Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
18 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
เล่ห์รัตติกาล - 6 - ใกล้กันยิ่งหวั่นไหว ๑





หลังกินอาหารเช้าเสร็จรัตติกาลก็ประจำอยู่หน้าซิงค์ล้างจานอย่างคล่องแคล่ว

“ช่วยตี้หน่อยนะคะคุณชาย” เธออ้อนอย่างน่ารัก ส่งจานชามที่ล้างเสร็จแล้วให้เขาช่วยเช็ดแล้วคว่ำไว้บนชั้นวาง

ชายหนุ่มจำต้องทำเพราะไม่สามารถปฏิเสธดวงตาออดอ้อนคู่นั้นได้ ทำทั้งๆ ที่รู้สึกว่าเขาไม่ควรทำแบบนี้เลย

รัตติกาลยังไม่หยุดกวนใจเขาเพียงเท่านี้ เธอขอให้เขาช่วยรดน้ำต้นไม้ตรงระเบียงด้วยแล้วก็เจื้อยแจ้วถามโน่นถามนี่ให้เขาต้องตอบไม่หยุดปาก

“ตี้จะย้ายไปลงที่บ้านเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เป็นไงคะ นี่ตี้เตรียมตัวรอมาพักใหญ่แล้วนะ เจอต้นไม้น่ารักๆ ก็อดซื้อมาเลี้ยงไม่ได้ อยากให้บ้านเสร็จเร็วๆ จังเลยค่ะ”

เธอทำตาฝันหวาน นึกถึงวันที่บ้านหลังนั้นจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างมีความสุข

คุณชายละสายตาจากแคคตัสต้นเล็กต้นน้อยที่เรียงรายบนชั้นวางอย่างสวยงามไปมองใบหน้ารูปหัวใจของเจ้าของห้อง ผิวแก้มของรัตติกาลเป็นสีชมพูแม้จะขึ้นมันเล็กน้อยด้วยกิจกรรมในห้องครัวแต่ก็ยังน่ามองไม่เปลี่ยน ไหนจะดวงตาเป็นประกายของเธออีกล่ะ

เขาสรุปว่ารัตติกาลเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยและน่ารัก เธอมีเสน่ห์ดึงดูดคนรอบข้างอย่างประหลาด

“คุณชายว่ายังไงคะ ต้นไม้พวกนี้เอาไปลงที่บ้านได้มั้ย” เธอหันไปถามคนที่จะช่วยทำให้บ้านกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง

เขาหันกลับไปมองสายน้ำที่ไหลออกมาจากบัวรดน้ำขนาดเล็กในมือตัวเองแล้วตอบเสียงเรียบ “ก็มันบ้านของคุณนี่ อยากปลูกอะไรก็ปลูกไปสิ ใครจะว่าอะไรได้”

เธอย่นจมูกพลางเอียงคอมองหน้าเขาด้วยสายตาตัดพ้อ

“ก็ตี้อยากให้คุณชายช่วยคิดนี่คะ แล้วอีกอย่าง คุณชายก็เป็นคนที่จะซ่อมแซมและออกแบบตกแต่งใหม่ด้วย ถ้าตี้เอาต้นไม้อะไรก็ไม่รู้ไปลง เกิดมันไม่เข้ากับการตกแต่งล่ะคะ คนอื่นได้หัวเราะเยาะตาย มีบ้านสวยซะเปล่า เจ้าของไม่มีรสนิยมเอาซะเลย”

“ผมเป็นสถาปนิกและนักออกแบบตกแต่งภายใน ไม่ใช่นักจัดสวนนี่”

“ก็ตี้อยากให้คุณชายช่วยคิดนี่นา ทำไมต้องโมโหด้วยล่ะคะ”

“ผมเปล่า”

“เปล่าอะไร หน้างอออกอย่างนี้”

เขารีบปรับสีหน้าเสียใหม่ ไม่รู้ตัวเลยว่าเก๊กหน้าดุเกินไปจนทำให้เธอคิดไปโน่น

หญิงสาวอมยิ้มล้อๆ แล้วทำเสียงออดอ้อน

“นะคะคุณชาย ช่วยตี้ดูหน่อยนะ ตี้อยากให้บ้านออกมาสวยเพอร์เฟกต์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเป็นคุณชายละก็ทำได้แน่ๆ ตี้เชื่ออย่างนั้นค่ะ”

“ผมจะคิดค่าจ้างเพิ่ม” เขาบอกหน้าตาเฉย

รัตติกาลย่นจมูกแล้วทำปากยื่น “ขี้งก”

“ไม่สนก็ตามใจ”

“ก็ได้ๆ ตี้จ่ายเพิ่มให้ก็ได้ค่ะ แต่คุณชายรับปากแล้วนะ ห้ามกลับคำด้วย” เธอกอดอก ใช้สายตาคาดคั้นมองเขา

เขาวางบัวรดน้ำลงแล้วหันมาสบตาเธอตรงๆ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมคุณถึงอยากให้ผมช่วย...ทำไมต้องเป็นผม”

เธอเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจังเช่นกัน “คุณชายไม่คิดบ้างเหรอคะ ว่าเราสองคนอาจจะถูกกำหนดให้มาพบเจอกัน มันจะต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยง นี่คือโชคชะตา”

ว่าแล้วเธอก็หันหลังเดินกลับเข้าไปด้านในโดยไม่รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปช้าๆ แล้วทิ้งร่างลงบนชุดรับแขกนั่นเอง สักพักเจ้าของห้องก็เดินกลับมาพร้อมกาแฟหอมกรุ่น

“กาแฟค่ะ ตี้ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงนะคะ รับรองว่าไม่นาน ฟังเพลงรอก่อนก็แล้วกันค่ะ”

รัตติกาลวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะกลมหน้าชุดรับแขกพร้อมรอยยิ้มสดใสเช่นเคย ก่อนจะเดินไปเปิดเพลงให้แขกฟังเพลินๆ ขณะที่รอเธอจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย

คุณชายดนัยจิบกาแฟอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี พอเสียงดนตรีดังขึ้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ก่อนจะหันไปมองเจ้าของห้องแต่ทันเห็นเพียงบานประตูที่ปิดลงแล้ว คิ้วเข้มเลิกสูงด้วยความแปลกใจขณะฟังเสียงอันนุ่มนวลขับร้องเพลงลูกกรุงในตำนาน

