ศาสนา เป็นองค์คุณอันสำคัญ
โดยช่วยให้ชีวิตนี้ มีความสดชื่น เยือกเย็น พอที่จะเป็นอยู่ ไม่ร้อนเป็นไฟ
เช่นเดียวกับน้ำ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง พฤกษาชาติ ให้สดชื่น งอกงาม ตลอดเวลา ฉันใดฉันนั้น
แสงส่องใจ - วันอาสาฬหบูชา พ.ศ. ๒๕๔๙





(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วันอาสาฬหบูชาเป็นวันบูชาสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา
ของพุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือของพุทธมามกะ คือผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก
พุทธมามกะ แตกต่างกับ พุทธศาสนิก คือ
พุทธศาสนิก เป็นเพียงผู้นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่มากมาย
ผู้ใดนับถือพระพุทธศาสนา ผู้นั้นก็ได้ซื่อว่าเป็น พุทธศาสนิก

แต่พุทธมามกะ ซึ่งมีความหมายว่า มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก
ย่อมมีความแตกต่างกับผู้นับถือพระพุทธศาสนา
สำคัญที่ว่าผู้ที่ประกาศตนเป็น พุทธมามกะ
จะมีความเข้าใจในความหมายแห่งความเป็น พุทธมามกะ ของตนเพียงใด






ปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๙
วันอาสาฬหบูชาตรงกับจันทร์ที่ ๑๐ เดือนกรกฎาคมอันเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
เป็นวันบูชาสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา
เพราะเป็นวันที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนา
คือเป็นครั้งแรกที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนา

ในการทรงโปรด ท่านปัญจวัคคีย์ และเป็นวันที่พระรัตนตรัยเกิดครบองค์เป็นวันแรก
คือในวันอาสาฬหบูชานั้น มีผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระอริยบุคคลเป็นคนแรก คือ ท่าน โกณฑัญญะ

สมเด็จพระบรมศาสดารับสั่งรับรองการได้ดวงตาเห็นธรรมของ ท่านโกณฑัญญะ
โดยทรงมีพระพุทธดำรัสว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” คือ ”โกณฑัญญะรู้แล้ว” รู้แล้ว
ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศรับรอง ท่านโกณฑัญญะ
คือรู้ธรรม ตามที่ทรงแสดงในพระปฐมเทศนาโปรด ท่านปัญจวัคคีย์

ที่มี ท่านโกณฑัญญะ รวมอยู่ด้วยผู้หนึ่ง และธรรมที่ สมเด็จพระบรมศาสดา
ทรงประกาศรับรองว่า ท่านโกณฑัญญะ รู้แล้ว หรือได้ธรรมจักษุ
คือ ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ก็คือการรู้ว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา”





ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศการได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว
ท่านโกณฑัญญะ คือท่านโกณฑัญญะ ได้รู้จริงแล้ว
เป็นปัญญาของท่าน โกณฑัญญะ จริงแล้ว ว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา

ความรู้ระดับนี้ หรือปัญญาระดับนี้ เป็นในระดับของพระอริยบุคคลขั้นต้น
ที่รู้กันว่าขั้นโสดาบัน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
มีคำกล่าวว่า พระอริยบุคคลระดับพระโสดาบันจะเกิดอีกไม่เกิด ๗ ชาติ และจะพ้นแล้วจากนรก
คือพระโสดาบันบุคคลจะไม่ตกนรก และจะเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น อย่างมากอีก ๗ ชาตินั้นเอง





ท่านโกณฑัญญะ เป็นที่รักรู้จักท่านในนาม ท่านอัญญาโกณฑัญญะ
ที่มีความหมายว่าท่านโกณฑัญญะผู้รู้ธรรมแล้ว ตามที่สมเด็จพระบรมศาสดารับสั่งบอก
อัญญาโกณฑัญญะ คือท่าน โกณฑัญญะผู้รู้ธรรมแล้ว
เราทั้งหลายรู้จักท่านในนาม ท่านอัญญาโกณฑัญญะ พระอริยะองค์แรกในพระพุทธศาสนา

ที่เป็นผู้ยังพระรัตนตรัยให้มีครบองค์เป็นครั้งแรก เป็นผู้เริ่มให้พระพุทธศาสนามีพระรัตนตรัยนั่นเอง
ในวันอาสาฬหะ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หรือเดือน อาสาฬหะ
ซึ่งมาถึงในวันที่ ๑๐ กรกฎาคมปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๙ นี้ ดังกล่าวแล้ว





สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ทรงเป็นพระพุทธเจ้าคือทรงเป็นพระผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ด้วยการทรงตรัสรู้นั้น
ซึ่งเกิดขึ้นในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์

ต่อมาอีก ๒ เดือน คือในวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๘ จึงเสด็จพระพุทธดำเนินออกจาก
ต้นอัชปาลนิโครธ ถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเย็นวันเดียวกันนั้น
ในวันรุ่งขึ้น คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ พระจันทร์เสวยอาสาฬหฤกษ์ นั่นเอง
ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดท่านปัญจวัคคีย์
ที่พากันละจากพระพุทธองค์มาพักอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤทายวันแล้ว





โยคีทั้งห้า หรือ ท่านปัญจวัคคีย์
เป็นพวกแรกที่ได้รับรู้รับฟังพระธรรมที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้
และก็เป็นครั้งแรกที่ทรงแสดงให้ปรากฏสืบมาจนทุกวันนี้ ว่าในการทรงตรัสรู้ธรรมสูงสุด
ที่ให้ทรงได้ทรงถึงความทรงเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน หรือความทรงเป็นพระพุทธเจ้านั้นเอง

ได้ทรงหยั่งรู้ถึงจิตใจและสติปัญญาของผู้คนทั้งหลายได้ด้วย
ดังทรงหยั่งรู้จิตใจและสติปัญญา ท่านปัญจวัคคีย์
ว่าจะไปถึงความสำเร็จตามคำทรงสอน ซึ่งไม่ทรงถือการรู้ใจเป็นความสำคัญ
จึงไม่ทรงให้ความสำคัญในเรื่องนี้ทั้งยังทรงมิให้สาวกทั้งหลายของพระพุทธองค์ยินดีสนใจในเรื่องนี้ด้วย

เรื่องของใจที่ทรงมุ่งให้เห็นความสำคัญสูงสุด ได้ทรงแสดงไว้ในพระปฐมเทศนา
เป็นเหตุให้ ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม
เป็นพระอริยบุคคลองค์แรกในพระพุทธศาสนา ที่เป็นพุทธสาวก
เกิดจากได้ฟังพระธรรมคำทรงสอนใน พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร





ในพระปฐมเทศนา พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงชัดแจ้งแก่ ท่านปัญจวัคคีย์
เป็นประการแรก ว่านักบวชในพระพุทธศาสนา
หรือบรรพชิต ไม่ควรพัวพันอยู่กับความสุขในกาม

อันเป็นความมีกิเลสหนา ผูกพักหลงติดอยู่กับการครองบ้านครองเรือน
ที่ก่อให้เกิดความสุขไปในกาม
และขณะเดียวกันนักบวชในพระพุทธศาสนาก็ไม่พึงทรมานตนให้ลำบาก
ให้ทุกข์ยากต่างๆ นานาที่ไม่เกิดประโยชน์อันใด





ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงกล่าวที่เป็นการเนื่องด้วยนักบวชในพระพุทธศาสนานั้น
ทุกวันนี้ น่าจะเป็นที่ควรเข้าใจให้ถูกต้องด้วย
ว่าการบวชในพระพุทธศาสนาเป็นไปได้ทั้งบวชกาย และทั้งบวชใจ

