Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
2 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 

เล่ห์ร้อนอ้อนรัก - 4 - ลูกหนี้





ทัศนัยเดินตรงมาที่ห้องน้ำชายชั้นหนึ่งของผับ บริเวณทางเข้าเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน เสียงเพลงดังอึกทึกจนต้องตะโกนคุยกัน ไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร ชายหนุ่มเข้าไปในห้องน้ำห้องแรกจากซ้ายมือตามคำสั่งของคนร้าย เขาพบถุงกระดาษในถังขยะใบเล็กตรงมุมห้องตามที่อีกฝ่ายบอกไว้ ในนั้นมีโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง รอพักเดียวมันก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นเขาจึงกดรับ

“ว่ายังไง จะให้ทำอะไรต่อ”

“วางกระเป๋าเงินของแกไว้ในห้องน้ำแล้วออกมา เดินเข้าไปในห้องน้ำห้องแรกจากทางขวามือของแกแล้วปิดประตูกดล็อกซะ”

“แล้วเพื่อนฉันล่ะ ขอคุยกับเขาหน่อย ไม่งั้นฉันจะไม่ทิ้งเงินไว้ตามที่แกบอก” ทัศนัยต่อรองอย่างไม่ไว้ใจ

“ได้ รอเดี๋ยว”

อีกฝ่ายว่าแล้วกดตัดสาย รอสักครู่โทรศัพท์มือถือที่ทัศนัยใช้ติดต่อกับคนร้ายก็ดังขึ้นเขาจึงรีบกดรับทันที

“ฉันเองนะทัศ ฉันปลอดภัยดี เอาเงินให้เขาซะ แล้วนายก็รีบไปอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ”

เสียงคุณชายรัชต์ดังมาตามสาย นั่นทำให้เขาคลายใจได้เปลาะหนึ่ง

“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร พวกมันจะปล่อยนายแน่รึเปล่า”

“แน่ ฉันคิดว่าเขาเชื่อใจได้”

ได้ยินเพื่อนว่าแบบนั้นเขาจึงต้องรับคำอย่างไม่มีทางเลือก “งั้นก็ได้ ฉันจะทำตามที่พวกมันบอก”

เมื่อคุณชายตัดสายไป มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ทำตามที่ฉันบอกได้แล้วสินะ”

“โอเค ฉันจะทิ้งกระเป๋าเอาไว้ในห้องน้ำนี้แล้วเดินไปเข้าห้องแรกจากขวามือ” เขาว่าแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา ในนั้นมีชายหนุ่มอีกสี่คนแต่ไม่มีใครกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เลย เขาจึงเดินไปเข้าห้องน้ำด้านขวาสุดอย่างผิดหวังเพราะคิดว่าจะได้เห็นหน้าคนร้ายบ้าง อึดใจเดียวคู่สนทนาก็ตอบกลับมาอีก

“เรียบร้อย ฉันไม่มีเวลานับ แต่ถ้าแกโกงล่ะก็เราได้เจอกันอีกแน่ เอาล่ะ ทิ้งมือถือลงในชักโครกแล้วกดน้ำด้วย จากนั้นรอห้านาทีค่อยออกมา ฉันจะรู้ทันทีถ้าแกไม่ทำตามที่บอก เพราะฉะนั้นอย่าคิดลองของ”

สิ้นเสียงคนร้ายสัญญาณก็ถูกตัดไป ทัศนัยทำตามที่อีกฝ่ายสั่งและเฝ้ารอพลางจ้องเข็มนาฬิกาอย่างร้อนใจ เมื่อครบห้านาทีก็รีบร้อนออกไปดูห้องน้ำทางด้านซ้ายสุด เขาพบเพียงความว่างเปล่าแล้วมือถือของตัวเองก็ดังขึ้น

“เอาล่ะ เราจะปล่อยเพื่อนของแกตามสัญญา แกไปรอหน้าผับได้เลย”