แม้จะไม่ใช่เพลงสมัยนิยมในตอนนี้ แต่ปัจจุบันยังเป็นที่นิยมในหมู่นักล่าฝันรุ่นใหม่ และก็เป็นที่น่าแปลกใจยิ่งเมื่อคนที่เลือกเพลงนี้มาขับร้องก็มักจะได้รับรางวัลในปีนั้นๆ ไปครอบครอง

เท่าที่เขาจำได้ น่าจะสองปีติดกันแล้วที่ผู้ชนะการประกวดจากเวทีดังระดับประเทศได้เลือกเพลงนี้มาขับร้องในการประกวด แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ...รัตติกาลชอบฟังเพลงนี้ด้วยหรือ

รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏในสีหน้า เขาเกิดก่อนรัตติกาลแน่ ดูเหมือนจะหลายปีเสียด้วย แต่ ‘หยาดเพชร’[1] ก็ยังไม่ใช่เพลงฮิตฮอตของคนวัยเดียวกับเขา

แล้วรัตติกาลล่ะ หรือว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอผูกพันกับเพลงนี้ เหมือนกับที่เขาเองก็ผูกพันและคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่เด็ก

ชายหนุ่มแน่ใจยิ่งขึ้นว่าต้องมีอะไรบางอย่างทำให้รัตติกาลผูกพันกับเพลงนี้ เมื่อได้ยินเพลงหยาดเพชรดังขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งหลังจากจบเพลงแรก แผ่นเสียงนี้คงมีแค่เพลงเดียว แต่เปลี่ยนไปในหลายๆ เวอร์ชั่น เพราะเสียงร้องนั้นต่างกันออกไปในแต่ละครั้งที่เริ่มใหม่ และเขาก็พอจะรู้ว่าแผ่นนี้เจ้าของตั้งใจไรต์ไว้ฟังเองโดยเฉพาะแน่นอน

รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความประทับใจที่มีต่อรัตติกาลเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเท่าๆ กับเวลาที่เขาได้รู้จักเธอ แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขารู้สึกตัว

ไม่ใช่สิ เรื่องนี้มันน่ากลัวมากกว่าจะน่ายินดี เขาไม่เคยรู้สึก ‘ชอบ’ ใครอย่างรวดเร็วและ ‘ชอบมากขึ้นเรื่อยๆ’ อย่างนี้มาก่อนเลย

พระเจ้า...รัตติกาลกำลังทำอะไรกับเขากันแน่!



เสียงเรียกเข้ามือถือดังในตอนที่รัตติกาลเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นชื่อที่กะพริบอยู่หน้าจอ หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้น หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะกดรับสาย

“สวัสดีค่ะ”

รัตติกาลหยุดฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร สีหน้าของเธอเคร่งเครียดลง สักพักก็ตอบกลับไปเสียงเรียบ

“งั้นตี้ขอเวลาอีกสองอาทิตย์ได้มั้ยคะ แค่สองอาทิตย์เท่านั้นค่ะ แล้วตี้สัญญาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

ปลายทางพูดอะไรต่ออีกครู่หนึ่งก็วางสายไป

หญิงสาวโยนมือถือลงบนเตียงแล้วเดินไปทิ้งร่างลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างอ่อนแรง ใบหน้าที่เคยสดใสเครียดขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสบตาตัวเองผ่านกระจกเงาเธอก็รู้สึกว่าแก่ลงไปอีกสิบปี ความรู้สึกกดดันกำลังเล่นงานเธออย่างหนัก นานนับนาทีกว่าที่รัตติกาลจะตั้งสติได้แล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปหาแขกด้านนอก

เธอเห็นคุณชายดนัยกำลังจิบกาแฟด้วยสีหน้าเรียบขรึมก็อดมองเขาด้วยแววตาหนักใจไม่ได้ เหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัวว่าถูกแอบมองจึงหันมา ทันทีที่สบตากัน รอยยิ้มกระจ่างใสก็ระบายทั่วใบหน้ารูปหัวใจโดยอัตโนมัติ

“รอตี้นานมั้ยคะคุณชาย”

เขาสำรวจการแต่งกายของหญิงสาวแบบเร็วๆ รัตติกาลอยู่ในเดรสกระโปรงสั้นเหนือเข่า แต่ยาวกว่าตัวเมื่อวานเล็กน้อย ตัวเสื้อไร้แขนเป็นสีขาวติดโบสีน้ำเงินเข้มระหว่างอก ส่วนกระโปรงเป็นสีเดียวกับโบ ระหว่างชุดคาดทับด้วยเข็มขัดสีดำขนาดใหญ่ ชุดนี้เน้นอวดรูปร่างเพรียวบางของคนใส่ให้ดูชวนมองยิ่งขึ้น จึงต้องยอมรับว่าหญิงสาวมีรสนิยมชั้นเยี่ยมในเรื่องการแต่งตัว

“เป็นไงคะ ตี้สวยพอที่คุณชายจะควงได้รึยัง” เธอถามยิ้มๆ เมื่อรู้ทันว่าเขากำลังคิดอะไร

ชายหนุ่มหลุบตามองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะเงยหน้าขึ้นตอบ “ถือว่าใช้ได้ทีเดียวสำหรับเวลายี่สิบนาที”

เธอยิ้มหวานจ๋อย เดินเข้าไปใกล้เขา ก่อนจะย่อตัวรับคำชมอย่างล้อเลียน “ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ”

เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้มลงนิด เพราะเมื่อไม่ได้อยู่บนรองเท้าส้นสูงรัตติกาลก็สูงเสมอไหล่เขาเท่านั้นเอง

“เขาแข่งเต้นลีลาศกันที่ไหน”

“เดี๋ยวก็รู้ค่ะ เรารีบไปกันเถอะ” เธอยิ้มจนดวงตายิบหยี ส่งมือให้เขาและรอคอยให้ชายหนุ่มรับไป

คุณชายดนัยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยไม่เต็มเสียงนัก “คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น”

