริเวณสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถนนราชดำเนิน ซึ่งระบุว่า เป็นจุดที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้ใช้ปืนคอยซุ่มยิงทหารและประชาชนนั้น จากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยของเขม่าดินปืน หรือพบปลอกกระสุนตกในที่เกิดเหตุแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนที่มีคลิปเคลื่อนไหวจากการจำลองเหตุการณ์พบว่า เป็นกิ่งไม้ที่ไหวในช่วงกลางคืน ส่วนควันที่เกิดในคลิปสันนิษฐานว่าเป็นควันที่เกิดจากกระสุนปืนที่ยิงมาโดนบริเวณตัวอาคารลอยขึ้นไป จนทำให้เกิดเหมือนภาพมีคนคอยซุ่มยิงและมีควันคล้ายการยิงปืน

จากการตรวจสอบคลิปภาพถ่ายต่างๆ ที่รวบรวมได้กรณีนักข่าวชาวญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า ในช่วงแรกนักข่าวชาวญี่ปุ่นอยู่หลังแนวทหาร แต่เมื่อแนวทหารถอยร่นจากการตอบโต้ของคนเสื้อแดง ปรากฏว่า นักข่าวคนดังกล่าวได้มายืนอยู่ในจุดด้านหน้าของการปะทะระหว่างทหารและกลุ่มเสื้อแดง และแนววิถีกระสุนคาดว่า น่าจะมาจากฝั่งทหาร

นอกจากนั้นในส่วนของคลิปที่สำนักข่าวฝรั่งเศสระบุว่า ทหารยิงปืน แต่ทาง ศอฉ. ระบุว่าเป็นเพียงการคุ้มกันการถอนตัวนั้น จากการตรวจสอบคลิปอย่างต่อเนื่องของกองพิสูจน์หลักฐานพบว่า มีการยิงกระสุนใส่ประชาชนจริง และในบางช่วงยังมีเสียงทหารด้วยกันบอกให้หยุดยิง ซึ่งรายงานทั้งหมดคณะพนักงานสอบสวนได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้แล้ว

ชาวอินเตอร์เน็ตแขวะมาร์คเห็นใบไม้ไหวขยายผลเป็นผู้ก่อการร้าย

ข่าวดังกล่าวคอการเมืองในบอร์ดประชาไท ได้วิจารณ์นายอภิสิทธิ์กับพันเอกสรรเสริญอย่างหนัก โดยแขวะว่า

ตามเนื้อข่าว สรุปได้คือ..."กิ่งไม้ที่ไหว" = ผู้ก่อการร้ายสำหรับคุณอภิสิทธิ์..(ผมเห็นแถลงข่าวออกสื่อใหญ่โตทุ๊กกกวัน..ผู้ก่อการร้ายอย่างนั้น อย่างนี้..เต็มไปหมด)

ไอ้ผมก็ดันไปเปิดไฟล์ ตรวจสอบภาพ เวทีเสื้อแดงที่ราชประสงค์..เล่นเอาผมถึงกับตะลึง งง งัน ไปชั่วครู่
จะด้วยโชคชะตา ฟ้าลิขิต หรือ เป็นเหตุบังเอิญอะไร ก็สุดจะคาดเดา..

กลางวันแสกๆครับ..ด้วยความช่างสังเกตุของผม ผมพบผู้ก่อการร้ายยืนจะๆ ไม่มีพรางหน้าตา ยืนปะปนเป็นแนว คล้ายๆกับเป็นหน่วยระวัง กำบังให้เสื้อแดง ร่วมยี่สิบได้..

นี่ครับ...เห็นกันจะๆไปเลย ไม่ต้องปกปิดกันแล้ว..วัดใจกันไปเลยครับ..คุณอภิสิทธิ์..คุณไก่อู..


"กิ่งไม้ที่ไหว" = ผู้ก่อการร้ายสำหรับคุณอภิสิทธิ์..

ของผมเห็นเต็มๆต้น ทั้งดอกทั้งใบ..กลางวันแสกๆ..ไม่มีพรางหน้า พรางตา..ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นระดับไหน หน่วยไหน เหมือนกันครับ คุณอภิสิทธิ์ คุณไก่อู..

แต่คิดว่าคงเก๋าพอตัวครับ..เล่นยืนตั้งโด่ ท้าลม ท้าแดด ไม่เกรงหน้าไหนเลย...กลางเมืองหลวงแท้ๆ..เก๋าจริงๆ..
พรุ่งนี้ผมจะฝากมอไซค์วิน ให้เอาภาพไปให้ ที่ ร.11 ครับ คุณอภิสิทธิ์ คุณไก่อู..

ปล. เมื่อคุณอภิสิทธิ์เห็นผู้ก่อการร้ายเต็มๆอย่างนี้แล้ว ผมฝากบอกพี่เถิก ถอนกำลังพลกลับเถอะครับ..เอาแค่เทศกิจก็พอครับ..

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 4/21/2010 08:39:00 ก่อนเที่ยง


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:23:38:31 น.  

 


โดย: nutangmo วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:23:41:42 น.  

 


โดย: nutangmo วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:23:43:08 น.  

 


โดย: nutangmo วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:23:43:27 น.  

 


คลิปประกอบการบรรยายกรณีนักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิต

ภาพแถว A และ B เป็นแนวทหารด้านในถนนดินสอที่ยิงออกมายังกลุ่มเสื้อแดงทางด้านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ภาพแถว C, D และ E เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ที่ถ่ายวีดีโอไว้จากหลายบุคคล
ภาพแถว E คือ วีดีโอที่นายมูราโมโต้ถ่ายก่อนเสียชีวิต เฉพาะภาพที่แคปเจอร์มาอยู่ในช่วงสุดท้ายของวีดีโอ หลังจากเดินออกจากแนวทหารด้านในถนนดินสอ เพื่อมายืนถ่ายในกลุ่มคนเสื้อแดงทางด้านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ปฐมบท

ก่อนที่นายวสันต์ ภู่ทอง จะถูกยิงกะโหลกศีรษะเปิดจนเสียชีวิตไม่ถึงนาที ขอให้สังเกตว่าตรงรถกระบะสีขาวด้านขวามือ ก็มีผู้ที่ถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปดู ซึ่งนาย Hiro Muramoto ก็ได้ซูมถ่ายเหตุการณ์ตรงนี้เช่นกัน และได้จับภาพคนเสื้อแดงถืออาวุธปืน ที่น่าจะยึดได้จากทหาร ดูรูปทรงแล้วน่าจะเป็นปืนเดี่ยวลูกซองคานเหวี่ยงที่ใช้ยิงกระสุนยาง

คลิป E - ภาพที่ Hiro Muramoto ถ่ายไว้สุดท้ายก่อนเสียชีวิต
จะปรากฎชายชุดดำที่ผู้ผ้าพันคอแดงที่ช่วยแบกร่างไร้วิญญานของเขาออกมาด้วย

ภายหลังที่นายวสันต์ถูกยิงจนกะโหลกศีรษะเปิด สมองทะลักออกมา พร้อมเสียงปืนรัวดังกึกก้องหลายนัด เสื้อแดงที่ยืนอยู่แนวหน้าจึงได้วิ่งหนีออกมา (ดู clip C) ก่อนที่จะมีเสียงเรียกให้เสื้อแดงเข้าไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนพวกที่ยังไม่รู้ว่าพวกของตนเองถูกยิง เมื่อได้ยินเสียงปืนคนเสื้อแดงจึงหลบหาที่กำบังตามสัญชาตญาณ

คลิป C - เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จากกล้องของเสื้อแดง (AFP)

ตามภาพแถวคลิป E กล้องที่ Hiro Muramoto ถ่ายไว้ก่อนจบชีวิต เราจะไม่เห็นร่างของนายวสันต์ ภู่ทองอยู่ตรงพื้นแล้ว เพราะคนเสื้อแดงแบกออกไปแล้ว โดยที่นาย Hiro Muramoto คงคิดว่านายวสันต์น่าจะได้รับบาดเจ็บไม่ถึงกับเสียชีวิต จึงไม่ได้มาถ่ายเหมือนคนอื่น ส่วนภาพคนบาดเจ็บทางด้านรถกระบะสีขาว คนเสื้อแดงที่ช่วยปฐมพยาบาลกันตั้งแต่ทีแรก ก็เพิ่งจะช่วยกันแบกออกไป โดยมีการ์ดคนเสื้อแดง (เสื้อดำ) เดินเข้ามาเพื่อกวักมือเรียกให้พวกเสื้อแดงถอยออกมา เพราะพื้นที่ตรงนั้นไม่มีปลอดภัย และเป็นภาพช็อตสุดท้ายที่ Hiro Muramoto ถ่ายในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะและลมหายใจอยู่

บทสุดท้าย

ภาพจากกล้องที่ปรากฎในสภาพเอียงที่ถ่ายมา ผมคิดว่านาย Hiro Muramoto น่าจะถูกยิงจนหมดสติหรืออาจเสียชีวิตแล้ว และน่าจะเสียชีวิตภายหลังจากที่นายวสันต์ถูกแบกร่างออกไปเพียงไม่กี่นาที โดยสังเกตได้จากคลิปที่คุณมังกรดำได้ถ่ายไว้ เราจะเห็นร่างของ Hiro Muramoto ถูกแบกออกมา ในช่วงต้นของการปะทะภายหลังเกิดเหตุ (เสียงปืนดังไม่หยุด) เพราะเมื่อทางแกนนำรู้ว่ามีคนถูกยิงเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ แกนนำได้ประกาศให้คนเสื้อแดงพาร่างผู้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตออกมา ร่างของผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตคนอื่นๆ รวมถึงนาย Hiro Muramoto จึงได้ถูกคนเสื้อแดงเข้าไปช่วยเหลือทยอยออกมาเป็นระยะๆ
ช่วงที่เสื้อแดงแบกร่าง Hiro Muramoto ออกมา คือ
แบกออกมาผ่านรถหุ้มเกราะที่จอดอยู่หน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (credit vdo คุณ มังกรดำ)

ที่สำคัญถ้าใครได้กลับไปดู vdo ที่นาย Hiro Muramoto ถ่ายไว้ จะพบชายที่ช่วยกันแบกร่าง Hiro Muramoto ยืนอยู่ในแนวปะทะนั้นด้วย (ชายเสื้อดำผูกผ้าพันคอแดงและใส่กางเกงยีนส์) และชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้แบกร่างนาย Hiro Muramoto ออกมา คือชายเสื้อขาว ผู้ให้สัมภาษณ์นักข่าวสำนักหนึ่ง (ดูภาพประกอบ)วีดีโอที่นาย Hiro Muramoto ถ่ายไว้ จะพบชายที่ช่วยกันแบกร่าง Hiro Muramoto ยืนอยู่ในแนวปะทะนั้นด้วย (ชายเสื้อดำผูกผ้าพันคอแดงและใส่กางเกงยีนส์) และชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ได้แบกร่างนาย Hiro Muramoto ออกมา คือชายเสื้อขาว ผู้ให้สัมภาษณ์นักข่าวสำนักหนึ่ง


โดย: แฮรี่....พลอตเรื่อง กับห้องแห่งความลับ (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:0:03:36 น.  

 

บทสรุป

สาเหตุที่น่าจะทำให้ Hiro Muramoto เสียชีวิต น่าจะมีดังต่อไปนี้

1. Hiro Muramoto อาจเข้าใจผิดคิดว่ากระสุนจริงที่ทหารใช้ปฏิบัติการ เป็นกระสุนซ้อมรบ หรือลูก Blank ที่กองทัพชวนเชื่อ
2. Hiro Muramoto อาจคิดว่ากระสุนจริงทหารจะใช้ยิงขึ้นฟ้าเพื่อข่มขวัญเท่านั้น ถ้ายิงในแนวราบจะใช้กระสุนซ้อมรบ
3. Hiro Muramoto ไม่คิดว่าทหารจะยิงกระสุนจริงยิงในแนวราบในยามออกปฏิบัติการในการทำภารกิจสลายม้อบ

ดังนั้นในช่วงที่เดินออกจากแนวทหารมายังกลุ่มคนเสื้อแดง Hiro Muramoto จึงคิดว่าไม่มีภัยอันตรายถึงแก่ชีวิต นาย Hiro Muramoto จึงได้เดินออกมาจากแนวทหาร ตรงดิ่งมายังแนวกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อมาเก็บภาพเหตุการณ์ของอีกฝั่งหนึ่ง โดยหารู้ไม่ว่า นั่นคือที่มาของจุดจบในชีวิต เป็นการเดินทางมาเพื่อเป็นเป้าให้ทหารส่องยิง ปลิดชีวิตทิ้ง ณ ถนนดินสอ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั่นเอง



การยิงของทหารตรงจุดนั้น ณ ขณะนั้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ก่อนที่คนโบกธงจะถูกยิง จะมีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วด้วย (ตรงรถกระบะสีขาว) นาย Hiro Muramoto ก็เป็นเหยื่อผู้หนึ่งซึ่งตกเป็นเป้ากระสุนสังหารของทหาร ที่พ.อ.สรรเสริญ อ้างว่า ยิงเพื่อป้องกันตัว - ภาพสุดท้ายของเฟรมจะเห็นรถกระบะสีขาวชัดเจนนะครับ


โดย: แฮรี่....พลอตเรื่อง กับห้องแห่งความลับ (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:0:04:22 น.  

 
ข่าวจากเวป deep@sure

ป่าไม้ตะเพิด"สุรยุทธ์"พ้นฮุบป่าสงวน

21 มกราคม 2553

ป่าไม้ลงมติให้"สุรยุทธ์"คืนเขายายเที่ยงใน 30 วัน พร้อมรื้อถอนทรัพย์สินออกให้หมด ผบ.ทบ.เจอยิงระเบิดเอ็ม 79ใส่ตึกที่ทำงาน ภายในกองบัญชาการกองทัพบก ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งที่บ้านย่านพุทธมณฑลและบ้านพักในร.1 รอ. "ทักษิณ"บินจากปาปัวนิวกีนี ถึงกรุงพนมเปญ แวะค้างเติมน้ำมัน 1 คืน รับพรุ่งนี้ออกจากเขมร

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 20 ม.ค. ที่กรมป่าไม้ มีการประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบสำนวนร่วมระหว่างกรมป่าไม้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรณีการครอบครองที่ดินเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี โดยมีนายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ เป็นประธานการประชุม ใช้เวลาหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง หลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสมชัยได้ลงนามในหนังสือสรุปผลตรวจสอบข้อเท็จจริงระบุว่า พล.อ.สุรยุทธ์ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินจัดสรรดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขั้นตอนต่อไปนายสมชัยจะนำเสนอผลสอบของคณะกรรมการต่อนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับทราบ จากนั้นนายสุวิทย์จะต้องแจ้งกับ พล.อ.สุรยุทธ์เพื่อทราบและออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน รวมทั้งต้องรื้อถอนทรัพย์สินออกให้หมด อย่างไรก็ตาม พล.อ. สุรยุทธ์สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน

ถล่ม ผบ.ทบ.ด้วยเอ็ม 79กระจกแตกผนังหลุด

ผู้สื่อข่าวสายทหารรายงานเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ว่า ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้ปรับเปลี่ยนระบบการรักษาความปลอดภัย จากเดิมเวลาเดินทางจะมีเพียงรถจักรยานยนต์นำขบวน 1 คัน และมีรถ รปภ.ตามหลังอีก 1 คัน แต่ได้เพิ่มรถฉลามบกอีก 2 คันขับนำหน้าและตามหลังรถประจำตำแหน่ง รวมถึงมีการเพิ่มกำลังพลในการรักษาความปลอดภัยในบ้านพักย่านพุทธมณฑลสาย 2 ที่นางกุลยา เผ่าจินดา ภรรยา และบุตรของ พล.อ.อนุพงษ์อาศัยอยู่ โดยส่งสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.) และเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้าตรวจตรารักษาความสงบ และเพิ่มรถสายตรวจจาก สห.ทบ.เข้าตรวจพื้นที่ในทุก 1 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ในบ้านพักภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) มีการติดกล้องซีซีทีวีเพิ่ม และมีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น สำหรับงานเลี้ยงวันกองทัพบกวันเดียวกันนี้ ที่สโมสรทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ได้สั่งห้ามสื่อมวลชนเข้าไปทำข่าว พร้อมเพิ่มระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่ พล.อ.อนุพงษ์เพิ่มการรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก มีมือมืดยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้ามาในตัวอาคาร 1 ชั้น 6 จุดเกิดเหตุเป็นสำนักงานของ พล.อ.อนุพงษ์ ส่งผลให้ผนังและเสาเกิดเป็นหลุม สะเก็ดระเบิดยังทำให้กระจกแตกไป 1 บาน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เพราะเป็นช่วงกลางดึก ยังไม่มีผู้บังคับบัญชาเข้ามาทำงาน จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาจากด้านหลังกองทัพบก เป้าหมายของคนร้ายคือห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์เพื่อต้องการข่มขู่หลังจากเกิดเหตุดังกล่าว ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบกได้สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ทุกคนปิดข่าว

เผยทักษิณมาแวะค้างเติมน้ำมัน 1 คืน ที่เขมร

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางออกจากหมู่เกาะปาปัวนิวกีนี ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งเปิดเผยผ่านการออกอากาศ ทางเว็ปไซต์ //www.thaksin.com ว่า กำลังสนใจที่จะซื้อกิจการบ่อน้ำมัน เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2553 ที่ผ่านมา เพื่อไปแวะพักที่ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา แล้ว

โดยการเดินทางไปที่กรุงพนมเปญ ในครั้งนี้้ ก็เพื่อเติมน้ำมันให้กับเครื่องบินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เดินทาง เนื่องจากกัมพูชา ถือเป็นทางผ่าน หลังต้องใช้เวลาเดินทาง เป็นเวลา 8 ชั่วโมง จากหมู่เกาะปาปัวนิวกีนี เพื่อเตรียมเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในอีกประเทศหนึ่ง

อย่างไรก็ดี การแวะเข้าพักดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยัน ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระแสข่าวที่จะมีการติวเข้ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย สำหรับเตรียมทำศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อย่างใด และจะเข้าพักเพียง 1 คืน โดยในวันพรุ่งนี้ 21 ม.ค. 2553 พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะเดินทางออกจากประเทศกัมพูชา โดยมีจุดมุ่งหมายไปปฏิบัติภารกิจ ยังอีกประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย ที่ยังไม่ขอเปิดเผยในขณะนี้ ส่วนการเดินทางครั้งนี้ จะมีการหารือกับ นายกรัฐมนตรีฮุนเซน หรือไม่ นั้น ขณะนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัด


โดย: แฮรี่....พลอตเรื่อง กับห้องแห่งความลับ (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:0:15:17 น.  

 
ไม่รู้น่าสนใจหรือเปล่า แต่ เก็บมาด้วย

มันติดมาน่ะ

****


ป๋าตุ๊ดนักวางแผน

เย็นวันจันทร์ขณะแดดกำลังร่มวันหนึ่ง ป๋าออกมาเดินเล่นอยู่ริมรั้วบ้าน ป๋าสังเกตเห็นไอ้หนุ่มหุ่นนักมวยคนหนึ่งกำลังเดินตามเกี้ยวแม่ชีฝรั่งคนหนึ่ง ที่เดินอยู่ริมถนนข้างบ้าน ป๋าได้ยินเจ้าหนุ่มชวนดื้อๆว่า

“เราไปหาที่เงียบๆ ขึ้นสวรรค์กันเถอะ”

แม่ชีสั่นหน้าปฏิเสธ แล้วรีบขึ้นรถแท๊กซี่หนีไป ป๋าจึงเรียกเจ้าหนุ่มนั้นมาหาแล้วพูดว่า

“ถ้าลูกสนแม่ชีคนนี้จริง ๆ ป๋าก็จะบอกให้ว่า ทำไงถึงจะได้เผด็จศึก”

เจ้าหนุ่มก็รีบตอบว่า สนใจ ป๋าจึงแนะนำว่า

“ทุกวันจันทร์ตอนเที่ยงคืน แม่ชีคนนี้จะไปสวดมนตร์ภาวนาที่โบสถ์ร้างริมแม่น้ำไม่เคยขาด ถ้าลูกหาผ้ามาคลุมทำทีสวมรอยเป็นพระเจ้า ลูกจะสั่งอะไร แม่ชีก็ต้องยอมทั้งนั้น”

ป๋าช่วยวางแผนให้เสร็จสรรพ ครั้นถึงเวลาที่ว่า เจ้าหนุ่มก็แต่งองค์ทรงเครื่องสวมหน้ากากเป็นพระเจ้า ไปดักซุ่มรอเหยื่ออยู่หลังต้นไม้

ทันใดนั้น แม่ชีปรากฎตัวเดินใกล้เข้ามา แล้วหยุดยืนสวดมนต์พึมพำ เจ้าหนุ่มก็กระโดดออกมาจากที่ซ่อน

“ข้าคือพระเจ้า ข้าได้ยินคำขอของเจ้าแล้ว เจ้าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามประสงค์ แต่เจ้าต้องขึ้นสวรรค์กับข้าก่อน”

แม่ชียินยอมโดยดี แต่เกี่ยงงอนนิดหน่อยว่า

“เพื่อเห็นแก่พรหมจรรย์ของลูก ได้โปรดละเว้นประตูหน้าเถอะนะเจ้าคะ”

พระเจ้าตัวปลอมก็ไม่ขัดข้อง หลังจากเสร็จสมอารมณ์หมาย เจ้าหนุ่มก็ถอดหน้ากากออก พลางตะโกนว่า

“ฮ่า ฮ่า ผมคือเจ้าหนุ่มคนนั้นไง”

ทันใดนั้น แม่ชีก็ถอดหน้ากากมั่ง แล้วตะโกนเสียงดังกว่าว่า “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ป๋าเองลูก”



โดย: แฮรี่....พลอตเรื่อง กับห้องแห่งความลับ (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:0:17:39 น.  

 
เผยชื่อ"ตอ"คดียิงสนธิ ขึ้นต้นด้วยสระแอ

เรื่องโดย กระบี่เปลือยฝัก 5 กันยายน 2552

หลังจากที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล โดนดักยิง นอกจากการออกมายืนชูสองนิ้วแอ๊คชั่นให้ถ่ายภาพ และโชว์ภาพตะขาบเกาะหัวให้สาวกดูแล้ว คนแซ่ลิ้มยังได้พยายามให้ข้อมูลถึงขบวนการสังหารยังกะเป็นคนกำกับเองก็ไม่ปาน

บอกเห็นหมดว่าใครเป็นคนยิง ตอนนั้นยังมีสติอยู่ มองเห็นกระทั่งลูกปืนที่ถูกยิงมา แล้ววิ่งวนอยู่รอบตัว ไม่เข้ามาทำร้าย

ช่างทรงอิทธิฤทธิ์จริงๆ สมแล้วที่ถูกยกย่องให้เป็นศาสดาโกเต๊กซ์

ท่านศาสดาระบุว่า มีการลงขันกันสังหารท่าน ใช้คนจากหน่วยทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นผู้ลงมือสังหารและหน่วยงานนี้ผู้มีอำนาจสั่งการได้คนเดียวคือ ตำแหน่งผบ.ทบ.

โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก ผบ.ตร. ที่ให้ความสะดวกในการทำงาน ดูได้จากวิธีการที่สามารถปิดบังอำพรางรูปคดีได้ทั้งหมด ตั้งแต่กล้องวงจรปิด โทรศัพท์มือถือ พยานบุคคลในที่เกิดเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานให้เห็นเลย

ที่เลือกสังหารตนเองนั้นเป็นเพราะ ถ้าตนยังอยู่ สาวกเสื้อเหลืองก็จะคงอยู่ และเป็นอุปสรรคกับพวกอำนาจใหม่ จึงได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสีย คนแซ่ลิ้มเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น

ขณะที่แนวการสืบสวนคดีมีพาดพิงถึงตัวละครเป็น 3ทหาร 1ตำรวจ และกำลังโยงให้เข้าไปใกล้ตัว พล.อ. เชษฐา เพื่อโยงไปต่อถึงคนที่ชื่อทักษิณ แต่กลับสะดุดเมื่อหนึ่งในทหาร ที่ถูกกล่าวหาออกมาปฏิเสธและมีการฟ้องร้องซึ่งศาลก็รับฟ้องไว้

ตอนนี้คนแซ่ลิ้ม ก็เริ่มอ้างถึงตอ เขาร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขอให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณทรัพย์ เพื่อนรักสมัยมัธยม มาเป็นหัวหน้าชุดสอบสวน เพราะไม่ไว้ใจใครเลยในกรมตำรวจ นอกจากนายตำรวจท่านนี้คนเดียว

นานหลายเดือนของการสืบสวน คดีก็ไม่ยอมคืบหน้า สามารถออกหมายจับได้เพียงลูกแถวสองรายเป็นตำรวจหนึ่งและทหารหนึ่ง แค่นั้น

ทุกอย่างก็ยังตันอยู่กับที่ คดีไม่ยอมคืบหน้า หมายจับก็ไม่สามารถจับได้ พล.ต.อ. ธานีเองก็เหมือนยังไม่สามารถทำให้คดีเกิดความกระจ่างกับคนแซ่ลิ้ม จึงได้โบ้ยไปที่การสอบสวนสืบสวนว่า มีตอ มีไส้ศึก ในกรมตำรวจ

อีกมุมหนึ่ง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ได้เข้ารายงานตรงกับนายกรัฐมนตรี ไม่ผ่านผู้ใดทั้งสิ้น นายกฯเองก็เคยเผลอตัวพูดออกมากับนักข่าวว่า “รู้ตัวผู้บงการทั้งหมดแล้ว” ซึ่งก็เดาไม่ออกว่าคนที่นายกฯรู้นั้นเป็นใคร

จากนั้น นายกฯมาร์คก็จ้องจะปลดผบ.ตร.ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าต้องการให้คดีคนแซ่ลิ้ม เดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุดตอ
แต่จนแล้วจนรอดก็ปลดผบ.ตร.ไม่ได้ เพราะพล.ต.อ.พัชรวาทไม่ได้มีความผิดอะไร ไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่ระบุว่าพล.ต.อ.พัชรวาทเป็นตอในคดีสนธิ

มี นายสุเทพ เทือกสุวรรณ รองนายกฯ การันตีมาตลอดว่าผบ.ตร.ไม่ใช่ตัวอุปสรรคของคดีนี้

รายงานลับของบิ๊กตำรวจ 4 ฉบับก็ไม่ได้พาดพิงถึงผบ.ตร.เลย

พอปลดไม่ได้ นายกฯมาร์คก็งัดแผนตั้งรักษาการแทนผบ.ตร.ขึ้นมา แถลงข่าวฝ่ายเดียวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นคนเสนอจะไปราชการที่ประเทศจีนและจะขอลาพักร้อนต่อนาน 10 วัน ซึ่งเป็นเหตุผลให้นายกฯ แต่งตั้งรักษาการแทนผบ.ตร.ขึ้นมาจนได้

ผบ.ตร.ไปจีนแล้วรีบตั้ง รรก.ก็ยังพอดูได้ แต่การตั้ง รรก.แทนในช่วงที่สั่งให้ไปราชการที่ภาคใต้นี่สิ มันสุโค่ยมากเลยมาร์ค...