นั่นก็คืออุบาสก อุบาสิกา หรือญาติโยม หญิงชายใด
ที่ปรารถนาเป็นผู้ปฏิบัติพระธรรมในพระพุทธศาสนา แต่ไม่พร้อม
หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามที ที่ทำให้อยู่ในเพศของหญิงชายทั่วไป
ไม่ใช่อยู่ในเพศของพระเณรหรือของแม่ชี

เมื่อหญิงชายนั้นมีใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดา
ในพระพุทธศาสนา ก็พึงปฏิบัติเช่นที่ทรงแสดงสอนไว้ในพระปฐมเทศนา
ที่ทรงโปรดท่านปัญจวัคคีย์ อย่ายึดติดพัวพันในความสุขทางกาม
และอย่าถึงต้องทุกข์ทรมานกายด้วยประการต่างๆ

โดยคิดว่าจะ เป็นเหตุดีเป็นผลดีแก่การปฏิบัติพระพุทธศาสนา
เมื่อใดหลงคิด ผิด ทำผิดในสองประการนี้ ก็พึงเตือนตน
ด้วยคำทรงสอนที่โปรดประทาน ท่านปัญจวัคคีย์ และพยายามปฏิบัติตามที่ทรงสอนให้ได้

แม้จะเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติพระพุทธศาสนาดังเช่นเป็นนักบวชผู้หนึ่ง
ทั้งที่อยู่ในเพศของคฤหัสถ์ ไม่ว่าหญิงหรือว่าชาย ก็ทำได้และก็เกิดผลได้
ไม่แตกต่างกับผู้ปฏิบัติที่เป็นนักบวช หรือเป็นบรรพชิต
เป็นเรื่องของใจไม่ใช่เรื่องของกาย ขออย่าได้ลืมความจริงนี้





สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ว่า
“ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ”
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหญิง หรือเป็นชาย เป็นบรรพชิต หรือไม่เป็นบรรพชิต
แม้มีใจมุ่งมั่นปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนในพระพุทธศาสนา
ก็มีโอกาสได้รับผลจากการปฏิบัติไม่แตกต่างกัน

พระอริยบุคคลรวมทั้งพระอรหันต์จึงมีได้ทั้งเป็นหญิง และทั้งเป็นชาย
สำคัญที่ใจอย่างแท้จริงและไม่เพียงการเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่จะเป็นได้ทั้งหญิง และทั้งผู้ชาย
สำคัญที่มีใจมุ่งมั่นปฏิบัติพระพุทธศาสนาให้จริง และให้ถูกตรงตามที่ทรงแสดงสอนไว้เท่านั้น

ความสำเร็จทั้งหลายอื่น ก็อยู่ในอำนาจของใจทั้งสิ้น
ใจมุ่งมั่นเอาจริงย่อมเกิดผลสำเร็จได้ดังความมุ่งมั่นดังความปรารถนา
ขอให้เชื่อมั่นในพระพุทธภาษิตที่ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ”





เคยมีผู้เล่าให้ฟังเมื่อนานมาแล้วเหมือนเล่านิทาน ว่าได้ยินได้ฟังมา
ว่าวันหนึ่งในอดีตกาลนานไกล บนสวรรค์พวกเทวดาจับกลุ่มคุยกัน
มีความเห็นแบ่งกันเป็นสองพวก ที่เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา
พวกหนึ่งเชื่อว่าปัจจุบันไม่มีพระอรหันต์ผู้หญิง เช่นในสมัยพุทธกาลแล้วอีกพวกหนึ่งเชื่อว่ายังมี

โดยมีเหตุผลสำคัญว่า เมื่อผู้เชิญยังปฏิบัติพระพุทธศาสนา
ตามพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาอยู่อย่างถูกต้องจริงจัง
ย่อมสามารถบรรลุธรรมสูงสุด ได้เป็นพระอรหันต์ได้

การโต้แย้งกันระหว่างเทวดาความเห็นเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมกัน
จนมีเทวดาองค์หนึ่งตัดสิน ด้วยการกล่าวว่าจะลงไปเกิดเป็นผู้หญิงและจะเป็นพระอรหันต์ให้ได้
เพื่อยืนยัน ว่าแม้ปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนอย่างจริงจัง
ก็จะได้เป็นพระอรหันต์ในวันหนึ่งแน่ ทั้งที่เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย
และได้ประกาศยืนยันให้เป็นการชนะอย่างขาวสะอาดแท้จริงว่า
ผู้หญิงในปัจจุบันก็เป็นพระอรหันต์ได้เช่นเดียวกับในสมัยพุทธกาล

เทวดาองค์นั้น ซึ่งเชื่อมั่นอย่างแท้จริงในผลของการปฏิบัติธรรม
ว่าเกิดได้ทั้งแก่ผู้ปฏิบัติที่เป็นผู้หญิง ไม่ใช่เฉพาะแก่ผู้ชายเท่านั้น
เทวดาองค์นั้นประกาศไม่นำความรู้ความสามารถที่มีในการเป็นเทวดาผู้ชาย
ไปเป็นความรู้ความสามารถเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิง

จะเริ่มต้นทั้งหมดด้วยความสามารถของผู้หญิงอย่างแท้จริง
ได้ฟังเล่าด้วย ว่าเทวดาองค์นั้นลงมาเกิดแล้วเป็นผู้หญิงหลายภพชาติ
ในปัจจุบันก็ยังเป็นหญิงอยู่ โดยที่มิได้มีผู้รู้ตัวว่าตนเป็นเทวดาลงมาเกิดเป็นผู้หญิง
ตามที่เกิดการท้าทายกันขึ้นบนสรวงสวรรค์เมื่อนานมานักแล้ว





ได้ฟังเล่าด้วยว่าเทวดาที่เกิดเป็นผู้หญิงอยู่ในชาติปัจจุบัน
ได้เกิดในชาติตระกูลที่ไม่ลำบากยากจน
มีความพรั่งพร้อมเพียงพอที่จะไม่ต้องลำบากตรากตรำในการทำมาหากิน
ทั้งยังมีผู้ให้กำเนิดที่อยู่ในศีลอยู่ในธรรม ผู้เป็นบิดาเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
เป็นที่ปรากฏแก่บุตรธิดาที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ให้ได้รู้ได้เห็น

ทั้งการแต่งกายด้วยเสื้อกางเกงสีขาว
ไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงและไม่นอนบนเตียง
นอนบนที่นอนบางๆทั้งยังนั่งภาวนาจนดึกดื่น
เทวดาที่เกิดเป็นธิดาคนหนึ่งของท่าน
ตามแรงตั้งใจจะเกิดเป็นผู้หญิงเพื่อปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ให้ได้
ได้รู้เห็นการปฏิบัติของท่านผู้เป็นบิดาโดยตลอด

แม้ด้วยความเป็นเด็กเล็กๆ จะไม่ทำให้เกิดความนิยมชมชื่นในการปฏิบัติธรรม
แต่ภาพที่เห็นบิดานั่งนิ่งอยู่ในมุ้งเล็กๆ จนดึกดื่นทุกคืน
เพราะแม้ยังเป็นเพียงเด็กไม่รู้อะไรในเรื่องการปฏิบัติธรรม
แต่เทวดาองค์นั้น ที่มาเกิดเป็นธิดาของท่านผู้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังให้เห็น ก็รู้อย่างฝังจิตฝังใจ