ได้ยินดังนั้นทัศนัยก็รีบออกมาดักรอเพื่อนที่หน้าผับโดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายปลอดภัยแล้วจริงหรือไม่



เสียงโทรศัพท์มือถือของคนร้ายที่คุมเชิงคุณชายรัชต์กับปรียาดังขึ้น เขากำลังจะกดรับแต่หูแว่วได้ยินเสียงเครื่องยนต์ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าคนกลุ่มหนึ่งจึงรีบกดปิดโทรศัพท์แล้วค่อยๆ วิ่งแฝงตัวในเงามืดเข้ามาหาหนุ่มสาวทั้งสองคน

คนร้ายแก้มัดให้ทั้งคู่และมองหน้าชายหนุ่มกับหญิงสาวสลับกันครู่เดียว ก่อนจะถอดสร้อยที่คอตัวเองสวมให้ปรียาพร้อมสั่งรัวเร็ว “เก็บไว้ให้ดี รีบหนีไปซะ!”

“เกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวกระซิบถามเสียงสั่น สำเหนียกได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวจากน้ำเสียงและท่าทีของคนร้าย

“โอ๊ย!” คนร้ายร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะได้ตอบคำถามของปรียา เขารีบหลบหลังเสา มือซ้ายกุมหัวไหล่ที่ถูกลูกตะกั่วถากไปเป็นแผลยาว มือขวาถือปืนไว้มั่นขณะที่สายตากวาดมองไปรอบบริเวณด้วยความระแวดระวัง

หญิงสาวใจหายวาบเมื่อแน่ใจว่าได้ยินเสียงคล้ายวัตถุเจาะทะลุเนื้อก่อนจะได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของคนร้าย เธอมองเลือดที่ค่อยๆ ไหลซึมผ่านเนื้อผ้าที่แขนเสื้อของเขาแล้วแทบเป็นลม

เขาถูกยิง!

“ออกมาได้แล้วไอ้เดช แกหนีไม่พ้นแน่ เอาหลักฐานนั่นมาแล้วฉันจะช่วยให้แกไม่ต้องทรมาน นัดแรกแค่ตักเตือน ถ้าฉันตั้งใจแกไม่มีทางรอดแน่” เสียงห้าว ห้วน และเหี้ยมดังขึ้น ก่อนที่ร่างสูงบึกบึนคล้ายทหารจะปรากฏตัวออกมาพร้อมลูกน้องอีกห้าคนซึ่งตรึงกำลังล้อมไว้ทุกทิศทางพร้อมปากกระบอกปืนที่จ่อทั้งสามคนเอาไว้ พวกเขาว่องไวและเงียบกริบราวกับหน่วยจู่โจมที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งหมดสวมหน้ากากสีดำทำให้มองไม่เห็นใบหน้า

คุณชายรัชต์กระชับมือเย็นเฉียบของคนข้างตัวเอาไว้แน่น เขาไม่คิดว่าคนพวกนี้เป็นตำรวจ เพราะอย่างน้อยที่สุดจะต้องมีการเจรจาต่อรองก่อนเมื่อคนร้ายมีตัวประกันอยู่ในมือ แต่ผู้มาใหม่กลับจู่โจมรวดเร็วด้วยปืนเก็บเสียงคล้ายต้องการให้เรื่องเงียบที่สุดจึงไม่น่าจะใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐแน่นอน

“พวกแกต้องการอะไร” คุณชายเอ่ยถามเสียงเครียด มั่นใจว่าสถานการณ์นี้อันตรายมาก หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างมีหวังได้เป็นไข้โป้งตายกันหมดแน่

คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีแล้วหรี่ตาลึกขณะถาม “สองคนนี่เป็นใคร รู้อะไรมากน้อยแค่ไหน?”