แต่แล้วปริศนาเรื่องคดีมีตอหรือไม่ก็เริ่มเปิดเผย เมื่อถึงบทวอลเปเปอร์คนสนิทของนายกฯ ออกจากฉากมาทำท่าแฉถึงโผโยกย้ายนายตำรวจประจำปี และนายกฯก็ทำเป็นกระตืนรือร้นสั่งชะลอและตรวจสอบเอาเสียเอง

คนก็เลยถึงบางอ้อกันทั้งแถบ...

จากคดีสังหารคนแซ่ลิ้ม เผลอแผล็บเดียวกลายเป็นเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่กันไปแล้ว และโยงใยไปถึงกระทั้งการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำปีที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จของกรมตำรวจเอง ฝ่ายการเมืองไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

เริ่มจาก “ตอ” ขยับต่อมาที่ “โผ ผบ.ตร.” นี่ละหนอ “ตอ”ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่สุดท้ายก็สรุปได้รู้กันแล้วว่า มันก็คือ “ตอแหล” อีกแล้วนั่นเอง

กองบรรณาธิกวนขอคารวะ


โดย: แฮรี่....พลอตเรื่อง กับห้องแห่งความลับ (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:0:20:46 น.  

 
ประชาชนวิเคราะห์ข่าว
เปิดถุงเงิน \\"สฤษดิ์ -ถนอม -บิ๊กจ๊อด-บิ๊กบัง\\" เรียกพวกเขาว่า คณะมั่งคั่งแห่งชาติ(คมช.) ?
ศุกร์ ที่ 9 เดือน เมษายน พ.ศ.2553






ประชาชาติฯ ตามไปดู เศรษฐีใหม่ ที่ร่ำรวยหลังยึดอำนาจ จากยุค จอมพลผ้าขาวม้าแดง ถึง ยุค บิ๊กบัง ทรัพย์สินและความมั่งคั่ง ท่านได้แต่ใดมา ? พลเอกสนธิ เบาะ ๆ แค่ 90 ล้าน บิ๊กจ๊อดและเมีย เรียบโร้ยระดับ พันล้าน 3 จอมพลกิตติขจร-จารุเสถียร รวมกันพันล้าน สุดยอดต้องยกให้ จอมพลสฤษดิ์ ทะลุ 2,800 ล้าน

...น่าแปลกที่ นายพล และพลเอก หลายคน ยิ่งพูดเรื่องรักชาติ มากครั้ง และเสียงดัง มากขึ้นเท่าใด
พวกเขา ยิ่งร่ำรวย ยิ่งมั่งคั่ง
และยิ่งถ้า พวกเขาตบโต๊ะ ประกาศลั่นว่า อั้ว รักชาติ นั่นแสดงว่า สินทรัพย์ของ ฯพณฯ ทะลุ พันล้านแล้ว
ในยุคเผด็จการที่ นายพล กับ เจ้าสัว เชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน ช่วงกลางทศวรรษ 2490
พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นกรรมการบริหารบริษัท 26 แห่ง ซึ่งมีทั้ง ธนาคาร บริษัทภาพยนตร์ โรงแรม โรงงานน้ำตาล ธุรกิจนำเข้าส่งออก และธุรกิจเครื่องจักรกล
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่งเป็นกรรมการบริหาร 22 บริษัท
ปี 2512 จอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นกรรมการบริษัท 44 แห่ง พลเอกกฤษณ์ สีวะรา 50 แห่ง
อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงศ์ ถูกเชิญเป็นกรรมการบริษัท 33 แห่ง
หลังการอสัญกรรมของจอมพลสฤดิ์ มีข้อมูลระบุว่า จอมพลผ้าขะม้าแดงสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและครอบครัวถึง 2,800 ล้านบาท
นี่คือ ผลตอบแทนความรักชาติ ที่สงวนสิทธิ์เฉพาะ ผู้สวมท็อปบู๊ต เท่านั้น
@ ผู้รักชาติ นักปฎิวัติ และเศรษฐีใหม่
ในวาระครบรอบ 3 ปี แห่งการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกปล้นอำนาจ ออกมาแฉว่า การรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน คนไทยไม่ได้อะไรเลย นอกจากได้เศรษฐีใหม่ส่วนใหญ่เป็นยศพลเอกและได้ทหารที่เข้มแข็งมีอาวุธมากขึ้น
แม้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เจาะจงชื่อผู้โค่นอำนาจเขา แต่ถ้าจับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพรรคเพื่อไทยที่ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบความมั่งคั่งของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เครือญาติ ตลอดจนนายทหารร่วมกันยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะเข้าใจนัยของอดีตนายกฯทันที
ขณะที่ พล.อ.สนธิซึ่งมีทีท่าว่าจะลงสนามการเมืองได้ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่าพร้อมให้ตรวจสอบ เพราะได้แจ้ง ป.ป.ช.ไปหมดแล้ว
เท่ากับจนถึงขณะนี้ภาระการพิสูจน์ความจริงถูกโยนไปที่ ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว
จากกรณีดังกล่าว หากเปิดกรุสมบัติของอดีตผู้นำ คมช.ที่ยื่นแสดงต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งรองนายกฯ ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พบข้อมูลที่น่าสนใจ
เพราะว่านายทหารอาชีพ 1 คน ภรรยา 2 คนไม่ได้ทำธุรกิจ และ บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 1 คน รวม 4 คน มีทรัพย์สินรวมกันกว่า 90 ล้านบาท (ไม่รวมบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว 4 คน) ถือว่าไม่น้อย เมื่อเทียบกับนายทหารชั้นยศพลอากาศเอก และ พลเรือเอก ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันที่มีทรัพย์สินแค่ 30 ล้านบาท
ทั้งนี้ วันที่ 5 ต.ค. 2550 ตอนรับตำแหน่งรองนายกฯ พล.อ.สนธิแจ้งว่ามีทรัพย์สิน 38.7 ล้านบาท นางสุกัลยา คู่สมรส คนที่หนึ่ง 14 ล้านบาท นางปิยะดา คู่สมรส คนที่สอง 36.9 ล้านบาท น.ส.ศศินภา บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 3 แสนบาทเศษ รวม พล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา 53.1 ล้านบาท แต่ถ้ารวมนางปิยะด้วยเท่ากับ 90.1 ล้านบาท
วันที่ 6 ก.พ.2551 ตอนพ้นตำแหน่ง ทรัพย์สินของ พล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา เพิ่มเป็น 60.1 ล้านบาท
กระทั่งพ้นตำแหน่งครบ 1 ปีวันที่ 5 ก.พ. 2552 ทรัพย์สินของพล.อ.สนธิ นางสุกัลยา และน.ส.ศศินภา เพิ่มเป็น 62.2 ล้านบาท น่าสังเกตว่าการยื่นบัญชีฯ 2 ครั้งหลัง พล.อ.สนธิ มิได้แจ้งทรัพย์สินของภรรยาคนที่สอง แต่อย่างใด
หากเปรียบเทียบครั้งแรก กับ ครั้งหลัง ช่วงเวลาเพียงปีเศษ เพิ่มประมาณ 9 ล้านบาท ถือว่าพอสมควร (ถ้าการยื่นบัญชีฯครั้งแรก ไม่คลาดเคลื่อนหรือหลงลืม)
เมื่อเจาะลึกพบว่า พล.อ.สนธิมีเงินลงทุน ได้แก่ หุ้นการบินไทย ,กองทุนเปิดทหารไทยพันธบัตร และ หุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ นสค. รวม 11.2 ล้านบาท ไม่เปลี่ยนแปลง แต่รายการที่เพิ่มขึ้นคือ "ที่ดิน " และ "เงินฝาก"
เงินฝาก ตอนรับตำแหน่ง พล.อ.สนธิแจ้งว่ามี 23.5 ล้านบาท นางสุกัลยา 3.9 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่งพล.อ.สนธิมี 29.3 ล้านบาท นางสุกัลยาลดลงเหลือ 1.3 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง 1 ปี พล.อ.สนธิมี 26.6 ล้านบาท นางสุกัลยาเพิ่มเป็น 1.6 ล้านบาท
ส่วนที่ดิน ตอนรับตำแหน่ง พล.อ.สนธิแจ้งว่าไม่มี นางสุกัลยามี 1 แปลง 1.3 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง พล.อ.สนธิ มี 1 แปลง มูลค่า 3.3 ล้านบาท นางสุกัลยา 4 แปลง 5.2 ล้านบาท ตอนพ้นตำแหน่ง 1 ปี พล.อ.สนธิมีที่ดิน 6 แปลง 6.3 ล้านบาท ส่วนนางสุกัลยามี 4 แปลง
เบ็ดเสร็จที่ดินของคนทั้งสองเพิ่มขึ้นประมาณ 9 แปลง
@ บิ๊กบัง หรือ จะสู้ บิ๊ก จ๊อด
ขุมทรัพย์ของ "บิ๊กบัง" เท่าที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ถ้าวางเทียบกับ บุรุษเสื้อคับอย่าง พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธานสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่โค่นอำนาจ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ถือว่าจิ๊บจ๊อยเป็นอย่างยิ่ง
มีข้อมูลระบุว่า "บิ๊กจ๊อด" ผู้ให้สัมปทาน "ดาวเทียมสื่อสาร"แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ รวยนับพันล้านบาท
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามการดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของ พล.อ.สุนทร ชุดนายทองใบ ทองเปาด์ อดีตส.ว.มหาสารคาม ได้ตรวจสอบพบว่า "บิ๊กจ๊อด" มีทรัพย์สินอยู่ในการครอบครองของนางอัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร ภรรยา (อีกคน) ของ พล.อ.สุนทร ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ภายหลังจาก พล.อ.สุนทรเสียชีวิตเกิดศึกแย่งชิงมรดกระหว่าง นางอัมพาพันธ์ กับ พ.อ.(หญิง) คุณหญิงอรชร คงสมพงษ์ ภรรยาของพล.อ.สุนทร นางอัมพาพันธ์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแห่งกรุงเทพใต้ ขอให้มีคำสั่งเป็นผู้จัดการมรดก โดย พ.อ.(หญิง) คุณหญิงอรชร และบุตรชาย 2 คน ยื่นคัดค้าน พร้อมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางอัมพาพันธ์ กับพวก รวม 12 คน เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรม และเรียกคืนทรัพย์สินประมาณ 3,900 ล้านบาท
คณะกรรมาธิการวิสามัญฯเข้าไปตรวจสอบสินมูลค่า 1,000 ล้านบาท และมีข้อสังเกตว่า ช่วงก่อน-หลัง เป็นประธาน รสช. บัญชีเงินฝากของ พล.อ.สุนทร มีกระแสเงินไหลเวียนเข้า-ออก สูงถึง 122.6 ล้านบาท และ จำนวน 127.3 ล้านบาท ตามลำดับ
นางอัมพาพันธ์ ไม่ได้ประกอบธุรกิจ นอกจากเล่นหุ้นในบางครั้งแต่กลับมีทรัพย์สินในครอบครองมูลค่าถึง 1,000 ล้านบาท และไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าได้ทรัพย์สินมาอย่างไร
ต่อมากรมสรรพากรได้เรียกนางอัมพาพันธ์มาชี้แจงแหล่งที่มาของเงินฝากใน 29 บัญชี ประมาณ 500 ล้านบาท ปรากฏว่านางอัมพาพันธ์ ชี้แจงได้ประมาณ 400 ล้านบาท อีก 100 ล้านบาทชี้แจงไม่ได้ กรมสรรพากรจึงเรียกเก็บเสียภาษี พร้อมชดเชยค่าปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมายกำหนด รวม 75 ล้านบาท
@ บิ๊กจ๊อด หรือ จะสู้ 2 จอมพล
อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของ "บิ๊กจ๊อด" ถ้าเทียบกับ จอมพลสฤดิ์ ธนะรัชต์ กับ จอมพลถนอม กิตติขจร อาจใกล้เคียงกัน
ภายหลังการอสัญกรรมของจอมพลสฤดิ์ มีข้อมูลระบุว่า จอมพลผ้าขะม้าแดงสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและครอบครัวถึง 2,800 ล้านบาท
จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งเคยเป็นลูกน้องจอมพลสฤษดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในขณะนั้นถึงเหตุผลในการยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 จำนวน 604.5 ล้านบาท ว่าอดีตเจ้านายของเขาใช้อำนาจโดยมิชอบกระทำการเบียดบังและยักยอกทรัพย์สินของรัฐ
และให้เหตุผลในการประกาศใช้ มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ว่าต้องการมาใช้หนี้รัฐ เพราะจอมพลสฤษดิ์นำเงินของรัฐไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเป็นเงินฝากในธนาคารประมาณ 400 ล้านบาท ไม่รวมเงินฝากในต่างประเทศอีกหลายร้อยล้านบาท
ขณะที่จอมพลถนอมซึ่งถูกนายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกฯคนที่ 12 ใช้อำนาจตามมาตราเดียวกันยึดทรัพย์พร้อมกับจอมพลประภาส จารุเสถียร และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2517 มีมากกว่าพันล้านบาท
ในจำนวนนี้เป็นเงินฝากกว่า 472 ล้านบาท แบ่งเป็นจอมพลถนอม 24 ล้านบาท ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร 98 ล้านบาท พ.อ.ณรงค์ 32 ล้านบาท นางสุภาภรณ์ กิตติขจร 32 ล้านบาท ไม่รวมทรัพย์สินอื่น 700-800 ล้านบาท
เห็นได้ว่าผู้โค่นอำนาจในยุคอดีตแต่ละคนล้วนมั่งคั่ง ขณะที่นายทหาร คมช.ผู้โค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อวันที่ 19 กันยายน หลายคนอู้ฟู่
การจัดซื้ออาวุธนับหมื่นล้านบาทถูกวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งเมือง
เพราะรักชาติ กันทีไร ก็ร่ำรวยกันทันตาเห็น !!!

//www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1254482992



โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:24:22 น.  

 

"หนี: บทความจากหนึ่งวัน ในเวทีราชประสงค์" โดย วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 03:24:32 pm »
"หนี: บทความจากหนึ่งวัน ในเวทีราชประสงค์" โดย วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
Thu, 04/22/2010 - 13:01 | by BooBoo | Vote to close topic
"หนี: บทความจากหนึ่งวันในเวทีราชประสงค์" โดย วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
หมายเหตุ "วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล" นักเขียนและนักดนตรีรุ่นใหม่ ได้เขียนบทความชื่อ "หนี: บทความจากหนึ่งวันในเวทีราชประสงค์" และนำไปเผยแพร่ใน //www.facebook.com/wannasingh ทางมติชนออนไลน์เห็นว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อดังนี้
หนี: บทความจากหนึ่งวันในเวทีราชประสงค์

Thanks: ?ҡÙ? ??ễ?ɒ
หนี
"เพราะความเกลียดชังไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจ..."
วันนี้วันที่ 17 เมษายน 2553
ผมนั่งอยู่กลางสี่แยกราชประสงค์ กลางที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
...ผมมาที่นี่เพื่อเขียนหนังสือ
เหตุการณ์ความรุนแรงที่สี่แยกคอกวัวผ่านมาได้ครบหนึ่งอาทิตย์ กรุงเทพฯเพิ่งผ่านพ้นสงกรานต์แห่งความมัวหมองมาเป็นปีที่สองติดต่อกัน ผู้ชุมนุมยังคงหลับนอนอยู่ริมถนนทางเดิน ความจริงยังคงไม่ปรากฎ และทางออกของประเทศไทยก็ยังไม่ก่อเป็นตัวเป็นตนมาให้ผู้ใดได้พบเห็น
และสีผิวของผมเองก็ยังคงเป็นสีแทนเข้ม ...ผลพวงจากการไปดำน้ำดูปะการังที่หมู่เกาะสุรินทร์มาเมื่อช่วงสงกรานต์
เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน ระหว่างที่เกิดเหตุชุลมุน ตัวผมอยู่ที่กองถ่ายหนังเรื่องอินทรีแดง กำลังแกล้งทำเป็นขับรถไปส่งอนันดา เอเวอริ่งแฮมผู้ซึ่งกำลังแกล้งทำเป็นเมาอยู่หน้ากล้องถ่ายภาพยนต์ คืนนั้นเป็นวันปิดกล้อง และพวกเราถ่ายกันจนถึงเช้า วันต่อมา ผมก็บินไปที่ภูเก็ตทันที เพื่อการลาพักร้อนช่วงสงกรานต์ที่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้หลายเดือน
ระหว่างที่คนไทยเป็นล้านกำลังก่อสงครามกันทั้งในเชิงความคิดและการกระทำ ผมได้ไปนอนรีสอร์ทห้าดาวที่อำเภอเขาหลัก จังหวัดพังงา โดยที่ไม่ต้องออกตังค์สักบาท
ระหว่างที่ผู้ชุมนุมกำลังเข้าแถวรอรับอาหารที่แจกจ่ายกันในเวทีราชประสงค์ และทหารกำลังตั้งแถวเพื่อเตรียมพร้อมรับจลาจล ตัวผมซึ่งเดินทางต่อไปเยี่ยมคุณยายที่จังหวัดตรังก็ได้รับเงินอั่งเปาผิดฤดู มาสองหมื่นบาทโดยที่ไม่ต้องเปิดปากขอสักคำ
และระหว่างที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
...ตัวผมเอง ก็ได้เปลี่ยนผิวตัวเองเป็นสีแทน
ชนชั้นกลางมีบทบาทอะไร?
ผมมั่นใจว่าผมเองไม่ใช่คนเดียวที่กำลังมีคำถามนี้อยู่ในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความโกลาหลวุ่นวายได้แผ่ออกไปปกคลุมทุกหย่อมหญ้าของ ประเทศไทยเฉกเช่นในนาทีนี้
เหล่าคนหนุ่มสาวผู้ใส่ใจสังคมที่อยู่รอบๆตัวผมก็ต่างเริ่มมีความร้อนรนมา สุมอยู่ในอก ต่างเริ่มกังขาถึงความหมายที่ตัวเองมีต่อยุคสมัย และต่างก็เริ่มมีความกระหายในสันติภาพในแบบที่ไม่เคยรู้สึกกันมาก่อน
"เราจะทำอะไรได้บ้าง" ดูเหมือนว่าจะเป็นคำถามที่เริ่มได้ยินกันบ่อยครั้ง
"ไม่รู้สิ" วลีนี้ก็เป็นคำตอบที่ได้ยินบ่อยพอๆกัน
และในขณะที่ความห่วงใยที่ไม่มีผลลัพธ์เริ่มเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากขึ้น ความเกลียดชังก็กลายเป็นความรู้สึกที่ลิ้มรสได้ในทุกวินาทีเฉกเช่นเดียวกัน
ในขณะที่บางคนกำลังร้อนรนที่จะหาทางแก้ไข บางคนก็เลือกที่จะด่าทอว่าร้าย ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายตรงกันข้ามกัน หรือว่าจากผู้มีอันจะกินที่ดูเหมือนว่าจะอยู่ "เหนือ" ความขัดแย้งในสังคมครั้งนี้
ในขณะที่บางคนกำลังเลือกที่จะเปิดตาที่เคยปิดไว้หนึ่งข้าง บางคนก็เลือกที่จะหลบหนีออกไปจากวงเวียนแห่งความขัดแย้งนี้ ...หลบไปอยู่ในโลกใบที่สวยงามของตัวเอง
หลบหนี... ดั่งเช่นที่ผมได้ทำเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา
ในความเป็นจริง ผมเชื่อว่าการหลบหนีไม่ใช่เรื่องที่ "ผิด" เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้สังคมดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองได้นั้น ไม่ได้มาจากการต่อสู้หรือดิ้นรน หากแต่มาจากการสร้างสรรค์และผลพวงของการทำงานหนัก หรือหากพูดอีกแง่หนึ่ง ผมเชื่อว่าการที่คนคนหนึ่งเลือกที่จะไม่สนใจการเมืองเลย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองไปให้ดีที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องผิดเลย ในทางตรงกันข้าม นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมที่สุดที่เราพึงจะทำได้ก็เป็นได้
แต่สำหรับตัวผมเอง ถ้าหากว่าไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้แล้วละก็ ผมเองก็อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ว่าผมเองอยู่ในกลุ่มคนที่มี "สิทธิ์" ที่จะหลบหนีจากเรื่องเหล่านี้ได้ทุกเมื่อ สิทธิ์ที่ผมได้มาตั้งแต่กำเนิดจากการเกิดมาในครอบครัวที่มีอันจะกิน
ในขณะที่ผู้ชุมนุมที่อยู่ที่ราชประสงค์นี้ แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่แลดูแล้วเหมือนว่าเกิดมาจะไม่เคยได้รับสิทธิ์นี้เลย
และสภาพของสังคมไทยที่เริ่มผุพังลงเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า "ทำไม"
ผมยอมรับว่าเมื่อช่วงแรกๆที่ความขัดแย้งทางความคิดนี้เริ่มบานปลายกลาย เป็นความโกลาหลในหลายๆรูปแบบ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกหงุดหงิดกับมัน บางครั้งวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายต่างๆอย่างรุนแรง และไม่ว่ากลุ่มไหนจะเป็นต้นเหตุ ผมก็มักจะมองว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในความขัดแย้งนั้น โดยมีทั้งอัตตาและสิ่งแวดล้อมที่คอยย้ำบอกตัวผมเสมอๆว่าผมนั้นมี "ปัญญา" และ "การศึกษา" มากเกินกว่าที่จะมาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร
และเมื่อความคิดเช่นนั้นบังเกิด โดยที่ไม่รู้ตัว ผมก็ได้สร้างมุมมองที่เหมือนว่าจะเข้าใจแรงจูงใจของผู้คนแต่ละกลุ่ม แต่ละชนชั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมจริงๆในการเคลื่อนไหวนั้นๆ
โดยที่ไม่เคยมีความพยายามในการพิสูจน์ว่าความคิดเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง หรือไม่
การหลบหนี อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ "ผิด" แต่สำหรับตัวผม มันได้กลายเป็นเรื่องที่ "น่าละอาย" ไปเสียแล้ว
น่าละอาย ที่ตัวเองไม่มีความพยายามมากกว่านี้ที่จะ "เข้าใจ"
และด้วยเหตุนี้ ผมจึงมาที่นี่ในวันนี้
ผมไม่ได้มาเพื่อแสดงตัวว่าผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับใคร ไม่ใช่เพื่อใช้ดวงตายืนยันความป่าเถื่อนหรือความรุนแรงที่ได้รับฟังมาตลอด และผมก็ไม่ได้เขียนบทความนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ หรือการทำงานของทหาร ไม่ได้เพื่อบอกว่าให้ยุบสภาหรือไม่ยุบ ไม่ได้เขียนเพื่อวิจารณ์คุณอภิสิทธิ์หรือว่าคุณทักษิณ และในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เสนอทางออกของประเทศหรือว่าวิธีการแก้ไขความ เหลื่อมล้ำในสังคม
ผมมาที่นี่ เพื่อตามหาพวกเขา
ผมมาที่นี่ เพื่อให้ "เข้าใจ"
และผมเขียนบทความนี้ เพราะหวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้คนเริ่มรู้สึกกระหายในความเข้าใจ เฉกเช่นเดียวกับที่ผมรู้สึก
ณ เวลานี้
การทำความเข้าใจ... คือบทบาทเดียวที่พวกเราทุกคน จำเป็นต้องทำ
"เพราะความเกลียดชังไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจ
...แต่ความเข้าใจ จะทำให้ความเกลียดชังไม่จำเป็น"
ณ เวทีราชประสงค์... (to be continued...)
//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271859213&grpid=01&catid=


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:27:44 น.  

