ว่าด้วยเรื่องของ อุปกรณ์การเรียนอีกครั้ง
สวัสดีครับ คราวนี้ก็ยังหยิบ เอาเรื่อง ของอุปกรณ์การเรียนที่เรารู้จักกันอย่างดีมาลงเป็นตอนที่ 2 อีกครั้งแล้วครับ คราวนี้หยิบเอามา 2เรื่อง เรื่องที่ 1. ปากกากับดินสอ เรื่องที่ 2. ยางลบ
เมื่อ 100 ปีมาแล้วปากกาด้ามแรกก็ได้เกิดขี้น บนโต๊ะทำงานแห่งหนึ่ง เจ้าดินสอไม้ตัวน้อยมองดูเจ้านายของมันด้วยความอาลัย
"ทำไมนายเปลี่ยนไป ไม่รักข้าเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช้งานข้าล่ะ" เจ้าปากกาซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของนักธุรกิจชายผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้านายของดินสอไม้และปากกาด้วย มองเห็นเจ้าดินสอไม้ซึ่งหดหู่ใจอยู่ก็พูดข่มทับเจ้าดินสอว่า "นี่เจ้าดินสอไม้ เจ้าน่ะมันล้าสมัยแล้ว ไม่มีเจ้านายคนไหนอยากใช้งานเจ้า ในการเขียนหรอก ข้าน่ะมีทั้งความคมชัด เขียนลื่น ไม่มีวันไส้หักเหมือนตัวเจ้า เจ้านายจึงรักข้ามากกว่าเจ้าอย่างแน่นอน" เมื่อเจ้าดินสอไม้ได้ยินเจ้าปากกาพูดเช่นนี้ จิตใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วยิ่งทับทวีมากขึ้นไปอีก มันตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย โดยกลิ้งตัวเองให้หล่นจากโต๊ะทำงาน เมื่อหล่นจากโต๊ะทำงานมันก็รู้ตัวว่ามันยังมีชีวิตอยู่ก็รู้ตัวว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้
เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานของนักธุรกิจผู้นั้น เขาก็เผลอทำเจ้าปากกาตกที่พื้น โดยไม่สนใจเก็บเช่นกัน ในตอนเย็นน้องชายของนักธุรกิจผู้นั้น เขามีอาชีพเป็นนักวาดภาพ ได้มาเจอเจ้าดินสอไม้และปากกาหล่นบนพื้นทั้งคู่เขาก็เก็บมันไปใช้
มาถึงตอนนี้ทุกท่านที่อ่านคงเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร ใช่แล้ว เจ้าดินสอไม้ที่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากเจ้านายนักธุรกิจ กลับมีคุณค่ากับเจ้านายนักวาดภาพ
มันถูกใช้งานจนตัวมันสูญสลายไป แต่กลับได้ภาพที่สวยงาม ยังคงคุณค่าให้ผู้พบเห็นได้ชื่นชม ซึ่งมันมีองค์ประกอบในภาพนั้น
ส่วนเจ้าปากกาหลังจากที่ถูกนักวาดภาพเก็บไป มันก็อยู่แต่ในกล่องไม่เคยถูกหยิบมาใช้งานอีกเลย จนหมึกมันแข็งใช้งานไม่ได้พอจะถูกใช้งานอีกที มันก็หมดอายุ เขียนไม่ออก แต่ตัวมันไม่สูญสลายไป ยังคงทิ้งร่างกายเอาไว้เป็นภาระต่อเจ้านาย มันจึงถูกทิ้งในถังขยะต่อไป
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ตัวเราย่อมมีคุณค่าเสมอ แต่ต้องให้ถูกกับงาน
ยางลบ สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนผมเสมอว่า เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ ห้ามใช้ยางลบ... ตอนนั้น ผมไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าเวลาผมวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ผมก็อยากแก้ให้มันตรง ให้มันสวย แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของผมก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ
สุดท้ายผมจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการ เช่นถ้าผมตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ผมเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป ก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน แม้ตอนนั้นผมจะไม่เข้าใจว่า ทำไมผมจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ และแม้จะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน แต่ก็ได้ รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า สามารถวาดภาพๆ นั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป โตขึ้น ผมเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้ นั่นคือการเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ผมได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ การที่เข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่อย่างถาวร ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ผมจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของผมให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบ กลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้ ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง เราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง เพราะถึงอย่างไร ฉันเชื่อว่า ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้ โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
หวังว่าคงจะชอบกันนะครับ พบกันบล็อกหน้าครับ
Create Date : 10 กันยายน 2549 |
|
2 comments |
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 18:53:30 น. |
Counter : 756 Pageviews. |
|
|
|
โดนๆๆๆๆๆโดนมากมาย ข้อคิดที่ดีมากๆค่ะ
แต่ตอนนี้คงอ่านไม่หมดทุกอันแปะไว้ก่อนเย็นนี้มาอ่านใหม่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วไปทำการบ้านก่อนนะค่ะ
บับบาย