“ทำไมล่ะคะ ในเมื่อคุณชาย ‘กล้า’ มาทานข้าวเช้ากับตี้ แล้วทำไมถึง ‘ไม่กล้า’ ยอมรับความรู้สึกของตัวเองล่ะ” เธอถามด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุน ไร้แววล้อเลียนหรือท้าทายใดๆ ทั้งสิ้น

เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ถอนใจอย่างยอมแพ้

รัตติกาลยิ้มหวานเมื่อมือเล็กถูกรวบไว้ในอุ้งมือใหญ่ แม้จะโดนแกล้งด้วยการถูกบีบแรงๆ จนเจ็บ แต่เธอก็ไม่ได้ชักมือหนี มีแต่กระชับมือเขาให้แน่นขึ้นขณะเดินเคียงกันออกไปจากห้องพัก



“นี่เราจะไปไหนกันคะ”

วิมลมณีถามด้วยความสงสัยแกมไม่พอใจ เมื่อณัฐรัฐบอกให้เธอเก็บข้าวของใส่กระเป๋า

“ขึ้นดอย” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ

“ขึ้นดอย?” เธอทวนเสียงสูง ใบหน้าบึ้งตึงขึ้นอีก

“นี่เราไม่ได้อยู่บนดอยหรือไงคะ”

“ไม่ใช่รีสอร์ตสิ หมายถึงบนดอยจริงๆ เก็บของเถอะ เราจะอยู่ที่นั่นกันซักอาทิตย์ จากนั้นค่อยคิดว่าจะไปไหนต่อ”

“ใจคอจะไม่ถามวิซักคำเหรอคะว่าอยากจะไปด้วยรึเปล่า วิไม่อยากขึ้นดอย ตั้งอาทิตย์นึง ไม่เอาด้วยหรอก อะไรก็ไม่มีซักอย่าง” หญิงสาวโวยวายลั่น

กับผู้ชายคนนี้เธอไม่อยากจะรักษากิริยามารยาทอันดีงามที่เคยปฏิบัติมาตลอดอีกแล้ว หลังจากเจอเรื่องอัปยศที่สุดในชีวิต

“ไม่ถามหรอก เพราะยังไงวิก็ต้องไปกับพี่อยู่แล้ว” เขาบอกอย่างเอาแต่ใจขณะเก็บของใส่กระเป๋าให้เธออย่างถือวิสาสะ เมื่อหญิงสาวไม่ยอมทำเอง

วิมลมณีถลาเข้าไปแย่งเสื้อผ้าตัวเองจากมือใหญ่อย่างดุเดือด

“ไม่นะ วิไม่ไป คุณไม่มีสิทธิ์มาบังคับวินะ ไหนบอกจะรีบพากลับบ้านไง แล้วนี่อะไรจะขึ้นดอยไปโน่น”

“ตอนนี้พี่เปลี่ยนใจแล้ว ยังกลับไม่ได้หรอก วิดื้อกับพี่แบบนี้แล้วจะกลับไปยังไง พี่ไม่ยอมให้วิแผลงฤทธิ์จนทุกอย่างพังหรอกนะ จนกว่าวิจะหมดฤทธิ์จริงๆ พี่ถึงจะพากลับบ้าน”

เขาแย่งข้าวของมาจากมือเล็กแล้วยัดลงกระเป๋าเดินทางอย่างดื้อดึง

เธอพูดอะไรไม่ออกเพราะคิดไม่ทัน ตอนแรกก็ตั้งใจจะหนีไปในระหว่างทางโดยไม่ยอมกลับบ้านพร้อมเขาเด็ดขาด แต่พอรู้ว่าเขาจะพาเธอขึ้นดอยก็ตกใจ ที่นั่นเธอจะติดต่อกับใครก็คงยากขึ้น แล้วจะหนียังไงได้ แบบนี้ไม่เท่ากับต้องทนอยู่กับณัฐรัฐไปจนกว่าเขาจะพากลับบ้านหรือ ไม่ยอมเด็ดขาด!

“ไม่! วิไม่ไป อย่ามาบังคับกันนะ” เธอตะโกนใส่หน้าเขาอย่างเหลืออด เข้าไปยื้อแย่งกระเป๋าแล้วเทข้าวของข้างในทิ้งจนเกลื่อนห้อง

“อย่าดื้อกับพี่นะวิมลมณี!” เขาทำเสียงแข็งขณะปรายหางตามองเด็กหัวรั้นอย่างใช้ความอดทน

“วิจะดื้อ คุณจะทำไม แน่จริงก็ล่ามโซ่วิแล้วลากขึ้นดอยเลยสิ คนบ้า!”

“พี่ทำแน่ถ้าวิยังดื้อแบบนี้”

“เอาเลย คุณทำได้อยู่แล้วนี่ คุณมันบ้า เสียสติ เผด็จการ เอาแต่ใจที่สุด”

“ท้าใช่มั้ย?” เขาย้อนเสียงเรียบเย็น ก่อนจะเดินดุ่มเข้าไปหาร่างเล็กบางที่เต้นเร่าๆ อาละวาดอยู่กลางห้องด้วยท่าทีคุกคาม

สาวน้อยถอยกรูดเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางจริงจังของณัฐรัฐ แต่ยังช้ากว่าคนที่ยื่นมือออกมาคว้าเรียวแขนเล็กกระชากเข้าหาตัวอย่างไม่ปรานี ร่างบางปลิวหวือเข้าไปปะทะอกแกร่งอย่างง่ายดายแล้วก็ถูกรวบตัวขึ้นอุ้มไปโยนลงบนเตียงกว้างโดยมีร่างใหญ่ตามลงไปกักขังไว้อย่างแน่นหนา

“ปล่อยวินะคนบ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้!”