 

บทความน่าอ่าน หักล้างการสลายการชุมนุมของนาย อภิสิท
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:42:21 pm »
ความผิดพลาดของอภิสิทธิ์และความรับผิดชอบกรณีสลายการชุมนุม

โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
12 เมษายน 14.36 น. มติชนออนไลน์

ขณะที่รอยเลือดของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทุกฝ่ายยังไม่จางไป นายกรัฐมนตรีรีบอธิบายว่าผู้ชุมนุมผิดกฎหมาย
ส่วนท่านก็เพียงทำตามหน้าที่ในการต่อสู้เพื่อผิวจราจร นักวิชาการบางกลุ่มเสนอว่าประชาชนมีอาวุธ
นายกจึงสั่งสลายการชุมนุมได้ สื่อมวลชนบางประเภทไปไกลขนาดว่าประชาชนคือฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบที่เกิดการเสียชีวิตขึ้นมา

กล่าวอย่างรวบรัดแล้ว คำอธิบายของนายกและผู้สนับสนุนวางอยู่บนตรรกะสองข้อ

ข้อแรก คือ การชุมนุมเป็นเรื่องผิดรัฐธรรมนูญ
ข้อสอง คือ นายกมีสิทธิสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง

นั่นคือใช้กระสุนจริง ใช้ระเบิดควัน ใช้แก๊สน้ำตา ใช้รถถัง ใช้รถหุ้มเกราะ ฯลฯ

พูดให้สั้นก็คือสมควรแล้วที่ประชาชนมือเปล่าและเจ้าหน้าที่จะบาดเจ็บล้มตาย ประชาชนควรเจ็บควรตายเพราะผิดกฎหมาย
ส่วนทหารควรเจ็บควรตายเพื่อสนองนโยบายนายกรัฐมนตรี

เรื่องที่ต้องวินิจฉัยคือการชุมนุมของประชาชนครั้งนี้ผิดรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ คำตอบคือไม่ผิด
รัฐธรรมนูญมีหลักใหญ่คือคุ้มครองการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
ส่วนหลักรองคือคุ้มครองการชุมนุมที่ไม่ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น

การชุมนุมที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์เข้าเงื่อนไขนี้ เพราะมีการรวมตัวของประชาชนมหาศาลอย่างสันติ
ความรุนแรงที่มีบ้างคือความรุนแรงทางสำนวนโวหาร ซึ่งต่อให้ใครจะชอบหรือไม่ชอบ
นั่นไม่ใช่เหตุให้อ้างได้ว่าการชุมนุมทำลายทรัพย์สินหรือชีวิต และยิ่งไม่ใช่เหตุให้นายกมีอำนาจสลายการชุมนุม

เแน่นอนว่าการชุมนุมด้วยวิธีนี้มีผู้ไม่พอใจ และผู้ชุมนุมก็ต้องยอมรับความเสี่ยงจากการเลือกวิธีสู้แบบนี้
แต่นั่นเป็นคนละประเด็นว่าประชาชนไม่มีสิทธิในการชุมนุม รัฐธรรมนูญยอมรับว่าประชาชนมีสิทธิชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ
และผ่านฟ้ากับราชประสงค์ก็คือพื้นที่สาธารณะจริง

ตราบใดที่ไม่มีกฎหมายห้ามชุมนุมในบริเวณผ่านฟ้าหรือราชประสงค์ ตราบนั้นประชาชนก็มีสิทธิตามกฎหมายในการชุมนุมในบริเวณนั้นอย่างสมบูรณ์

นายกอ้างว่าการชุมนุมละเมิดกฎหมายและทำให้มีผู้เดือดร้อน
แต่กฎหมายที่การชุมนุมละเมิดคือกฎหมายระดับ พรบ.การจราจร กฎหมายการใช้เสียง กฎหมายความสะอาด ฯลฯ
ซึ่งมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญทั้งนั้น ซ้ำโทษจากการกระทำผิดนี้ก็คือการปรับ ไม่ใช่การปราบหรือสลายการชุมนุมจนล้มตาย

การชุมนุมไม่ควรทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน แต่ต้องประเมินความเดือดร้อนตามข้อเท็จจริงรายกรณี
เช่นการชุมนุมเป็นอุปสรรคต่อการทำงานจริงหรือไม่ เข้าพื้นที่ราชประสงค์ไม่ได้จริงหรือ
ส่งเสียงรบกวนบริเวณใกล้เคียงขนาดไหน ฯลฯ ผู้ชุมนุมต้องชดเชยความเสียหายนี้
แต่นายกไม่มีสิทธิฉวยความเดือดร้อนนี้เป็นข้ออ้างสลายการชุมนุม

อย่าลืมว่าประเทศเราไม่มีกฎหมายให้รัฐบาลใช้กองทัพติดอาวุธสลายผู้ขัดขวางทางจราจรหรือใช้เสียงดัง

นอกจากพิจารณาเรื่องนี้ในแง่กฎหมาย
เรื่องที่ต้องพิจารณาด้วยก็คือผู้ชุมนุมเป็นเจ้าของพื้นที่สาธารณะไม่ต่างจากประชาชนคนอื่น
เขามีสิทธิใช้ถนนเท่าผู้ใช้รถและอภิมหาเศรษฐีที่ผูกขาดถนนนี้มาตลอดชีวิต ให้ผู้ชุมนุมใช้สิทธินี้บ้างจะเป็นไรไป
ความลำบากในการขับรถไม่พึงเป็นเหตุให้ใช้กำลังสลายประชาชน

เมื่อรัฐธรรมนูญคุ้มครองการชุมนุมของประชาชนอย่างครบถ้วน นายกรัฐมนตรีจึงผิดตั้งแต่ประกาศพรบ. ความมั่นคง
และผิดมากขึ้นที่ประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ผิดแง่กฎหมายเพราะใช้อำนาจนายกโดยละเมิดรัฐธรรมนูญ
ผิดแง่การเมืองเพราะใช้กฎหมายสำหรับจัดการศัตรูของชาติมาจัดการผู้เรียกร้องยุบสภา
แต่นายกก็เลือกทางนี้เพื่อแลกกับเครื่องมือทางกฎหมายในการจัดการผู้ชุมนุม

ถ้าพูดลงรายละเอียดให้มากขึ้น นายกฯ กระทำผิดในการสลายการชุมนุมอย่างน้อยอีก 3 ข้อ

ข้อแรก เมื่อประชาชนเริ่มรวมตัวชุมนุมที่แยกผ่านฟ้า นายกฯ ให้สัมภาษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าชุมนุมที่นั่นไม่ได้
แต่เมื่อย้ายการชุมนุมไปราชประสงค์ นายกฯ กลับคำใหม่ว่าการชุมนุมผ่านฟ้าเป็นการชุมนุมที่รัฐธรรมนูญคุ้มครอง
คำวินิจฉัยที่กลับไปกลับมาแบบนี้ไม่มีเหตุให้เชื่อได้เลยว่าเป็นคำวินิจฉัยที่ยึดหลักอะไรจริง

ต้องถามด้วยซ้ำว่านายกฯ มีสิทธิอะไรในการวินิจฉัยว่าการชุมนุมไหนขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ?
นายกอ้างอำนาจนี้ตามอำเภอใจไม่ได้ และถ้ายังไม่มีการวินิจฉัยปัญหานี้ให้เป็นที่ยุติ ก็ต้องคุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญไปก่อน
หาไม่ก็จะกลายเป็นการวินิจฉัยเพื่อละเมิดสิทธิเปะปะตามอำเภอใจ

ต่อให้เชื่อว่านายกมีสิทธิวินิจฉัยเรี่องนี้ คำถามคือทำไมสั่งสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าซึ่งเคยบอกเองว่าทำได้
ฤาสิทธิตามรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่เปลี่ยนตามใจนายกฯ?
หรือแท้จริงแล้วไม่เชื่อว่าผู้ชุมนุมมีสิทธิตั้งแต่ต้น จึงไม่เคยเคารพหลักนี้ แต่พูดเพื่อกล่าวโทษผู้ชุมนุมเป็นประเด็นข่าวไปวัน ๆ

ข้อสอง นายกฯ อ้างว่าต้องสลายผ่านฟ้าเพื่อทวงพื้นผิวจราจร แต่การจราจรในกรุงเทพฯ เวลานี้เป็นปัญหาตรงไหน?
ทุกคนรู้ว่ากรุงเทพฯ ยามสงกรานต์จะกลายสภาพเป็นมหานครใกล้ร้างไปอีกเกือบหนึ่งอาทิตย์
จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องเร่งรีบสลายการชุมนุมโดยอ้างเหตุอย่างที่กระทำไป

ถ้านายกฯ หมกมุ่นเรื่องยึดพื้นที่ให้น้อยลง ท่านสามารถชะลอการสั่งสลายการชุมนุมได้ ใช้เวลาระหว่างนั้นทำการเจรจาภายในไปพลาง
ไม่ใช่ทำตัวเป็นยามเฝ้าถนนแบบเอาเป็นเอาตายจนทำคนตายไปจริงๆ

นายกต้องตอบให้ได้ว่าทำไมสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้า ท่านควรคิดให้รอบด้านว่าผู้ชุมนุมไม่เพียงมีสิทธิใช้ถนนในฐานะสิทธิในการชุมนุม
หากพวกเขายังมีสิทธิใช้ถนนเหมือนประชาชนทั่วไป

นอกจากจะผิดที่สั่งสลาย นายกยังผิดมากขึ้นที่ให้ปฏิบัติกิจนี้ยามวิกาล
รัฐบาลประชาธิปไตยไม่ทำแบบนี้ การสลายยามวิกาลเสี่ยงต่อการปะทะระหว่างทหารกับประชาชน
เสี่ยงเกิดเหตุวุ่นวาย สร้างโอกาสที่ทหารจะฆ่าคนโดยไม่ต้องรับผิดชอบ
และที่สำคัญคือไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ชุมนุมที่จะเดินทางกลับในเวลากลางคืน

การเสียชีวิตจำนวนมากที่สุดเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุมแบบนี้เอง

ข้อสาม นายกฯ พูดนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะดำเนินมาตรการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก
แต่หลักฐานทั้งหมดปรากฏชัดว่าท่านสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าด้วยมาตรการจากหนักไปหนักที่สุด
ไม่มีคำเตือน ไม่มีการฉีดน้ำ การสลายเริ่มต้นด้วยแก๊สน้ำตา ระเบิดควัน จากนั้นเป็นการตีพื้นที่ด้วยอาวุธสงคราม

ลำพังไม่รักษาคำพูดเรื่องนี้ยังพอทำเนา

แต่ที่ไม่อาจเข้าใจได้เลยคือการอนุญาตให้นายทหารระดับสัญญาบัตรพกอาวุธสังหารและใช้กระสุนจริงสลายการชุมนุม

ท่านนายกฯ จะมองผู้ชุมนุมอย่างไรก็ว่าไป แต่อาวุธที่ทหารยิงใส่ประชาชนคืออาวุธที่ท่านให้ทหารพกพา
คำถามคือท่านให้เขาขนอาวุธสงครามไปสลายการชุมนุมได้อย่างไร? ทำไมไม่สั่งหยุดเมื่อเกิดการปะทะ?
ยิ่งกว่านั้นคือท่านอนุญาตให้พกพาอาวุธก่อนที่การปะทะจะเกิดขึ้นจริง
จะอ้างการปะทะในภายหลังเป็นเหตุในการสั่งใช้อาวุธได้อย่างไร?

นายกอ้างว่าประชาชนมีอาวุธ แต่กองทัพสลายประชาชนด้วยอาวุธสงครามที่รุนแรงกว่า ประชาชนใช้ลูกโป่งก่อกวนเฮลิคอปเตอร์
ใช้ด้ามธงปกป้องตัวเองจากทหาร ใช้ปิ๊คอัพขวางรถหุ้มเกราะ ขณะที่กองทัพใช้ปืนกล รถถัง เอ็ม 60 รถหุ้มเกราะ แก๊สน้ำตา ระเบิดควัน ฯลฯ ส่วนอาวุธที่คร่าชีวิตทหารนั้นไม่ปรากฏว่าเป็นของใคร

ถ้าสรุปให้ชัดไม่ได้ ก็อย่าปัดให้เป็นของประชาชน

คำสั่งสลายกรณีนี้ผิดเกินกว่าเหตุ ไม่ทำตามขั้นตอนอารยะ และเป็นเหตุของการปะทะจนมีผู้บาดเจ็บล้มตาย
ประชาชนผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญไม่ควรตาย เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ควรตายจากคำสั่งให้ปะทะกับประชาชน

ถ้าไม่มีคำสั่งสลายการชุมนุม ก็จะไม่มีการปะทะ ถ้าไม่มีการปะทะ ก็จะไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย
นายกคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อความสูญเสียนี้ ไม่ใช่ประชาชนผู้ชุมนุม ไม่ใช่ทหารผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง
แต่คือท่านผู้เริ่มต้นออกคำสั่งสลายการชุมนุม

คำขอโทษอย่างเดียวไม่พอ ชีวิตคนที่บาดเจ็บล้มตายและความสูญเสียด้านอื่นมีค่ากว่าคำพูดสั้นๆ ของนายกรัฐมนตรี
การตัดสินใจผิดกรณีนี้เป็นความรับผิดชอบของท่าน สัตตบุรุษพึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการกระทำ

อย่ารอให้ถึงวันที่แม้กระทั่งการลาออกก็ยังไม่เพียงพอ


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:28:46 น.  

 

ที่ท่านอดิศรพูดเรื่องโครงการสามสิบรักษาทุกโรค ยาเสพติด เรื่องทุนการศึกษา เป็นโครงการที่
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:03:40 pm »
กำลังนั่งฟังท่านอดิศรพูดถึงโครงการต่างๆในสมัยท่านทักษิณทำไว้.....มันทำได้จริงๆน๊ะ เด่วเราจะแชร์ให้ทุกคนฟังว่าเราได้ยินอะไรมาบ้าง

30 บาทรักษาทุกโรค

วันที่เรากับแม่ไปเที่ยวราชประสงค์ วันที่หยามหน้าทองมากเพราะมันเจือกประกาศพรก.ฉุกเฉินอย่างรุนแรง (ยังไงฟร่ะ) วันนั้นคนเยอะจริงๆไม่มีที่นั่งต้องไปเกาะตรงแฝงกั้นหน้าเซ็นทรัลเวิร์ด...ข้างเราก้อมีกลุ่มเฮียคนกรุงเทพฯรุ่นแม่เรานี่แหละ...คุยกันมันไปเลย...เฮียคนหนึ่งก้อเล่าให้ฟังว่าบ้านเค้าอยู่ซอยเดียวกะบ้านไอ้ทองมาก สมัยก่อนก้อเลือกพรรคไอ้ทองมากนี่แหละ เค้าเล่าว่าตอนที่ทักษิณมาหาเสียงชูโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการนู้นโครงการนี้...เค้าบอกกับเพื่อนเค้าทุกคนเลยว่า "ไอ้ทักษิณเนี่ย มันเป็นคนกะล่อน โครงการแต่ละอย่างไม่มีทางทำได้หรอก ยกเมฆพูด อย่าไปเลือก" ผลการเลือกตั้งคราวนั้น พรรคไทยรักไทยชนะ เฮียเค้าก้อบอกว่าเค้าก้อค่อยดูพรรคไทยรักไทยมากตลอด แล้วยิ่งลูกน้องเค้าไม่สบายขอลากับไปรักษาตัวที่บ้าน ผลว่าต้องผ่าตัดค่าใช้จ่ายเป็นแสน สรุปว่าลูกน้องเค้าใช้บัตร 30 บาท........ได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยกลับมาทำงานได้ จากนั้นเค้าก้อมองท่านทักษิณว่าเป็นคนเก่งจริงๆ ยิ่งใช้หนี้ IMF ได้ ไม่ธรรมดาจริง...........สรุปว่า เฮียเป็นนปก.รุ่นแรกพร้อมกะที่บ้านเราเลย

ยาเสพติด บทลงโทษหนัก

แม่เราเป็นคนเชียงใหม่ ญาติๆเค้าจะชอบโทรมาเล่าให้ฟัง ที่เชียงใหม่นอกตัวเมืองยาเสพติดเนี่ยอยู่ทุกหมู่บ้านก้อว่าได้ สมัยท่านทักษิณเป็นนายกฯ ยาเสพติดแทบจะไม่มีเลย ตำรวจปราบยาเสพติดยุคนั้นเท่สุดยอด.........วางแผนจับยาบ้าแบบแยบยลสุด............ส่งตำรวจแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มค้ายา.........เอาเป็นว่าสมัยนั้นจับยาเสพติดได้เพียบ (ตามกล่องลำไย กล่องส้ม)

ทุนการศึกษา เด็กโอทอป

ตอนนั้นน้องเราไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ต้องเรียนภาษาก่อนถึงแม้ว่าจะรู้บ้างแล้วก้อตาม สักพักนักเรียนทุนก้อเดินทางไปตามไป...นักเรียนทุนได้เงินมากกว่าน้องเราอีก (น้องมันบ่น) เราว่าก้อว่าดีแล้วเด็กที่เรียนดีแต่ไม่มีทุนจะได้มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกบ้าง แต่หลังจากปฎิวัติแล้ว น้องๆที่ได้ทุนลำบากทุกคน รัดบวมทรราชย์ส่งจดหมายว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัด สรุปว่ากูจะลดจำนวนเงินลงว่างั้นแหละ น้องๆนักเรียนทุนโทรมาเล่าให้น้องเราฟังตลอด...ไม่รู้ว่าน้องๆที่ได้ทุนเป็นไงบ้าง โดนลอยแพหรือป่าวก้อไม่รู้

เฮ้อ...เราว่าท่านทักษิณมีกรรมตรงที่โครงการดีๆที่ท่านทำ ดันไปปัดแข้งปัดขาไอ้พวกอำมาตย์เข้า...พวกอำมาตย์มันก้อเลยวางหลุมพรางให้ท่านทักษิณเดินตกลงไปโดยไม่รู้ตัว...แล้วอีกอย่างก้อคนที่อยู่รอบตัวท่านบางคนไม่ดีด้วยเพราะพร้อมที่จะทรยศท่านได้ทุกเมื่อ เหมือนไอ้ห้อยไง
บันทึกการเข้า
***ควายรู้ ควายไม่โง่ แต่ควายไม่พูด เพราะควายแสลงใจ***
coconut
น้องใหม่


Karma: +0/-0
ออฟไลน์

กระทู้: 3




Re: ที่ท่านอดิศรพูดเรื่องโครงการสามสิบรักษาทุกโรค ยาเสพติด เรื่องทุนการศึกษา เป็นโครงการท
« ตอบ #1 เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:50:41 pm »
ในยุคก่อนที่คุณทักษิณจะเป็นนายยกแถวบ้านผมหายาบ้าได้ง่ายมากเลยครับ
ด้วยเพราะเป็นเขตชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยทำให้หาซื้อยาบ้าได้เหมือน
ซื้อน้ำอัดลมจากเซเว่นเลย ทั่งผมและเพื่อนผมก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มผู้ค้าและเสพ(ช่วงหนึ่งของชีวิตที่เลวสุดๆ)
แต่พอคุณทักษิณได้ออกโครงการปราบปรามยาเสพติดเท่านั้นแหละครับที่ทำให้ผมและเพื่อนๆต้องเลิก
เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
ต้องขอบคุณโครงการนี้จริงๆนะครับไม่งั้นตอนนี้ผมและเพื่อนๆผมจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:30:13 น.  

 
ป้าพลอย
ความกร่างของรัฐบาลไทยออกข่าวต่างประเทศ!!
เสาร์ ที่ 26 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2552


บทความโดย...ป้าพลอย



อ่านข่าวการกร่างของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แล้วให้สมเพชที่สุด อ๋ออ้ายที่จับอาวุธสงครามเมื่อเร็วๆนี้ คิดการใหญ่จะทำการบุกยึดเขมรงั้นหรือนายอภิสิทธิ์? เห็นเขมรเป็นประเทศกิ๊กก๊อกในสายตาตัวเองใช่มั๊ย? แหมไม่ทราบว่านายอภิสิทธิ์รู้ทางหนีทีไล่เกี่ยวกับวิธีรบดีแล้วหรืยัง? อย่าลืมว่าทหารเขมรของฮุนเซ็นชำนาญ

การฆ่าคนสมัยพอลพจน์มาแล้ว ทหารเขมรเป็นทหารจริงๆไม่ใช่ทหารรับจ้าง นายพลเอก..ทหารเขมรไม่ออกมาตีกอล์ฟเพราะไม่มีเวลาว่าง ฉะนั้นทหารเขมรชำนาญการต่อสู้กับข้าศึกตอนที่เวียดนามเข้ายึด ทหารเขมรมีประสพการณ์หลายๆด้าน แล้วทหารไทยมีอะไร ที่เป็นหลักฐานว่ามีประสพการณ์บ้างละ?



ขนาดในบ้านของตัวเองแท้ๆที่ ภาคใต้ ทหารตายวันละกี่คน?แค่ต่อสู้กับโจรกระจอกๆภาคใต้ยังไม่ชนะเลย แล้วนายอภิสิทธิ์ จะเอาทหารที่ไม่เคยผ่านสมรภูมิไปสู้กับทหารเขมรงั้นเหรอ? ขนาดตัวเองยังขี้ขลาดหนีทหาร แล้วยังมีหน้ามากร่าง จะนำทหารไปรบกับทหารเพื่อนบ้าน นายอภิสิทธิ์ถามทหารของตนหรือเปล่าว่า

เขา สนับสนุนเต็มใจที่จะทำเพื่อตนหรือเปล่า? อยากกร่างใหญ่คับฟ้า ก็ช่วยส่งนายพลแก่ๆที่กร่างทั้งหลาย ออกเป็นแนวหน้าไปรบกับทหารเขมรที่หนุ่มๆซี รับรองแค่โป้งเดียวจอด ทำเก่งแต่นอกสนามรบ นอกสมรภูมิ แต่ในสมรภูมิได้ข่าวว่าวิ่งขาขวิด ดูตัวอย่าง นายพลตรีจำลองเป็นต้นฯ ได้ยินแค่เสียงระเบิดตูม

โน่น กระโดดขึ้นไปเกาะบนเสาอลูมิเนี่ยม ที่ตั้งเวทีหนีก่อนพื่อนเลย แล้วอย่างนี้จะไปรบกับใครวะ? ทหารที่ตายทุกๆวันที่ภาคใต้นั้น ส่วนใหญ่เป็นทหารเกณฑ์ และทหารจริงๆที่ต้องเสียสละชีวิตแทนผู้บังคับบัญชา ส่วนนายพลโท พลเอกทั้งหลาย ต่างนั่งนอนอยู่กินกันอย่างราชาแถมยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวข้องกับ

การ เมืองอยู่ในกรุง งานของนายพลคือตีกอล์ฟ ออกงานเลี้ยงสังสรรค์ ลูกน้องทหารที่ภาคใต้ ถูกโจรถล่มด้วยปืนด้วยระเบิดตายเป็นบือ ไม่มีใครมองไม่มีใครสน ไม่มีใครยกย่องเป็นวีระบุรุษผู้กล้าหาญ ไม่มีใครมาเป็นประธานพิธีเผาศพ ทหารที่รักชาติที่แท้จริง ต้องตายอย่างอนาถาขาดผู้เหลียวแล กำลังใจและการ

ปลอบขวัญทหาร นายอภิสิทธิ์เคยทำให้ทหารที่เสียชีวิตบ้างมั๊ย? เคยเอางบที่กู้มาแปดแสนล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว ของทหารที่สูญเสียชีวิตในระหว่างราชการสักบาทมั๊ย? นายอภิสิทธิ์ทำแต่เรื่องของตัวเองทั้งสิ้นตลอด 1 ปีเต็มที่เป็นนายก ฉะนั้นการที่รัฐบาลไทยกร่างอยากจะนำทหารไปรบกับประเทศ

เพื่อนบ้าน ก็ให้นายอภิสิทธิ์ออกไปคนเดียวเถอะ เพราะที่ภาคใต้ของไทยก็รับมือแทบไม่ไหวแล้ว หรือไม่ก็สั่งให้ทหารอีกก๊กหนึ่ง ที่ออกมาฆ่าประชาชนเมื่อสงกานต์เลือด ส่งตัวออกไปรบกับเขมร ในเมื่อชอบรุนแรงกับคนมือเปล่า แต่ไม่ทราบว่าเมื่อเจอของจริงแบบเขมร ทหารก๊กนี้จะวิ่งขาขวิดแบบนายพลตรีจำลอง

ป่าว? ทหารไทยบางก๊กบางพวกเห็นเที่ยวขู่ประชาชนไปทั่ว เก่งกับคนมือเปล่า แต่ก็ยังมีทหารดีๆแท้ๆอยู่อีกมาก ที่บริสุทธิ์และไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลบ้องตื้นนี้ ฉะนั้นทหารไทยไม่ใช่เลวไปทุกคน มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้น อ่านข่าวในต่างประเทศแล้วก็เลยระงับไม่อยู่ ทั้งที่วันนี้เป็นวันล้างบาปของชาวคริต์ เพราะเป็นวันลำลึก

นึกถึง องค์พระเจ้าเยซู ที่ทรงประสูตรในวันนี้ ทุกๆคนจะเข้าโบถส์ทำพิธีทางศาสนา แม้ป้าจะนับถือพุทธศาสนา แต่ศาสนาทุกศาสนาสอนคนให้ทำความดี ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกว่าเราเข้าไปในโบถส์รักษาศีลศาสนาใดไม่ได้ เพราะในเมื่อคำสั่งสอนเดียวกัน การยึดถือหลักทำความดี มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเข้า ไปยืนอยู่ในโบถส์ของศาสนาใด เราก็คือคนบริสุทธิ์มีจิตใจที่สะอาดไม่คิดอคติต่อศาสนานั้นๆแล้วเราก็จะมีชีวิตที่สุขสบายไร้ความทุกข์คะ

---------------


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:33:53 น.  

 

ป้าพลอย
ต่างชาติถามนายอภิสิทธิ์ว่าอายชาวโลกไหมเนี่ยที่เกาะขาเก้าอี้นายกใว้แบบนี้?????
ศุกร์ ที่ 9 เดือน เมษายน พ.ศ.2553


บทความโดย...ป้าพลอย

หลังจากหายหน้าหายตาไปเสียหลายสัปดาห์นั้น ไม่ได้หลบไปที่ใหนกลับประเทศไทยของเรานั่นเอง แต่ที่ไม่บอกเพราะต้องการย่องเงียบไปสังเกตุการณ์ในไทย แล้วก็ไปเจอหลายๆรูปแบบของรัฐบาลโจรดื้อด้าน ขั้นแรกขอพูดเรื่องดื้อดึงไม่
ยุบสภา เพราะว่าการยืดเยื้อครั้งนี้ของนายอภิสิทธิ์ดำเนินตามคำสั่งที่มอบหมายมา หากนายอภิสิทธิ์สยบเสื้อแดงนั่นหมายถึงอมาตย์และบริวารอดตาย เนื่องจากอมาตย์เกาะชายเสื้อรัฐบาลให้เป็นแนวหน้า เพราะตัวเองไม่กล้าออกมาเนื่องจาก

กลัวประชาชนจะไม่ศรัทธาสถาบันที่ตนอาศัยอยู่ แต่ก็น่าขันชาวบ้านทั่วไปในประเทศไทยแม้แต่ตาสีตาสาตามบ้านนอกไหง๋รู้จนหมดเปลือก ป้าพลอยช๊อคเลย พวกเขารู้ดีกว่าซะอีก กลับไปไทยคราวนี้ชาวบ้านเป็นแดงเต็มไปหมดบอกตาสว่างแล้ว แถมเอารถตัวเองขับเข้ากรุงเทพฯมาร่วมกับเสื้อแดงในกรุง ป้าพลอยได้ถามพวกเขาว่าเมื่อปีกลายนี้ไม่เห็นสนใจอะไรกันเลย แล้วทำไมปีนี้ถึงสนใจละ? คำตอบ..เพราะทนไม่ไหวกับรัฐบาลตอแหล มีนายกเอาปากทำงานอย่างเดียว


มือไม่ทำ บางบ้านข่าวไม่เปิดดูกันเลยไม่ว่าจะเป็นข่าวสองทุ่มก็ไม่เปิดดู เพราะเกลียดนายอภิสิทธิ์ตอแหล กลับไทยปีนี้เห็นคนไทยก้าวหน้าไปไกลแล้ว ใครบอกคนชนบทโง่?? ไม่ใช่แล้วได้รับฟังด้วยหูตัวเองและคุยกับตาสีตาสาด้วยตัวเอง พวกเขาด่ากันไม่มีชิ้นดี เมื่อปีที่แล้วยังเหลืองจัด แต่ปีนี้ตาสว่างกันหมด เหลืองหาซากไม่เจอเลยอะไรจะรวดเร็วปานนี้ สาเหตุเพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เข้ามาไม่ได้พัฒนาอะไรให้ประชาชนเลย นายอภิสิทธิ์ใช้งบประมาณที่กู้มาแจกจ่าย

ผิดทาง นายอภิสิทธิ์เรียกเก็บภาษีมหาโหดเพื่อเอาไปใช้หนี้ที่กู้มา คนจนๆที่รอความช่วยเหลือไม่มีโอกาศได้เห็นงบของรัฐบาลชุดนี้แต่ต้องมาใช้หนี้ให้ ฉะนั้นด้วยที่เศรษฐกิจตกต่ำและการทำมาหากินฝืดเคืองจึงเพิ่มจำนวนคนเกลียดนายอภิสิทธิ์และอมาตย์เพิ่มขึ้นที่เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศไทย ฟังการสาธยายของชาวบ้านที่ไม่ได้เล่นเน็ตนะเนี่ย เขายังรู้ข้อมูลจากปากต่อปากที่คุยต่อทอดกันมา ดังนั้นแดงจึงเกิดไปทั่วแผ่นดินไทยแล้ว ระบบอมาตย์อีกไม่นานถูก

ประชาชนสอยร่วงแน่นอน เพราะต่างตาสว่างกันหมด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเสียดายเวลาที่ผ่านมา ฉะนั้นหากรัฐบาลนี้ยังไม่ยอมยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนมีหวังคนเสื้อแดงที่ยังหึ่มๆอยู่ทางบ้านเข้ากรุงเทพฯมาล้อมกรอบเมืองหลวงของไทยรอบนอกแน่นอน เพราะกรุงเทพฯไม่ใช่ใหญ่โตอะไรหากประชาชนต่างจังหวัดเหนือ ใต้ อิสาน ตะวันออก ตะวันตกและภาคกลางล้อมนอกกรุงเทพฯใว้หมด รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่มีทางชนะแน่นอน อันนี้เป็นข้อคิดเห็นของชาวต่างชาติ


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:36:30 น.  