“เหยื่อที่ฉันจับตัวมาเรียกค่าไถ่ พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งนั้นถ้าแกไม่ปากโป้ง” คนร้ายที่จับตัวปรียากับคุณชายเป็นคนตอบคำถาม

อีกฝ่ายแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม “แต่มันอาจปากโป้งบอกเรื่องนี้กับใคร”

“พวกเขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร รีบปล่อยพวกเขาไปซะถ้าไม่อยากเดือดร้อน ไอ้หนุ่มนี่เป็นลูกคนมีตังค์ ถ้าเขาเป็นอะไรไปจะเป็นข่าวดัง รับรองว่าแกได้ตอบคำถามเจ้านายยาวแน่”

“ไม่หรอก ฉันไม่ต้องเป็นคนตอบเอง” เขาส่ายหน้าและยิ้มเหี้ยม

“เขาจะใส่ร้ายคุณ” คุณชายรัชต์หันไปบอกคนร้ายที่จับตัวเองมา ตอนนี้มั่นใจว่าทั้งตัวเขา ปรียา และผู้ชายอีกคนที่ยืนหันหลังชนกันอยู่นี่...รอดยาก

“ไอ้หนุ่มนี่หัวไว แต่น่าเสียดายที่อายุสั้น”

“สองคนนี้ไม่เกี่ยวอะไรด้วย ปล่อยพวกเขาไป ไม่งั้นแกจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับฉัน และถ้าฉันไม่กลับไปหาคนคนนั้นในคืนนี้ เขาจะนำมันไปให้เจ้านายของฉัน ถึงตอนนั้นเจ้านายของแกก็จะรู้ว่าแกพลาด!”

ชายผู้สวมหน้ากากพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง บอกได้ชัดถึงอารมณ์ที่คุกรุ่น เขาก้าวเข้าไปหาคู่สนทนาแล้วกระชากปืนออกจากมืออีกฝ่าย แต่ชายคนนั้นไม่ยอมง่ายๆ แถมยังลั่นไก แม้กระสุนจะไม่ถูกใครเลยแต่ก็ได้ผลดีเยี่ยม

“บัดซบ!” หัวหน้ากลุ่มผู้มาใหม่สบถอย่างหัวเสียแล้วกระชากปืนจากมือฝ่ายนั้นมาจนได้ แต่มันจะมีความหมายอะไรในเมื่อเสียงปืนแผดก้องขึ้นกลางกรุงและอีกไม่นานตำรวจก็จะแห่แหนกันมาจนเต็มพื้นที่

“แกเก็บมันไว้ที่ไหน บอกมาซะดีๆ ไม่งั้นแกจะตายเป็นคนแรก!”

“ฉันเตรียมพร้อมสำหรับความตายมานานแล้ว!” คนพูดยิ้มเยาะด้วยความสะใจ

“แต่แกคงไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับความล้มเหลวในหน้าที่” ผู้มาใหม่กระแทกเสียงเย้ยหยัน

“ถึงไม่มีฉันก็ต้องมีคนอื่นที่ทำสำเร็จ” อีกฝ่ายบอกอย่างมั่นใจ

ด้ามปืนในมือผู้มาใหม่ฟาดเปรี้ยงลงบนศีรษะของคนอวดดีจนหน้าหัน ความเจ็บและจุกนั้นมากพอให้เขาร้องไม่ออก

“พาพวกมันขึ้นรถ เราต้องไปแล้ว!”

“พวกเขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” คนร้ายที่จับตัวปรียามายังคงยืนยันเจตนาเดิม

ปรียายืนตัวแข็งเป็นหินและคิดว่าตัวเองหัวใจวายตายไปแล้วตั้งแต่เห็นปืนทั้งห้ากระบอกจ่อมาที่เธอกับเพื่อนร่วมชะตากรรมในระยะเผาขน ไม่มีเวลาสำหรับการสวดมนต์ อันที่จริงเธอไม่ได้กำลังนึกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่กำลังนึกถึงทูตมรณะมากกว่า แม้จะยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก แต่อย่างหนึ่งที่เธอมั่นใจ โอกาสรอดมีน้อยถึงขั้นติดลบ

“แก!”