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องนั่งนิ่งไม่หลับไม่นอนจนดึกดื่นทุกคืน
จนเมื่อโตรู้ภาษามากแล้ว รู้เรื่องการนั่งสมาธิภาวนาในพระพุทธศาสนาพอสมควรแล้ว
จึงเกิดความเข้าใจ เกิดความนิยมชมชื่นในความเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติธรรมของท่านผู้เป็นบิดา

มีเสียงเล่าว่าเด็กหญิงนั้นเป็นเทวดาที่ลงมาเกิด
เพื่อท้าทายคำกล่าวของเพื่อนเทวดาด้วยกัน
ที่ว่าปัจจุบันผู้หญิงเป็นพระอรหันต์มีไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
การได้รู้ได้เห็นการปฏิบัติธรรมของผู้บังเกิดเกล้าอย่างฝั่งตาฝั่งใจ
จึงเป็นการจุดประกายการปฏิบัติให้เกิดในจิตใจของเด็กหญิงผู้นั้นไปโดยปริยาย





เรื่องที่มีการเล่าขานกันสืบมา
ว่าเทวดาลงมาเกิดเป็นผู้หญิง เพราะจะพิสูจน์ให้เห็น
ว่าปัจจุบันผู้หญิงยังเป็นพระอรหันต์ได้
แม้ปฏิบัติพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างถูกต้องและจริงจัง
ฟังเป็นเรื่องสนุกก็ได้เป็นนิทานก็ได้

แต่ก็มีความสำคัญอยู่ในเรื่องเป็นความสำคัญที่มุ่งแสดงให้รู้
ว่าพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดายังมีคุณบริบูรณ์ไม่แตกต่างไปจากครั้งพุทธกาล

ดังนั้นเมื่อมีการปฏิบัติให้ถูกให้จริง ก็ย่อมเกิดผล ไม่เลือกกาลเวลา
ที่ท่านแสดงไว้ว่า อกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาล
คำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาปฏิบัติเมื่อใดได้ผลเมื่อนั้น
ผู้ใดปฏิบัติผู้นั้นจะได้รับผล ไม่เลือกว่าต้องเป็นหญิงเป็นชาย

หรือเป็นคนนั้นคนนี้ ตลอดถึงไม่ต้องเป็นพระเป็นเณรเป็นบรรพชิต
เป็นคนธรรมดาอยู่ในบ้านในเรือนนี้แหละ แม้มีศรัทธาตั้งมั่นในพระธรรม
ปฏิบัติให้เต็มสติปัญญาความสามารถธรรมอันเป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล
ย่อมส่งผลควรแก่เหตุทุกประการ






มีการเล่าด้วยว่า เด็กหญิงที่เกิดด้วยอำนาจจิตปรากฏของเทวดาองค์หนึ่ง
ที่จะแสดงให้ปรากฏประจักษ์แก่บรรดาเทวดาทั้งหลาย
ว่าพระธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล
คือทุกกาลพระธรรมมีคุณเสมอเหมือนกัน

สำคัญที่ผู้ใดจะได้รับผลเพียงใดหรือไม่ คือแม้ปฏิบัติจริง
ปฏิบัติถูกก็ย่อมได้รับผลแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกาลใด ไม่ว่าผู้ปฏิบัติจะเป็นใคร
ไม่ต้องเป็นพระ ไม่ต้องเป็นเณร ไม่ต้องเป็นนักบวช ไม่ต้องเป็นผู้ชาย
แม้ปฏิบัติถูก ปฏิบัติจริง ย่อมเกิดผลควรแก่การปฏิบัติแน่นอน

น่าจะด้วยอำนาจจิตที่แรงกล้า และจริงจัง
ที่จะเทิดทูนพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา
เมื่อเทวดาชายองค์นั้นลงมาเกิดเป็นผู้หญิง
เพื่อผลสำเร็จเป็นการเทิดทูนพระพุทธองค์ดังกล่าว
ในชาตินี้ที่อาจเป็นชาติสุดท้าย
จึงมีความพร้อมในชีวิตมีชาติตระกูลและฐานะที่ไม่ทำให้ต้องลำบากยากเข็ญ
มีผู้แวดล้อมที่อยู่ในศีลธรรม

ทั้งมีมารดาบิดาที่ไม่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ห่างไกลพระพุทธศาสนา
ทั้งยังมีพี่เลี้ยงนางนมที่สนใจปฏิบัติธรรมจริง
ที่มีครูอาจารย์เป็นพระสำคัญหลายองค์ในยุคสมัยนั้น
อันพี่เลี้ยงนางนมของเด็กหญิงชายสมัยก่อน
จะมีหน้าที่ดูแลเจ้านายตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อยจนเติบใหญ่ จนเป็นหนุ่มเป็นสาว
จนผู้เลี้ยงดูต้องได้รับการดูแลตอบแทนสืบไป

ดังนั้นจิตใจของผู้จะได้รับการคัดเลือกให้เลี้ยงดูเด็กหญิงชายน้อยๆ
ตั้งแต่ร้องแว้ออกจากครรภ์ทีเดียว จึงต้องได้รับการคัดเลือกอย่างดีที่สุด

ผู้ที่เล่ากันว่าได้รับมอบหมายให้เลี้ยงดูเด็กหญิง
ที่เกิดแต่ความเทิดทูนบูชาพระพุทธศาสนาของเทวดาองค์หนึ่ง
เป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมอยู่กับ หลวงพ่อปานวัดบางนมโค หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ
จนมีญาณหยั่งรู้เป็นที่ปรากฏ

เพียงสองหลวงพ่อนี้ก็เป็นเครื่องประกันความยิ่งด้วยธรรมของผู้เป็นศิษย์ได้แล้ว
เทวดาในชีวิตใหม่ของเด็กหญิงคนหนึ่ง จึงต้องได้ยินได้ฟังเสียงสอนธัมมะไม่ว่างเว้น
ตลอดถึงต้องฝึกนั่งกรรมฐานตั้งแต่ยังตัวเล็กตัวน้อยอยู่มาก

ฟังแล้วก็อดอัศจรรย์ใจไม่ได้ จะว่าเป็นการบังเอิญ
ที่มาเกิดขึ้นกับชีวิตที่ท่านบอกเล่ากันมา
ว่าเป็นเทวดาลงมาเกิดเพื่อเอาชนะความคิดของเพื่อนเทวดาด้วยกัน
ที่ว่าพระอรหันต์ผู้หญิงไม่มีอีกต่อไปแล้ว





ผู้กล่าวว่ารู้มา เล่าว่า เมื่อเติบใหญ่ รู้ดีรู้ชั่วที่ควรทำที่ไม่ควรทำแล้ว
เทวดาในชีวิตใหม่คือชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ก็มีสติเตือนตนให้ปฏิบัติตามที่ได้รับคำสอนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ได้รับมาแต่ยังเป็นเด็กหญิงน้อยๆ
มีพี่มีน้องหญิงชายที่รุ่นราวคราวเดียวกันนั่นก็คือก่อนออกจากบ้าน
จะต้องสวดอิปิติโส ๓ จบ ลืมไม่ได้

เพราะจะได้รับคำเตือนจากผู้ใหญ่ทุกครั้ง ไม่เคยเว้น
คำเตือนนั้นก็คือ “สวดมนต์แล้วหรือยัง”
ถ้าลืมก็จะต้องสวดเดี๋ยวนั้นทันที แล้วจึงออกไปจากบ้านได้
ทำให้นึกถึงที่อาจารย์กรรมฐานท่านให้ท่องพระพุทโธไว้เสมอ

ท่านว่าการทำสมาธิจะได้ผลดี
ดีกว่าการไม่รู้จักคำ ภาวนาพุทโธ
ความจริงพระพุทโธเป็นคำสูงยิ่งด้วยมหามงคล
เพราะเป็นคำที่หมายถึงสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