 
เช่นกัน ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ไม่มีทางชนะประชาชนได้ เพราะแดงคือประชาชนมือเปล่าที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ แต่ประชาชนเสื้อแดงมีพลังประชาชนอยู่ในมือ นายอภิทธิ์จะมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในมือแต่ประชาชนเสื้อแดงก็ไม่กลัวกัน พลังประชาชนเสื้อแดงคือพลังช้างไทยที่จะเยียบหน้าคนชั่วในแผ่นดินนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง และพังกำแพงระบบกดประชาชนให้อยู่ใต้เท้าเป็นเวลาช้านานให้พ้นไปจากประเทศไทย ฉะนั้นเสื้อแดงคือพลังบริสุทธิ์ของคนไพร่ที่ถูกเรียก และพวกไพร่อย่างคนเสื้อแดงคือไพร่ที่ทำเพื่อประชาชนทุกฐานะ ไม่ใช่เลือกปฏิบัติทำแบบพวกศักดินาที่เลือกทำเพื่อพวกตัวเอง

เราคนเสื้อแดงรักสามัคคีกันเอื้อเฟื้อต่อกันจะเห็นได้ในเวลานี้ ม๊อบแดงไม่ได้ถูกจ้างมา ประชาชนหัวใจสีแดงต่างมากันเองและควักเงินเป็นค่าใช้จ่ายเอง มีบางคนยังกังขาว่าถูกจ้างมาทั้งที่เห็นๆอยู่ว่าทุกหน่วยงานตั้งกล่องรับบริจาคอยู่หน้าหน่วยทั้งสิ้น ป้าพลอยได้มีโอกาศไปเดินชมที่ถนนราชดำเนิน เพื่อจะได้เห็นด้วยตาตนเอง ภาพที่เห็นนั้นให้ทึ่งต่อผู้คนชาวเสื้อแดง ที่ยอมลำบากกินนอนข้างถนนกับอากาศที่อบอ้าวและสกปรกไปด้วยฝุ่นละออง อีกทั้งเสียงจากท่อไอเสียรถยนต์

และเสียงจากลำโพงปราศรัยที่ดังอยู่ 24 ชั่วโมง เขาทนอยู่ในสภาพนี้มาเกือบจะครบเดือนแล้ว ฉะนั้นการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้รัฐบาลมหาโจรหยุดหลอกลวงประชาชน หยุดเป็นทาสรับใช้อมาตย์หยุดเป็นทาสรับใช้ทหาร หยุดพฤติการณ์สั่งฆ่าประชาชนอันชั่วร้ายนี้ซะ หยุดการใช้อำนาจป่าเถื่อนข่มขู่ประชาชนเสื้อแดงเพราะหากเมื่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพหมดอำนาจเมื่อใดสองคนนี้ไม่อาจอาศัยในประเทศไทยได้ เท้าของคนเสื้อแดงจำนวนล้านๆเท้าคงไปกระทบ

สองนายนี้เป็นของขวัญแน่นอน หยุดบ้าอำนาจได้แล้วนายอภิสิทธิ์หนทางของคุณกำลังเดินลงเหวที่ตัวเองขุดใว้ และกรรมที่ทำใว้กับท่านทักษิณกำลังมาเยือน โปรดยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนทั้งประเทศแล้วคุณก็จะปลอดภัยไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้าบ้านไม่ได้อย่างนี้ ต่างประเทศเขาหัวเราะคุณกันทั้งนั้นว่านายกไทยหนีตายกลัวเสื้อแดงเยียบหน้า แล้วคุณอายเขาไหมนายอภิสิทธิ์?


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:37:14 น.  

 
ประชาชนวิเคราะห์ข่าว
สถานีโทรทัศน์เอบีซีได้ปิดสำนักงานในกรุงเทพฯ
อาทิตย์ ที่ 18 เดือน เมษายน พ.ศ.2553





วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 20:00:13 น. มติชนออนไลน์

กต.ยื่นประท้วงสารคดีโทรทัศน์"เอบีซี"ของ"ออสซี่" หมิ่นสถาบันวิพากษ์วิจารณ์ "ราชวงศ์ไทย"

เมื่อวันที่ 16 เมษายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ไทยได้ทำการยื่นประท้วงต่อรัฐบาลออสเตรเลียกรณีที่สถานีโทรทัศน์ออสเตรเลียน บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชัน (เอบีซี) ของออสเตรเลียได้ แพร่ภาพออกอากาศรายการสารคดีที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ของไทยและเตือนว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติได้

เอเอฟพีระบุว่า นายศักดิ์สีห์ พรหมโยธี อัครราชทูตที่ปรึกษา ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ได้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 15 เมษายน เพื่อแสดงความกังวลเกี่ยวกับการออกอากาศรายการดังกล่าว

นายศักดิ์สีห์กล่าวว่า "ประเด็นที่มีความกังวลคือเรื่องนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับออสเตรเลียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน โดยเราพิจารณาว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นด้านความมั่นคงเนื่องจากราชวงศ์ในกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยเป็นสถาบันที่อยู่เหนือการเมือง"

ขณะที่นายเกรียงศักดิ์ กิตติชัยเสรี เอกอัครราชทูตไทยประจำออสเตรเลีย ได้เขียนจดหมายถึงนายมาร์ค สก๊อตต์ ผู้อำนวยการบริหารของสถานีเอบีซีโดยแสดงความไม่พอใจต่อรายการดังกล่าวที่อาจจะเป็นการละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย โดยมีเนื้อความว่า "ผมเสียใจที่องค์กรซึ่งมีความน่าเชื่อถืออย่างเอบีซีได้ลดมาตรฐานของตนโดยการออกอากาศรายการดังกล่าวซึ่งมีแนวทางการนำเสนอไม่ต่างจากหนังสือพิมพ์ประเภทแทบลอยด์ ผมเชื่อว่าเมื่อคุณตัดสินใจที่จะออกอากาศรายการที่มีความละเอียดอ่อนสูงมากเช่นนี้ จะต้องได้รับจดหมายประท้วง คัดค้านเช่นของผมอย่างไม่ต้องสงสัย ผมหวังว่าคุณจะต้องเอาใจใส่ให้จงหนัก"

ทั้งนี้ รายการดังกล่าวออกอากาศเมื่อค่ำวันที่ 13 เมษายน ในออสเตรเลียและไม่สามารถรับชมทางอินเตอร์เน็ตจากนอกประเทศออสเตรเลียได้

รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ออสเตรเลียฉบับหนึ่งระบุว่า สถานีโทรทัศน์เอบีซีได้ปิดสำนักงานในกรุงเทพฯโดยให้พนักงานหยุดงานจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ด้านโฆษกของกระทรวงต่างประเทศและการค้าของออสเตรเลียยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ของสถานทูตไทยได้แสดงความไม่พอใจต่อรายการดังกล่าวของเอบีซี อย่างไรก็ตาม กระทรวงชี้แจงว่า รัฐบาลออสเตรเลียไม่สามารถควบคุมเนื้อหาที่มีการเผยแพร่ในสื่อมวลชนของออสเตรเลียได้


www.matichon.co.th/news_detail.php


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:47:09 น.  

 

ประชาชนวิเคราะห์ข่าว
สรุป ยังไงมาร์คก็เป็นคนเลว
อาทิตย์ ที่ 18 เดือน เมษายน พ.ศ.2553


ตามข่าวมาร์ค แก้ตัวมาหลายวัน สรุป ยังไงมาร์คก็เป็นคนเลวครับ ที่สั่งทหารมาฆ่าประชาชนที่เป็นเพียงศัตรูทางการเมืองเท่านั้น
อย่าเที่ยวไปเอาหลักฐาน อะไรมาทำให้สังคมสับสน

หรือทำให้ตัวเองดูดีเลย

มันปรากฎความเลวร้าย มาตั้งแต่สั่งให้ทหารกวาดล้าง

ประชาชนด้วยอาวุธ สงคราม นานาชนิดแล้ว หลักฐาน

ก็ม๊กันเห็นๆ

การที่เกิดกลุ่มไม่ทราบฝ่ายเข้าโจมตีหทาร

หรือประชาชนบางคนทำร้ายทหาร ตามที่หทารพยายามบอก

หรือฟ้องประชาน

ผมกลับมองว่า

ประชาชนทำไปเพื่อป้องกันตัวเองและ เพื่อปกป้องชีวิตผู้ชุมนุม

ทั้งสิ้น

เหตุการเลวทราม ต่ำช้านี้ มันจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้ามาร์คแก้ไข

ปัญหาด้วยการเมือง เพราะแดงไม่ใช่ศัตรูของประเทศ เขาเป็น

เพียงศัตรูทางการเมืองของมาร์คเท่านั้น

ต้องคิดว่า การประท้วงเกิดขึ้นมาก็หลายครั้ง นับแต่เหลือง

ระดมคนออกมาช่วงแรก ทั้งยิดสนามบิน ทั้งยึดทำเนียบเป็น

เดือน ทำไม รัฐบาลก่อน ไม่เลือกใช้วิธี บ้าๆ โหดๆ แบบนี้

ช่วยตอบหน่อยซิครับ ?

ดังนั้น ฝ่ายปฎิบัติ ที่ยอมทำตามคำสั่ง ก็เป็นเพียงกลุ่มทหาร

ที่ทำเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตัวเองทั้งสิ้น ถ้าปราบปแดงได้

ก็ได้ความดีความชอบไป

แต่ครั้งนี้ มันไม่หมู เกิดการต่อต้านชนิดถวายชีวิต ต่อสู้เพื่อสิทธิ

เสรีภาพของประชาชนอย่างไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง ประกอบกับมี

ทหารบางกลุ่มออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาล ร่วมกับประชาชน

นี่คือความขอบธรรมที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง และชีวิต

ผู้ชุมุนุมอีกเป็นหมื่น ไม่ให้ตกอยู่ในอันตรายทั้งสิ้น

ต่อให้พูดอย่างไร มันก็ไม่ได้ทำให้ทหาร หรือ มาร์ค ดูดี

ขึ้นแม้แต่น้อย ประชาชนกลับได้รู้ถึง ความเลว มากขึ้นไปอีก

มันปิดปากประชาชนไม่ได้ตลอดเวลาครับ

วันนี้ ประชาชนยังไม่มีโอกาสได้ออกทีวีรัฐ

ชี้แจง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มาร์ค จะรอด

ทหารที่ก่อกรรมกับประชาชนจะรอด

มันเพิ่งเริ่มต้นเองครับ ประชาชนกำลังอดกลั้น

ด้วยคาวมปวดร้าว และรอวันที่จะจัดการมาร์ค

และผู้เกี่ยวข้อง ตามกฎหมายบ้านเมือง

จากคุณ : AMR DIAB PANTIP


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:47:48 น.  

 
ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้

ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของศาลปกครอง และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้เป็นคดีรัฐธรรมนูญ



แถลงการณ์กลุ่ม ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รองศาสตราจารย์ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
อาจารย์ธีระ สุธีวรางกูร
อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล



มที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางพลี อำเภอพระประแดง อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอบางบ่อ และอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอธัญบุรี อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอสามโคก อำเภอลำลูกกา และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งประกาศ คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ นั้น

เรา กลุ่ม ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเห็นและข้อเรียกร้อง ดังนี้

๑. เสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ และเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานในรัฐเสรีประชาธิปไตย

๒. ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง คือ ให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน ๑๕ วัน ข้อเรียกร้องดังกล่าว เป็นข้อเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในรัฐเสรีประชาธิปไตย การปิดถนนและการยึดพื้นที่สาธารณะบางส่วน เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องให้รัฐบาลเจรจาต่อรองกับผู้ชุมนุม หากการกระทำดังกล่าว มีความผิดตามกฎหมายใด รัฐบาลและเจ้าหน้าที่สามารถบังคับใช้กฎหมายนั้นเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน ปราบปราม หรือลงโทษผู้กระทำผิดนั้นได้

๓. ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ไม่เพียงต่อผู้ชุมนุมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประชาชนทั่วไปในวงกว้างอีกด้วย การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนเป็นสำคัญ

เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง เราเห็นว่า การชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ยังอยู่ในกรอบของการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ หากรัฐบาลต้องการให้ผู้ชุมนุมออกจากสถานที่สาธารณะ รัฐบาลสามารถใช้มาตรการอื่นๆได้ โดยไม่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนกรณีระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ในแต่ละวันนั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง

เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่า มีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพจำนวนมาก ทั้งในแง่ความเข้มข้นของมาตรการ และในแง่พื้นที่ซึ่งครอบคลุมในหลายจังหวัด

เราเห็นว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงยังไม่ถือเป็น “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ อันเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เป็นมาตรการที่เกินความจำเป็น และไม่ได้สัดส่วน

๔. มาตรา ๑๖ ของ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ บัญญัติว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

นั่นหมายความว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของศาลปกครอง และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้เป็นคดีรัฐธรรมนูญ ส่วนจะอยู่ภายใต้การควบคุมของศาลยุติธรรมหรือไม่นั้น ยังไม่มีคำพิพากษาบรรทัดฐานยืนยันไว้ ความข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ไม่ได้รับการประกันโดยองค์กรตุลาการเพียงพอ จนอาจทำให้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกละเมิดจากการใช้อำนาจโดยมิชอบได้

เราเห็นว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ เป็นไปเพื่อสลายการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง รักษาอำนาจและความมั่นคงของรัฐบาลต่อไป ไม่ใช่รักษาอำนาจและความมั่นคงของรัฐ

ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น มีผลเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง เป็นการใช้อำนาจเพื่อทำให้มาตรการที่ปกติแล้วไม่ชอบด้วยกฎหมายในทางเนื้อหา ให้กลายเป็นมาตรการที่ชอบด้วยกฎหมายในทางรูปแบบ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยแก้ไขวิกฤติความขัดแย้งครั้งนี้ให้บรรเทาเบาบางลงไปได้ แต่กลับเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ตึงเครียดและรุนแรงมากขึ้น




เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ประกาศ คำสั่ง และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข



โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:51:16 น.  

 


โดย: nutangmo วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:19:59:30 น.  

 
อันนี้ เค้าให้เอาไว้


สำหรับคนต้องการเอาไปทำเป็น Forward mail สีแดง ส่งกลับให้เพื่อนเหลือง



ประชาชนวิเคราะห์ข่าว
ตลกร้าย..ของสังคมตอแหล..โดย คุณวษณ ราชดำเนิน
อังคาร ที่ 6 เดือน เมษายน พ.ศ.2553



1. วาทกรรม? ผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ตน?
ถูกผลิตขึ้นจากนักการเมืองที่ ?ไม่ทำอะไร?

เพื่อกีดกัน ทิ่มแทงบุคคลปกติทั่วไป ไม่ให้เข้ามามีส่วนในอำนาจการเมือง
เพราะว่าบุคคลปกติทั่วไปย่อมต้องประกอบอาชีพทำธุรกิจ มีทรัพย์สิน

ซึ่งการดำเนินการต่างๆของอำนาจทางการเมือง ล้วนย่อมต้องมีผลกระทบเกี่ยวข้อง กับการประกอบอาชีพ
ธุรกิจทรัพย์สิน ของบุคคลปกติทั่วไป

2. ไม่ทำอะไร? เพื่อสร้างภาพให้ดูเหมือนว่า ขาวสะอาด ?บังหน้า? พรรคพวกเบื้องหลัง
ให้เรียกทรัพย์ เรียกผลประโยชน์ จากผู้ที่จำเป็นต้องประกอบอาชีพทำธุรกิจ มีทรัพย์สิน ?
บังหน้า? พรรคพวกเบื้องหลังให้ทำการทุจริต ฉ้อฉล ต่างๆ

3. แม้จะดูเหมือนว่า ขาวสะอาด แต่ก็?ไม่มีผลงานคุณประโยชน์อันใด?
เป็นเล่ห์กล ?หุ่นเชิดบังหน้า?ที่ปัจจุบันพัฒนามาสู่รุ่นที่สามารถ? ปากว่าตาขยิบ? ด้วย
หากจะหาบุคคลที่มีประสบการณ์เพียงพอ มีความสามารถ มีความพร้อมมีศักยภาพ มาบริหารประเทศ

โดยที่เป็นบุคคลไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนไม่มีผลประโยชน์เชิงนโยบาย ไม่มีผลเอื้อประโยชน์ตนหรือพรรคพวก
ไม่มีทรัพย์สินที่จะมีผลกระทบเกี่ยวข้อง คงหาได้ยากยิ่งและคงได้แต่พวก ?ไม่ทำอะไร? บังหน้า เท่านั้นมาบริหารประเทศ

4. ถ้าเป็นผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของส่วนรวมของประชาชนของประเทศ
ใครจะมีผลพลอยได้ไปด้วยก็ไม่เห็นจะต้องเดียดฉันท์
ไม่แน่ว่านักการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับของประชาชนของประเทศ
อาจเป็นนักการเมืองที่น่าพึงปรารถนาให้เข้ามาทำงานให้แก่ชาติบ้านเมือง

5. กรณีการดำเนินการของรัฐบาลทักษิณที่ถูกตัดสินให้เป็นเหตุยึดทรัพย์ทักษิณ ทั้ง 5 กรณี
ล้วนเป็นผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของส่วนรวมของประชาชนของประเทศ
ผลประโยชน์ของครอบครัวทักษิณเป็นผลพลอยได้ ที่ครอบครัวทักษิณพลอยได้ด้วย

ทำไมเราจึงเอื้อประโยชน์ชาวต่างชาติได้ เชื้อเชิญด้วยเงื่อนไขเอื้อประโยชน์เป็นพิเศษ
สารพัดให้เขามาลงทุนต่างๆ ทำไมเราเอื้อประโยชน์คนในชาติของเราเองไม่ได้ ทั้งยังกดขี่ด้วย
เงื่อนไขเอารัดเอาเปรียบอย่างหฤโหดสารพัดบางครั้งหนักหนาถึงขั้นล้มละลายถ้าพลั้งพลาด

เขาเป็นคนในชาติของเราเองเขาอุตสาหะ มานะ พยายาม พากเพียร เหนื่อยยาก สร้างความเจริญ
ให้ชาติของเราเอง จะเลือกเอาอย่างไหน ระหว่างการที่
ประเทศล้าหลัง ประเทศเจริญก้าวหน้า มีดาวเทียมเป็นของเราเอง

6. กรณีใช้เครือข่ายร่วมและใช้บัตรจ่ายเงินค่าโทรศัพท์ล่วงหน้า
ทำให้ประชาชนได้ใช้โทรศัพท์ในราคาถูกลง การใช้โทรศัพท์สะดวกมากขึ้น
สามารถใช้โทรศัพท์ได้อย่างแพร่หลายกว้างขวางส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศ
รัฐได้รายได้รวมทั้งหมดมากขึ้นจากการที่มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นจำนวนมาก

7. กรณีการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ยังคงต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่าเดิมไม่ได้ลดลง
แต่ทำให้กระทรวงการคลังได้รับเงินทันทีทุกเดือนนำเงินไปใช้บริหารประเทศได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอ TOT และ CAT นำส่งให้ตอนสิ้นปี

ที่สำคัญคือทำให้กระทรวงการคลังได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยนำเงินไปใช้บริหารประเทศ
ได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องถูก TOT และCAT เก็บไว้บางส่วนไปเป็นโบนัสและสวัสดิการของ TOT และ CAT

8. กรณีให้เงินกู้แก่พม่า
เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศไทยมีผลประโยชน์ในทรัพยากรของประเทศพม่า
ทั้งเป็นความจำเป็นต่อความสงบสุขเพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านมีพรมแดนติดกัน

ภาครัฐและเอกชนของพม่าหลายหน่วยงาน
ได้ซื้อบริการดาวเทียมและอุปกรณ์จากไทยคมมาตั้งแต่ปี 2541
และมีบริษัทเอกชนที่ใช้อุปกรณ์ไอพีสตาร์ตั้งแต่ปี 2546

พม่าซื้อสินค้าจากไทยคมและไอพีสตาร์ตามปกติเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อนแล้วไม่ใช่
เพิ่งมาซื้อเมื่อได้เงินกู้จากไทย อย่างที่พยายามกล่าวหาว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ไทยคมและไอพีสตาร์

ไม่ว่ากิจการของคนไทยคนใดจะได้ประโยชน์ ในที่สุดก็จะส่งผลได้สืบเนื่องต่อๆไปสู่คนไทยด้วยกันเองทั้งหมด
ไม่ควรที่จะกินแหนงแคลงใจอิจฉาริษยาคนในชาติควรร่วมมือร่วมใจส่งเสริมกัน ต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ย่อมต้องดีกว่าต่างก็ขัดขวางกัน


9. เหตุรวยผิดปกติ ไม่ปรากฏที่มาที่ไปของทรัพย์ ผลจึงยึดทรัพย์สิน
แต่เพราะว่าครอบครัวทักษิณรวยปกติมีที่มาที่ไปชัดเจนจากการขายหุ้น
ที่ราคาหุ้นสูงขึ้นอย่างปกติเช่นเดียวกับบริษัทเกือบทั้งหมดในตลาดหุ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

ผลประกอบการในเวลานั้นก็เป็นไปอย่างงดงาม
ผลประกอบการของผู้รับช่วงต่อก็ปรากฏสอดคล้องกันว่าเป็นไปได้
ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่ารวยผิดปกติ จึงต้องโมเมสาดโคลนใส่ให้มัวหมองก่อน
ว่าเอื้อประโยชน์ตนเองหรือไม่ ? แล้วจึงโมเม ต่อว่าน่าจะรวยผิดปกติลวงให้ดูเหมือนว่าน่าจะรวยผิดปกติ หรือไม่ ?

10. ทำไมอำนาจตุลาการไม่กี่คนที่ซึ่ง?เป็นอำนาจตุลาการที่มาอย่างทุจริต
จากอภิสิทธิ์ชนคนกลุ่มเล็กๆไม่กี่คนของประเทศ ที่ไม่พอใจการถูกขัดผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ไม่พอใจการถูกขัดผลประโยชน์ที่จะได้จากการจัดซื้ออาวุธ

เป็นอำนาจตุลาการที่พิพากษาด้วยกฎหมายที่บัญญัติผูกซ่อนเงื่อนต่างๆ
โยงกันมาอย่างเฉพาะของอภิสิทธิ์ชน สามารถก้าวล่วงอำนาจบริหารทั้งคณะ
ก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติทั้งคณะ ที่ซึ่ง? เป็นอำนาจบริหารที่มาอย่างสุจริต
จากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น

เป็นอำนาจนิติบัญญัติที่มาอย่างสุจริตจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นเป็นอำนาจตุลาการไม่กี่คนที่มาอย่างทุจริต ที่พิพากษา
อำนาจบริหารทั้งคณะ อำนาจนิติบัญญัติทั้งคณะที่มาอย่างสุจริค ว่าเอื้อประโยชน์แก่ครอบครัวทักษิณ

การสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมส่วนใหญ่ของชาติของรัฐบาลทักษิณ
เผื่อแผ่ผลพลอยได้เอื้อแก่ครอบครัวทักษิณไปด้วย ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเสียหาย
ผ่านการพิจารณาอนุมัติของอำนาจบริหารทั้งคณะและอำนาจนิติบัญญัติทั้งคณะ
เป็นทั้งคณะที่มาอย่างสุจริต จากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น

11. ทำไมคนบางกลุ่ม เอื้อประโยชน์แก่พรรคพวกตนเองได้
ทั้งไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ชาติ ทั้งกลับสร้างแต่ความเสียหายแก่ชาติ
ทำไม ทำได้ ? ทำไม ?

12.กรณีสารพัดโกงเข้มแข็ง จากโครงการกู้เงินเข้มแข็ง
ผู้รับผิดชอบโดยตรง รับโทษโดยการย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม
ส่วนผู้รับผิดชอบระดับสูงกว่า โดยเฉพาะผู้รับผิดชอบสูงสุดรับผิดชอบโดยการลอยตัว ไม่เกี่ยวข้อง
แต่?ทักกกกกกกกกษิณ ออกไป!!!

13. กรณีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจำนวนหลายร้อยและหลายพันเครื่อง
ที่ซื้อในราคาแพงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงล้านกว่าบาทต่อเครื่อง
จากที่เคยมีการทดลองซื้อมาใช้งาน 4 เครื่อง ในราคาหลักหมื่นต่อเครื่อง
แม้จะอ้างว่ามีอุปกรณ์เพิ่มในการตรวจวัตถุได้มากกว่า
แต่ล้วนเป็นสิ่งไร้ค่า
เพราะความแม่นยำในการใช้งานน้อยกว่าใช้วิธีโยนหัวก้อยเสี่ยงทาย

14. เปรียบเทียบกรณีการพิพากษากรณีซื้อที่ดินรัชดา
ที่ซื้อในราคา 772 ล้านบาทสูงกว่าต้นทุน 107 ล้านบาท
โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้วนชี้แจงก่อนซื้อแล้วว่าไม่ผิดระเบียบไม่ผิดกฎหมาย
ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
แต่กรณียึดที่ดินป่าสงวนเขายายเที่ยง
รับโทษโดยการคืนที่ดิน และยอมคืนก็ต่อเมื่อถูกเรียกร้องอย่างหนัก
แต่กรณีรับงาช้าง รับแหวนทองคำ
รับโทษโดยการคืนงาช้างและแหวนทองคำ และยอมคืนก็ต่อเมื่อถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง
แต่กรณีแจกฟรีที่ดิน สปก.4-01 ให้แก่สามีของ สส. ของพรรคที่แจก ซึ่งมีฐานะระดับคหบดีของจังหวัด
รับโทษโดยการคืนที่ดิน และยอมคืนก็ต่อเมื่อถูกเปิดโปงอย่างกว้างขวางรุนแรง

15. กรณีพรรคไทยรักไทย ที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมาอย่างท่วมท้น
ถูกพิพากษายุบพรรคอย่างเคลือบแคลง
ว่าจ้างพรรคเล็กลงแข่งขัน เพื่อให้มีผู้แข่งขันตามรัฐธรรมนูญ
จากการที่พรรคที่เปรียบตนเองกับแมลงสาบไม่ยอมลงเลือกตั้งแข่งขัน
ด้วยรู้ดีว่าไม่สามารถชนะเลือกตั้งได้ และเจตนาก่อกวนให้บ้านเมืองตีบตันวุ่นวาย (สมควรถูกยุบพรรคยิ่งกว่าหรือไม่ ?)
แม้ปรากฏหลักฐานบุคคลของพรรคแมลงสาบกำลังเจรจาอย่างลับกับพรรคเล็กผู้กล่าวหาว่าได้รับว่าจ้าง
แต่ศาลกลับไม่รับพิจารณาว่าอาจเป็นการใส่ความโดยพรรคแมลงสาบร่วมมือกับพรรคเล็กนั้น

16. กรณีพรรคพลังประชาชน
ที่สมาชิกพรรคไทยรักไทยที่เหลืออยู่ จัดตั้งขึ้น
ยังคงได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น
ถูกจองล้างพิพากษายุบพรรคอีกครั้ง
โดยพิจารณาจากพยานเพียงคนเดียวที่กล่าวหาว่ารับเงินซื้อเสียงจากพรรคพลังประชาชน

ยื่งไปกว่านั้น กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนทั้งหมด ยังต้องโทษด้วยกฎหมายที่ออกย้อนหลัง
ให้มีโทษห้ามมีบทบาทยุ่งเกี่ยวทางการเมืองใดๆ

17. กรณียุบพรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
ล้วนพิพากษาอย่างรวดเร็ว
ด้วยพยานที่เต็มไปด้วยความน่าเคลือบแคลง
ด้วยกฎหมายที่ส่อความอยุติธรรมอย่างเด่นชัด (ดังจะเห็นได้จากกรณีย้อนหลังให้มีโทษ)

ยุบพรรคที่ประชาชนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างท่วมท้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ยังทำลายล้างไม่สำเร็จ จึงหาเหตุปลดนายสมัคร สุนทรเวช ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ด้วยข้อหาเป็นลูกจ้างทำกับข้าวออกรายการโทรทัศน์
แต่ผู้เป็นหนึ่งในคณะผู้พิพากษาให้ปลดนายสมัคร
เป็นลูกจ้างพูดหน้าห้องเรียน และลูกจ้างจัดรายการวิทยุ
อ้างว่าเป็นการให้ความรู้ ไม่มีความผิด ไม่ต้องปลดออก

ม็อบแอบอ้างเสื้อเหลืองก่อกวนรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่มาแทนนายสมัคร
บางคนถูกระเบิดปิงปองมือขาด โดยที่มืออีกข้างยังกำระเบิดอีกลูก
บางคนถูกระเบิดเป็นแผลฉกรรจ์ในซอกรักแร้ที่น่าจะเป็นการหิ้วถุงใส่ระเบิดไว้ที่ซอกแขน
บางคนถูกระเบิดที่บรรทุกมาจำนวนมากภายในรถตนเอง
แต่ใช้เครื่องจีที 200 (ที่เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำน้อยกว่าใช้เหรียญโยนหัวก้อยทายเอา) ตรวจไม่พบสารระเบิด
โมเมสรุปว่า จึงเป็นการระเบิดจากการใช้แก๊สน้ำตา ที่ใช้สลายการชุมนุม
แม้ผู้ถูกระเบิดจะอยู่ต่างสถานที่จากบริเวณชุมนุม ที่มีการใช้แก๊สน้ำตา
แล้วดำเนินคดีข้อหาอุกฉกรรจ์ต่อนายสมชาย นายกรัฐมนตรีที่มาแทนนายสมัคร

18. เมื่อยังทำลายล้างพรรคที่ประชาชนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างท่วมท้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สำเร็จ
ก็สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง จากยึดทำเนียบ ถึงขั้นปิดสนามบิน
แล้วใช้เป็นข้ออ้างว่าบ้านเมืองวุ่นวาย ทำการยึดอำนาจ ดำเนินการรัฐประหาร

19. ปลด กกต. ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
ด้วยข้อหาจัดการเลือกตั้งให้ผู้ลงคะแนนเสียงหันก้นออกไปทางหน้าห้องลงคะแนน ไม่หันหน้าออก
แล้วหาทางเอาพรรคพวกตนเข้ามาเป็น กกต. แทน

กรณีพรรคที่เปรียบเทียบตนเองกับแมลงสาบรับสินบน 258 ล้านบาท มีหลักฐานชัดเจน
กกต. ชุดหันหน้าออกไม่หันก้นออก ที่มาแทนชุดเดิม
ให้ประธาน กกต. เป็นผู้พิจารณาว่าจะส่งเรื่องให้ศาลหรือไม่
เพราะว่าประธาน กกต. พิจารณาให้ยกคำร้อง
เมื่อถูกวิจารณ์อย่างหนัก
ประธาน กกต. ก็เก็บเรื่องไว้อย่างยาวนานแทน อ้างว่ายังพิจารณาไม่หมด ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน
อ้างว่ายังพิจารณาไม่หมด ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน แต่กลับยกคำร้องเสียแต่ต้น


20. กรณีม็อบแอบอ้างเสื้อเหลือง
ปิดสนามบิน ยึดทำเนียบ ยึดสถานีโทรทัศน์ พกระเบิด พกอาวุธ
การดำเนินคดีไม่มีการดำเนินการใด จนถูกเรียกร้องอย่างหนัก ก็ขยับอย่างเสียไม่ได้
แต่ยังคงแทบไม่มีการดำเนินการเช่นเดิม
กรณีม็อบเสื้อแดงปิดถนน ปาไข่ ถูกจับดำเนินคดีทันที

กรณีไอ้โม่งปิดหน้าตา สวมเสื้อเกราะ เผารถเมล์
จนถึงขับรถแก๊สมาขวางถนนแล้วสวมชุดมนุษย์ค้างคาวมาขับออกไป
ใส่ความกลุ่มคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้กระทำ
แม้จะถูกท้าทายให้จับตัวมาถ้าเป็นคนเสื้อแดงจริง ก็มีแต่ความนิ่งเฉย
แต่ม็อบเสื้อแดงทุบรถนายอภิสิทธิ์ ถูกจับดำเนินคดีทันที ข้อหาในเบื้องต้นคือพยายามฆ่า




โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:20:03:58 น.  

