ประชาธิปไตยต้องมาจากประชาชน

 
พฤษภาคม 2550
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
31 พฤษภาคม 2550
 

อิสลาม : ความจริงที่ต้องเปิดเผย

บทความนี้ผมได้รับความกรุณาจากท่าน
ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาและคณะทีมงาน
จึงขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้

ปัญหานี้นับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่สงบ
ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้
ทุกท่านสามารถมีส่วนที่จะขยายความเข้าใจไปสู่พี่น้องชาวไทย
โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ให้ได้รับความจริงที่ถูกต้องต่อไป
ขอกราบขอบพระคุณด้วยความจริงใจ


ตรวจสอบความถูกต้องอย่างละเอียด จากคณะที่ปรึกษา
ฝ่ายกิจการศาสนาอิสลาม (อูลามะฮฺ) ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา




ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เรียกร้องความสันติสุขและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสมานฉันท์บนพื้นฐานความรักความเอื้ออาทร ความถูกต้อง และความเป็นธรรม


ปัญหาที่ 1 การญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ)

1.1 สาเหตุ
คนบางส่วนเชื่อว่า การใช้อาวุธต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ (ญิฮาด) เป็นบทบัญญัติหนึ่งของอิสลาม

1.2 ข้อพิจารณา
การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ (ซ.บ) การญิฮาด มิได้มีเฉพาะการต่อสู้โดยใช้อาวุธเพียงอย่างเดียว อิบนิก้อยยิม ได้อธิบายการญิฮาดว่ามี 13 ประเภท อาทิ การต่อสู้กับศัตรู อารมณ์ ซาตานมารร้าย กาเฟร มุนาฟิก พวกฉ้อฉล คดโกง พวกนอกลู่นอกทาง พวกที่มีพฤติกรรมชั่วร้าย การใช้กำลังอาวุธประหัตประหารกัน ต้องได้รับการตัดสินชี้ขาดด้วยการฟัตวา จากผู้มีหน้าที่แก้ไขปัญหาโดยตรงหรือจากการประกาศของผู้ที่เป็นผู้นำ “วาลียุลอัมรฺ”
การญิฮาดสามารถกระทำได้ภายใต้เงื่อนไข
1. การถูกกดขี่และถูกขับไล่อย่างอยุติธรรม
2. การถูกลิดรอนสิทธิด้านศาสนา
3. ญิฮาดเพื่อนำสิทธิในข้อ 1 และ 2 คืนมา
4. การญิฮาดจะต้องอยู่ภายใต้จริยธรรมในการทำสงคราม คือ “ต่อสู้กับบรรดาผู้เป็นศัตรู แต่อย่าเริ่มเป็นศัตรูก่อน.....
แท้จริงอัลลอฮฺ ไม่ทรงรักผู้รุกราน (2:190)
5. ไม่ทำลายศพ ฆ่าเด็ก สตรี คนชรา พลเรือนผู้บริสุทธิ์ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีสัญญาสงบศึก ไม่ทำลายทรัพย์สินไม่ตัดโค่นหรือเผาทำลายต้นไม้ที่ออกผล ไม่ฆ่าสัตว์นอกจากเพื่อเป็นอาหาร ให้ความเมตตาและการเอาใจใส่ หรือการบริการทางการแพทย์ หรือพยาบาลต่อเชลยศึก
ญิฮาดไม่ใช่เครื่องมือการทำสงครามต่อผู้บริสุทธิ์มิใช่นำไปรังแกคนอ่อนแอ และผู้ถูกกดขี่

ปัญหาที่ 2 ผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยเฉพาะผู้ก่อเหตุ ถือว่าเป็นชะฮีด (เสียชีวิตจากการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ)

2.1 สาเหตุ
คนบางส่วนเชื่อว่า ผู้ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่พวกเขาฟัตวา (วินิจฉัย) ว่าเป็นกาฟิร หรือมุนาฟิก จะได้รับชะฮีด (การพลีชีพในหนทางของอัลลอฮฺ) และได้รับผลตอบแทนจากอัลลอฮฺ (ซ.บ) คือ สวนสวรรค์

2.2 ข้อพิจารณา
การเป็นชะฮีดที่แท้จริง หากพิจารณาถึงเหล่าบรรดาชุฮาดาฮฺในอดีต ฮัมซะฮฺ อิบนิอับดุลมุฏอลลิบ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลามชะฮีดแห่งสมรภูมิอุฮูด พลีชีพต่อสู้เพื่อปกป้องสัจธรรมแห่งอิสลาม หลั่งเลือดเพื่อศาสนาของอัลลอฮฺ (ซ.บ) ตำแหน่งที่ได้รับคือชะฮีดอย่างแท้จริง การที่จะได้รับชะฮีดขึ้นอยู่กับการญิฮาดของเขาว่าสมบูรณ์ด้วยเงื่อนไขที่อัลลอฮฺ (ซ.บ) ได้วางไว้หรือไม่ การฆ่าผู้บริสุทธิ์ การละเมิดกฎเกณฑ์ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ) ได้วางไว้จึงมิใช่การญิฮาด และไม่สามารถนำไปสู่ตำแหน่งชะฮีดได้