การท่อง พุทโธ หรือพระพุทโธนั่นเอง ไว้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจ
มีหรือจะไม่เกิดสิริมงคลยิ่งใหญ่แก่ชีวิตของผู้มีพระพุทโธ พระพุทโธ เป็นพระพุทธเจ้าทีเดียว
ไม่ยิ่งใหญ่สูงส่งด้วยมหาสิริมงคลแล้ว จะยังมีอะไรไหนอื่นยิ่งใหญ่ไปกว่า

พากันคิดให้ดี จะได้สามารถช่วยตนเอง
ช่วยบรรดาผู้เป็นที่รักของตน และช่วยชาติของตน ให้พ้นได้จากพิบัติ ภัยอันเป็นอัปมงคลทั้งปวง





กล่าวว่า เด็กหญิงที่เกิดแต่ความศรัทธาเทิดทูนพระพุทธศาสนาของเทวดาองค์หนึ่ง
ได้รับการอบรมบ่มนิสัยอย่างดียิ่งจากผู้แวดล้อมในชีวิตทั้งหลาย
น่าจะเป็นบุญที่เกิดจากใจที่มุ่งเทิดทูนพระพุทธศาสนาตั้งแต่ยังเป็นเทวดา
เชื่อไว้ก็น่าจะเป็นการดี เพราะจะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ชีวิต

เรื่องนี้จะจริง หรือเป็นเพียงนิทานที่สรรค์แต่งขึ้นมา แต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย
อ่านแล้วก็อย่าไปเสียโอกาส อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ
เพราะสาระมีอยู่ ตรงที่มุ่งแสดงว่าพระธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกล

คือพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาไม่ว่ากาลใดมีผลเหมือนกัน
ไม่มีแตกต่างว่า ในอดีตมีผลอย่างนั้น ปัจจุบันมีผลอย่างนี้ ไม่ใช่เช่นนั้น

ท่านจึงว่าพระธรรม เป็นอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยเวลา
เวลาไม่มีอำนาจทำให้ผลของการปฏิบัติธรรมเปลี่ยนแปลงได้
สมัยพุทธกาลมีผลอย่างไร ปัจจุบันนั้นก็มีผลอย่างนั้น
ผู้ใดปฏิบัติจริง ผู้นั้นก็จะได้ผลจริง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม





ทุกวันนี้กาลเวลาล่วงไป เป็นที่รู้สึกกันว่ารวดเร็วผิดปกติมาก
เรื่องที่เล่ากันเหมือนนิทานก็ยังเล่ากันอยู่ ยังเหมือนนิทานมากกว่าเป็นเรื่องจริงนั่นเอง
แต่ทุกวันนี้มีผู้หญิงสนใจปฏิบัติธรรมกันมาก
อาจจะไม่ใช้เพราะมั่นใจตามความเชื่อที่ว่าเป็นของเทวดาบางพวก
ว่าผู้หญิงยังเป็นพระอรหันต์ได้ในปัจจุบัน

ตรงกันข้ามกับที่ว่าเป็นความเชื่อของเทวดาบางพวก
ที่เป็นเหตุให้เกิดเรื่องเล่าเหมือนนิทาน
ซึ่งก็อาจเป็นเรื่องจริงได้ เทวดาอาจจะลงมาเกิดเป็นผู้หญิงจริงๆ

เพื่อประกาศให้ประจักษ์ชัดแจ้ง ว่าแม้ปฏิบัติพระธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างตั้งใจจริง
ผู้หญิงก็เป็นพระอรหันต์ได้ และทุกวันนี้ก็มีข่าวน่าสนใจอยู่ว่า
มีผู้หญิงได้รับคำบอกเล่าจากพระอาจารย์กรรมฐานสำคัญหลายองค์ว่า
ชาตินี้แล้วจะเป็นชาติสุดท้าย

แต่ไม่มีอาจารย์องค์ใดบอกว่าเป็นผู้หญิงที่เป็นเทวดาลงมาเกิด
เพื่อสู้กับความเชื่อที่ว่าสมัยนี้ไม่มีผู้หญิงเป็นอรหันต์อีกแล้ว มีแต่ผู้ชายเท่านั้น ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้จริงเช่นนั้น
นักปฏิบัติที่เป็นผู้หญิงยังมีอยู่ไม่น้อยในปัจจุบัน
แม้จะยังไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดได้บรรลุจุดสูงสุด
แต่ใครเล่าจะรู้ความจริงอันเป็นเรื่องจิตใจของผู้หญิงนักปฏิบัติทั้งหลาย





ผู้ปฏิบัติแม้จะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ก็รู้ด้วยตนเองไม่ได้
ท่านโกณฑัญญะเป็นตัวอย่างท่านได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว
คือได้เป็นพระโสดาบัน อริยบุคคลขั้นแรก หรือขั้นต่ำสุดนั่นเอง
ท่านคงไม่อาจรู้ได้ด้วยตนเอง
สมเด็จพระบรมศาสดาต้องทรงมีพระมหากรุณาตรัสบอกให้

ผู้ได้ธรรมสูงสุดจริงแล้วเท่านั้น จึงจะรู้แจ้งแก่จิตใจตนเอง
ว่ามาถึงจุดสูงสุดอันเป็นยอดของการปฏิบัติธรรมแล้ว
ดังท่านปัญจวัคคีย์ มี ท่านโกณฑัญญะที่
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรับรองว่าได้ดวงตาที่เห็นธรรม
เป็นพระอริยบุคคลที่เป็นพระโสดาบัน รวมอยู่ด้วย

คือ เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาทรงจบ
พระอนัตตลักขณสูตร และพระอาทิตตปริยายสูตร
ท่านโกณฑัญญะ ได้ธรรมสูงสุดพร้อมกับท่านปัญจวัคคีย์อีก ๔ องค์
คือ ท่านภัททิยะ ท่านวัปปะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ
ที่ทุกท่านสามารถรู้ด้วยตนเองเมื่อได้ธรรมถึงจุดสูงสุด

ก็น่าจะด้วยมีจิตที่ผ่องใสปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างสิ้นเชิง
ความหมดจดสิ้นเชิงจากเครื่องเศร้าหมอง
แม้เปรียบกับภาชนะที่เปรอะเปื้อน เมื่อล้างแล้วอย่างดีไม่มีความสกปรกหลงเหลือ

ก็ย่อมเห็นชัดจริงว่าสะอาด แต่ถ้าความสกปรกยังเหลืออยู่มากบ้างน้อยบ้าง
ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่ายังต้องล้างอีกเท่าไรจึงจะสะอาด จึงจะหมดจดสิ้นเชิง





เปรียบจิตปุถุชนได้กับภาชนะที่สกปรก
เพราะจิตปุถุชนทุกดวงทีกิเลสเครื่องเศร้าหมองแตกต่างกันที่มากบ้างน้อยบ้างเท่านั้น
เช่นเดียวกับภาชนะที่อยู่ในความสกปรก

ก่อนจะได้เป็นภาชนะที่สะอาดควรแก่การใช้สอยได้
อย่างปราศจากความสกปรกมีเชื้อโรค ก็ต้องชำระล้าง
ผู้ใดไม่ทำความสะอาดภาชนะที่สกปรกก่อนใช้
ก็ต้องมีเชื้อโรคปนเปเข้าไปในร่างกายพร้อมกับอาหาร
ร่างกายย่อมไม่แข็งแรงสมบูรณ์เท่าที่ควร