 

21. เหตุการณ์ต่างๆ เต็มไปด้วยความคลุมเครือ
บางส่วนไม่ถูกต้อง บางส่วนดูเหมือนถูกต้องอยู่บ้าง
แต่เมื่อพิจารณาภาพจริงแล้ว คือความเท็จอย่างหนึ่ง เป็นการอยุติธรรมอย่างหนึ่ง
เป็นเล่ห์ทุศโลบายศรีธนญชัยสองมาตรฐาน ที่ถูกนำมาใช้อย่างหนักในเวล?9 ไม่ครบถ้วน ขาดแหว่ง พร่องไป
ซึ่งเหตุผลหรือข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน ขาดแหว่ง พร่องไป นั้น
แท้จริงแล้ว คือความเท็จอย่างหนึ่ง เป็นการอยุติธรรมอย่างหนึ่ง
เป็นเล่ห์ทุศโลบายศรีธนญชัยสองมาตรฐาน ที่ถูกนำมาใช้อย่างหนักในเวลานี้
ดังจะเห็นได้จากกรณีต่างๆมากมาย ที่ได้กล่าวมาข้างต้นเพียงบางส่วน

22. รัฐธรรมนูญ 2550 ที่ใช้เป็นแม่บทของกฎหมายทั้งปวง
ก็แฝงความชั่วร้ายไว้เสียแต่ต้น
ทั้งยกเว้นความผิดให้ตนเอง
ทั้งย้อนหลังไปให้มีโทษแก่ผู้อื่น
ทั้งล่วงหน้าไปยกเว้นความผิดพรรคพวก
จัดแบ่งเขตเลือกตั้งเอาจังหวัดที่อยู่ต่างภาคเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกัน
เพื่อให้ผลรวมคะแนนเสียงได้ สส. เป็นของพรรคที่กำหนดไว้
จัดแบ่งเขตเลือกตั้ง เพื่อให้คนในพื้นที่ ที่เลือกพรรคที่กำหนดไว้ หนึ่งเสียงเลือก สส. ได้มากกว่าหนึ่งคน
จัดแบ่งเขตเลือกตั้ง เพื่อให้คนในพื้นที่ ที่ไม่เลือกพรรคที่กำหนดไว้ หนึ่งเสียงเลือก สส. ได้คนเดียว
ข่มขู่ให้ยอมรับรัฐธรรมนูญ ไม่เช่นนั้น จะเลือกใช้รัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ

23. จะไม่มีใครสามารถทำเช่นนี้ได้
ถ้าไม่มีความรักอย่างใหญ่หลวงและความเทิดทูนอย่างสูงล้ำ
ต่อผู้อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
ภาพนี้บอกยิ่งกว่าล้านคำบรรยาย

(ภาพคณะกษัตริย์ทั่วโลกร่วมฉายพระฉายาลักษณ์ในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
กับคำบอกเล่าของท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ถึงความใฝ่ฝันของทักษิณ ชินวัตร ที่จะจัดงานนี้)

24. ยุคสมัยแห่งสื่อเป็นฐานันดรที่ตระหนักตนชัดเจนว่า
พวกตนนั้นมีอิทธิพลต่อสังคมทั้งอย่างอนันต์และอย่างมหันต์เพียงใด

สื่อจึงบันดาลโทสะ ลุแก่โทสะ ที่ไม่ได้รับการสนองผลประโยชน์อย่างที่ต้องการ
ในความต้องการแผ่ขยายเครือข่ายธุรกิจไปสู่การก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ของตน
อันได้แก่สื่อในเครือ MGR

สื่อจึงบันดาลโทสะ เคียดแค้น ที่พลาดหวังการครอบครองกลับคืน ในสถานีโทรทัศน์ที่ตนก่อตั้งขึ้น
แล้วไม่สามารถรักษาไว้ได้จากเงื่อนไขอันเข้มงวด ที่ตนเองเป็นผู้เสนอเองเพื่อก่อตั้งสถานี
แต่ยังหวังที่จะได้กลับคืนในเงื่อนไขที่เป็นผลได้แก่ตนมากกว่าที่เคยเป็น
อันได้แก่สื่อในเครือ NT

เมื่อสองค่ายสื่อถือเอานายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เป็นศัตรู ด้วยข้อหาไม่สนองและขัดความต้องการของตน
จึงไม่น่าแปลกใจที่สองสื่อจะดำเนินการล้างสมองผู้บริโภคสื่อของตนอย่างหนักและต่อเนื่อง
พยายามสร้างกระแสเกลียดชังหวังผลทำลายผู้ถูกยึดถือเป็นปรปักษ์

25. วันที่ 25 ธันวาคม 2550

ศาลอาญาชั้นต้นพิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
โดยศาลพิจารณาเห็นว่า นายสนธิเปิดประเด็นกล่าวหานายกฯ ทักษิณ อย่างต่อเนื่อง
ให้เป็นที่สงสัยกำกวม หวังสร้างกระแสโค่นล้มนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง
การกระทำกระทบโครงสร้างทางสังคมครั้งใหญ่
เกิดความขัดแย้งอย่างมากระหว่างผู้สนับสนุนสองฝ่าย ต่างมุ่งห้ำหั่นล้างผลาญกัน
สถานภาพสังคมไทยเกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

พฤติการณ์กล่าวปราศรัยของนายสนธิ
การแต่งกายของนายสนธิที่ใช้เสื้อสีเหลือง
และข้อตวามที่เสื้อว่า เราจะสู้เพื่อในหลวง
ล้วนพยายามสร้างภาพของทักษิณ ชินวัตร และประชาชนผู้สนับสนุน
ให้ยืนอยู่ตรงข้ามสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
เป็นการแยกประชาชนคนไทยให้เป็นฝ่ายตรงข้ามสถาบันฯ
นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ

การที่นายสนธิพยายามดึงสถาบันอันเป็นที่รักเคารพ เทิดทูนสูงสุดของประชาชนทุกหมู่เหล่า
มาเป็นเครื่องมือในการกำจัดนายกฯ ทักษิณกับพวกในทางการเมือง
พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง
เพื่อไม่ไห้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป
จึงพิพากษาจำคุกนายสนธิเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

หลังฟังคำพิพากษา นายสนธิกล่าวว่าจะยื่นขอประกันตัวและจะอุทธรณ์สู้คดี

26. วันที่ 22 ก.ย.51

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์เครือเดอะเนชั่นกรุ๊ป
ตีพิมพ์คำขอโทษอย่างเป็นทางการตามคำสั่งศาล ในกรณีที่ได้แสดงความเท็จ
กล่าวหาว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX เพื่อใช้ในสนามบินสุวรรณภูมิ
ซึ่งกลุ่ม พธม. ได้ใช้เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งในการโจมตีรัฐบาลในขณะนั้น
สร้างเงื่อนไขให้ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

27. เรื่องราวแอบอ้างเสื้อสีเหลือง
เรื่องราวเท็จของ CTX
เป็นอดีตเพียงช่วงเริ่มต้นๆ ของการทำร้ายและทำลายโดยใช้สื่อใส่ความ
สำแดงอิทธิพลให้ประจักษ์โดยทั่วไป
ให้ยำเกรงต่อการกรรโชกเรียกร้อง

28.ความผยอง อหังการ ของสื่อ
เห็นได้จากการกระทำของผู้ที่แม้เป็นเพียงสื่อตัวเล็กๆ
แต่ความบังอาจโอหังที่แสดงออก อย่างไม่เกรงใจความรู้สึกของประชาชน
ดังเช่นกรณีนายวิศาล ที่ไม่รู้ว่าชูวิทย์ไม่มีข้อด้อย มีแต่ข้อศอก

เสียงตอบโต้วิจารณ์ สะท้อนกลับนายวิศาล อย่างกว้างขวางต่อกรณีที่เกิดขึ้น

29. การหลอกลวงว่าทรัพย์สินของครอบครัวชินวัตรเพิ่มขึ้นหลายหมื่นล้านบาท
มาจากการโกงนั้น ง่ายต่อการหลอกให้เชื่อ
ง่ายต่อการสร้างความอิจฉาริษยา เคียดแค้น ชิงชัง ให้เกิดขึ้นแก่ผู้ถูกยุยงปลุกปั่น

กลุ่มธุรกิจต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ หลังจากทักษิณ ชินวัตร เข้าบริหารประเทศ
มูลค่าธุรกิจต่างเติบโตขึ้น 2 ถึง 6 เท่า เป็นส่วนใหญ่ จากราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้น
มูลค่าธุรกิจของกลุ่มปูนซีเมนต์ไทย กลุ่ม ปตท. กลุ่ม ทีพีไอ กลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์
เติบโตขึ้น 5-6 เท่า
มูลค่าธุรกิจในระดับยอดหญ้าต่างเติบโตขึ้น
รวมถึงมูลค่าธุรกิจของครอบครัวชินวัตรที่เติบโตขึ้นประมาณ 2.6 เท่า
ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดหมื่นกว่าล้านบาทของกลุ่มชินวัตรเป็นเรื่องปกติ
และไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ

เมื่อเศรษฐกิจของประเทศแข็งแกร่ง
มูลค่าธุรกิจต่างๆของประเทศก็เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงมูลค่าธุรกิจของครอบครัวชินวัตร
การที่ผู้ใดสร้างผลประโยชน์แก่ประเทศ แล้วตนเองได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
ถูกประดิษฐ์ถ้อยคำกล่าวหาให้เกิดอคติว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน
ถ้าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นนี้ กลับสมควรสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

30. รัฐบาลทักษิณฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติจากวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540
สามารถใช้หนี้คืน IMF และสามารถสำรองเงินของประเทศไว้ได้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งส่งผลให้ในเวลาต่อๆมา จนถึงวันนี้ (พฤศจิกายน 2551) ประเทศไทยของเรา ยังมีเงินสำรองของประเทศ
มากกว่าแสนล้านดอลลาร์
แม้วันนี้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว
แต่คุณูปการนี้ ยังค้ำจุนประเทศไว้
ท่ามกลางกระแสวิกฤติเศรษฐกิจโลก
และกระแสการเมืองทำลายประเทศ ที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจประเทศตนเองอย่างหนัก
(กฏหมายป้องกันไม่ให้รัฐบาลต่อๆมา เข้าเกี่ยวข้องเงินทุนสำรองของประเทศโดยพละการได้)



31. เศรษฐกิจของประเทศฟื้นฟูขึ้นจากวิกฤติได้อย่างไร
การเกื้อหนุนให้ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
จะส่งผลต่อๆไปยังประชากรทางเศรษฐกิจที่อยู่ชั้นบนขึ้นไป
ทำนองนี้?

ประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้าซื้อของจากร้านค้า
ร้านค้าซื้อของจากเอเย่นต์
เอเย่นต์ซื้อของจากผู้ผลิต
ผู้ผลิตจ้างงานและซื้อวัตถุดิบจากประขากรระดับรากหญ้า

การเกื้อหนุนให้ชนชั้นรากหญ้ามีกำลังประกอบอาชีพ สามารถจับจ่ายใช้สอย
เป็นผลให้ชนชั้นทางเศรษฐกิจที่อยู่สูงขึ้นไปยิ่งมีรายได้มากกว่าเป็นทบเท่าทวี
เพราะว่าเงินที่จับจ่ายใช้สอยโดยจำนวนมากของประชากรระดับรากหญ้า
หมุนเวียนขึ้นไปสู่จำนวนน้อยของประชากรระดับสูงกว่า
ดังเช่น

ประชากรระดับรากหญ้ามี 8 คน
ประชากรระดับร้านค้ามี 4 คน
ประชากรระดับเอเย่นต์มี2 คน
ประชากรระดับผู้ผลิตมี 1 คน


ข้อที่สำคัญยิ่งคือการที่รากหญ้าต้องมีกำลังประกอบอาชีพเองได้อย่างยั่งยืน
ไม่ใช่การได้รับอย่างต้องพึ่งพาไปตลอดทั้งสิ้น

32. จากประเทศลูกหนี้ IMF กลับกลายเป็นประเทศมั่นคงทางเศรษฐกิจ
มีเงินสำรองของประเทศจำนวนมาก ในสมัยรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ บริหารประเทศ
ประเทศต่างๆที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลก
ให้เงินกู้แก่ประเทศอื่น เป็นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยด้วย
และมักกำหนดเงื่อนไข ให้ประเทศที่เป็นลูกหนี้ต้องใช้เงินกู้นั้นซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ให้เงินกู้
เป็นการส่งเสริมกิจการต่างๆของประเทศตน และสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง
ดังเช่นญี่ปุ่นให้เงินกู้แก่ไทยสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ กำหนดให้ไทยต้องใช้บริษัทญี่ปุ่นร่วมก่อสร้าง
ดังเช่น IMF กำหนดให้ไทยต้องขายทรัพย์สินแก่ประเทศให้เงินกู้


33. กลุ่มอำมาตยาธิปไตย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพวกอภิสิทธิ์ชนธิปไตย
คือกลุ่มคนผู้ต้องการระบอบอภิสิทธิ์ชน-อำมาตยาธิปไตย
คือระบอบการปกครองที่เป็นของอภิสิทธิ์ชน โดยอภิสิทธิ์ชน เพื่ออภิสิทธิ์ชน เฉพาะกลุ่มของตน
อันต้องไม่มีการพัฒนาใดๆไปสู่ความเป็นของราษฎร โดยราษฎร เพื่อราษฎร เป็นอันขาด
ต่างก็เข้ารวมหัวกัน เป็นตัวการเบื้องหน้า ผู้สนับสนุน ตัวการเบื้องหลัง และไอ้โม่งในมุมมืด
ร่วมมือกันโค่นล้มนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร
เพื่อที่จะคงไว้ซึ่งการยึดกุมควบคุมอำนาจทางการเมือง คงอภิสิทธิ์กดขี่เหนือประชาชนธรรมดาปกติทั่วไป
และการเกาะสูบเอาผลประโยชน์ต่างๆแก่ตนไว้

34. ศาลผู้พิจาณาตัดสินคดี เป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม สมควรแก่การเคารพในคำตัดสินพิพากษา
แต่ผู้ที่ถูกจัดสรรมา โดยการเอาพรรคพวกที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์เป็นศัตรูกับทักษิณ
มาดำเนินกระบวนการตัดสิน เอาผิดกับทักษิณ
ถูกบอกว่าสมควรแก่การเคารพในคำตัดสินพิพากษาเช่นกัน
ความจริงคือ ต่างกระบวนการ ต่างคณะ ต่างบุคคล ซึ่งต่างกันกับผู้ตัดสินและกระบวนการตัดสินอย่างยุติธรรม

ในเวลานี้กระบวนการพิพากษามีสองภาค แฝงร่างซ่อนเร้นอยู่
หนึ่งเป็นกระบวนการอันยุติธรรม
อีกหนึ่งเป็นกระบวนการแอบแฝงหลอกลวง
ดังเช่น กระบวนการพิพากษาส่วนหนึ่งถูกจัดตั้งโดย คมช.
เต็มไปด้วยบุคคลอคติ บุคคลเป็นศัตรู บุคคลมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้อง บุคคลขัดแย้งผลประโยชน์
ทำไปได้ถึงขนาด
ออกกฎหมาย...ย้อนหลังไปให้มีความผิดมีโทษในอดีต
ไม่เพียงเท่านั้น
ยังออกกฎหมาย...ล่วงหน้าไปยกเว้นการกระทำผิดของพวกฝ่ายตน
อย่างครอบจักรวาล

35. จัดรายการชิมไปบ่นไป
อ้างพจนานุกรมว่าเป็นลูกจ้าง ได้เงินตอบแทน
เอาโทษถึงปลดนายกฯ สมัคร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่ผู้ร่วมกระบวนการพิพากษา
ไปบรรยายเลคเชอร์เป็นงานพิเศษ ไปจัดรายการวิทยุ ได้เงินตอบแทน
บอกว่าไม่เป็นลูกจ้าง แต่เป็นการประสิทธิ์ประสาทให้วิชาความรู้

ถูกยุบพรรค อย่างไม่เลิกรา หาทางจะยุบอีกครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างชวนพิศวง
แต่อีกฝ่ายคือพรรคเก่าแก่ ที่เปรียบเทียบตนเองเหมือนแมลงสาบ
ในความสามารถดำรงเผ่าพันธุ์มาได้อย่างยาวนานนั้น
ลอยนวลอย่างน่าสนเท่ห์

36. กฎหมายที่บัญญัติด้วยอคติ
โดยองค์กรที่ถูกบิดเบือนล่อลวงให้ยอมรับเป็นรัฐาธิปัตย์ เช่น คมช.
แท้จริงคือองค์กรโมฆะ
ไม่อาจยอมให้ถือเป็นรัฐาธิปัตย์ได้ด้วยที่มาจากการขู่เข็ญ
ที่ต้องชำระล้างการกระทำไม่บริสุทธิ์ให้หมดสิ้น

37. กรณีซื้อที่ดินที่ถนนรัชดาภิเษก
.........หากดูที่การกระทำอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์
คุณหญิงพจมานกระทำการซื้อขายโดยเปิดเผยสุจริต
โดยได้มีการสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ
ซึ่งก็ได้รับการตอบรับยืนยันว่าสามารถกระทำการซื้อที่ดินผืนนี้ได้

.........หากดูที่อำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง
กองทุนฟื้นฟูอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกเหนืออำนาจใดๆของนายกรัฐมนตรี
ซึ่งการเบิกความของศาลให้อดีตนายกรัฐมนตรี 3 ท่านชี้แจง
อดีตนายกฯ บรรหาร อดีตนายกฯ ชวน และอดีตนายกฯ ชวลิต
ต่างให้การเช่นเดียวกันหมดว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจสั่งการใดเหนือธนาคารแห่งประเทศไทยได้

.........หากดูที่การก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศหรือไม่
จากเดิมที่ประกาศขาย ไม่มีใครสนใจจะซื้อ
จนกระทั่งคุณหญิงพจมานแสดงความประสงค์เสนอซื้อ
ได้เสนอซื้อในราคา 772 ล้านบาท
สูงกว่าที่กลุ่มโนเบิลเสนอ 750 ล้านบาท
สูงกว่าที่กลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์เสนอ 730 ล้านบาท
แม้มีการพยายามสร้างเรื่องว่าราคาประเมินคือ 840 ล้านบาท
แต่รวมเอาส่วนพื้นที่เป็นถนนและคลองสาธารณะไว้ด้วย
โดยที่ต้นทุนของกองทุนฟื้นฟูทั้งหมด 107 ล้านบาท
ความจริงคือไม่มีสิ่งใดเป็นความเสียหาย
ตรงข้ามกลับมีส่วนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติ

.........หากดูที่เจตนา
จากที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่า
การซื้อที่ดินที่ถนนรัชดาภิเษก ไม่ได้มีการฉ้อโกงใดๆ และไม่มีเจตนาฉ้อโกงใดๆ
การที่ถูกพิพากษาความผิดในแง่มุมเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ก็เป็นการกระทำตามกฎระเบียบที่คู่สมรสต้องให้ความยินยอมในการทำนิติกรรม

โทษที่พิพากษาถึงจำคุกสองปี ไม่รอลงอาญา
รุนแรงมากจนเกินกว่าความยุติธรรมไปหรือไม่

38. เปรียบเทียบกับการซื้อที่ดินที่ถนนรัชดาภิเษกกับการแอบแจกที่ดิน สปก.
โดยพรรคการเมืองเก่าแก่ ให้แก่ผู้มีฐานะมั่งคั่งระดับเศรษฐี
ถูกบอกว่าเป็นการแจกให้ฟรีตามสิทธิอันสมควร

39. การขายหุ้นของกลุ่มชินฯ ในราคาสูง แก่ต่างชาติ
ด้วยเจตนาเพื่อพยายามให้ครอบครัวของตนปลอดจากธุรกิจให้มากที่สุดของทักษิณ ชินวัตร
และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกโจมตีจากกลุ่มคนที่ต้องการโค่นล้มให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ถูกบอกว่าเป็นการขายสมบัติชาติ
การขายหุ้นที่เป็นเจ้าของสัมปทานสิทธิในธุรกิจโทรศัพท์มือถือและสัมปทานสิทธิในดาวเทียม
ไม่ใช่การขายสมบัติชาติ
เปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ เหมือนให้เช่าที่ดินไปสร้างตึกหาผลประโยชน์
เมื่อหมดเวลา ก็จะต้องกลับคืนมา
โดยที่ผู้ซื้อรับช่วงต่อจากกลุ่มชินฯ มีภาระต้องสร้างและพัฒนาเครือข่ายเพิ่มขึ้นเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ
รัฐได้ทั้งค่าสัมปทาน ได้ทั้งระบบโทรศัพท์มือถือและดาวเทียมเป็นสมบัติของชาติเมื่อหมดสัญญา


40. การขายหุ้นของกลุ่มชินฯ เป็นจำนวนเงิน 76, 000 ล้านบาท
จากต้นทุน 29,000 ล้านบาท ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 2.6 เท่า
เป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศ ทั้งยังเป็นการให้ต่างชาติมาลงทุนสร้างความเจริญแก่ประเทศ
ต้องสร้างและพัฒนาเครือข่ายระบบโทรคมนาคมต่อไป เพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ
คนในชาติควรชื่นชม และช่วยกันสนับสนุน ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันส่งเสริม
ไม่ใช่อิจฉาริษยา จงเกลียดจงชัง กีดกันกลั่นแกล้งขัดขวางทำลายล้าง
อย่างหน้ามืดตามัว

น่าเสียดายโอกาส
ที่เงิน 76,000 ล้านบาท จะได้สร้างดอกผล
ทั้งจากการลงทุนในประเทศ หรือไปลงทุนในต่างประเทศ
เพื่อสร้างรายได้งอกเงยต่อๆไปกลับเข้ามาสู่ประเทศไทย


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:20:04:30 น.  