เธอดิ้นรนฮึดฮัดสุดพลัง ใบหน้าแดงก่ำเพราะความโมโห ถ้ามือว่างอยู่จะขอข่วนใบหน้าหล่อๆ นี่ให้เป็นรอยจนสาแก่ใจดูสักที

“คนบ้าน่ะพูดไม่รู้ฟังหรอก แล้วตอนนี้พี่กำลังบ้าอยู่ด้วย” ณัฐรัฐกัดฟันขู่เสียงเข้ม เขาพอจะดูออกว่าเธอกำลังของขึ้นอย่างหนักจึงฉลาดพอที่จะรวบมือเล็กไว้เหนือศีรษะของเจ้าหล่อน ไม่ปล่อยให้เธอมีอาวุธมาทำร้ายตัวเขาได้

“ฮึ่ย! ปล่อยนะ ปล่อยวิเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นวิจะเกลียดคุณ ไม่ยกโทษให้ ไม่จนวันตายเลย คอยดูเถอะ!” เธอกรีดเสียงอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง นาทีนี้ขอเพียงได้ระบายความอัดอั้นออกไปบ้าง ไม่อย่างนั้นเธอต้องกลั้นใจตายเป็นแน่

เขากล้าดีและร้ายกาจเหลือทนจริงๆ เธอจะไม่ทนแล้ว เขาจะต้องรู้ว่าการใช้กำลังจะไม่มีวันได้ใจเธอ ไม่มีทาง!

“งั้นเหรอ?” เขาย้อนเสียงเครียด “งั้นมาพิสูจน์กัน!”

สิ้นเสียงนั้นเรียวปากอิ่มก็ถูกประกบปิดอย่างดุดัน ยิ่งเธอเบี่ยงหน้าหลบก็ยิ่งถูกจูบอย่างรุนแรง เพราะเขาจูบเพื่อลงโทษและกำราบให้เธอเชื่อฟัง ด้วยเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้หญิงสาวยอมศิโรราบในท้ายที่สุด

วิมลมณีรู้สึกร้าวระบมทั่วริมฝีปาก ยิ่งเธอต่อต้านขัดขืนเขาก็ยิ่งรุนแรงไม่ถนอมน้ำใจกัน หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยที่จะต่อต้านด้วยกำลังจึงปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจพร้อมหยดน้ำตาที่ร่วงริน เจ็บใจที่มีเรี่ยวแรงน้อยกว่าเขา ถ้าเธอเป็นผู้ชายจะอัดณัฐรัฐให้ตายคามือ หรือแม้แต่เป็นผู้หญิงก็เถอะ หากมีโอกาสเธอจะฆ่าเขาให้ตาย ไม่เก็บไว้เด็ดขาด!

ณัฐรัฐเปลี่ยนสัมผัสที่ดุดันรุนแรงให้เป็นอ่อนหวานลึกซึ้งเมื่อรู้สึกว่าคนตัวเล็กไม่ต่อต้านขัดขืนอีกต่อไป เขากำลังหลงและเพลิดเพลินกับกลีบปากนุ่มที่ใฝ่ฝันหามาตลอดหลายปี พอมีโอกาสเชยชมจึงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ โดยไม่รู้เลยว่าในขณะที่เขานับวันจะยิ่งหลงใหลในตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวกลับรู้สึกตรงกันข้าม

ณ ขณะที่เขามีความรักแบบลุ่มหลงมัวเมาจนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชังก็ได้ถูกบ่มเพาะหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโตอยู่ในหัวใจของวิมลมณีมากขึ้นทุกที!

ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งที่ในใจร่ำๆ จะทำตามความปรารถนาที่เก็บกดมาเนิ่นนาน หากเขาก็เตือนตัวเองเสมอว่าวิมลมณีคือคนพิเศษสุดในชีวิต เธอต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยผ่านมาแล้ว

“ร้องไห้อีกแล้วหรือ”

เขาตกใจเมื่อเห็นคนตัวเล็กหลับตา กลั้นสะอื้นอยู่ใต้ร่าง

สาวน้อยลืมตาขึ้นจ้องหน้าเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“วิเกลียดคุณ!”

ณัฐรัฐทั้งโมโหและเสียใจกับคำว่าเกลียดของเธอ นึกอยากลงโทษคนปากดีให้สาแก่ใจ แต่เขากลับทำเพียงฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นแล้วสั่งเสียงเรียบ “รีบแต่งตัวซะ ถ้าช้าเกินสิบนาที พี่จะกลับมาแต่งให้”

สิ้นเสียงนั้นร่างสูงก็เดินปึงปังออกไปด้านนอกทันที

หญิงสาวทำได้แค่ถลึงตาวาววับฉ่ำน้ำตามไปอย่างเจ็บใจ และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำตามคำสั่งเขาโดยเด็ดขาด เธอไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้าเขาคิดว่าเธอเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตจิตใจ เธอก็จะเป็นให้ดู

แต่หุ่นยนต์ตัวนี้คงแย่หน่อย เพราะมันจะไม่รับคำสั่งจากใครทั้งสิ้น!

สิบนาทีหลังจากนั้น ณัฐรัฐก็กลับเข้ามาในห้องอย่างที่บอกไว้ เมื่อเห็นวิมลมณียังนั่งกอดอก เชิดหน้าอยู่บนเตียงในชุดคลุมอาบน้ำเหมือนเดิมก็ย่างสามขุมเข้าไปฉุดร่างเล็กพาไปยืนหน้าตู้เสื้อผ้าอย่างเอาแต่ใจ

“ปล่อยวินะ!” สาวน้อยแว้ดลั่น โกรธจนหน้าดำหน้าแดง

“อยากให้พี่ช่วยก็ไม่บอกแต่แรก จะได้ไม่เสียเวลา”

เขากระชากชุดคลุมอาบน้ำออกจากไหล่บางอย่างไม่ปรานีปราศรัย แม้อีกฝ่ายจะดิ้นรนฮึดฮัดแทบตายแต่ก็ไม่เป็นผล

“คุณบ้าไปแล้วจริงๆ ด้วย อย่ามาทำหยาบคายกับวินะ” สองแขนกอดตัวเองไว้แน่นขณะเงยหน้าขึ้นจ้องเขาด้วยดวงตาวาววามเอาเรื่อง

“วิสุภาพกับพี่นักนี่ อย่ามาเรื่องมากนะ ให้แต่งเองก็ไม่ยอมแต่งแล้วจะเอายังไง ถึงพี่จะรักวิแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าวิจะทำตัวดื้อด้านยังไงก็ได้นะ ถ้ายังยั่วโมโหอยู่แบบนี้เราคงไม่จำเป็นต้องพูดกันดีๆ แล้ว อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

ณัฐรัฐพูดไปก็ลอกคราบคนตัวเล็กไปด้วยอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอบิดตัวหนีไปทางไหนมือใหญ่ก็ตามติดไม่ลดละ ร่างอรชรแทบจะช้ำคามือเพราะเขาลงน้ำหนักจริงดั่งคำขู่ จนในที่สุดชายหนุ่มก็จัดการลอกคราบและเปลี่ยนชุดใหม่ให้เธอพร้อมสำหรับการเดินทางได้สำเร็จ

วิมลมณีตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นและอับอาย กอดตัวเองไว้แน่นพร้อมถลึงตาจ้องมองเขาอย่างเจ็บใจ

“คุณมันบ้า!”