เช่นเดียวกับจิต ที่สกปรกด้วยกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
แม้ปล่อยปละละเลยไม่น่าสนใจขจัดความเศร้าหมองให้พ้นไป
ก็ต้องมีจิตที่เศร้าหมอง ไม่สะอาดผ่องใสสวยงาม
คิดให้ดี รังเกียจภาชนะที่สกปรกเมื่อใด เมื่อนั้นก็ควรมีสติ
นึกถึงจิตด้วยว่า สกปรกยิ่งกว่าภาชนะนั้น

ให้รังเกียจความสกปรกที่เปรอะเปื้อนเป็นความเศร้าหมองของจิต
และให้ตั้งใจจริงพยายามขจัดความเศร้าหมอง ให้จิตใจมีความสะอาดผ่องใส
พยายามมีสติไม่ลืมตั้งใจขจัดกิเลสเครื่องเศร้าหมองของจิตให้เสมอ พยายามทำให้เสมอ
ความไกลจากเครื่องเศร้าหมอง จะทำให้มีความเบิกบานแจ่มใส
อันเป็นที่ควรปรารถนา ยิ่งขึ้นตามลำดับ





ใจมีความสำคัญนัก มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นทั้งปวง
จงเห็นค่าของใจ ให้ยิ่งกว่าเห็นค่าของสิ่งอื่นทั้งนั้น
อย่าเห็นสิ่งอื่นใดว่ายิ่งกว่าค่าของใจ
เพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทองมากมายก่ายกองเพียงใด
ก็มีค่าเล็กน้อยนัก หรือไม่มีค่าเลย

แม้คิดให้ดี เมื่อเปรียบกับค่าของใจ
“ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” นี้เป็นพระพุทธภาษิต ไ
ม่มีอะไรผิดพลาดแม้เล็กน้อยเพียงใดแน่นอนมิใช่หรือ แล้วอะไรจะสำคัญกว่าใจ





“ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” พระพุทธภาษิตนี้น่าจะเป็นกำลังใจสูงสุด
สำหรับผู้ปรารถนาความสำเร็จในพระพุทธศาสนา
ไม่ว่าจะในระดับต่ำหรือระดับสูงเพียงไรก็ตาม
และพระพุทธภาษิตนี้ก็เป็นเครื่องรับรองว่า
การปฏิบัติพระธรรมในพระพุทธศาสนาจะได้รับผลสำเร็จสมใจแม้ตั้งใจปฏิบัติให้ถูกให้จริง

ไม่ยกเว้นผู้ใดทั้งนั้นไม่ว่าหญิง ไม่ว่าชาย ไม่ว่าพระ ไม่ว่าเณร ไม่ว่าบรรพชิต ไม่ว่าคฤหัสถ์
เคยได้พบท่านพระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนาคือ
ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วันนั้นมีญาติโยมหญิงชายไปกราบท่านพระอาจารย์ฝั้นอยู่ด้วย เป็นวัดหนึ่งในกรุงเทพฯ

มีญาติโยมผู้หญิงคนหนึ่งได้กราบเรียนท่านพระอาจารย์ว่า
ขอตามไปอยู่ที่วัดป่าอุดมสมภรณ์ด้วย และจะบวชเป็นชี
อยู่ปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์ตลอดไป

ท่านพระอาจารย์ฟังคำขอของญาติโยมผู้นั้น
แล้วก็ตอบอย่างธรรมดาๆ ว่าอย่าเพิ่งไปเลย รอไปก่อน
แล้วท่านก็หันไปพูดกับญาติโยมผู้หญิงอีกคนหนึ่ง บอกทันทีว่า
“คนนี้สิอยากให้ไปบวชอยู่ด้วย”

แล้วท่านก็พูดต่อไปทันทีอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
“ไม่ต้องไปบวชหรอก ไม่ต้องไปทำอะไรที่วัดหรอก อยู่อย่างนี้แหละ ดีแล้ว”

ญาติโยมผู้นั้นยิ้มรับคำของท่านพระอาจารย์อย่างเห็นได้ว่าดีใจมาก
เพราะคำของท่านพระอาจารย์คือคำรับรองว่า
ญาติโยมผู้นั้นจะอยู่ในเพศใด ก็สามารถปฏิบัติธรรมดีได้

นั่นก็คือพระอาจารย์ฟั่น อาจาโร
ที่ผู้ปฏิบัติธรรมมากหลายมีศรัทธาเชื่อมั่นในความบรรลุธรรมแล้วของท่าน
ท่านก็กำลังรับรองความใหญ่ยิ่งของใจ ว่าเหนืออื่นใดทั้งนั้น
“ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ”
ท่านพระอาจารย์ท่านประกาศเทิดทูนพระพุทธภาษิตนี้อย่างเปิดเผย





พากันมุ่งมั่นทำใจให้เกิดผลสำเร็จยิ่งใหญ่แก่ชีวิตการปฏิบัติธรรมเถิด
นอบน้อมเทิดทูนพระพุทธภาษิตเถิด ให้เต็มสติปัญญาความสามารถเถิด
ทรงสอนไว้อย่างไร พยายามทำความเข้าใจให้ถูก
และปฏิบัติให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ผลจะไม่เป็นอื่นแน่นอน

จะเป็นความร่มเย็นเป็นสุข แก่ชีวิตตนเอง และแก่ชีวิตเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายแน่นอน
การปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่มีการปฏิบัติอื่นใดเสมอเหมือนแน่นอน

ควรเชื่อด้วยสติปัญญา จงเชื่อให้หนักแน่นมั่นคง
การปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนมีคุณยิ่งใหญ่ไม่มีการปฏิบัติใดเสมอเหมือน
หัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ประการ
เป็นธรรมสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาทุกคนควรพยายามทำความเข้าใจ และปฏิบัติ นั่นคือ

การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง
การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม
และการชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว.






โลกร้อนมากแล้วทุกวันนี้ บ้านเมืองไทยของเราก็ร้อนมาก
ถ้าเป็นร้อนอากาศก็ยังไม่เป็นปัญหา แต่ร้อนกิเลสเป็นปัญหายิ่งใหญ่
แต่ไม่ว่าจะเป็นความร้อนกิเลสที่หนักหนารุนแรงเพียงใด
การปฏิบัติพระธรรมคำทรงสอนให้จริงให้เต็มสติปัญญาความสามารถ
ก็สามารถชนะความร้อนกิเลสได้

เมื่อใดเห็นทุกข์เห็นร้อน ทั้งของตนเอง ทั้งของบ้านเมือง ทั้งของโลก
เมื่อนั้นก็พยายามมีสติ และตั้งใจปฏิบัติหัวใจพระพุทธศาสนา สักชั่ววันก็ยังดี
คือรู้สึกถึงความร้อนของบ้านเมืองเมื่อใด
ก็อย่ารู้สึกว่าร้อนเท่านั้น แต่จงพยายามมีสติแก้ไขด้วย

อัญเชิญพระธรรมในหัวใจพระพุทธศาสนานั่นแหละมาเป็นอาวุธ
ปราบความร้อนทั้งปวง ให้ค่อยลดน้อยลงเป็นลำดับ
แม้ไม่ถึงกับหมดสิ้น ก็ยังดีอย่างที่สุด ถ้าพร้อมใจกันจริง ๆให้ครึ่งประเทศ หรือหมดประเทศ
ก็จะสามารถทำลายความร้อนกิเลสให้หมดสิ้นไปได้จากชีวิตเราทุกคน
รวมทั้งให้หมดสิ้นไปจากบ้านเมืองไทยของเราได้ด้วย