 

41. การสร้างระบบโทรคมนาคมดาวเทียม การสร้างระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือมือถือ
เป็นการสร้างความเจริญ สร้างการพัฒนาแก่ประเทศ
ทั้งยังต้องจ่ายค่าสัมปทานเป็นก้อนและเป็นงวด
เป็นการอุดหนุนเจือจุนประเทศ
ควรเป็นคุณูปการที่คนในชาติช่วยกันสนับสนุนส่งเสริม
ไม่ใช่ชิงชัง เกลียดแค้น ทำลาย เหยียบย่ำ อย่างที่ถูกปลุกปั่นยุยงอย่างที่เป็นมา

42. ผู้ที่เกิดมาทันยุคสมัยแต่ก่อนนี้
ที่การจะมีโทรศัพท์ใช้ได้สักเลขหมาย เลือดตาอาจแทบกระเด็น
จะซาบซึ้งแก่ใจ ถึงผลดีของการให้สัมปทานโทรศัพท์ต่อการพัฒนาประเทศ
อย่างที่วัยรุ่นยุคมือถืออาจนึกไม่ถึง
ว่ารสชาติความขมขื่นแต่ก่อนนั้นเป็นอย่างไร

โครงการเมกะโปรเจกต์ ที่จะให้สัมปทานต่างชาติเข้ามาพัฒนาประเทศ
หากสำเร็จ จะมีทั้งรายได้แก่รัฐเป็นค่าสัมปทาน
และได้ทั้งระบบสาธารณูปโภคที่พัฒนาก้าวหน้าเป็นสมบัติชาติไว้ใช้สืบไป
กลับต้องพังทลายลง
อย่างน่าเสียดายเวลาและโอกาสอันดีที่ผ่านไปยิ่ง
คงยากที่จะหาใครกล้าทำกล้าคิดสร้างสรรค์อีก
เพราะเกรงภัยการถูกใส่ร้ายป้ายสียัดข้อหาขายชาติ
ถูกโจมตีทำลายจนเสียผู้เสียคนได้
อีกทั้งต่อไปนี้คงยากที่จะหาผู้เข้ามารับสัมปทานด้วยเช่นกัน
ใครจะกล้าเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของภัยการเมืองและภัยจากสื่อไร้สำนึกต่อชาติ
ที่จะยุยงปลุกปั่นเพียงเพื่อผลประโยชน์ตนได้ทุกเมื่อ

43. การขายหุ้นของกลุ่มชินฯ ซึ่งตามกฎหมายไม่ต้องเสียภาษี
ถูกบอกว่าขายหุ้นเป็นเงินถึง 76,000 ล้านบาท ไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว
เป็นการสร้างกระแสโทสะเกลียดชังอย่างได้ผลราวกับราดน้ำมันใส่กองเพลิง

แต่การจ่ายภาษีส่วนบุคคลของทักษิณ ชินวัตร กว่าสามพันล้านบาท
และการจ่ายภาษีจากการทำธุรกิจของกลุ่มชินฯ ซึ่งถ้ารวมค่าสัมปทานด้วยแล้ว
จะเป็นเงินถึงกว่าสองแสนล้านบาท
ถูกปิดบังเงียบ ไม่เคยมีการกล่าวถึงร่วมด้วย
โดยเจตนาสร้างภาพบิดเบือนให้เข้าใจผิดว่าเป็นการทำธุรกิจที่ไม่ได้จ่ายภาษีเลย

ทั้งๆที่กลุ่มผู้ร่วมกล่าวหารวมตลอดถึงสื่อทั้งหลาย
ล้วนต่างได้เคยขายหุ้นโดยไม่จ่ายภาษีแม้แต่บาทเดียว
อย่างที่บิดเบือนกล่าวร้ายทักษิณมาแล้วทั้งสิ้น
44. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือการนำรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทมหาชน
กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ยังคงเป็นเจ้าของกิจการ
สามารถออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเอาเงินมาลงทุนขยายกิจการ
ไม่ต้องกู้เงินมาลงทุน
ไม่ต้องแบกรับดอกเบี้ยเงินกู้
ไม่ต้องแบกรับภาระต้องใช้คืนเงินกู้
(ถ้ากู้เงินมาแล้วขาดทุน อาจถูกฟ้องร้องยึดทรัพย์ของกิจการอีกต่างหาก)
มีกำไรแล้วจะจ่ายปันผลมากน้อยเท่าไรก็ได้แล้วแต่จะพิจารณา
หากขาดทุนก็ไม่ต้องจ่ายปันผล
ทหารจะเข้ามาเกาะกินไม่ค่อยสะดวกเหมือนรัฐวิสาหกิจเพราะมีสายตาผู้ถือหุ้นจับจ้องอยู่
ผู้บริหารมีแรงจูงใจสร้างผลงานให้ปรากฏแก่ผู้ถือหุ้น
ทำให้ผู้บริหารพยายามสร้างกิจการให้เติบโตงอกงาม
แต่ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ กลับถูกบอกว่าเป็นการจะขายสมบัติชาติ

45. เปรียบเทียบการขายทรัพย์สิน ยุค ปรส.
โดยพรรคการเมืองเก่าแก่ผู้เปรียบเทียบพรรคตนเองเหมือนแมลงสาบ
ในราคาแสนต่ำ แก่ต่างชาติ ทั้งห้ามและกีดกันคนไทยซื้อ
ถูกบอกว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหาของชาติ
และถูกบอกว่าเป็นการป้องกันคนไทยไม่ให้เสียนิสัยจากการทำธุรกิจขาดทุนแล้วซื้อคืนได้ในราคาถูก
ความจริงแล้ว คนไทยไม่ได้ทำขาดทุนเอง
แต่ถูกทำให้ขาดทุน โดยพรรคการเมืองผู้เปรียบเทียบพรรคตนเองเหมือนแมลงสาบ
วางนโยบายผิดพลาด เปิดช่องทางให้ต่างชาติ
แล้วพรรคทานตะวันมาทำให้เกิดจุดอ่อนง่ายต่อการโจมตีของต่างชาติยิ่งขึ้น
นอกจากจะห้ามคนไทยเจ้าของกิจการซื้อ
ยังกีดกันโดยการขายนั้นไม่ขายเฉพาะกิจการ
สำนวนที่พูดกันในเวลานั้นคือมัดรวมเป็นกำ ขายรวมเป็นก้อนขนาดใหญ่
จะมีผู้ซื้อใดที่ประสงค์เอาไปทำธุรกิจจริงๆ ซื้อรวมมาทั้งหมด
และในเวลานั้น จะหาคนไทยผู้ใดมีเงินมากเพียงพอที่จะซื้อหลายกิจการรวมกันเช่นนั้นได้
การขายทรัพย์สิน ยุค ปรส. นี้ จึงจะเป็นการขายสมบัติชาติอันแท้จริง

46. ภาษีที่ใช้ในการพัฒนาประเทศ ใช้ในการจุนเจืออำนวยประโยชน์ให้ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง
ส่วนใหญ่เป็นภาษีที่ได้มาจากประชากรทางเศรษฐกิจระดับรากหญ้า
ที่จ่ายภาษีผ่านระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต
แต่ถูกบอกว่าเอาภาษีจากชนชั้นสูงและชนชั้นกลางมาแจกพวกรากหญ้า

การโกหกหลอกลวงว่าเอาภาษีของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงไปแจกรากหญ้านี้ได้ผลอย่างร้ายแรงและชั่วร้ายยิ่ง
ก่อเกิดความชิงชัง รังเกียจ เคียดแค้น แตกแยกของคนในชาติอย่างรุนแรง
สร้างความเกลียดชังให้เกิดในหมู่คนจำนวนมากต่อรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อย่างโง่เขลาและเห็นแก่ตัว

คำพูดที่บอกว่าคนรวยเอาเงินภาษีมาจุนเจือคนจนนั้นไม่เป็นความจริง
เพราะแท้ที่จริงแล้วเงินที่นำมาพัฒนาประเทศในแต่ละปีส่วนใหญ่แล้วมาจากน้ำพักน้ำแรงของคนจน

47. ที่มารายได้ของรัฐบาลมาจาก
1. กรมสรรพากร
2. กรมสรรพสามิต
3. กรมศุลการกร
4. หน่วยงานอื่นๆ

จากสถิติการจัดเก็บตั้งแต่ประเทศไทยมีระบบการเงินการคลังแบบสากลมาแล้วกว่า 50 ปี
พบว่าการจัดเก็บภาษีแบบทางอ้อม ได้มากกว่าภาษีทางตรง
ภาษีทางตรง เช่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนมากคนที่มีฐานะ(คนรวย)
จะรับภาระมากที่สุด เพราะมีรายได้ตามเกณฑ์จึงต้องเสีย
ส่วนภาษีทางอ้อมเช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ภาษีสรรพสามิต ประชากรระดับรากหญ้า 80 กว่าเปอร์เซนต์
ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นคนเสียภาษี

รายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ออกเดือนมกราคม 2549
(แต่เป็นรายงานเศรษฐกิจ 2547 เพราะหน่วยงานต่างๆต้องประมวลผลเป็นปี)
พบว่าภาษีทางอ้อมมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 63.8 ของรายรับรัฐบาล
ขณะที่ภาษีทางตรงทั้งภาษีเงินได้จากนิติบุคคลและภาษีเงินได้จากบุคคลธรรมดา
รวมกันเท่ากับ 34.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อคิดเป็นตัวเงินอันเป็นรายได้ของรัฐบาลในปี 2547 จำนวน 1.1 ล้านล้านบาท
เงินที่นำมาพัฒนาประเทศมาจากภาษีคนจนถึง 6 แสนกว่าล้านบาท
ขณะที่เงินจากภาษีคนรวยนำมาพัฒนาประเทศเพียง 3 แสนกว่าล้านเท่านั้น

48. เมื่อ ปี พศ. 2547
เงินที่นำมาพัฒนาประเทศ มาจากภาษีคนจน 6 แสนกว่าล้านบาท
เงินที่นำมาพัฒนาประเทศ มาจากภาษีคนรวย 3 แสนกว่าล้านบาท

49. ทักษิณ ชินวัตร ถูกลอบสังหารด้วยการวางระเบิดคาร์บอมบ์
แต่สื่อตัวปัญหากลับพากันบิดเบือนว่าเป็นคาร์บ๊อง ช่วยกลบเกลื่อนให้อาชญากรทมิฬ

คนสติวิปลาสทุบทำลายองค์พระพรหม
สื่อตัวปัญหาเอามาใช้ใส่ความว่าทักษิณให้หมอผีเขมรทำพิธีไสยศาสตร์

วันที่ 25 ธันวาคม 2550
ศาลพิพากษากรณีนายสนธิกล่าวหมิ่นประมาทอดีตนายกฯ ทักษิณ
ในเรื่องการถูกลอบสังหาร การเผาเวที และการใช้ไสยศาสตร์
พิพากษาว่านายสนธิมีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
รวมความผิด 3 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมเป็นพิพากษาจำคุกนายสนธิ 3 ปี
หลังฟังคำพิพากษา นายสนธิกล่าวว่าจะยื่นขอประกันตัวและจะอุทธรณ์สู้คดี

50. การโอนหุ้นของทักษิณ ชินวัตร ให้แก่ผู้อื่น
เป็นการพยายามปฏิบัติตามกติกาการเมืองที่ห้ามการถือครองหุ้น
ถูกบอกว่าซุกหุ้น
แต่การถือหุ้นของ สส. พรรคการเมืองเก่าแก่นิยมเชิดหุ่นให้เป็นหัวหน้าพรรค
และการถือหุ้นของ สว. สรรหา จัดสรรพรรคพวกกันเองมา
ถูกบอกว่าเป็นเรื่องปกติสามัญ

51. ทรัพย์สินของครอบครัวทักษิณ ชินวัตร
โอนไปมาอย่างไร
ทรัพย์สินของครอบครัวทักษิณก็สมควรเป็นทรัพย์สินของครอบครัวทักษิณ
เป็นการพยายามปฏิบัติตามกติกาการเมืองห้ามถือครองหุ้น
เป็นเจตนาทำให้เป็นไปตามกติกา
ไม่ใช่เป็นการทำธุรกรรมหาผลประโยชน์
หรือยักยอกทรัพย์ผู้ใดไม่
ด้วยจำนวนแหล่งและปริมาณทรัพย์สิน
มีโอกาสบกพร่องผิดพลาดในพิธีการตามระเบียบการราชการต่างๆ
ที่ประชาชนทั้งหลายย่อมสำนึกแก่ใจเป็นอย่างดีในความยุ่งยาก
แต่กระบวนการบิดเบือนพยายามสร้างภาพ
พยายามบิดเบือนคุ้ยขุดเขี่ยหาเหตุข้อบกพร่องในขั้นตอนต่างๆ
กล่าวหาทำลายล้างให้เข้าใจผิดราวเป็นอาชญากรกระทำการอันมหันต์
โมเมเฉไฉข้อหาต่างๆนานา จะทำการยึดทรัพย์หมดทั้ง 76,000 ล้านบาท

เล่ห์กระเท่ห์ของกลุ่มรวมหัวโค่นล้มทักษิณ ชินวัตร
ที่ออกระเบียบค่าสินบน 25 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินของทักษิณที่ยึดมา
คือหางที่โผล่
ออกระเบียบปิดบัง ไม่เผยตัวผู้ได้รับสินบนว่าเป็นใคร
สุดท้ายก็จะมีการหาทางเอาทรัพย์สินที่ยึดได้ผ่องถ่ายแจกจ่ายกัน
ช่องทางปล้นทรัพย์นี้จะไม่ถูกปล่อยมืออย่างแน่นอน
เพียงแต่จะหาทางให้ดูแนบเนียน มัดมือชก ไม่เห็นพิรุธ จับผิดไม่ได้ อย่างไรเท่านั้น
ธรณีแห่งประชาชนทั้งหลายนี้เป็นพยาน สักวันหนึ่ง ขอให้กรรมตามสนองผู้กระทำอย่างสาสม

52. การโอนหุ้นของคุณหญิงพจมานให้แก่พี่ชายโดยเลือกวิธีการโอนผ่านตลาดหุ้น
ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในหลายวิธีที่สามารถใช้ในการโอนหุ้นได้
โดยที่วิธีการโอนผ่านตลาดหุ้นเป็นวิธีที่เสียภาษีน้อยกว่าวิธีอื่นๆ
น้องสาวผู้โอนหุ้นให้พี่ชายโดยเลือกใช้วิธีโอนผ่านตลาดหุ้น
ถูกบอกว่าเลี่ยงภาษี และต้องรับโทษอย่างหนักโดยการจำคุก เพราะเป็นภรรยานายกรัฐมนตรีด้วย
แต่การโอนหุ้นของบุคคลทั่วไป
ซึ่งรวมถึงกลุ่มเครือญาติมิตรสื่อกรรโชกผลประโยชน์ เครือญาติมิตรของสมาชิกพรรคการเมืองเก่าแก่แห่งนั้น
และอาจมีภรรยานายกรัฐมนตรีท่านอื่นที่ไม่ใช่ทักษิณ ชินวัตร
รวมทั้งอาจจะมีเครือญาติมิตรผู้พิจารณาและดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้
สามารถโอนหุ้นผ่านตลาดหุ้นได้โดยไม่เคยมีกรณีผู้ใดรับโทษจำคุกมาก่อน

53. ASSTV ใช้วิธีเลี่ยงกฎระเบียบ ในการแพร่ภาพสัญญาณ ถูกบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่การออกหวยบนดิน โดยใช้ระเบียบเฉพาะ ถูกบอกว่าเป็นสิ่งที่ผิด

การดำเนินนโยบายหวยบนดิน
แก้ปัญหาการขายสลากเกินราคาได้อย่างแยบยล
แก้ปัญหาหวยใต้ดินอย่างได้ผล จนหวยใต้ดินแทบจะสาบสูญ
แก้ปัญหาอิทธิพลมาเฟียและอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับหวยใต้ดินได้อย่างลุล่วง
ก่อรายได้นำไปใช้อุดหนุนการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส อันจะงอกเงยผลแก่ประเทศอย่างไม่รู้จบ
ก่อรายได้นำไปใช้แก่สาธารณะประโยชน์
ป้องกันผู้ไม่รักดีลุ่มหลงการพนันให้มีทางระบายออกอย่างยากที่จะหายนะเช่นการพนันอื่น
ให้คนจนได้มีทางผ่อนคลายความทุกข์จากความหวังแม้จะลมๆแล้ง
แต่ก็เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของคนที่ไม่สามารถแสวงหาความสุขใส่ตนได้อย่างผู้มีอันจะกิน
แต่ผู้ดำเนินนโยบาย กำลังจะถูกดำเนินคดี หาทางเอาโทษ

54. การปราบปรามขบวนการค้ายาบ้าอย่างหนัก
จนพวกคลั่งยาบ้าจับเด็กหรือจับผู้หญิงเป็นตัวประกัน ที่เคยมีให้เห็นเป็นรายวัน สูญไปหมดสิ้น
แต่กลับถูกสื่อตัวการ รวมกับพวกค้ายาบ้า ใส่ความว่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์

55. ผลประโยชน์แอบแฝง ของ พธม.
สร้างอิทธิพล อำนาจต่อรองขู่กรรโชกเรียกผลประโยชน์
ก่อความวุ่นวายให้เกิดความสนใจ เพื่อสร้างข่าวขาย
ขายผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง เช่น จานเดาวเทียม แผ่นซีดี เสื้อ เป็นเงินรายได้เข้ากระเป๋า
รับเงินจากผู้มีส่วนได้เสียในการโค่นล้ม
รับเงินจากการหลอกลวงให้บริจาค

หวังว่าในวันข้างหน้า จะมีผู้ค้นข้อกฎหมาย มาลงโทษสื่อที่แอบแฝงกระทำการเยี่ยงนี้ได้

56. พันธมิตรหลอกลวงประชาชนเพื่อทำลายประชาธิปไตย
ถูกบอกว่าเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เรียกร้องให้แต่งตั้งนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
แต่พลิกแพลงเล่นแง่หาทางให้มีนายกรัฐมนตรีมาจากมาตรา 7
เรียกร้อง และพยายามสร้างเงื่อนไขให้ทหารปฏิวัติ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ยอมรับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
บอกว่าเสียงข้างมากของผลการลงคะแนนเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย
เรียกร้องให้มี สว. จากการสรรหา
จะเอา สส. จัดตั้งกันเอง 70 ส่วน ให้ประชาชนเลือกตั้งได้ 30 ส่วน
ยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่ให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งเข้าทำงานบริหารประเทศ
ประกาศขับไล่รัฐบาลของประชาชน ที่เลือกมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น อย่างไม่เลิกรา
ใช้วิธีการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน
และการทำลายประเทศทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง องค์กรของสถาบันต่างๆ
เป็นเครื่องต่อรองให้รัฐบาลออกไป
เพื่อจะเอาพวกตนเข้ามายึดกุมประเทศ

การแจกจ่ายตำแหน่งทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตร เมื่อสร้างสถานการณ์ให้ทหารยึดอำนาจได้
อาทิ ตำแหน่ง สว. สรรหา ตำแหน่งในองค์กรอิสระ และกรรมการในรัฐวิสาหกิจ
ที่มีค่าตอบแทนสารพัด นอกเหนือจากเงินเดือนที่ส่วนใหญ่อยู่ในหลักแสน
แท้จริงคือการรุมทึ้งผลประโยชน์ จากอำนาจหน้าที่และการกรรโชก
พร้อมไปกับการกวาดล้างทำลายฝ่ายตรงข้าม

การเข้ายึดครองตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ
ของผู้ไม่มีความรู้ความสามารถ แต่อยากในผลประโยชน์
ก่อความเสียหายอย่างมากมาย ในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
สนามบินสุวรรณภูมิ และองค์กรที่เกี่ยวกับโทรคมนาคมคือตัวอย่าง

ความเสียหายของสนามบินสุวรรณภูมิ
ที่ไม่จัดการระบายน้ำอย่างเหมาะสมตามเงื่อนไขความจำเป็นของสภาพพื้นที่
จากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
และการไม่มีความรู้ความสามารถของการจัดการในตำแหน่งที่แย่งชิงยึดครองมา
ความผิดและความพลาด ของพวกตนเอง
กลับนำมาเป็นเครื่องมือทำลายชื่อเสียงสนามบินแห่งชาติอย่างแทบย่อยยับ
เพื่อหวังผลทำลายเครดิตรัฐบาลทักษิณ ในความเป็นผู้นำความสำเร็จมาสู่สนามบินสุวรรณภูมิ
จากที่ไม่เคยมีวี่แววจะได้ผุดได้เกิดขึ้นได้หรือไม่ในโลกนี้

57. นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค
อีกหนึ่งความเข้าใจผิดของชนชั้นมันสมองที่ก่ออคติต่อรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
กลุ่มคนในวิชาชีพแพทย์จำนวนไม่น้อย ต่อต้านทักษิณ ชินวัตร
จากความกังวลในสวัสดิภาพรายได้ของตน
แท้จริงแล้ว นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค กลับจะทำให้ สถานะรายได้ของแพทย์ยกระดับยิ่งขึ้น
เพราะจะเกิดการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างผู้ต้องพึ่งพิงการสงเคราะห์เอื้ออาทรจากสังคม ให้ยืนหยัดสู้ชีวิตได้ต่อไป
ซึ่งจะได้รับแต่เพียงเท่าที่จำเป็น จะไม่เกินไปกว่านั้น
แยกออกจากผู้มีกำลังทรัพย์ที่ต้องการยิ่งกว่านั้น ดีกว่า เหนือกว่า มากกว่านั้น

โขลงช้างนั้นแข็งแกร่ง
เพราะต่างพึ่งพิง ปกป้องและช่วยเหลือกัน
ไม่เหมือนฝูงสมันที่ตัวใครตัวมัน มีแต่จะถูกจับกินเป็นเหยื่อไปทีละตัว

โชคชะตาของชีวิตนั้นไม่แน่นอน
คนที่เคยเข้มแข็ง สักวันหนึ่งอาจกลายเป็นช้างตัวที่บาดเจ็บ

กุศลใดที่บทความนี้จะทำให้แพทย์ทั้งหลายเข้าใจความจริงที่จะเป็นไป ขอกุศลนั้นจงมีแก่แพทย์ท่านทั้งหลายนั้น

58. ทักษิโณมิกส์ เป็นคำบัญญัติโดยนางกลอเรีย อาร์โรโย่ ประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์
ด้วยความยกย่องแนวทางการบริหารและพัฒนาประเทศ
จากแนวคิดก้าวหน้าของนายกรัฐมนตรีของไทย ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร
ที่พลิกฟื้นประเทศจากวิกฤติสู่ศักยภาพแข็งแกร่งพร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมีอนาคตสดใส
จนผู้นำของประเทศไทยได้รับการยอมรับบนเวทีโลกในความสำเร็จของแนวทางการพัฒนา

คำศัพท์บัญญัติ ทักษิโณมิกส์ อันแฝงเกียรติเชิดชู ถูกแทนด้วยคำแปลว่าระบอบทักษิณ
กลับถูกแฝงเจตนาบิดเบือนดูหมิ่นเหยียดหยามให้เกิดภาพด้านลบเพื่อการดิสเครดิต
การกระทำนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆของเค้าลางวิถีที่จะกระทำขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อไป
เป็นวิถีของกลุ่มคนที่คุ้นเคยเชี่ยวชาญและใช้ได้ผลมาแล้วอย่างยาวนาน
ซึ่งมีที่มาของรากเหง้า มาจากความอิจฉาริษยาและเห็นแก่ตัว
ในอภิสิทธิ์ส่วนตนเหนือผู้อื่นของคนกลุ่มหนึ่ง

59. กลุ่มคนพวกนี้เดิมอยู่ในแวดวงพวกลุ่มหลงตนถือยศศักดิ์เหนือผู้อื่นที่ซ่อนความไม่พอใจไว้
แผ่ขยายขบวนการร่วมมือกันออกไปในหมู่ผู้คงความเห็นแก่ตัวร่วมกันในอภิสิทธิ์ส่วนตนด้านต่างๆ
เริ่มออกตัวปรากฏในที่แจ้งโดยสื่อที่ไม่ได้รับการสนองในสิ่งที่ตนกรรโชกผลประโยชน์
เมื่อมีตัวการออกหน้า ปฏิบัติการรุมหมู่ก็เริ่มขึ้น
โดยกลุ่มคนเหล่านี้?

สื่อกรรโชกผลประโยชน์ เรียกหาสินบนตอบแทนการที่สื่อจะเขียนให้การสนับสนุนหรือการที่จะไม่เขียนโจมตี
ทหารที่แสวงผลประโยชน์จากรัฐวิสาหกิจและผลประโยชน์ต่างๆของรัฐ
ผู้หวังตำแหน่งและผลประโยชน์ทางการเมืองจากการโค่นล้มแย่งชิงอำนาจ
นักธุรกิจที่สนับสนุนอำนาจการเมืองขั้วตรงข้าม
ข้าราชการที่ยึดติดเคยชินและยังต้องการต่อไปสำหรับการวางตัวเหนือศรีษะประชาชน และการคอรัปชั่น
พนักงานรัฐวิสาหกิจที่หวั่นเกรงการพัฒนาอย่างโง่เขลาและเห็นแก่ตัว
นักเล่นการเมืองเพื่อตบทรัพย์นักธุรกิจ ต้องการพลิกขั้วแย่งชิงอำนาจ
นักการเมืองไดโนเสาร์พันธุ์ต่อรองผลประโยชน์ที่ถูกจำกัดลิดรอนบทบาทและอิทธิพล
นักวิชาการที่มีความเกี่ยวพันกับการเมือง หรือมีความสัมพันธ์กับนักการเมือง
พวกครอบครองมรดกที่ดินจำนวนมากไม่สร้างสรรค์การงาน รอผู้อื่นสร้างความเจริญเข้ามาให้
(พวกครอบครองมรดกที่ดินนี้ หวั่นเกรงแนวคิดเก็บภาษีที่ดินจากผู้ที่มีที่ดินจำนวนมหาศาลในครอบครอง)
ผู้ค้ายาเสพติด
เจ้ามือหวยเถื่อน
เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ
มาเฟียอิทธิพล
กลุ่มคนอิจฉาริษยา
ผู้มีความรู้แต่ไม่มีความเฉลียวบริโภคแต่สื่อข้างเดียวจนถูกล้างสมอง

กลุ่มคนเหล่านี้แท้จริงเป็นบางส่วนของกลุ่ม เป็นเพียงคนส่วนน้อยของกลุ่ม
แต่พยายามสร้างภาพว่าตนเป็นตัวแทนของคนทั้งหมด

60. เพียงพิจารณาเศรษฐกิจที่พลิกฟื้นในสมัยทักษิณจากภาวะวิกฤต
พิจารณาเล่ห์ร้ายของสื่อตัวการที่ว่าจะต่อสู้กับทักษิณเพื่อผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
ทำมารยาสาไถยประหนึ่งว่าทักษิณอยู่ตรงข้ามกับความจงรักผู้เป็นที่รักยิ่งของคนไทย
เพื่อให้เกิดความเกลียดชังต่อทักษิณ
วิญญูชนซึ่งไม่มีเหตุผลอันเป็นวาระซ่อนเร้น ย่อมสำเหนียกอะไรบางอย่างได้



61. การต่อสู้ระหว่างระบอบอภิสิทธิ์ชน-อำมาตยาธิปไตย กับระบอบราษฎรธิปไตย
การต่อสู้ของสองระบอบในระบอบประชาธิปไตยเพื่อพิสูจน์ความเป็นแก่นแท้อันถูกต้องเหมาะสมดีงาม
มันยังไม่จบ มันจะมีตอนต่อไป

62. อำนาจอธิปไตยควรจะเป็นของใคร
ของอภิสิทธิ์ชน โดยอภิสิทธิ์ชน เพื่ออภิสิทธิ์ชน คนส่วนน้อยของประเทศ
หรือ ของราษฎร โดยราษฎร เพื่อราษฎร คนส่วนใหญ่ของประเทศ



วิเคราะห์การพิพากษาทักษิณ การขาดแหว่งพร่องไปของการพิจารณาและร่องรอยของพิรุธ
?ความลับของศรีธนญชัย?
คือการใช้ การพิจารณา การอ้าง เหตุผลหรือข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน ขาดแหว่ง พร่องไป
ซึ่งเหตุผลหรือข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน ไม่ครบถ้วน ขาดแหว่ง พร่องไป นั้น
แท้จริงแล้ว คือความเท็จอย่างหนึ่ง เป็นการอยุติธรรมอย่างหนึ่ง
เป็นเล่ห์ทุศโลบายศรีธนญชัยสองมาตรฐาน ที่ถูกนำมาใช้

หากจะหาบุคคลที่มีประสบการณ์เพียงพอ มีความสามารถ มีความพร้อม มีศักยภาพ มาบริหารประเทศ
โดยที่เป็นบุคคลไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีผลประโยชน์เชิงนโยบาย ไม่มีผลเอื้อประโยชน์ตนหรือพรรคพวก
ไม่มีทรัพย์สินที่จะมีผลกระทบเกี่ยวข้อง
คงหาได้ยากยิ่ง
และคงได้แต่พวก ?ไม่ทำอะไร? บังหน้า เท่านั้น มาบริหารประเทศ

เพราะว่าบุคคลปกติทั่วไปย่อมต้องประกอบอาชีพ ทำธุรกิจ มีทรัพย์สิน
ซึ่งการดำเนินการต่างๆของอำนาจทางการเมือง
ล้วนย่อมต้องมีผลกระทบเกี่ยวข้อง กับการประกอบอาชีพ ธุรกิจ ทรัพย์สิน ของบุคคลปกติทั่วไป

?ไม่ทำอะไร?
เพื่อสร้างภาพให้ดูเหมือนว่า ขาวสะอาด
?บังหน้า? พรรคพวกเบื้องหลัง
ให้เรียกทรัพย์ เรียกผลประโยชน์ จากผู้ที่จำเป็นต้องประกอบอาชีพ ทำธุรกิจ มีทรัพย์สิน
?บังหน้า? พรรคพวกเบื้องหลัง
ให้ทำการทุจริต ฉ้อฉล ต่างๆ

ถ้าเป็นผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของส่วนรวมของประชาชนของประเทศ
ใครจะมีผลพลอยได้ไปด้วย ก็ไม่เห็นจะต้องเดียดฉันท์
ไม่แน่ว่า นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับของประชาชนของประเทศ
อาจเป็นนักการเมืองที่น่าพึงปรารถนาให้เข้ามาทำงานให้แก่ชาติบ้านเมือง

ทำไมอำนาจตุลาการไม่กี่คน ที่ซึ่ง?
เป็นอำนาจตุลาการที่มาอย่างทุจริต จากอภิสิทธิ์ชนคนกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คนของประเทศ ที่ไม่พอใจการถูกขัดผลประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่พอใจการถูกขัดผลประโยชน์ ที่จะได้จากการจัดซื้ออาวุธ
เป็นอำนาจตุลาการที่พิพากษาด้วยกฎหมายที่บัญญัติผูกซ่อนเงื่อนต่างๆโยงกันมาอย่างเฉพาะของอภิสิทธิ์ชน
สามารถก้าวล่วงอำนาจบริหารทั้งคณะ ก้าวล่วงอำนาจนิติบัญญัติทั้งคณะ ที่ซึ่ง?
เป็นอำนาจบริหารที่มาอย่างสุจริต จากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น
เป็นอำนาจนิติบัญญัติที่มาอย่างสุจริต จากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น

เป็นอำนาจตุลาการไม่กี่คน ที่มาอย่างทุจริต ที่พิพากษา อำนาจบริหารทั้งคณะ อำนาจนิติบัญญัติทั้งคณะ ที่มาอย่างสุจริค
ว่าเอื้อประโยชน์แก่ครอบครัวทักษิณ

การสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมส่วนใหญ่ของชาติของรัฐบาลทักษิณ
เผื่อแผ่ผลพลอยได้เอื้อแก่ครอบครัวทักษิณไปด้วย
ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเสียหาย
ผ่านการพิจารณาอนุมัติของอำนาจบริหารทั้งคณะและอำนาจนิติบัญญัติทั้งคณะ
เป็นทั้งคณะที่มาอย่างสุจริต จากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น

เหตุรวยผิดปกติ ไม่ปรากฏที่มาที่ไปของทรัพย์ ผลจึงยึดทรัพย์สิน
แต่เพราะว่าครอบครัวทักษิณรวยปกติ มีที่มาที่ไปชัดเจนจากการขายหุ้น
ที่ราคาหุ้นสูงขึ้นอย่างปกติ เช่นเดียวกับบริษัทเกือบทั้งหมดในตลาดหุ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
ผลประกอบการในเวลานั้นก็เป็นไปอย่างงดงาม
ผลประกอบการของผู้รับช่วงต่อก็ปรากฏสอดคล้องกันว่าเป็นไปได้
ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่ารวยผิดปกติ
จึงต้องโมเมสาดโคลนใส่ให้มัวหมองก่อน ว่าเอื้อประโยชน์ตนเอง หรือไม่ ?
แล้วจึงโมเมต่อว่าน่าจะรวยผิดปกติ ลวงให้ดูเหมือนว่าน่าจะรวยผิดปกติ หรือไม่ ?