“และจะบ้ามากกว่านี้ถ้าวิยังไม่หยุดดื้อ”

เขาสวนเสียงขุ่น หันหลังให้เธอแล้วฉวยกระเป๋าเดินทางของหญิงสาวขึ้น ก่อนจะเดินออกไปก็บอกอีกว่า

“ถ้าอยากจะให้พี่แบกวิไปขึ้นรถก็รออยู่ที่นี่ แต่ถ้าฉลาดก็เดินตามมาดีๆ”

หญิงสาวยืนกอดอก เชิดหน้า และปักหลักอยู่กับที่อย่างอวดดี รอยแดงเป็นจ้ำๆ บนผิวกายหลายจุดซึ่งเกิดจากมือใหญ่ที่บังคับให้เธอเปลี่ยนชุดใหม่อย่างเอาแต่ใจไม่ทำให้วิมลมณีหวาดกลัว

ถ้าเขายังใช้กำลังอยู่แบบนี้ก็ไม่มีวันเสียละที่เธอจะยอมก้มหัวให้ เธอเกลียดวิธีการของเขา ถ้าเขาคิดจะเอาชนะเธอ การใช้กำลังจะไม่มีวันได้ผล!

ณัฐรัฐถอนใจอย่างหัวเสียเมื่อเธอยังคงต่อต้านเขาด้วยวิธีการเดิมๆ

ถ้าคิดจะต่อต้านด้วยวิธีนี้ เขาจะจัดหนักให้เต็มที่!

หลังยัดกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็เดินดุ่มกลับเข้ามาหาหญิงสาวด้วยใบหน้าตึงจัด แววตาแข็งกระด้างจ้องมองคนอวดดีนิ่งๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าบังคับให้พี่ต้องร้าย เดินไปขึ้นรถดีๆ วิมลมณี”

“ไม่มีใครบังคับคุณ ถ้าคุณจะหยาบคายร้ายกาจหรือจะชอบใช้กำลังบังคับผู้หญิง นั่นมันก็เป็นเพราะตัวคุณไร้จิตสำนึกเอง อย่ามาโยนความผิดให้คนอื่น แล้ววิก็ไม่มีวันรักคุณ สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มีแต่จะทำให้วิเกลียดคุณมากขึ้น วิเกลียด...”

ริมฝีปากอิ่มถูกบดขยี้อย่างรุนแรงก่อนจะทันพูดอะไรไปมากกว่านั้น ยิ่งเธอขัดขืนเขาก็ยิ่งรุกรานจาบจ้วง สัมผัสเอาแต่ใจหยุดลงเมื่อเธอเลิกต่อต้าน นั่นคือวิธีการของเขา และมันก็คือสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด!

ใบหน้าเรียวแดงก่ำ ถลึงตาจ้องเขาอย่างชิงชัง ริมฝีปากอิ่มบวมช้ำจากจุมพิตเอาแต่ใจเม้มเข้าหากันแน่น

“ยิ่งวิเกลียดพี่มากเท่าไหร่ พี่ก็ยิ่งรักวิมากเท่านั้น ทำใจซะเถอะ เว้นแต่โลกจะถล่มทลาย ไม่อย่างนั้นอย่าฝันเลยว่าจะพ้นมือพี่ไปได้!”

เขาคำรามเสียงต่ำแล้วฉุดร่างเล็กให้เดินตามไปที่รถโดยเร็ว ไม่วายว่าเธอจะดิ้นรนขัดขืนสุดกำลังที่มี แต่คนตัวโตก็ชนะอยู่ดีด้วยพละกำลังที่มากกว่า



“ไหนบอกจะไปดูการแข่งขันเต้นลีลาศไง”

คุณชายดนัยถามเสียงเข้มเมื่อขับรถมาตามเส้นทางที่รัตติกาลบอกจนถึงที่หมาย ซึ่งพอเห็นป้ายบอกว่าเป็นตลาดน้ำคลองลัดมะยมเขาก็อึ้งกิมกี่ไปพักหนึ่ง เขาเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครมาจัดการแข่งขันเต้นลีลาศที่ตลาดน้ำอย่างแน่นอน

รัตติกาลยิ้มหวาน ไม่สะทกสะท้านสักนิด

“ตอนบ่ายแก่ๆ เกือบเย็นโน่นค่ะถึงจะเป็นรอบตัดสิน ตี้กลัวคุณชายหิวก็เลยอยากชวนมาหาอะไรอร่อยๆ ทานที่นี่ก่อน ถ้าจะให้ตี้โชว์ฝีมืออีกมื้อก็กลัวคุณชายจะเบื่อนี่คะ ตลาดน้ำที่นี่มีของกินเยอะแยะเลยนะ ต้องมีซักอย่างที่ถูกใจคุณชายแน่ เราไปกันเถอะค่ะ”

“คุณชวนผมแล้วรึยัง”

“ก็ชวนอยู่ตอนนี้ยังไงล่ะคะ เอาน่า อย่าทำหน้าดุนักสิ ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้วจะกลับเลยก็เสียเวลาเปล่านะคะ ขับรถมาตั้งไกลด้วย”

เขากลอกตาไปมาอย่างเหลืออด ส่วนอีกฝ่ายยิ้มแป้น กระโดดลงไปยืนรอข้างรถอย่างมีชีวิตชีวาจนชายหนุ่มต้องตามลงไปในที่สุด และทันทีที่ร่างสูงก้าวลงมายืนบนพื้น สาวน้อยก็ถลาเข้ามาเกาะแขนอย่างสนิทสนมแล้วลากเขาไปทุกหนทุกแห่งที่เธออยากไปโดยไม่ถามสักคำ