“เลือกเอา แกจะพาฉันไปเอาหลักฐานหรือจะปล่อยให้พวกเราตายกันหมด แล้วแกก็กลับไปรายงานเจ้านายถึงความล้มเหลวของตัวเอง” เสียงคำรามไม่ได้ทำให้ชายคนนั้นสะทกสะท้านแต่อย่างใด แถมเขายังต่อรองหน้าตาเฉย แววตาเด็ดเดี่ยวสมกับคำพูดที่ว่าได้เตรียมพร้อมสำหรับความตายมาอย่างแท้จริง

ชายผู้สวมหน้ากากกัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เขาไม่มีทางเลือก ตอนนี้เสียงไซเรนกรีดร้องลั่นและดังใกล้เข้ามาทุกขณะ

“ไป! ปล่อยสองคนนี่ก่อน ไปเร็วเข้า!” ผู้เป็นหัวหน้าสั่งการอย่างกล้ำกลืนแล้ววิ่งนำไปที่รถตู้สีดำโดยมีลูกน้องคุมเชิงคนร้ายที่กลายเป็นพระเอกในวินาทีสุดท้ายไปด้วย

“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ” คุณชายหันมาถามคนข้างตัวด้วยความห่วงใย

หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากเย็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ฉันยังไม่ตายใช่ไหม?”

คุณชายหัวเราะเบาๆ เหมือนนานเป็นชาติแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงเธอทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกวันนี้เอง มือใหญ่ยังกระชับมือเล็กไว้มั่นก่อนจะกระตุกแรงๆ พาเธอออกวิ่ง

“เร็วเข้า เราเองก็ต้องรีบไปเหมือนกัน”

“จะไปไหน ตำรวจกำลังมาแล้วนะ” เธอทักท้วงตามประสาประชาชนที่เมื่อเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายแล้วก็มักจะนึกถึงตำรวจเป็นอันดับแรก แต่ต้านแรงเขาไม่ไหวจึงถูกลากหลุนๆ ออกไปจากตึกร้างอย่างไม่มีทางเลือก

“นั่นแหละ เหตุผลที่เราต้องหนี”

ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยมีคนตัวเล็กถูกกระชากตามมาติดๆ

ปรียาไม่เข้าใจเหตุผลของเขา แต่สมองของเธอยังไม่พร้อมใช้งานในเวลานี้ สิ่งเดียวที่ทำได้จึงเป็นเพียงการวิ่งตามผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงไปอย่างไม่รู้ทิศทาง แต่จะบอกว่า ‘รู้จัก’ ก็ชักจะไม่แน่ใจ เธอจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร หรือแท้จริงแล้วยังไม่ได้ถามก็ไม่รู้เหมือนกัน!



ทัศนัยแอบตามรถตำรวจมาดูเหตุการณ์ด้วยใจที่เต้นระทึก เขาเป็นคนโทรแจ้ง 191 เมื่อได้ยินเสียงปืนเพราะนึกกังวลเรื่องเพื่อนเป็นทุนเดิม แต่ชายหนุ่มเลือกใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะตามมา หากเสียงปืนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหม่อมราชวงศ์รชตภาดาจะได้ไม่เป็นเรื่องราวอื้อฉาวใหญ่โต เขานึกถึงสีหน้าแตกตื่นของหม่อมภารดีได้ชัดจนเกิดความสยองแทนเพื่อน

ชายหนุ่มกำลังจะเข้าไปถามไถ่ตำรวจนายหนึ่งว่าพบอะไรบ้าง แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน เขารีบกดรับด้วยความหวังว่านี่อาจเป็นสายจากเพื่อนและก็ใช่จริงๆ

“ฉันเองนะทัศ นายอยู่ไหน รีบมารับทีสิ”

“ชายรัชต์! นายไม่เป็นไรใช่มั้ย” เขาร้องด้วยความยินดีขณะหมุนตัวและรีบสาวเท้ากลับไปที่รถ