จากคุณ : วษณ เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 53


โดย: โจงกระเบนแดง (nutangmo ) วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:20:04:56 น.  

 
ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:00:00 น. มติชนออนไลน์

เมื่อผู้กำกับ "รักแห่งสยาม" เขียนจดหมายตอบน้องเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์ 10 เมษายน

...เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชนชั้นสูงอย่างเต็มตัว. ..

หมายเหตุ "ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล" หรือ "มะเดี่ยว" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "รักแห่งสยาม" รวมทั้งหนังสะท้อนปัญหาสังคมไทยในยุคปลายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หลาย ๆ เรื่อง เช่น "คน ผี ปีศาจ" และ "13 เกมสยอง" ได้เขียนจดหมายตอบกลับไปยังเพื่อนรุ่นน้องที่เข้ามาระบายอารมณ์ความรู้สึกผิดหวังเสียใจกับปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่มีต่อเหตุการณ์นองเลือดในวันที่10 เมษายน โดยเขาได้นำเนื้อหาในจดหมายดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในเว็บล็อกส่วนตัว //mdsponx.spaces.live.com มติชนออนไลน์เห็นว่าจดหมายของชูเกียรติมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้


13 เมษายน


โยนิโสมนสิการ


จากที่ได้ป่าวประกาศไปในเฟศบุคว่าจะทำรายการตอบคำถาม ก็มีผู้คนส่งคำถามมามากมาย มีไม่น้อยที่เปนคำถามเกี่ยวกับสังคมและการเมือง จะอ่านตอบลงไปในยูทูปก็เกรงใจเพราะว่าในการดำเนินรายการหมายมุ่งว่าทำเพื่อความบันเทิงเริงใจ การค้นหาความจริงทางสังคมและการเมืองตอนนี้มีผู้คนออกมาแสดงความเห็นกันมากมายอยู่แล้วจึงปล่อยให้เปนหน้าที่ของท่านเหล่านั้นไป


หากแต่ก็ยังมีความกลัดใจอยู่ไม่น้อยในประเด็นความขัดแย้งแลความเศร้าที่ต้องมีผู้คนเสียชีวิตบาดเจ็บไปในเหตุการณ์จึงหยิบจดหมายของน้องคนหนึ่งที่เขียนมาในใจความถามว่า เขาควรทำอย่างไรดีเมื่อเริ่มขัดแย้งกับเพื่อนในเฟศบุคเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่เปนเพื่อนสนิทที่นิสัยดี พอความขัดแย้งเกิดขึ้นเขาและเธอว์เหล่านั้นต่างแสดงตัวตนที่โหดเหี้ยมอำมหิตออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ จดหมายส่งมาถึงข้าพเจ้าหลายวันหากแต่ยังไม่ได้ตอบ แล้วไม่นาน น้องคนนั้นก็นำไปเขียนลงบลอกด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ แฝงความทุกข์ใจที่เสียเพื่อนอยู่ในที เจือระคนด้วยความโกรธเคืองอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่าความโกรธนั้นไม่ได้มุ่งหมายไปที่ตัวบุคคล แต่ยังแผ่ลามไปถึงสังคม แลทุกสิ่งที่ปลูกความคิดอัปยศเหล่านั้นให้เพื่อนของเขา จึงขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านในบลอกนี้ ก่อนที่จะอ่านจดหมายตอบกลับของข้าพเจ้าต่อไป


//nanoguy.extee.../20100412/entry

จดหมายถึงน้อง


ตี้น้องรัก


จากคำถามสั้น ๆ วันก่อนที่เธอว์ได้ถามพี่มา บัดนี้ได้แจกแจงรายละเอียดจนเห็นภาพชัดแจ้ง โดยที่ไม่ต้องจินตนาการใด ๆ เพราะรอบข้างตัวพี่ ตัวเรา ตัวเขา ตัวเธอว์ เหล่านั้นเราต่างประสบปัญหานี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ตัวพี่เองที่วันนี้คงพูดไม่ได้แล้วว่าเปนกลางทางการเมือง


การออกตัวว่าเห็นด้วยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเปนเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่างมากในสังคมกรุงเทพสาธารณะ(ในที่นี้หมายถึงในโลกไซเบอร์นี้ด้วย) เพราะเราจะถูกชี้หน้าด่าทันทีว่าเปนลิ่วล้อของทักษิณ เปนคนโง่ที่ถูกล้างสมอง ไร้การศึกษา ชีวิตมีค่าเพียงธุลีดิน และถูกเกลียดชังไปในทันที แต่พี่ว่าการออกตัวอย่างชัดเจนยังดีกว่าการออกตัวว่าเปนกลางแล้วซ่อนความยินดีอำมหิตอยู่ภายในอย่างคนที่ตี้ได้เจอ คนพวกนี้เขาไม่ถามเราหรอกว่าทำไมเราถึงเห็นด้วยกับเสื้อแดง เหมือนที่เขาตอบเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเกลียดทักษิณ แล้วส่วนใหญ่ก็จะอธิบายไม่ได้ด้วยว่าทักษิณทำผิดอะไร มักจะเชื่อเพราะเขาบอกมา เชื่อเพราะเขาพูดกัน เชื่อเพราะสื่อชี้ให้เห็นเปนแบบนี้ และที่น่าเศร้า เชื่อ เพราะกลัวจะถูกหาว่าไม่ฉลาดทันคน


พี่ทำหนังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลทักษิณมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบมหาวิทยาลัยจนถึงเรื่องสิบสามเกมสยองก่อนที่รัฐบาลของเขาจะถูกรัฐประหารในคืนที่ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนใหญ่ที่พูดถึงในเนื้องานคือเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสงครามยาบ้าอันเปนนโยบายของรัฐบาล เรื่องการแทรกแซงสื่อและนโยบายประชานิยม พี่ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องการเลี่ยงภาษีหรือการทุจริตต่าง ๆ ที่เขายกมาเปนประเด็นในช่วงท้าย ๆ ของการดำรงตำแหน่งนั่นเปนเพราะว่าพี่ไม่เข้าใจระบบภาษี ไม่เข้าใจวิธีการฟอกเงิน การวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดที่เราไม่รู้แจ้งจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นักเพราะวันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ อาจจะย้อนมาหาตัวเราเอง อนึ่ง หากจะพูดเรื่องภาษี พี่ก็ยังเห็นคนรอบข้างตั้งหลายคนพยายามหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ นานาเช่นกันและที่ไม่น่าพูดถึงเลยก็มีคนในประเทศนี้ตั้งหลายคนที่ไม่ต้องเสียภาษีและก็ใช้ทรัพยากรเดียวกันบนผืนแผ่นดินไทย รวมถึงพี่ด้วย ที่บางอารมณ์เมื่อนึกถึงความทุจริตที่เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในหน่วยงานของรัฐ พี่ก็ไม่อยากจะเสียภาษีเหมือนกัน แต่ก็เลี่ยงไมได้เพราะหัก ณ ที่จ่ายเงินทุกครั้งเมื่อพี่ได้รับค่าจ้าง


เราคงไม่ต้องอธิบายแรงผลักดันในการออกมาต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้าให้เสียเวลาเพราะมีคนได้อธิบายไปแทบจนหมดสิ้นแล้วแต่คนส่วนใหญ่ในเมืองก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าใจอาจจะเปนเพราะชาวนาในความคิดเขาก็ยังเอาควายไถนาเกี่ยวข้าว สวมงอบกันเหมือนในโปสการ์ดของการท่องเที่ยวฯ ความยากจนและการถูกกดขี่มันเปนอย่างไรคงยากจะจินตนาการถึงในสังคมของผู้ที่ร้องเรียนทุกอย่างได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เรื่องของแถมจากการชิงโชคสินค้าไปจนถึงโดยแย่งอาหารในชาบูชิบุฟเฟต์ ไม่ว่าจะให้ข้อมูลอย่างไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเปนการทำลายธุรกิจ การใช้จ่ายอันศรีวิไลซ์และความสำราญสะดวกสบายของเขาเหล่านั้น มากกว่าจะเปนการเรียกร้องความเปนธรรมทางการเมืองที่เขาถูกลิดรอนมาหลายทศวรรษแล้ว


มีคำถามของน้องคนหนึ่งชื่อ "ปาริณ" ถามได้น่าสนใจว่า "ใครคือชนชั้นกลาง" เปนคำถามที่ดีมากสำหรับเด็กมัธยมผู้ใฝ่รู้ จริงแล้วแต่ละสาขาก็มีอรรถาธิบายต่อคำว่าชนชั้นกลางของตัวเอง ทางรัฐศาสตร์ก็แบบนึง เศรษฐศาสตร์ก็แบบนึง สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ก็อีกแบบนึงแล้วแต่จะพูดไป แต่สรุปรวมคำอธิบายในแบบของพี่ ชนชั้นกลางคือผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ทำงานอยู่ในระบบธุรกิจ จุดมุ่งหมายของชนชั้นกลางคือการถีบตัวไปสู่ชีวิตที่สูงขึ้นในระดับชนชั้นสูง คนพวกนี้มีความอ่อนไหวเปราะบางทางความรู้สึกเพราะชีวิตของพวกเขาไม่มีความมั่นคง เกือบทั้งหมดมีหนี้สิ้น ไม่ว่าจะเปนบ้านหรือรถ หรือธุรกิจ ดังนั้นไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกังวลในใจตลอดเวลาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองและต้องการหาแหล่งอำนาจไว้พึ่งพิงชนชั้นกลางอ่อนไหวกับข่าว เชื่อสื่อง่ายโดยเฉพาะสื่อทางเลือกอย่างเช่น อินเตอร์เน็ต และเคเบิลทีวีพวกเขาพร้อมใจจะเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ ข่าวซุบซิบ หรืออะไรก็ตามที่ขึ้นต้นว่า "ข่าววงใน" สิ่งที่พวกเขากลัวคือการตามไม่ทันกระแส โดยเฉพาะยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้ใครรู้ก่อน ปล่อยข่าวได้ก่อน ย่อมได้รับการยกย่องราวกับเปนกูรู ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากรายการแฉที่ได้รับความนิยมมากมาย พิธีกรหรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงในการแฉไม่ว่าจะเปน มดดำ ซ้อเจ็ด หรือช่องเคเบิลใด ๆ ที่เปิดแล้วมีแต่กระเทยมาเม้าธ์กัน ตอนนี้มีมากมายและได้รับการยกย่องเสียด้วย ในขณะที่เราถูกสอนว่าการนินทาผู้อื่นนั้นไม่ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก แต่ทำไมถึง...


ช่างมัน เรามานินทาชนชั้นกลางกันต่อ ด้วยรู้จุดอ่อนข้างต้น ชนชั้นปกครองจึงหลอกเอาขนมผสมน้ำยาได้โดยง่าย ด้วยสื่อที่เปนของทหารและรัฐเกือบทั้งหมดเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร รักอะไร เกลียดอะไรได้โดยง่าย เรียนนิเทศมาสื่อแบบนี้เขาบอกว่าเปนสื่อของรัฐบาลเผด็จการทหาร ไม่ใช่สื่อของเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะถ้าเปนเช่นนั้นจริง ฟรีทีวีเราคงมีมากกว่าสิบช่องให้มีการแข่งขันเสรีมากกว่าจะต้องทนดูอะไรห่วย ๆ โง่ ๆ ไร้รสนิยม ที่รัฐและนายทุนสื่อที่มีอยู่ไม่กี่เจ้ายัดเยียดให้เราดูแล้วบอกว่า "ชาวบ้านเขาต้องการแบบนี้" ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากดูแบบนี้หรือไม่มีปัญญาทำแบบอื่น หรือกลัวเขาจะฉลาดขึ้นมา


นอกเรื่องอีกแล้ว มาเรื่องชนชั้นกลางต่อ อย่าหาว่าเม้าธ์เลย ชนชั้นกลางไม่ค่อยแคร์ต่อความเปนไปของโลกมากนักจนกว่าจะมีปัญหาเดือดร้อนมาถึงตัว ในวัยมหาลัยเขาไปค่ายอาสากัน แต่ก็เหมือนไปเที่ยวไปกอบโกยความสนุกจากชาวบ้านแล้วก็สร้างห้องสมุด ห้องน้ำ โรงอาหารให้เขาอย่างที่เขาต้องการหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วทุกคนก็ลืมไปสิ้นเมื่อตอนแวะตลาดซื้อของฝาก เขาไปเที่ยวชนบทเพื่อดูความเรียบง่าย พอเพียง ทางอุดมคติก่อนจะกลับมาชอปปิ้งในห้างหรูด้วยบัตรเครดิตที่หมุนเดือนชนเดือน แล้วเขาก็ด่าคนที่มาชุมนุมเหยียดหยามเขาเหมือนไม่ใช่คน ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเปนลุงป้าน้าอาที่เคยไปสร้างห้องสมุด โรงอาหารให้กับเขาเมื่อไปค่ายก็เปนได้ เขาไปวัดปล่อยนกปล่อยปลาถวายสังฆทาน แต่ไม่ฟังเทศน์ หลายคนอ่านหนังสือพระดังแต่ไม่รู้จัก "กาลามสูตร" เข้าใจว่าเปน "กามสูตร" หากลองปฏิบัติตาม กาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พี่เชื่อว่าหลายคนคงเปนอิสระจากการครอบงำทางความคิดและเกิด "โยนิโสมนสิการ" ซึ่งไม่ใช่ความยินดีในโยนี แต่ลองไปเปิดหาความหมายเอาเองเถิด


แล้วที่เม้าธ์ชนชั้นกลางมาหลายย่อหน้านี้มันตอบคำถามใดของตี้ หากตี้มีโยนิโสมนสิการแล้วก็จะเข้าใจว่า น้องคนที่เขามีความยินดีในความตายของผู้คนเหล่านั้นเขาเปนชนชั้นกลางที่ขาดซึ่งวิจารณญาณโดยแท้ อาจจะเปนความเยาว์ความเขลาของนาง หรือสื่อที่บิดเบือนโลกของนางไปให้เห็นกงจักรเปนดอกบัว เห็นความตายเปนเรื่องน่ายินดี เห็นความแตกต่างทางการเมืองเปนเรื่องที่ต้องเอามาตัดสินคนว่าโง่เง่าต่ำตม ถ้าเปนพี่ก็คงช็อคมิใช่น้อยถ้าได้เห็นการเอารูปคนตายมาหยามเกียรติและชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์นี้มองในแง่ดีเราก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้นเหมือนกันนะตี้ มันทำให้เรามีตาทิพย์ เพราะขณะที่คนอื่นมองเห็นความศรีวิไลซ์ของน้อง ๆ เหล่านั้นว่าเปนคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีการศึกษาและเปนอนาคตของชาติ แต่เรามองเห็นด้านของปีศาจร้าย ความกักฬะโสมม ที่อยู่ในใจนาง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องความเชื่อทางการเมือง แต่เปนเรื่องของสภาพจิตใจมากกว่า


เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมนุษย์ไม่ใช่มนุษย์ เรายังเชื่อในอำนาจนิยม วันหนึ่งที่เรามีอำนาจเราก็จะกลายเปนปีศาจร้ายทำลายได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิตคนได้อย่างสนุกสนาน คิดดูว่าแค่มีอำนาจในมือในการพิมพ์คีย์บอร์ดยังเปนได้ขนาดนี้ วันหนึ่งที่เขามีสิทธิ์ชี้เปนชี้ตายคนพวกเขาจะสนุกสนานขนาดไหน แล้วเราจะหวังอะไรกับอนาคตของชาติที่เปนแบบนี้


ความหวังเรื่องสันติยังคงมืดมน แม้ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งก็มีมติให้ยุบพรรคประชาธิปปัตย์แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรว่าการชุมนุมจะเลิกรา พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังขออุทธรณ์ดิ้นรนเอาชีวิตรอด หรือถึงแม้จะเลิกชุมนุมไปแล้วการหวนกลับมาของทักษิณก็อาจจะมีการชุมนุมครั้งใหม่ของอีกฝ่าย หรือแม้แต่ทักษิณถูกประหัตประหารไป แต่เชื่อไหม ความขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป นายกรัฐมนตรีสุดหล่อเคยออกมาบอกว่าอย่าเอาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นมาเปนเงื่อนไขในการชุมนุม แต่ในความเปนจริง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั่นแหละคือปัญหาหลักของประเทศนี้


ชนชั้นสูงรู้ดีว่าตัวเองมีอะไรอยู่ในมือและชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหากเกิดความเปลี่ยนแปลงชนชั้นล่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการอะไรและชีวิตของพวกเขามันต่ำต้อยแค่ไหนในระบบเผด็จการทหารห่อประชาธิปไตย (เหมือนผัดไทห่อไข่) ทุกประเทศเปลี่ยนไปหมดแล้วไม่เว้นเวียตนามและกัมพูชา เมื่อคนที่ยากแค้นลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและพวกเขาก็ชนะ พี่เชื่อว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นแน่นอน เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชนชั้นสูงอย่างเต็มตัว


ประเทศเราไม่มีทางเปนเหมือนเดิมอีกต่อไป ในเมื่อคนถูกเสี้ยมให้เกลียดกันแล้วรอยร้าวนี้ก็ยากจะสมาน ต้องให้เครดิตรัฐบาลชุดนี้ไว้ด้วยตรงที่ขยันออกข่าวสร้างภาพความเลวร้ายของคนเสื้อแดง ใส่สีตีไข่ จนทำให้คนเกลียดกันได้มากถึงเพียงนี้ รัฐอาจจะต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น สิ่งนั้นอาจจะสำคัญมากกว่าความเข้าอกเข้าใจกันของคนในชาติ


มันอาจจะฟังดูอุดมคติ แต่จริงแล้วเมื่อคนเข้าใจกันว่าเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองในสังคม ไม่ได้มีใครสำคัญกว่าใครเราเปนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่มีหน้าที่ที่เท่าเทียมกันคือหมุนประเทศนี้ต่อไปข้างหน้า เราเข้าใจว่าเราเองก็ไม่อยากจน ไม่อยากลำบาก และคนอื่นก็เช่นกัน ใครก็อยากรวย อยากสุขสบาย เราจะไปบอกคนอื่นว่าเกิดมาจนก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงไปสิมันไม่ได้หรอก เพราะลองถามตัวเองจะให้ไปอยู่อย่างนั้นเอาไหม เราก็ไม่เอาเหมือนกัน ฉะนั้น กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย คนกรุงเทพไม่ใช่เจ้าของประเทศ คนต่างจังหวัดไม่ใช่คนโง่ เขาตื่นแล้ว ความยากจนข้นแค้น มันเรียกร้องให้เขาหาคำตอบว่าทำไมชีวิตเขาถึงไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้สักที วันหนึ่งเมื่อเขาเจอคำตอบเขาก็ไม่เชื่อสื่อของรัฐอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้เกียจคร้านและแบมือขอ พวกเขาทำงานหนักกว่าเราที่ทำงานในเมือง แต่ค่าตอบแทนมันต่างกันลิบลับ เราร้อนเราเปิดแอร์ แต่เขาร้อนนั่นคือพืชผลถูกทำลายและหมายถึงเจ๊งๆ ๆ ไม่มีจะแดก นี่คือเรื่องจริง อย่างที่สุดไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาประโลมโลกย์ และไม่ตื้นเขินเหมือนคำตอบที่ว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดมาเพื่อทักษิณ


เขียนมาถึงขั้นนี้ คงมีหลายคนที่เกลียดชังพี่ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างออกไป ซึ่งพี่ไม่ได้โกรธคนเหล่านั้น เพราะคนเรามีความเชื่อต่างกันได้ และจะเกลียดกันก็ไม่ว่ากระไรแต่ให้ลองถามว่า คุณเกลียดชังคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากคุณด้วยเหตุผลอะไร หากคุณรักชาติหวงแหนผลประโยชน์ของชาติ ลองนึกถึงคำตอบหน่อยว่า ผลประโยชน์ของชาติ คืออะไร ถ้าตริตรองดูด้วยเหตุผลด้วยข้อมูลต่าง ๆ มาประสมกัน คิดโดย "ไม่ควรเชื่อ เพียงเพราะ..." แล้วยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมด้วยเหตุผลที่หนักแน่น เราก็ยินดีให้ด่า


พี่หวังว่าจดหมายนี้จะเปนคำตอบที่ดีให้กับตี้และน้องปาริณอยู่ไม่น้อย หวังว่าสิ่งที่กลัดใจอยู่คงจะคลายความเครียดของมันลงไปได้ในเร็ววัน อาจจะสงสัยว่าทำไมพี่ถึงเรียกชนชั้นกลางว่าพวกเขา แล้วพี่เปนชนชั้นอะไร จริง ๆ แล้วพี่ก็เปนชนชั้นกลางเหมือนกับทุก ๆ คนที่เล่นเน็ตอยู่ ณ ที่นี้แหละจ้ะ เพียงแต่บางครั้งเราก็ไม่อยากถูกเหมารวมไปอยู่ในหมวดชนชั้นกลางที่เหยียดวรรณะ เพราะถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว พี่ยอมเปน "ไพร่" มากกว่าจะเปนคนในแดนศริวิไลซ์ที่มองเห็นคนไม่เห็นเปนคน


วิงวอนให้ทุกคนได้มี "โยนิโสมนสิการ" ในเร็ววัน



โดย: nutangmo วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:06:23 น.  

 
ขอบคุณเรื่อง2มาตฐานมากกำลังพยายามทบทวนอยู่ ขอให้กรรมตามแบบติดจรวดหน่อย


โดย: jo IP: 118.174.40.107 วันที่: 2 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:41:13 น.  

 
หนี 2 : ณ เวทีราชประสงค์ บทสนทนาระหว่างการเรียนรู้แบ่งปัน
22 เมษายน 2010 เวลา 17:28 น.