อย่าขับขันว่าเป็นความไร้สาระ แต่จงปฏิบัติหัวใจพระพุทธศาสนา
ชวนกันปฏิบัติให้เต็มสติปัญญาความสามารถเถิด เพื่อเทิดทูนพระพุทธศาสนา
อันเป็นการทำบุญทำกุศลที่สำคัญที่สุดแม้มีใจมุ่งมั่นจะทำบุญทำกุศลกันอยู่
ด้วยการทำนั่นทำนี่นานาประการ ก็จงถือการปฏิบัติหัวใจพระพุทธศาสนา
ว่าเป็นการ ทำบุญ ทำกุศล ที่สำคัญที่สุดเถิด





ในพระปฐมเทศนาที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงโปรด ท่านปัญจวัคคีย์
คือพระธัมมจักกัปปวัตตสูตร
นอกจากจะทรงสอนไม่ให้พัวพันในกามและไม่ให้ทรมานตนให้เป็นทุกข์
ยังทรงแสดงทางสายกลาง ที่ทรงตรัสรู้
เป็นความทรงปรารถนาที่เป็นเหตุให้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์

ทรงสละความเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ที่พรั่งพร้อมด้วยความสูงส่งความสุขทุกประการ
ลงสู่ความยากไร้ อย่างที่อาจกล่าวได้ว่าทรงอยู่ในสภาพของยาจก
ที่ต้องทรงดำรงพระชนมชีพด้วยการขอข้าวปลาอาหารจากผู้มีเมตตา

ควรกล่าวได้ว่าทางสายกลางที่นำเสด็จเจ้าชายสิทธัตถะไปถึงความพ้นทุกข์นั้น เ
กิดแต่พระเมตตาโดยแท้พระเมตตาที่เป็นเหตุ
ให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงค้นพบทางไปสู่ความพ้นทุกข์
ที่ทรงตรัสรู้ด้วย พระสติ พระปัญญาและพระเมตตาที่เปรียบมิได้

เราผู้นับถือพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้เป็นผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รักคือเป็นพุทธมามกะ
พึงระลึกไว้ให้แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตจิตใจ
ว่าได้กำลังเดินอยู่บนทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ทางแห่งพระพุทธเมตตาโดยแท้
แล้วเตือนตนเองให้มีเมตตาต่อบรรดาเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งปวง





กล่าวได้ไม่ผิดแน่นอน
ว่าโลกทุกวันนี้ร้อนด้วยอำนาจของความไม่มีเมตตาของเราท่านทั้งหลาย
ความไม่มีซึ่งเมตตาที่เป็นเหตุแห่งความพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่ออำนาจของกิเลส
กิเลสที่ร้อนแรงจึงแผดเผาให้เร่าร้อนได้ให้มอดไหม้แทบจะหมดไปทั้งโลกได้

ผู้ที่คิดว่าตนกำลังดำเนินไปตามทาง
ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงค้นพบด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เป็นต้นเหตุ
ก็อย่าลืมอัญเชิญพระพุทธเมตตาเข้าสู่จิตใจ ให้เป็นผู้มีเมตตาขณะเดินตาม
เสด็จสมเด็จพระบรมศาสดาอยู่บนทางที่ทรงนำไปแล้วด้วยพระองค์เอง
และทรงชี้แจงแสดงทางนั้นให้เป็นทางนำไปสู่ความพ้นทุกข์ที่ครองทุกชีวิตจิตใจอยู่ตลอดมา

พึงทำตนให้เป็นคนมีปัญญา
แล้วเดินไปตามทางอันงดงามร่มเย็นเป็นสุขนัก
โดยต้องไม่ลืมสิ่งหนึ่ง ซึ่งยิ่งใหญ่และงดงามหาที่เปรียบมิได้
คือความมีเมตตาความมีเมตตาที่นำเสด็จเจ้าชายสิทธัตถะ
ไปให้ทรงพบทางแห่งความพ้นทุกข์ได้แล้วจริง
เป็นคุณเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่จริงแก่สัตว์โลกผู้เวียนว่าย
อยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ ที่ยิ่งใหญ่และร้ายแรงนัก





ควรจะกล่าวได้ไม่ผิด
ว่าความมีเมตตาเป็นมือศักดิ์สิทธิ์แห่งสติปัญญาที่พรั่งพร้อมจริง ของเจ้าชายสิทธัตถ
ะ นำเสด็จเข้าสู่ทางวิเศษสูงสุด คือทางแห่งความพ้นทุกข์

เราทั้งหลายมีบุญแล้วที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา
ได้รับพระพุทธเมตตาทรงชี้ทางไปสู่ความพ้นทุกข์ให้อย่างชัดแจ้ง
พร้อมทั้งทรงพระพุทธดำเนินนำไปบนทางสายสำคัญที่ทรงพระพุทธดำเนินนำไป
ถึงจุดหมายปลายทางที่พ้นทุกข์ได้จริงแล้ว

ก็ขออย่าได้ลืมความสำคัญยิ่งใหญ่ขององค์ดลบันดาล
ที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงพบทางวิเศษศักดิ์สิทธิ์สูงส่งสายนี้

นั่นคือความมีเมตตาเปี่ยมพระพุทธหฤทัย
ตั้งแต่ยังเป็นพระหฤทัยของเจ้าชายสิทธัตถะ
และอานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระเมตตา
ได้เสริมส่งให้แสงสว่างได้ทรงพบทางไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
พร้อมกับเป็นทางแห่งการเกิดขึ้นได้ของสมเด็จพระบรมศาสดา
และของพระพุทธศาสนา ที่ยิ่งใหญ่ไม่มีที่เปรียบ




ไม่ว่าความสูงส่งงดงามใดๆ จะเกิดขึ้นได้แล้วในโลก
ด้วยอานุภาพแห่งพระเมตตาของเจ้าชายสิทธัตถะ
ประกอบด้วยพระสติพระปัญญาพรั่งพร้อม

แต่อำนาจหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่นัก น่าสะพรึงกลัวนัก
ก็ยังครองโลกอยู่เหมือนแต่ไหนแต่ไรมานั่นคืออำนาจของกรรมร้าย คืออกุศลกรรม
ที่เราท่านทั้งนั้นได้ประกอบกระทำกันมานานาประการ
ขณะเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏจักรอันยาวนาน
คือการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

ทุกชีวิตตกอยู่ในเงื้อมมือที่โหดร้ายมีพิษสงแสนสาหัส และน้อยนักที่จะพ้น
ที่จะตามเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดาไปได้อย่างสวัสดี
กรรมร้ายยังมีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักอยู่

อย่ามัวพากันหลงระเริงอยู่กับการหลอกล่อของกรรมต่อไปเลย
กรรมกำลังออกฤทธิ์แรงร้ายที่สุดในปัจจุบัน หนีมือกรรม
ด้วยการตามเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดาให้เต็มสติปัญญาความสามารถ
โดยมีเมตตาเป็นเครื่องประคับประคองที่สำคัญยิ่งเถิด





ทุกชีวิตเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ อย่างนับภพนับชาติไม่ได้ เป็นแสนเป็นล้าน
จึงไม่ต้องคำนึงว่าทุกชีวิตได้ก่อกรรมไว้มากมายเพียงไหน