“ก๋วยเตี๋ยวก็แล้วกันนะคะ แล้วเดี๋ยวค่อยนั่งเรือไปชมสวนกล้วยไม้กัน” รัตติกาลว่าพลางฉุดมือคนข้างๆ เข้าไปในร้านริมคลองโดยไม่รอความเห็น

ณัฐรัฐเคยบอกว่าคุณชายดนัยไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร แม้รสนิยมในการทำงานของเขาจะเป็นเลิศ แต่กลับมีนิสัยค่อนข้างติดดิน เธอจึงไม่ลังเลที่จะจัดโปรแกรมออกเดตวันแรกที่ตลาดน้ำภายในกรุงเทพฯ ก่อนจะพาเขาไปนั่งตากแอร์ชมการแข่งขันเต้นลีลาศในตอนเย็น แล้วจะได้ตบท้ายด้วยดินเนอร์สุดหรูในโรงแรม วันเดียวเที่ยวได้หลายอรรถรสแบบนี้ คุ้มค่าสุดๆ

ชายหนุ่มเหลือบมองใบหน้ารูปหัวใจที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวด้วยความประหลาดใจมากขึ้นทุกที รัตติกาลช่างเป็นผู้หญิงที่มีอะไรหลายๆ อย่างขัดกันอยู่ในตัวเอง สไตล์การแต่งตัว ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ความเป็นกันเอง และเข้ากับคนอื่นได้ง่าย รวมถึงการติดสินใจทำอะไรแบบไม่คิดมาก บอกให้รู้ว่าเธอเป็นสาวสมัยใหม่อย่างที่สุด

ทว่าความชื่นชอบของเธอกลับดูไม่เข้ากับสิ่งที่เธอเป็นนัก ทั้งเรื่องเพลง เรื่องบ้านที่ดูเก่าแก่หลังนั้น แล้วไหนจะความสนใจเกี่ยวกับการเต้นลีลาศอีกล่ะ และที่น่าติดใจที่สุดก็คือในขณะที่ณัฐรัฐเป็นหนุ่มสังคมเต็มตัว แต่รัตติกาลกลับมีสไตล์การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและติดดินอย่างเหลือเชื่อ

รัตติกาลถอนสายตาจากร้านรวงริมฝั่งคลองกลับมาที่คุณชายก็พบว่าเขากำลังจ้องมองเธอด้วยแววตาประหลาด แต่รอยยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากหยักทำให้เธอยิ้มกว้างขึ้น เพราะตีความหมายได้ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ และอะไรที่เขากำลังคิดนั้นมีแนวโน้มไปในด้านบวกมากกว่าจะติดลบ

“มองตี้ทำไมคะ หน้าตี้มีอะไรติดรึเปล่า” เธอถามพร้อมรอยยิ้มทะเล้นที่ดูน่ารักจนเขาอดจะยิ้มกว้างขึ้นไม่ได้

“รู้ตัวมั้ยว่าคุณเป็นคนแปลก”

เธอเลิกคิ้ว “ยังไงเหรอคะ แล้วไอ้แปลกที่ว่านี่ความหมายดีมั้ย”

“คุณไม่เหมือนนายรัฐเลย ไม่แม้แต่นิดเดียว”

“จะให้เหมือนได้ยังไงล่ะคะ เราไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันซะหน่อยนี่นา” เธอว่าพลางหลบตา แล้วแม่ค้าก็ยกชามก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟในจังหวะนั้นพอดี หญิงสาวจึงหันไปเชื้อเชิญให้เขาสนใจอาหารตรงหน้าก่อน

“มาแล้วค่ะ คุณชายทานได้ใช่มั้ยคะ”

“ช้าไปรึเปล่า ทีตอนจะสั่งไม่เห็นถาม” เขาบ่นไม่จริงจังนัก

“ถามไปอย่างงั้นเองแหละค่ะ ถ้าคุณชายไม่เอาเดี๋ยวตี้เหมาเอง แค่ได้กลิ่นก็น้ำลายสอแล้ว”

เธอยิ้มสดใสพลางหลับตาลงสูดดมกลิ่นน้ำซุปในชามก๋วยเตี๋ยวด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

“เรื่องอะไรจะมากินของคนอื่น ของตัวเองกินให้หมดซะก่อนเถอะ” เขาว่าพลางตักเครื่องปรุงรสใส่ชามอย่างละเล็กละน้อยพอเป็นพิธี เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้กินก๋วยเตี๋ยวจึงไม่สันทัดเรื่องรสชาตินัก แต่นานๆ กินทีก็น่าสนใจเหมือนกัน

“หมดแน่นอนค่ะ ตี้ชอบก๋วยเตี๋ยว ชอบอาหารที่เป็นเส้นๆ เดี๋ยวสั่งเพิ่มอีกชามดีกว่า”

เธอยิ้มจนตาหยี แล้วหันไปสั่งแม่ค้าก่อนจะปรุงรสอย่างคล่องแคล่ว ใช้ช้อนกับตะเกียบคนให้เข้ากันแล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อยสมคำกล่าวอ้างที่ว่าชอบนักหนานั่นแหละ

เขามองยิ้มๆ พลางส่ายหน้า แต่แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยพาผู้หญิงไปกินก๋วยเตี๋ยวมาก่อน และเขาก็ไม่คิดว่าจะมีสาวคนไหนเสนอให้กินก๋วยเตี๋ยวในการออกเดตวันแรก เพราะอาหารจำพวกเส้นจะทำให้พวกเธอกินลำบาก และยิ่งอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มที่ออกเดตด้วยก็ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ทว่ารัตติกาลกลับไม่มีท่าทีเคอะเขินหรือประหม่าอายให้เห็นแม้แต่น้อย และเธอก็กินได้อย่างน่ามองมากๆ อีกด้วย