หากว่าได้มองปัญหาแล้วยังไม่เข้าใจมันล่ะก็ ลองเพิ่มมิติของspace และ time ที่เรามองดูสิ เพื่อให้เข้าใจว่ามันเริ่มมาจากไหน และนอกเหนือโลกใบเล็กๆของเรามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
จากบทสนทนากับเสกสรรค์ ประเสริฐกุล


...ผมตันสินใจโยนความคิด ความเข้าใจเก่าๆเอาไว้ตรงทางลงรถไฟฟ้า

ในโลกใบเก่าของผมนั้น ห้างพารากอนมีผู้คนเดินเต็มไปหมดทุกวัน สยามสแควร์เต็มไปด้วยผู้คนใส่เสื้อผ้าสวยงามหลากสีสัน และสี่แยกปทุมวันก็มีรถวิ่งเสมอๆ ไม่ว่าจะในช่วงเวลาไหน

ในโลกใบเก่า... กลไกของสังคมไม่ได้ถูกกำหนดด้วยการเอาคนมานอนขวางถนน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้วยเสียงตระโกนโต้ตอบกัน และไม่ได้สั่นคลอนด้วยความคดโกงของคนเพียงคนเดียว

...ในโลกใบเล็กๆนั้น เศรษฐกิจเป็นระบบที่ขึ้นอยู่กับตัวแปรที่วัดค่าได้ ควบคุมได้ คาดการได้ และปรัชญาความคิดทางการเมืองต่างมีแขนงที่แตกแยกออกเป็นเส้นทางที่ชัดเจน

ในโลกใบนั้น สรรพสิ่งล้วนแล้วอยู่ในสภาพและระบบ “ที่ควรมันควรจะเป็น”
...
ผมตัดสินใจโยนความคิดเก่าๆของผมไว้ตรงทางลงรถไฟฟ้า

...ไม่มีทฤษฏีใดในโลกที่ใช้อธิบายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้

บริเวณใต้รถไฟฟ้าสยามสแควร์ เต็มไปด้วยเต็นท์มากมาย แต่ละอันก็ต่างห้อยป้ายบอกที่มาของเจ้าของ และในขณะที่ห้างขนาดใหญ่ในบริเวณนี้ปิดบริการกันหมด ธุรกิจเล็กๆกลับบานสะพรั่งในบริเวณพื้นที่ชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า(สีแดง) และอุปกรณ์ต่างๆเพื่อใช้ประกอบการแสดงอุดมการณ์ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าแตะรูปนายกฯอภิสิทธิ์ แถบคาดหัวเขียนว่า “เลือดไพร่ มันไร้ค่า” หรือว่าเครื่องรางของขลังรุ่นเฉพาะสำหรับคนเสื้อแดง รวมไปถึงงานศิลปะที่ถึงแม้จะออกไปในทางรุนแรง แต่ก็อดทำให้รู้สึกตลกแบบร้ายๆไปในเวลาเดียวกันไม่ได้ (อาทิเช่น โปสเตอร์บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมขนาดใหญ่ ที่เอาหน้าคุณทักษิณมาแปะไปแทนที่พี่หม่ำ แล้วเปลี่ยนชื่อหนังใหม่เป็น “คิดถึงหน้าเหลี่ยม” )

ผมลองคิดย้อนไปถึงกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองที่ผมเองก็ได้ไปสำรวจมาเช่นเดียวกันเมื่อสองปีก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างแทบจะไม่ต่างกัน ทั้งบทเพลง คำปราศัย บทกวี รูปล้อเลียน ตีน(มือ)ตบ พระเครื่อง รองเท้าแตะ(ที่เปลี่ยนเป็นหน้านายกอีกคนหนึ่ง) บรรยากาศทั้งหลายต่างชวนให้หวนรำลึกไปถึงช่วงเวลานั้น... ชวนให้สงสัยว่า แท้จริงแล้วแต่ล่ะสีมีความหมายตามที่เราเข้าใจกันอยู่จริงๆหรือ... แล้วจริงหรือที่สาเหตุของความขัดแย้งในครั้งนี้เกิดมาจากความแตกต่าง...

...เราอาจจะเหมือนกันมากกว่าที่เราคิดจะยอมรับก็ได

ใช่ไม่ใช่ว่า นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่เราทุกคนควรออกจากบ้าน แล้วลองมาดูให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง... เพื่อให้เห็นให้ตระหนักว่าแท้จริงแล้ว คนที่เราคิดว่าอยู่คนละโลกกับเรา ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันมากมาย

การได้เห็น...
อาจจะไม่ใช่ทางออกของสังคม ไม่ใช่ทางออกทางการเมือง
แต่สำหรับผม... มันคือทางออกของจิตใจ
จิตใจ... ที่ก่อนหน้านี้หนักอึ้งด้วยความเกลียดชัง และหยาบกระด้างด้วยความเพิกเฉย
ผมหวังว่าวันนี้ จิตใจของผมจะเบาขึ้น ...แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

...ผมเริ่มต้นด้วยบทสนทนา


“ทำอะไรอ่ะพี่” ผมเอ่ยถามชายเสื้อแดงคนหนึ่ง หลังจากใช้เวลาสักพักในการสะบัดความหวาดกลัวที่ไม่ค่อยมีเหตุผลในจิตใจทิ้งไป
“จะทำป้อม ป้องกัน ไม่ให้พวกมันเข้ามาได้ นี่ถ้าเข้ามาได้ล่ะก็แย่เลยนะ” เขาตอบพลาง เหลาไม้ไผ่ไปพลาง
“โห วิธีนี้เคยเห็นแต่ในหนังนะ”
“อ้าว นี่แหละ ป้อมแบบนี้เข้าใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ใช้ได้ผลนะ”
“ป้องกันใครเหรอพี่ ทหารเหรอ ?”
“แล้วจะใครเล่า นี่แค่นี้ก็ยิงไปตั้งหลายคนแล้ว วันที่สิบผมก็อยู่นะ วิ่งกันจ้าละหวั่นไปหมด แก็สน้ำตานี่ก็ไม่ใช่แค่แสบตานะ ทำเอาหายใจไม่ออกเลย”
“เหรอพี่ แล้วตกลงทหารเค้ายิงจริงเหรอ ผมดูทีวีเค้าก็บอกว่าเค้าไม่ได้ยิงนะ เห็นว่ากระสุนมันมาจากด้านหลัง”
“โอ้ย จะใครอีกเล่า ที่นี่ใครๆเค้าก้รู้ว่าทหารยิงทั้งนั้น น้องได้ดูวิดีโอรึยังเนี่ย”
“อ๋อ ครับพี่ แล้วนี่พี่มาจากไหนเนี่ย”
“ชัยภูมิโน่นแน่ะ”
“แล้วมานานยังครับ”
“โอ๊ย นี่อยู่มาเดือนกว่าแล้ว ตั้งแต่วันที่ 12 แล้ว”
“โห นานจัง... แล้วไม่คิดถึงบ้านเหรอพี่”
“ก็คิดถึงน่ะแหละ ก็นั่งรถไปๆกลับๆบ้าง ไปขนข้าวขนของมา ข้าวนี่เพิ่งไปเอามาจากบ้าน” ชายคนนั้นกล่าวพลางชี้ที่กระสอบข้าวที่วางอยู่ที่เต็นท์ข้างๆ “กินข้าวมั๊ย? ทำจะเสร็จแล้วพอดี”
ผมผงะเล็กน้อย ก่อนยิ้มแล้วตอบว่า “โห ไม่ล่ะครับพี่ ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมว่าจะไปเดินดูต่ออีกสักหน่อย”
“เออๆ ไปดีมาดีแล้วกันเน้อ”

เราแยกจากกันด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่านี่เป็นเพียงการสนทนาในวันธรรมดาๆวันหนึ่ง และสถานที่ที่เราได้พบเจอกันนั้น ไม่ได้เป็นสนามรบทางความคิดที่กำลังเดือดระอุ หากแต่เป็นการเดินสวนทักทายกันริมถนนทางเดินธรรมดาๆ
ผมแลมองดูกองไม้ไผ่ที่วางอยู่ที่พื้น พลางนึกไปถึงช่วงเวลาที่ออกค่ายอาสาที่อีสานแล้วมีพ่อเฒ่าแม่แก่มาช่วยกันสอนให้รู้จักมัดไม้ไผ่ทำเป็นแคร่ สอนให้ผมรู้จักการเข้าเงื่อนที่ถูกต้อง...
“ที่นี่”ที่ชายคนนั้นพูดถึง...
...ผมสงสัยว่ามันคือที่แห่งใดกัน


“กูว่ากูดูแคลนพวกเค้าน้อยลงเยอะเลยว่ะ” เพื่อนรักผมผู้เป็นนักข่าวกล่าว เขาอยู่ที่ม็อบนี้มาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม แล้วก็ไม่ใช่แค่ม็อบเสื้อแดงเท่านั้น แทบจะทุกสีที่ออกมาเคลื่อนไหว เค้าก็ไปอยู่ทำข่าวมาตั้งแต่เริ่มต้น มาตอนนี้มีเวลาพักเล็กน้อย ผมเลยโทรชวนเขาออกมาจากห้องรับรองสื่อที่สำนักงานสตช.มานั่งสูบบุหรี่พูดคุยกัน (ด้วยจรรยาบรรณว่าด้วยความเป็นกลางของนักข่าวแล้ว จึงจะขอไม่เปิดเผยชื่อแล้วกันนะครับ)
“คือมึงอาจจะต้องมองข้ามวิธีการไปสักแป๊ปนึงว่ะ ถ้ามองแต่วิธีการยังไงมันก็ด่าได้อยู่แล้ว พวกหัวรุนแรงก็มีจริง แล้วส่วนใหญ่แกนนำก็เป็นคนคิดทั้งนั้น แล้วพวกแกนนำก็เถียงกันเองด้วย คนนึงว่าอย่างอีกคนว่าอย่าง ส่วนพวกชาวบ้านที่มาเขาว่าอะไรก็ไปตามๆกัน”
“แต่แม่ง เถื่อนขึ้นเรื่อยๆอย่างงี้มันจะไหวเหรอวะ” ผมถาม
“เถื่อนจริงว่ะ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ว่าก็ไม่มีคนสนใจจะทำข่าวหรอกว่ะ แล้วไอสองมาตรฐานมันก็มีมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่แค่มาเริ่มตอนทักษิณ ทีนี้พอมีคนคนยื่นมาเข้าไปช่วยอะไรหน่อย เค้าก็เลยซึ้ง มองเห็นเป็นผู้มีพระคุณกัน”
“เออ ไอคนแบบเรา จะทำเหมือนเข้าใจเค้าก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆยังไงก็คงจะไม่มีวันรู้สึกแบบที่เค้ารู้สึกกันจริงๆหรอกมั้ง”
“มันก็ไม่ใช่แค่ชาวบ้านหรอกว่ะ รุ่นเดียวกับเราที่จบมาด้วยกันนี่ก็มีทุกสีเลย เหลือง แดงมั่วไปหมด บางคนเห็นเค้าออกมากันแล้วก็ด่าเค้า เกลียดเค้า กูก็พยายามบอกว่า ...มึงลองคิดดูสัก 5 วินาทีสิ ว่าเวลามึงร้อนนี่มึงก็หนีเข้าห้องเปิดแอร์ได้แล้ว แต่เค้าร้อนเค้าก็ต้องอยู่ไปอย่างงั้น ไม่มีที่หนีไปไหน ถ้ามึงคิดแล้วผ่านไป 5 วิ แล้วมึงยังเกลียดเค้าอยู่อีก เออ...มึงก็เกลียดไปเหอะ”
“555 ...แรง เออ...แล้วไอเรื่องรับตังค์นี่มันจริงเท็จแค่ไหนวะ เห็นมีน้องบางคนมาเล่าให้กูฟัง แม่งมาสยามแต่เช้า เปลี่ยนเป็นเสื้อแดง เอาบัตรประชาชนให้เค้า แล้วก็เดินช็อปปิ้งทั้งวัน ตกเย็นก็มาเอาบัตรคืน ได้ห้าร้อยบาทกลับบ้านหน้าตาเฉย กูฟังแล้วก็แบบ ...นะ”
“เออ มันก็มีว่ะ อย่างเรื่องปลดหนี้นี่ก็ได้ข่าวว่าชนะแล้วจะให้ครอบครัวละหมื่นบาท กูก็ไม่ชัวร์มากหรอก แต่จะจริงก็ไม่แปลกว่ะ”
“แล้วแม่งจะเอาตังค์มาจากไหนกันวะ”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ”
“แต่ก็นะ... ให้กูมานอนกลางถนนเป็นเดือนอย่างงี้ เสร็จแล้วได้หมื่นบาท กูก็คงไม่เอาหรอก แต่พูดไปแล้วแม่งก็น่าอายฉิบหาย... ก่อนหน้านี้ไปออกงานถ่ายรูปกับผู้บริหารอะไรก็ไม่รู้ก็ได้มาสองสามหมื่นแล้ว”
“แบ่งกูบ้างเด่ะ”
“ไม่”
“จบการรายงานข่าว”

เรานั่งคุยล้อเล่นกันอยู่อีกสักพัก ตามภาษาเพื่อนไม่ได้เจอกันนาน ถึงตอนนี้เราจะหัวเราะ แต่ในใจผมก็นึกไปถึงตอนที่เราร่วมกับทำค่ายอาสา ทำค่ายสึนามิด้วยกัน ในวันเวลาเหล่านั้น เราเชื่อมั่นกันจริงๆว่าเรากำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทย แต่มาวันนี้ ผมลอง มองไปรอบๆกาย ผมก็ได้แต่ตลกตัวเองที่เคยนึกว่าห้องสมุดใหม่ ส้วมใหม่ ศาลาใหม่จะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
ผมลาเพื่อนผม บอกให้เขาระวังตัวดีๆ แล้วออกเดินต่อไปตามถนนพระราม 1 ที่มีผู้คนแน่นขนัด


“เป็นไงคนกรุงเทพฯ ชอบประชาธิปัตย์มั๊ย” พี่ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถาม หลังจากที่ผมทำเนียนเข้าไปขอไฟแช็คพี่เค้าจุดบุหรี่
“หึหึ พี่ ผมแย่กว่าคนกรุงเทพฯอีก ผมคนตรังว่ะ” ผมตอบปนตลก
“อ้าวจริงเด่ะ งี้ก็บ้านนายชวนน่ะสิ...?”
“อืม... แต่ก็ไม่ได้ชอบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอะไรหรอก นี่มาเดินดูก็เพราะอยากรู้แหละ ว่าทำไมเค้าถึงมากัน” ผมบอกพี่เค้า ทั้งๆที่ในความคิดนั้นเหมือนว่าจะรู้อยู่แล้ว แตใน่อีกแง่หนึ่ง หัวใจก็กำลังปฏิเสธสิ่งที่สมองคิดว่ารู้อยู่อย่างรุนแรง
“โอ้ย ที่มานี่ไม่ใช่เพราะทักษิณหรอกนะ มานี่ก็เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ”
“ยังไงอ่ะพี่”
“อ้าวก็เค้าเลือกตั้งกันมาแล้วไง ตอนนั้นเลือกแล้วคุณสมัครก็ได้แล้ว แล้วก็มาเอาเค้าออกอีก เราก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าที่บอกว่าจะเอาประชาธิปไตยอะไรกันเนี่ย มันประชาธิปไตยตรงไหน แล้วที่ผ่านมาเราก็เรียกร้องมาตลอด ก็ไม่เคยฟังกันบ้าง นี่ถ้าไม่ออกมาปิดห้างกันแบบเนี้ยะ ก็ไม่รู้จะสนใจกันบ้างรึเปล่า” พี่ผู้หญิงคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ฟัง
ผมมองไปข้างทาง เห็นผู้คนมากมายกำลังนอนอยู่บนพื้นถนน ข้างหลังมีป้ายโฆษณา Louis Vuitton ขนาดใหญ่ ตรั้งตระหง่านอยู่
...บางทีอาจจะไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าที่นี่แล้วก็ได้ ผมแอบคิด
“แล้วเกลียดอภิสิทธิ์มั๊ยพี่”
“โอ้ย ไม่ได้เกลียดอะไรหรอก แต่ยังไงเราก็ไม่ได้เลือกเค้ามา ขอแค่ยุบสภาแค่เนี้ยะ จะได้เริ่มกันใหม่ ขอแค่เนี้ยะยังให้กันไม่ได้”
“อ้าว แล้วเค้าเป็นนายกไม่ดีตรงไหนครับ”
“ก็ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันไง ตอนทักษิณอยู่นะ มีสามสิบบาทรักษาทุกโรค มีกองทุนหมู่บ้าน อภิสิทธิ์เนี่ย ตั้งแต่เป็นนายกไม่เคยเข้าไปดูอะไรเลย กองทุนก็มีแต่ถ้าจะเอาก็ต้องกู้ เรียกร้องอะไรไปก็ไม่เคยได้เลย”
“อืม แล้วนี่พี่มาจากไหนครับ มานานยัง”
“มุกดาหารจ๊ะ นี่มาก็เกือบเดือนแล้วมั้ง”
“เพื่อนพี่มากันเยอะมั๊ยครับ”
“มากันเต็มเลย โน่นน่ะ... อ้าวแล้วนี่คนกรุงเทพฯเป็นไงบ้าง รู้เรื่องอะไรกับเค้าบ้างรึเปล่า รู้สึกยังไงกับคนเสื้อแดงบ้าง”
“ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอกพี่” ผมตอบด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้อะไรจริงๆ ก่อนที่จะหันไปถามแฟนผมที่มาด้วยกัน (ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้บอกว่า “อยากมานะ แต่วันนี้ใส่เสื้อขาว กลัวโดนตีหัว” และผมก็ชักจูงเธอสำเร็จด้วยประโยคว่า “คนใส่สีขาวบานเลยเธอ”)
“เธอว่าไงล่ะ ได้รับผลกระทบโดยตรงนี่”
แฟนผมผู้ซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทที่มีร้านรวงอยู่ในแถบนี้ประมาณ 75 % ของร้านทั้งหมด กลืนน้ำลายเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ ก็มีคนเดือดร้อยเยอะนะพี่ อย่างพวกหนูอยู่ในบริษัทก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่พวกพนักงานหน้าร้านเค้าไม่มีรายได้กันแล้ว อย่างวันก่อนก็มีคนมาพวกหนูว่า “ขอบคุณนะครับ ที่ยอมจ่ายเงินเดือนให้” หนูก็สงสารมากๆเลยค่ะ แต่นี่ก็มีบางร้านก็เริ่มให้พนักงานหยุดโดยไม่จ่ายเงินกันแล้วนะคะ”
“...อืม อืม” พี่ผู้หญิงเสื้อแดงทำหน้าตอบรับ เหมือนว่ากำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง
“อืม ผมก็ว่านะพี่ ถ้าพี่ไม่มาปิดแถวนี้ ทำคนเดือดร้อนนี่ บางทีอาจจะมีคนรับฟังพวกพี่มากกว่านี้ก็ได้นะ” ผมเสริม แต่ในใจก็สงสัยสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดอยู่เหมือนกัน และพลางนึกไปถึงม็อบสมัชชาคนจนที่เคยมาปิดถนนอยู่แถวๆรัฐสภาอยู่เป็นเดือนๆ
“อ้าว... แล้วกินข้าวรึยังล่ะ” พี่ผู้หญิงถามผม
“อ้อ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวว่าจะไปกินมาบุญครอง เดี๋ยวผมไปแล้วครับพี่ ว่าแต่พี่ชื่ออะไรนะ”
“พี่ชื่อกวางจ๊ะ เอ้อ แล้วอย่าลืมไปศึกษาเพิ่มนะ”

“ครับพี่ หวัดดีครับ” ผมรับปาก และคิดว่าจะทำเช่นนั้นจริงๆ


“รู้สึกยังไงบ้าง” ผมถามแฟนผมหลังจากที่เราได้หลบเข้าไปตากแอร์กันในมาบุญครอง
“พี่ๆเค้าอินโนเซนต์กันมากเลยเนอะ....
...แต่สิ่งที่ได้ยินมา มันก็เหมือนกับสิ่งที่คิดไว้แล้วน่ะแหละ เพียงแค่ความรู้สึกมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยระหว่างฟังมาอีกที กับการมาได้ยินจากปากตรงๆเลย”
“อืม” ผมตอบ ในใจคิดว่าตัวผมเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสาน้อยไปกว่าพวกพี่ๆเขามากนัก “ความจริงคนพวกนี้ก็คือพวกที่เราไปเจอๆกันมาเมื่อตอนทำค่ายอาสาฯนี่แหละเนอะ”

“ใช่...
... ขอบคุณนะที่พามา”

หลังจากนั้นพวกเราก็กินข้าว จ่ายตังค์ไปสามร้อยบาท แล้วก็กลับบ้านกัน


วันต่อมา หลังจากกลับมาจากที่ชุมนุมที่ราชประสงค์ ผมก็ได้นัดกินข้าวกับพ่อ ด้านหนึ่งก็เพราะความคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมานาน และอีกด้านหนึ่งก็เพราะอยากพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาของบ้านเมืองกับผู้ที่มีความรู้อย่างพ่อ

“พ่อรู้รึเปล่าว่าเค้าร้องเพลงสู้ไม่ถอยกันด้วยเมื่อวาน”
“เออ เห็นร้องบ่อยแล้วนิ มีคนมาบอกเหมือนกัน”
“แล้วหลังจากนั้นเค้าก็ประนามทหารที่มาฆ่าประชาชน ทั้งๆที่แต่ก่อนนายพลคนเดียวกันนี้ช่วยกันปกป้องบ้านเมืองจากคอมมิวนิสตแท้ๆ์”
“หึหึ” พ่อผมหัวเราะ ด้วยความที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาหลายปี ในช่วงเวลาที่เป็นผู้นำนักศึกษาหนีเข้าไปในป่า
“เห็นตอนเวทีเสื้อเหลืองเห็นเค้าก็เอาบทกวีแม่ไปอ่านเหมือนกัน” ผมบอกพ่อ พลางสงสัยว่าสิ่งที่ตัวเองคิด เขียนนั้น จากนี้ไปอีกสามสิบปีจะมีผู้ใดสนใจหรือไม่ แล้วถ้าไม่มีมันจะสำคัญไหม
“ผมไม่รู้จริงๆพ่อ ว่าตอนนี้จะทำอะไรดี ผมเองก็แก่กว่าแม่ตอนสิบสี่ตุลาฯแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตอนแรกๆเรียนมาก็เหมือนจะรู้เรื่อง แต่มาตอนนี้ก็ไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองรู้มันจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้เลย”
“ตอนนั้นพ่อแม่เองก็ไม่ได้เลือกหรอก แต่ดูเหมือนสิบสี่ตุลาจะเลือกพ่อกับแม่เอง”
“แล้วคนรุ่นผมจะทำอะไรดี ตอนนี้ก็มีหลายพวกที่ออกมาเคลื่อนไหวกันบ้างแล้ว เห็นเค้าไปยื่นจดหมาย หรือไม่ก็ออกมารวมกลุ่มแสดงพลัง แต่พมเองที่ไม่ไปก็เพราะใจมันยังไม่เชื่อจริงๆครับ ว่าออกไปแล้วเราจะช่วยอะไรได้จริงๆ”
“ไม่รู้ว่าพ่อเคยบอกสิงห์รึยังนะ แต่ก็เคยพูดอยู่ในห้องเรียนบ่อยๆว่า หากว่าเราได้มองปัญหาแล้วยังไม่เข้าใจมันล่ะก็ ลองเพิ่มมิติของspace และ time ที่เรามองดูสิ เพื่อให้เข้าใจว่ามันเริ่มมาจากไหน และนอกเหนือโลกใบเล็กๆของเรามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งจะมี แต่ความเหลื่อมล้ำของสังคมชนบทกับเมืองมีมานานมากแล้ว แล้วมันก็ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ เพราะ ฉ นั้นพ่อก็เห็นด้วยนะที่สิงห์ลงไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง แต่ยังไงก็ระวังตัวด้วย....
“ตอนนี้เราก็ต้องมองความขัดแย้งเป็นสองระดับ อย่างแรกเลยก็คือขั้วอำนาจและนักการเมืองที่ต่อสู้กันอยู่ข้างบน เป็น power play กับระดับมวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหวกันอยู่ข้างล่าง ทั้งสองระดับถึงแม้จะออกมาในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้มีแรงจูงใจเหมือนกัน ไม่ได้รับข้อมูลเหมือนกัน เราเองก็ต้องทำความเข้าใจทั้งสองฝ่าย และมองเห็นหัวใจของคนทุกคนให้ได้”
“อืม... แต่พวกนักการเมืองนี่มันคงไม่มีอะไรให้เข้าใจหรอกพ่อ”
“อันนั้นพ่อก็เห็นด้วย แต่คนที่เดือดร้อนจริงๆเค้าก็มีเหมือนกัน พ่อเองก็พยายามต่อสู้เพื่อคนทุกข์คนยากมาตลอด พวกผู้นำในชนบทที่แต่ก่อนเคยช่วยๆกันอยู่ ตอนนี้ก็เห็นไปอยู่ที่ราชประสงค์กันเต็มเลย”
“แต่อีกสีที่เป็นเพื่อนพ่อก็เยอะนิ”
“ใช่ อย่างวันก่อนเค้าก็จัดงานเลี้ยงศิลปินแห่งชาติให้ ก็มากันเต็มเลย ทั้งเหลือง ทั้งแดง ความจริงหลายๆคนก็คือพวกที่เคยเข้าป่าต่อสู้กันมาก่อนทั้งนั้น พ่อก็บอกว่าห้ามพูดเรื่องการเมืองโดยเด็ดขาด ความจริงทั้งสองสีนี่ก็มีคนดีๆอยู่เยอะนะ”

ผมนิ่ง และจมอยู่ในความคิดตัวเองสักพัก
“ผมว่าปัญหาจริงๆ มันไม่ใช่รัฐบาลเป็นใครนะพ่อ มันคือรัฐบาลประเทศเรามันใหญ่ไปรึเปล่า”
“ยังไง...”
“ก็เราสังเกตุดู อย่างเรานี่ใครมันจะเป็นรัฐบาลมันก็ไม่เห็นมีผลอะไรกับชีวิตเราเท่าไหร่เลย เพราะ ฉ นั้นความรู้สึกร่วมในการเรียกร้องมันก็ไม่ได้มีมากนัก แต่อย่างคนชนบทนี่ นโยบายต่างๆก็มีผลกระทบต่อชีวิตเค้าอย่างจริงจัง เพราะว่ารัฐเป็นผู้กุมทรัพยากรไว้เยอะ แล้วไอรัฐบาลนี่มันก็มีอยู่รัฐบาลเดียว ยังไงมันก็คงไม่สามารถทำให้ถูกใจทุกคนได้อยู่แล้ว และถึงแม้ว่าเราจะได้รัฐบาลที่ดีจริงๆมา ผมว่าการตัดสินใจส่วนกลางทุกอย่างมันก็จะส่งผลบวกกับลบต่อคนไม่เท่ากันอยู่ดี...
แต่ถ้า private sector เข้ามาดูแลหลายๆอย่างในงานพัฒนาสังคมนะ สิ่งดีๆในสังคมก็จะเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งรัฐ แล้วงานทั้งหลายก็จะไม่กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง รัฐก็ถอยหลังออกมาเป็นคนดูแลกฏกติกาแทน แล้วทีนี้ใครมาเป็นรัฐบาลก็จะไม่สำคัญเท่าไหร่แล้วในสายตาประชาชน ก็จะนำไปสู่การสร้างสรรค์มากกว่าการต่อสู้ แล้วความขัดแย้งก็จะลดลง ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้น”
“หึหึ เธอลองทำให้ดูสิ” พ่อผมตอบพลางยิ้มมุมปาก แล้วก็จิบชาไปพลางๆตามภาษาคนเคยเปลี่ยนแปลงสังคมมาก่อน
ถึงแม้จะเจ็บใจนิดๆ แต่ผมก็ตระหนักได้ว่าเกิดมาผมยังไม่เคยเห็นประเทศไหนที่ไม่เถียงกันว่าใครควรเป็นรัฐบาลเลย


ก่อนจะลาจากกัน ผมบอกพ่อว่า
“แต่ตอนนี้ ผมว่าผมจะเขียนครับ ตั้งใจเขียนสิ่งที่สำคัญจริงๆ ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในเวลานี้”
“เออ เห็นวันก่อนมีคนบอกว่าเธอไปเขียนลงอินเตอร์เน็ตมานี่”
“ใช่พ่อ เอาไปลงใน facebook”
“เออดี ดี วันหลังเล่นยังไงบอกพ่อบ้างสิ เผื่อจะเอาลงบ้าง”
“โห คงจะต้องต้องเอาคอมมานั่งชี้กันทีละขั้นตอนหละครับ”

...



วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
22 เมษายน 2553






โดย: คนใจแคบ (ratanamalee ) วันที่: 4 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:53:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ratanamalee
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




กระต่ายตัวกวน
เจ้าตัวหัวเขียว
Emo ลิง
Emoจับฉ่าย
X
X
X
X
Friends' blogs
[Add ratanamalee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.