“เออ ยังมีชีวิตอยู่ รีบมาก็แล้วกัน”

“ได้ๆ นายอยู่ไหน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อคุณชายบอกตำแหน่งให้ทราบ ทัศนัยก็รีบขับรถไปรับเพื่อนทันที



คุณชายรัชต์วางหูแล้วเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ เขาขอยืมมือถือคนที่เดินสวนกันแถวนั้น แต่อีกฝ่ายไม่มี หรืออาจไม่ไว้ใจเขา จึงให้เหรียญมาใช้โทรศัพท์สาธารณะแทน

ปรียานั่งพิงหลังกับตู้โทรศัพท์อย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง มือหนึ่งกอดตัวเองไว้ อีกมือกำแน่นที่จี้บนลำคอซึ่งเห็นแวบๆ ตอนที่คนร้ายสวมให้ว่าจี้นั้นมีรูปร่างคล้ายลูกกุญแจ

เขานั่งลงข้างๆ หญิงสาว มองเธอด้วยความห่วงใย

“คุณไม่เป็นไรนะ”

เธอยังนิ่ง สติเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางและกำลังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่สายตามองไปยังถนนอีกฟาก แสงจากเสาไฟฟ้าริมทางส่องสว่างให้เห็นผู้คนเดินอยู่ประปรายตามทางเท้าเพราะเป็นเวลาดึกแล้ว มีรถราแล่นสวนกันห่างๆ ทุกอย่างดูเหมือนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เธอไม่รู้ว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ไหม เมื่อนึกถึงเจ้าของสร้อยคอที่กำลังสวมอยู่นี่

“ปาย...คุณโอเคนะ” เขาแตะไหล่บางเบาๆ เมื่อเห็นแววตาเลื่อนลอยของเธอ

หญิงสาวกะพริบตาพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น “ไม่ ฉันรู้สึกไม่ดีเลย เขาช่วยชีวิตเราไว้ แต่ตอนนี้เขาอาจจะ...บางทีเราน่าจะแจ้งตำรวจให้ไปช่วยเขานะคะ”

“พวกมันไม่ฆ่าเขาหรอก ตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ”

“คุณรู้ได้ยังไง พวกมันมีปืนนะ” ปรียาเถียงด้วยความว้าวุ่นใจ

หญิงสาวเคยเจอผู้ชายเลวๆ ที่พยายามหาโอกาสลวนลามเธอมาเยอะจนชินชา บทเรียนที่ผ่านมาทำให้เธอเข้มแข็งและสามารถจัดการเรื่องนั้นได้อย่างดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เรียกว่าชีวิตอยู่ใกล้ความตายมากที่สุด ความกลัวทำให้เธอขี้ขลาด และความรู้สึกผิดกำลังจะทำให้เธอสติแตก

“ถ้าจะฆ่าเขา พวกมันทำไปนานแล้วปาย คุณก็เห็น คนพวกนั้นมีอาวุธครบมือ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราน่าจะทำอะไรบ้าง อย่างน้อยก็แจ้งตำรวจ ไม่ใช่หนีมาดื้อๆ แบบนี้”

“เขาจับเราเรียกค่าไถ่ อย่าลืมสิ” เขาพยายามพูดให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น

เธอมองหน้าคนพูดอย่างคาดไม่ถึง “แต่เขาเพิ่งช่วยชีวิตเรา”

ชายหนุ่มถอนใจและไม่ว่าอะไรอีก สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง คนร้ายคนนั้นช่วยชีวิตเขาและปรียาเอาไว้ เขารับรู้ได้ถึงความพยายามนั้นแม้จะไม่เข้าใจเหตุผลก็ตาม

“ถ้าได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วพวกมันก็จะฆ่าเขาใช่ไหม ถ้าเขาตายคุณรู้มั้ยว่ามันหมายถึงอะไร มันหมายความว่าเราฆ่าเขา เพราะเราไม่ยอมช่วยทั้งที่มีโอกาส ฉันจะกลับไปหาตำรวจ!”