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเห็นเขามองอยู่ก็อดจะเย้าไม่ได้ “ไม่กินเหรอคะคุณชาย มองหน้าตี้อยู่ได้ มองแล้วอิ่มเหรอ ถ้าอิ่ม...งั้นตี้ขอลูกชิ้นนะคะ”

ว่าแล้วใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นในชามของเขาทันที แต่ชายหนุ่มก็ไวพอตัว ตะเกียบในมือเขาสกัดลูกชิ้นของตัวเองไว้ได้ทัน

“ตะกละ” เขาว่าพลางใช้สายตาดุมองหญิงสาว

รัตติกาลย่นจมูก แต่ก็ยอมหดมือกลับโดยดี

“ก็คุณชายไม่กินเองนี่คะ”

“ใครบอกว่าผมไม่กิน”

“ก็ไม่เห็นจะกินนี่ เอาแต่มองคนอื่นอยู่ได้ คิดว่าตี้จะเขินจนกินไม่ลงหรือไงคะ ก๋วยเตี๋ยวนี่กินมาตั้งแต่เล็กจนโต ตี้มั่นใจค่ะ กินท่าไหนก็สวย ไม่มีขายหน้าเด็ดขาด” เธอลอยหน้าลอยตาพูดพลางยิ้มให้เขาอย่างท้าทาย

ชายหนุ่มส่ายหน้าแต่ก็อมยิ้ม คีบลูกชิ้นในชามของตนใส่ชามของรัตติกาลจนหมด

“ถ้าชอบก็กินให้หมด คุณผอมไปหน่อย กินเยอะๆ ก็ดี”

เธอหัวเราะคิก “ขอบคุณค่ะ แต่ตี้โชคร้ายหน่อยที่กินยังไงก็ไม่อ้วน สงสัยพยาธิจะเยอะ อุ๊ย...ขอโทษค่ะคุณชาย ตี้ไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาน่าเกลียดให้คุณชายกินไม่ลงนะคะ ไม่พูดแล้วดีกว่า กินเถอะค่ะ จะได้รีบไปลงเรือกัน”

เขาถอนใจยาวหนึ่งที ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวจนหมดชาม ในขณะที่รัตติกาลจัดไปสองชามอย่างปากว่า เห็นเธอยิ้มสดใสและดูมีความสุขมากแบบนี้ เขาก็ไม่อยากขัดใจ พออิ่มกับมื้อเที่ยงก็ปล่อยให้เธอพาไปลงเรือหางยาว เที่ยวชมบรรยากาศริมคลองสองฟากฝั่งอย่างสบายใจ

เมื่อถึงท่าตลาดบางเชือกหนังก็แวะชมบ้านพิพิธภัณฑ์ซึ่งมีของเก่าให้ชมเยอะแยะ และยังมีของกินขายอีกมากมาย จากนั้นเรือหางยาวก็พานักท่องเที่ยวไปต่อจนถึงสวนกล้วยไม้ ซึ่งมีดอกกล้วยไม้หลายพันธุ์ให้เที่ยวชม และยังซื้อกลับบ้านได้ด้วย แต่ทั้งสองคนไม่ได้ซื้ออะไรกลับ เพราะมีโปรแกรมจะไปดูการแข่งขันเต้นลีลาศต่อ



หลังจากเที่ยวตลาดน้ำแล้วทั้งสองคนก็เดินทางไปยังสถานที่จัดการแข่งขัน ซึ่งก็คือโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นั่นเอง

คุณชายดนัยพบว่าที่นั่งที่รัตติกาลลากเขามาปักหลักรอดูการแข่งขันรอบสุดท้ายนั้นเป็นที่นั่งสำหรับแขกวีไอพีจึงอดสงสัยไม่ได้

“ผมนึกว่าใครก็สามารถเดินเข้างานได้สบายๆ ซะอีก”

รัตติกาลยิ้มหวาน “เพื่อนตี้ให้บัตรมาน่ะค่ะ เขามาไม่ได้ตี้ก็เลยชวนคุณชายมาด้วยกันไงคะ”

“เขา?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ขณะมองตาคนข้างๆ ด้วยคำถาม

“ค่ะ เขาชวนตี้มาดู แต่วันนี้เกิดติดธุระด่วนก็เลยให้บัตรตี้มาสองใบแทน ทำไมเหรอคะ”

“เพื่อนผู้ชายเหรอ” เสียงถามฟังดูคาดคั้นโดยที่คนถามเองก็ไม่รู้ตัว

รัตติกาลยิ้มหวานเช่นเคย “ค่ะ ตี้บอกแล้วไงคะว่าไม่มีเพื่อนผู้หญิง จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนหรอกค่ะ แต่ตี้อยากเป็นแค่เพื่อนกับเขาเท่านั้น”

“แต่คุณก็รับนัดเขาไม่ใช่หรือ”

“แล้วทำไมตี้จะไม่รับล่ะคะ ตี้อยากมาดูจะตายนี่นา”

“ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน แต่คุณก็ทำเหมือนให้ความหวัง รับนัดมาดูการแข่งขันแล้วก็คงทำตัวสนิทสนมกับเขามากด้วยใช่ไหม คุณทำแบบนี้กับทุกคนสินะ”

ชายหนุ่มเริ่มโกรธเมื่อคิดว่ารัตติกาลปฏิบัติกับทุกคนเหมือนที่ปฏิบัติต่อเขา

“ตี้เป็นเพื่อนกับทุกคนเสมอค่ะ ใครมีไมตรีกับเราแล้วทำไมเราจะไม่รับล่ะคะ แต่ถึงตี้จะรับไมตรีจากทุกคน แต่ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ตี้ยอมให้ไปถึงห้องพัก มีแค่คนเดียวที่ตี้ชวนมาออกเดตด้วย คุณชายนึกออกมั้ยล่ะคะว่าคนคนนั้นเป็นใคร”

เธอจ้องตาเขาใกล้ๆ ขณะย้อนถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังกว่าทุกครั้ง

คุณชายดนัยนิ่งเงียบไปเมื่อรู้ตัวว่าพลาดแล้วแต่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาแสดงความรู้สึกออกมาอย่างไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่นั่นก็ทำให้เขารู้ตัวเช่นกัน

รัตติกาลมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขามากจนน่ากลัว!