ทั้งกรรมดี คือบุญ ทั้งกรรมชั่ว คือบาป และก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า
กรรมมีผลตรงตามเหตุ คือให้ผลดีเมื่อทำกรรมดี และให้ผลชั่วเมื่อทำกรรมชั่ว
และทั้งผลดีและผลชั่วที่เกิดแต่การประกอบกระทำ ของแต่ละคน
แต่ละชีวิต ก็มีความมากน้อย หนักเบา ไม่เสมอเหมือนกัน
ขึ้นอยู่กับการกระทำในแต่ละครั้งแต่ละชีวิต และเพราะเป็นความจริงดังกล่าวแล้ว แต่ละชีวิต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแต่ละคนในภพชาติปัจจุบัน
ได้ทำกรรมกันมาแล้วต่างๆกัน ถ้าเป็นคนดีมีสุขในภพชาติปัจจุบัน
ก็น่าจะควรเข้าใจได้ว่าคงทำกรรมดีมาในอดีตภพชาติ มากกว่าทำกรรมไม่ดี
จึงปรากฏผลดีให้ได้รับในปัจจุบัน
พึงทำความเข้าใจ และทำความเชื่อในเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรม
ที่ตรงตามเหตุเสมอ ไม่มีเป็นอื่นไปด้วยข้อยกเว้นใดเลย




เมื่อกรรมให้ผลตรงตามเหตุแน่นอนเสมอ
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการยกเว้นด้วยเหตุใดทั้งสิ้น
จึงสามารถรู้ได้ด้วยตนเองแม้จะไม่มีญาณหยั่งรู้
ว่าปัจจุบันตนกำลังเสวยผลของกรรมใดที่ทำไว้แล้วจริงในอดีต คือกรรมดี หรือกรรมชั่ว

สำคัญที่อย่ามีความเห็นผิดว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว แต่ทำดีกลับได้ชั่ว ส่วนทำชั่วกลับได้ดี
เข้าใจเช่นนี้เป็นการเข้าใจผิดแน่นอน มีโทษแน่นอน
เพราะความเชื่อเช่นนี้จะทำให้ไม่ทำดีเพื่อได้รับผลดี แต่กลับทำชั่ว

โดยเชื่อผิดว่าจะได้รับผลจากการทำเช่นนั้น
ผู้ที่ลักขโมยทรยศคดโกง ได้เงินได้ทองมากมายง่าย ๆ
อย่าคิดว่าทำชั่วแต่ก็ได้ผลดี ทำชั่วไม่ได้ผลชั่วเสมอไป
อาจจะได้ผลชั่วบ้างเป็นบางครั้งบางคราว มือกฎหมายก็เอื้อมไม่ถึง

คงได้รับรู้เรื่องบางเรื่องที่เกิดในปัจจุบันบ้างแล้ว ทำลายชีวิตเขา
ด้วยความเป็นเศรษฐีมั่งมีศรีสุข แต่เหมือนไม่มีใครรู้ใครเห็น
ไม่ต้องได้รับโทษอันควรแก่เหตุ อยู่รอดปลอดภัย พร้อมสมบัติพัสถาน

จนนานปีนักหนา ผลร้ายของกรรมร้ายก็ส่งถึง
ได้รับอย่างให้ความทุกข์ทรมานชีวิตจิตใจแสนสาหัส
แต่การจะหลบหลีกให้พ้นเมื่อกรรมส่งผล
ย่อมเป็นไปไม่ได้ ขอให้ยกเรื่องการส่งผลของกรรมขึ้นสอนใจ
ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเถิด




การให้ผลของกรรมเหมือนการตกลงจากที่สูงของสิ่งต่างๆ
แม้ของเบาจะถูกทิ้งลงก่อน แม้ของหนักจะถูกทิ้งทีหลัง
ก็เป็นธรรมดาที่ของหนักจะต้องตกลงถึงพื้นก่อน
เป็นธรรมดาที่ของเบาจะต้องตกลงถึงพื้นทีหลัง
นี้เป็นความจริงที่รู้กันอยู่ แต่มักจะลืมความจริงนี้

เรื่องการให้ผลของกรรมก็เช่นเดียวกัน
กรรมใดมีความแรงร้ายน้อย แม้จะได้ทำก่อน
ก็จะส่งผลช้ากว่ากรรมที่มีความแรงร้ายมาก
ดังนั้นแม้จะมีการทำความดีเพียงเล็กน้อย หรือที่เป็นความดีไม่ใหญ่ยิ่งแต่ก่อนแล้ว
แต่เมื่อมีการทำความไม่ดีหลังการทำความดี
และการทำไม่ดีนั้นเป็นการทำความไม่ดีที่ยิ่งใหญ่
ที่สำคัญกว่าการทำดี การทำไม่ดีก็จะส่งผลก่อนให้ได้รับก่อน

จึงยากจะเข้าใจเรื่องการให้ผลของกรรม ที่แต่ละคนได้ทำอยู่
เพราะผลดีผลร้ายที่กำลังได้เสวยอยู่
หาใช่เป็นผลของกรรมที่กำลังทำในปัจจุบันทันทีเสมอไปไม่
เป็นผลกรรมที่ทำไว้ในอดีตเป็นส่วนมาก ทั้งยังเป็นในอดีตที่นานไกล
เป็นอดีตชาติที่ผ่านไปแล้วนานหนักหนา

ทำให้เราหาอาจเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ และนี่แหละที่เป็นเหตุให้ผู้ประมาทปัญญา
ไม่พยายามใช้ปัญญาให้เต็มที่ในการคิดให้เข้าใจในเรื่องกรรมและการให้ผล
ทำให้เกิดความเชื่อผิดๆ ที่เป็นโทษเป็นภัยอยู่มากในทุกวันนี้
คือเห็นไปว่าทำชั่วก็ได้ดีและทำดีก็ได้ชั่ว

ความเชื่ออย่างขาดสติขาดปัญญาเช่นนี้
จะทำให้ไม่เห็นว่าการทำดีเท่านั้นที่จะให้ได้รับผลดี
และการทำชั่วเท่านั้นที่จะต้องได้รับผลชั่ว




กลัวผลของกรรมไม่ดีกันให้มากเถิด เพราะทุกเวลานาทีกรรมไม่ดีกำลังไล่ติดตามอยู่
พยายามไขว่คว้าปรารถนาจะตะครุบเราไปรับผลที่ได้ทำไว้อยู่

มือแห่งกรรมเอื้อมถึงแม้เพียงปลายผลของเราเมื่อไร
ก็เมื่อนั้นแหละเราจะต้องรับโทษจากมือแห่งกรรม
มากน้อยหนักเบาตามกำลังแห่งกรรมที่เราได้ทำไว้เอง
อาจจะในหลายภพชาติที่ผ่านพ้นไปแล้ว หรืออาจจะในภพชาติปัจจุบันก็ได้

ความไม่ประมาทในความเชื่อเรื่องของกรรมจึงสำคัญนัก สำคัญที่สุด
อย่าประมาท แต่จงเชื่อให้มั่นเสมอ ว่าทำดีเท่านั้นจะได้ดี ทำชั่วจะได้ชั่วท่านั้น
อย่าประมาท ความประมาทเป็นทางไปสู่ความตาย




ทางที่พาเดินไปพ้นมือแห่งกรรมได้คือ
ทางที่สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จพระพุทธดำเนินไปถึงจุดหมายได้แล้วอย่างสวัสดี
ในพระพุทธศาสนากล่าวถึงทางสมัยนั้น
ว่าคือมรรคมีองค์ ๘ หรือทางที่ประกอบด้วยธรรมเครื่องนำให้สวัสดี
พ้นทุกข์ของความเกิดแก่เจ็บตาย ๘ ประการ ที่ประกอบด้วย

มีปัญญาเห็นชอบ
ดำริชอบ
วาจาชอบ
การงานชอบ
เลี้ยงชีวิตชอบ
เพียรชอบ
ระลึกชอบ
และตั้งใจชอบ

แต่การเดินทางก็เหมือนการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีความสำคัญ
ต้องอาศัยความรอบคอบ มีสติปัญญา ไม่ใช่เป็นการทำส่งเดชไป
ไม่พินิจพิจารณาให้รอบคอบ เพราะจะทำให้ไม่อาจไปถึงจุดมุ่งหมายได้อย่างสวัสดี