เธอผุดลุกขึ้น แต่คุณชายกระตุกข้อมือเล็กให้นั่งลงด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่า กดไหล่หญิงสาวไว้ด้วยมือทั้งสองข้างขณะจ้องตาเธอใกล้ๆ

“คุณทำอะไรไม่ได้หรอก ลืมเรื่องนี้ซะ แล้วตั้งใจหาเงินมาใช้หนี้ผม”

เขาเบี่ยงเบนความสนใจของเธอด้วยเรื่องเงินค่าไถ่ ที่จริงไม่ได้คิดจะทวงคืนเป็นเงินสดเพราะเขามีแผนจะตามคิดบัญชีเธออยู่แล้ว

“นี่ฉันกำลังพูดเรื่องความเป็นความตายอยู่นะ เราเป็นหนี้ชีวิตเขา แต่คุณกลับพูดเรื่องเงินได้หน้าตาเฉย คุณไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง คืนนี้อาจจะมีคนตายถ้าเราไม่ช่วยเขา” หญิงสาวโวยวายอย่างเดือดดาล นึกไม่ถึงว่าผู้ชายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนแปลกหน้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะกลายเป็นคนใจดำได้ขนาดนี้ เธอมองเขาผิดไปจริงๆ

“เราช่วยอะไรเขาไม่ได้ เราแค่บังเอิญผ่านเข้ามาในเหตุการณ์ คนพวกนั้นตามล่าเขาอยู่แล้ว ถึงไม่ใช่คืนนี้ก็อาจจะเป็นพรุ่งนี้ เราไม่รู้อะไรซักอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนพวกนั้นเป็นใคร และไม่แน่ใจว่าคนร้ายนั่นทำอะไรผิดมารึเปล่า เราไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายถูก”

“มันไม่เกี่ยวว่าใครผิดใครถูก แต่ฉันกำลังพูดถึงการช่วยชีวิตคนอยู่นะ คนที่ช่วยชีวิตเราไว้น่ะ ฉันไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก แต่ผู้ชายคนนั้นช่วยเราไว้ เราเป็นหนี้เขา”

“ใช้หนี้ผมหมดเมื่อไหร่ค่อยคิดไปใช้หนี้คนอื่น หยุดพูดเรื่องนี้ซะ ผมไม่ยอมให้คุณกลับไปแน่” คุณชายรัชต์ยื่นคำขาดด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาดุดันผิดกับผู้ชายเจ้าชู้ที่ฉวยโอกาสลวนลามหญิงสาวในผับเป็นคนละคน

แสงไฟจากหน้ารถสาดมาตรงจุดที่คุณชายกับปรียานั่งโต้เถียงกัน เขาหันไปมองก็พบว่าเป็นทัศนัยนั่นเองจึงฉุดหญิงสาวให้ลุกขึ้น

“ปล่อยฉัน!” เธอสะบัดมือออกด้วยท่าทีรังเกียจ รังเกียจความเห็นแก่ตัวและความใจดำของเขา

“เฮ้ นายปลอดภัยดีใช่มั้ย” ทัศนัยกระโดดลงจากรถมาถามไถ่พลางกวาดสายตาสำรวจคุณชายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

“อือ ขอบใจที่มานะทัศ”

คุณชายตบไหล่เพื่อนรักด้วยความซาบซึ้งใจ ถ้าไม่มีทัศนัยเรื่องนี้อาจรั่วไหลไปถึงหูคนที่วังมรกต และนั่นจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างหนัก

ปรียาเม้มปากแน่น ไม่ยอมมองหน้าคุณชายและเพื่อนของเขา เธออยากวิ่งกลับไปที่ตึกร้างเพื่อบอกตำรวจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หรือไม่ก็ขึ้นแท็กซี่หายตัวไปจากตรงนี้ซะ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินแม้แต่สตางค์เดียวนี่สิ

“ไม่เป็นไร แล้วนั่น...คนรักของนายเหรอ?”