“การแข่งขันเริ่มแล้วละค่ะ เราเลิกคุยกันดีกว่านะ” เธอบอกพร้อมรอยยิ้มสดใสไม่เปลี่ยนแปลง

แสงสว่างรอบกายหายไป เหลือไว้เพียงสปอตไลต์ดวงใหญ่ที่ฉายส่องร่างของพิธีกรชายหญิงซึ่งยืนอยู่กลางเวทีประกวด เสียงพิธีกรดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วทั้งฮอลล์ จากนั้นก็เป็นการแสดงลีลาศของผู้เข้าร่วมประกวดสิบคู่สุดท้ายเพื่อชิงชนะเลิศในวันนี้



“ตี้ว่าแล้วเชียวคู่นี้ต้องชนะแน่นอน” รัตติกาลว่าเสียงใสเมื่อเดินเกาะแขนชายหนุ่มออกมาจากงานหลังการประกาศรางวัลชนะเลิศเสร็จสิ้นลง

“เกือบหกโมงแล้ว คุณหิวรึเปล่า” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ นี่เป็นประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปก่อนการประกวด

“นิดหน่อยค่ะ แล้วคุณชายล่ะคะ เหนื่อยรึเปล่าที่ต้องตะลอนไปกับตี้ทั้งวันเลย นี่ยังต้องย้อนไปส่งตี้อีก ขับรถไกลเหมือนกันนะเนี่ย เอางี้ดีมั้ยคะ เราหาอะไรกินกันแถวนี้แล้วต่างคนต่างกลับ คุณชายจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาอีก”

รัตติกาลเสนออย่างเกรงใจ แม้จะผิดแผนไปนิดหน่อย แต่เธอคิดว่าเขาคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้วจึงไม่อยากกวนมากนัก

“ไหนคุณบอกไม่เคยนั่งแท็กซี่ไง นี่ก็เย็นมากแล้วด้วยจะกลับได้เหรอ” เขาเอ่ยเสียงเครียด สีหน้าจริงจัง

“ตี้เป็นห่วงคุณชายนี่คะ ต้องขับรถย้อนไปย้อนมาคงเหนื่อยแย่” เธอบอกเสียงอ่อย

“พรุ่งนี้ผมมีเวลาพักทั้งวัน ไปเถอะ หาอะไรกินกัน ชักหิวแล้วละ” ชายหนุ่มตัดบทแล้วเดินนำโดยมีรัตติกาลที่ยังเกาะแขนเขาไว้มั่นก้าวตามมาติดๆ

“คุณชายน่ารักที่สุดเลย” เธอกระซิบเบาๆ พร้อมรอยยิ้มแจ่มใส

เขาอมยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบว่าอย่างไร คำถามในใจฟังดูเพ้อเจ้อเกินกว่าที่ตัวเองจะรับได้ ขืนถามเธอออกไปจริงๆ เขาอาจต้องกลั้นใจตายเพราะความอับอายในภายหลัง



เมื่ออิ่มกับมื้อเย็นจากห้องอาหารของโรงแรมแล้ว คุณชายดนัยก็พารัตติกาลกลับไปส่งที่คอนโดมิเนียมของเธอ กว่าจะถึงห้องชุดของหญิงสาวก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มทีเดียว

“เข้าไปจิบกาแฟหน่อยมั้ยคะ ขากลับจะได้ตาสว่างไง” เธอถามเมื่อเขาเดินมาส่งจนถึงหน้าห้อง

“ไม่ดีกว่า คุณรีบเข้าห้องไปเถอะ ผมส่งแค่นี้นะ”

เธอเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขาอย่างครุ่นคิด ครู่หนึ่งก็อมยิ้มแล้วบอกว่า “งั้นก็ขับรถดีๆ นะคะ จะให้ตี้โทร. หาหรือจะโทร. มาบอกเองคุณชายก็เลือกเอาแล้วกัน แต่ตี้คงนอนไม่หลับถ้าไม่รู้ว่าคุณชายกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยรึเปล่า”

เขาจ้องตาเธอนิ่งๆ สีหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้มแต่ก็ไม่บึ้ง ก้มลงบอกเบาๆ “ผมจะโทร. มา คุณอย่าหลับไปก่อนก็แล้วกัน”

เธอยิ้มเขินๆ รู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้า แต่ก็ไม่ยอมพลาดโอกาสกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นด้วยการเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบเบาๆ ที่แก้มของเขา

“แทนคำขอบคุณสำหรับวันนี้ค่ะ”

พูดจบก็รีบหันหลังให้เขาแล้วเปิดประตูเข้าห้องไปโดยเร็ว

คนที่ถูกขโมยจูบโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้แต่ยืนนิ่งเป็นนาน เมื่อตั้งสติได้อีกครั้งนิ้วเรียวก็ไล้เบาๆ ที่แก้มซ้ายของตัวเอง รอยจูบอุ่นซ่านราวกับจะติดแน่นอยู่ตรงนั้นไปอีกนาน ใบหน้าคมคายระบายด้วยรอยยิ้มบางๆ ขณะหมุนตัวกลับไปเรียกลิฟต์

รออยู่ครู่เดียวประตูลิฟต์ก็เปิดออก รอยยิ้มที่กระจ่างบนใบหน้าของผู้ชายที่สบตาเขาผ่านกระจกเงาซึ่งกรุไว้ข้างผนังลิฟต์ทำให้ขายาวชะงักกึก และหุบยิ้มในทันที

นี่เขายิ้มเรื่องอะไรกันนะ เพราะรัตติกาลอย่างนั้นหรือ?

คำถามนั้นถูกปัดออกไปโดยเร็ว และเขาก็ไม่กล้าที่จะหาคำตอบให้ตัวเอง





________________________

[1] เพลง หยาดเพชร ขับร้องโดยคุณชรินทร์ นันทนาคร ทำนองโดยคุณชาลี อินทรวิจิตร เนื้อร้องโดยคุณสมาน กาญจนะผลิน เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน (พ.ศ.2508)
________________________



ตอนที่เหลือติดตามได้ในหนังสือหรือ e-book นะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ ^^










Create Date : 18 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2557 21:14:28 น. 0 comments
Counter : 1576 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.