การเดินทางสายสำคัญที่สุดนี้จำเป็นต้องมีเพื่อนร่วมทาง
และต้องเป็นเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร
ไม่เช่นนั้นก็อาจไม่สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยสวัสดี
อาจต้องล้มหายตายจากไปเสียก่อนในระหว่างทางก็ได้




กัลยาณมิตรมีความสำคัญแก่ชีวิตทุกคน แต่น้อยคนที่มีกัลยาณมิตร
เพราะน้อยคนที่เห็นความสำคัญของกัลยาณมิตร
คำกัลยาณมิตรติดปากอยู่ได้แทบทุกคน พูดถึงได้ตลอดเวลา

แต่ใช่ว่าจะเห็นค่าเห็นความสำคัญของ กัลยาณมิตร
กัลยาณมิตรจึงยากจะมีโอกาสช่วยให้เกิดความสวัสดีแก่ผู้ที่พร่ำพูดถึงอยู่ได้
ไม่ใช่ความผิดพลาด บกพร่อง ของผู้หนึ่งผู้ใดที่มีคุณสมบัติแห่งความเป็นกัลยาณมิตร
แต่เป็นความรับไม่ได้ รับไม่เป็น หรือไม่รับ ของผู้ไม่รู้จักกัลยาณมิตร




กัลยาณมิตรคือ ผู้พร้อมด้วยคุณสมบัติที่สามารถจะปกปักรักษาเราให้สวัสดี
พ้นจากภัยพิบัตินานาประการได้ เพราะกัลยาณมิตรจะไม่เป็นพิษเป็นภัยสำหรับเรา
จะทำทุกประการให้เรารู้ทางดำเนินชีวิตอย่างปราศจากทุกข์โทษภัยไม่ว่ายิ่งใหญ่หรือเล็กน้อย

คงเคยได้พบ ได้เห็น หรือได้ยินได้ฟัง กันมาแล้วบ่อยๆ
ที่เมื่อใครคนใดคนหนึ่งคิดพูดทำที่ผิดพลาด
ที่ไม่สมควรแก่ภาวะฐานะ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเกียรติยศ

เป็นต้นว่าเป็นผู้ไม่มีกัลยาณมิตร
จึงไม่มีผู้ยับยั้งผู้ให้พ้นความผิดความเสียหาย ที่จะเกิด
เพราะคิดพูดทำที่ผิด ที่ไม่สมควร ที่ไม่น่าทำให้เกิดขึ้น ที่จะต้องไม่เกิดขึ้น
แม้มีกัลยาณมิตรบอกกล่าวให้รู้ความควรไม่ควร

ที่จริงกัลยาณมิตรจะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
กัลยาณมิตรต้องเกิดขึ้นด้วยความพร้อมเพียงยอมรับทั้งสองฝ่าย
กัลยาณมิตรจะเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่ได้
แม้คนดีมีปัญญาสักคนหนึ่งจะมีความหวังดี
ปรารถนาจะช่วยคนดีคนใดคนหนึ่งให้พ้นจากภัยพิบัตินานาประการ
ก็ย่อมไม่อาจทำได้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความเข้าใจคำว่า กัลยาณมิตร




ความเห็นชอบ อันเป็นประการแรกของมรรคมีองค์ ๘
มีกัลยาณมิตรเป็นผู้ช่วยที่สำคัญเพราะปกติโดยทั่วไป
เราจะพากันทุ่มเทความเชื่อถือลงที่ผู้ที่เรารักชอบ และมั่นใจด้วยว่าเขาก็รักชอบเรา
เราหวังดีต่อเขา และเขาก็หวังดีต่อเรา

นี่ไม่ใช่ความเห็นชอบในองค์ ๘
ตรงกันข้ามจะเป็นไปได้ง่ายที่จะศรัทธาเชื่อถือในผู้ที่นอกจากมิใช่เป็นกัลยาณมิตรแล้ว
อาจเป็นศัตรูร้ายก็ได้ด้วย แม้จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

รักใครชอบใครมากๆ หรือรู้สึกว่าใครรักใครชอบใครมากๆ
ก็อย่าคิดว่าใครคนนั้นเป็นกัลยาณมิตรของเรา
แล้วก็เชื่อฟังทุกอย่างด้วยมั่นใจว่าเป็นความหวังดีที่กำลังได้รับ

กัลยาณมิตร มีความหมายว่า เพื่อนดี
คำว่าดีนี้เป็นคำสำคัญมาก และก็เป็นคำที่เข้าใจได้ยากมากด้วย
จะเห็นทุกคนที่เข้ามาใกล้มาแสดงความรักความห่วงใย
ความหวังดีว่าเป็นกัลยาณมิตรคือเพื่อนดี ไปทุกคนไม่ได้
นั่นก็คือจะเชื่อฟัง ทำตาม พูดตาม คิดตาม ไปเสียทุกเรื่องไม่ได้




การที่จะเชื่อว่าผู้ใดเป็นกัลยาณมิตร ก็ดังกล่าวแล้ว เป็นการยากมาก
และก็ดูราวกับว่าได้พากันเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริง มากยิ่งกว่าเข้าใจถูก
ความเดือดร้อนวุ่นวายจึงเกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง

ด้วยการเชื่อผิดจากความเป็นจริง ว่าคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง เป็นกัลยาณมิตรของ
บอกเล่าอะไรก็ทุ่มเทจิตใจลงเชื่อ และข้อสำคัญ
เมื่อเชื่อแล้วก็ปฏิบัติตามกัลยาณมิตรของตน
ซึ่งยากที่สุดที่จะเกิดผลดีได้ มักจะเกิดผลเสียหายเสียมากกว่า

พึงถือเป็นคติ ว่าถ้าไม่อยากสร้างบาปสร้างกรรมทำความวุ่นวายเดือดร้อนให้เกิดขึ้น
กับคนนั้นบ้าง กับคนนี้บ้างตลอดถึงแม้กับตัวเอง
ก็พึงพิจารณาให้ดี ว่ากัลยาณมิตรเป็นอย่างไร ผู้ใดที่เป็นกัลยาณมิตรที่จริง




O ไม่ใช่บังอาจ แต่ขอยืนยัน
ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาทรงเป็นยอดกัลยาณมิตรที่แท้จริงของทุกคน ไม่มียกเว้น
ทุกข์ใจยิ่งมากเพียงใด ยอดกัลยาณมิตรพระองค์นี้จะทรงช่วย ให้ทุกข์มลายสลายสิ้น

สำคัญที่ต้องน้อมใจนึกถึงพระองค์ท่านให้จริงใจที่สุด ร่ำร้องกราบทูลเถิดว่า
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นทุกข์สุดแสน ขอได้ทรงรับทราบ
ทรงพระเมตตาช่วยชีวิตนี้ ให้ได้ร่มเย็นเป็นสุขอยู่ใต้ร่มพระพุทธเมตตาบารมี

น้ำตาแห่งความทุกข์หรือความตื้นตันด้วยความมุ่งมั่นพึ่งพระพุทธเมตตา
หลั่งออกเต็มตาจากจิตใจจริงของผู้ใด ผลที่ผู้นั่นได้รับจะมหัศจรรย์พ้นพรรณนา

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙





Create Date : 31 กรกฎาคม 2550
Last Update : 31 กรกฎาคม 2550 20:58:49 น. 0 comments
Counter : 1039 Pageviews.

สายน้ำระริน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
31 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สายน้ำระริน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.