ทัศนัยเหลือบตามองหญิงสาวในชุดสีขาวมอมแมมจนเกือบจะหาสีดั้งเดิมไม่พบ

คุณชายมองตามสายตาเพื่อนแล้วถอนใจหนักหน่วง “ลูกหนี้ของฉัน ไปกันเถอะ ฉันต้องกลับไปเอารถที่ผับนั่น”

“แล้วตกลงว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่?”

“เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้เราต้องไปแล้ว”

คุณชายตัดบทก่อนจะรั้งข้อมือเล็ก ลากเธอไปขึ้นรถด้วยกัน

“จะพาฉันไปไหน” ปรียาถามเสียงห้วน สะบัดข้อมือแต่ไม่หลุด แถมยังถูกจับยัดเข้าไปนั่งในรถเป็นที่เรียบร้อย

“กลับบ้าน หรือคุณจะยืนอยู่นี่ทั้งคืนล่ะ” เขาตอบเสียงห้วนพอกัน ก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินไปนั่งคู่คนขับในตอนหน้า

“ไปกันเถอะ ดึกมากแล้ว”

ทัศนัยออกรถอย่างว่าง่าย เขาเหลือบมองหญิงสาวผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะ รู้สึกคุ้นหน้าอยู่มาก สักพักจึงจำได้ว่าเธอก็คือแม่สาวเสิร์ฟที่คุณชายรัชต์มองตามจนคอแทบเคล็ดนั่นเอง

ชายหนุ่มลอบถอนใจพลางเหล่ตามองเพื่อนรักด้วยความสงสัย

ผู้หญิงคนนี้มีดีอะไรนัก ทำไมเพื่อนเขาต้องเอาตัวเข้ามาเสี่ยงกับเธอถึงขนาดนี้?


___________________________



จัดมาอีกตอนแบบอืดๆ ค่ะ ช่วงนี้จะอัพช้าหน่อยนะคะ รตามีงานอื่นต้องทำด้วย แต่จะพยายามไม่หายหัวไปทีละนานๆ ค่ะ ขอให้หนุกหนานกับนิยายนะคะ จ๊วบๆ








 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2556
3 comments
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2556 21:51:51 น.
Counter : 1003 Pageviews.

 

เอาละสิ๊ พี่โจรฝากภาระไว้ด้วย อย่าออกมาประกาศตอนท้ายว่า ปมคือ สารวัตร....ปลอมตัวมาครัชช 5555+



รักษาสุขภาพนะจ๊ะ อย่าหายไปนานนะ เดียวเค้าลืม อิอิ

 

โดย: sakeena IP: 124.120.1.181 3 พฤศจิกายน 2556 13:25:36 น.  

 

เรื่องไม่จบแค่นี้แน่ คิดว่าจี้หรือกุญแจที่ให้ปายมา ต้องดึงเรื่องให้กลับมาที่ปายแน่ และคุณชายรัชต์คงไม่ปล่อยให้ปายเสี่ยงคนเดียว

 

โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 4 พฤศจิกายน 2556 12:04:21 น.  

 

เห็นใจทั้งคนถูกจี้ คนถูกเรียกค่าไถ่ คนเรียกค่าไถ่ และคนมาไถ่ตัว เลยจริงๆ คนเขียนทำให้รู้สึกว่าทุกบทาทตัวละครมีแง่มุมหลากหลายน่าสนใจ

 

โดย: ree IP: 143.167.234.87 7 พฤศจิกายน 2556 5:46:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ระตา
Location :
นครปฐม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 17 คน [?]




รู้สึกอยู่เสมอว่าการได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คือความมหัศจรรย์...และการอ่านออกเขียนได้คือรางวัลของชีวิต...
Friends' blogs
[Add ระตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.