ปัญหาที่ 3 การไม่อาบน้ำศพผู้ที่เสียชีวิตเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบ

3.1 สาเหตุ
คนบางส่วนเชื่อว่า ผู้ที่เสียชีวิตเนื่องมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบ เป็นการเสียชีวิตเพราะการต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮฺ (ชะฮีด) จึงไม่ต้องอาบน้ำศพ


3.2 ข้อพิจารณา

การเป็นชะฮีดขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของการญิฮาดและเป็นการชะฮีด ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอาบน้ำศพนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง เงื่อนไขของการญิฮาดและชะฮีด เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ดังตัวอย่างกรณีต่อไปนี้
คอลีฟะฮฺ อูมัร เสียชีวิตเพราะถูกแทงเป็นชะฮีด แต่มีการอาบน้ำศพ คอลีฟะฮฺ อุซมาน ถูกฆาตกรรม เป็นชะฮีด แต่มีการอาบน้ำศพ คอลีฟะฮฺ อาลี ถูกฟันถึงแก่ชีวิต เป็นชะฮีด แต่มีการอาบน้ำศพ การเป็นชะฮีดที่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม และไม่ต้องอาบน้ำศพ คือ ผู้ที่เป็นชะฮีด เนื่องจากการสู้รบในสมรภูมิรบเท่านั้น เช่นกรณี ฮัมซะฮฺอิบนิอับดุลมุฏอลลิบ ซึ่งเสียชีวิตจากการสู้รบในสมรภูมิอุฮุด


ปัญหาที่ 4 การชูความเป็นเชื้อชาติมลายูและการต่อสู้เพื่อขอแบ่งแยกดินแดนเป็นการต่อสู้ในทางศาสนา

4.1 สาเหตุ

คนบางส่วนได้รับการปลูกฝัง สร้างความรู้สึกและมีความเข้าใจในเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และความเป็นเชื้อชาตินิยม อันนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้เพื่อการแบ่งแยกดินแดน


4.2 ข้อพิจารณา

การเรียกร้องและการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมนั้น เป็นที่อนุญาตตามหลักการของอิสลาม แต่การต่อสู้และเรียกร้องด้วยเงื่อนไขของการเชิดชูความเป็นเชื้อชาตินิยม เผ่าพันธุ์นิยมนั้น เป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการของอิสลาม เพราะลัทธิชาตินิยมนั้น เป็นแนวคิดที่พยายามจะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมโลก หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ความเข้าใจ รักใคร่ ที่มีต่อเชื้อชาติ จนกลายมาเป็นความศรัทธา ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดศาสดามูฮัมหมัด (ศ็อลฯ) กล่าวไว้ในเรื่องนี้ความว่า
“ใครก็ตามที่เรียกร้องไปสู่อัซซอบียะฮ์ (การคลั่งชาติ เผ่าพันธุ์ หลงตระกูล ถือพวกพ้อง) คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกฉัน ใครก็ตามที่ต่อสู้เพื่ออัซซอบียะฮ์ คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกฉัน และใครก็ตามที่ตายไปเพราะสนับสนุนอัซซอบียะห์ คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกเดียวกับฉัน” รายงานโดยมุสลิมอาบูดาวุด และนาซาอีย์

ปัญหาที่ 5 การไม่ยอมรับการอยู่ภายใต้การปกครองของชนต่างศาสนิก


5.1 สาเหตุ
คนบางส่วนเชื่อว่า มุสลิมหรือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ไม่อนุญาตให้อยู่ภายใต้การปกครองของชนต่างศาสนา (กาฟิร) มีการปลูกฝังแนวคิดนี้สู่ประชาชนจนกลายเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคม


5.2 ข้อพิจารณา
การที่มุสลิมอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลที่มิใช่มุสลิมนั้น มิได้เป็นข้อต้องห้ามตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแต่ประการใด ไม่เพียงเฉพาะมุสลิมเท่านั้น ศาสนิกอื่นก็เช่นกัน ถ้ารัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความอธรรม กดขี่ลิดรอนสิทธิทางศาสนา ก็เป็นสิทธิที่เขาเหล่านั้นจะลุกขึ้นต่อสู้กับความอธรรมและการกดขี่
ในประวัติศาสตร์อิสลาม ตามรายงานของมุฮัมหมัด อิบนิอิสฮาก ในหนังสือ ซีรอตุรรอซูลลุลลอฮฺ บันทึกไว้ว่า “เมื่อบรรดาสาวกของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ศอลฯ) ได้รับการกดขี่ ซึ่งศาสดาไม่สามารถปกป้องทุกคนได้ ท่านจึงได้สั่งให้สาวกของท่านจำนวนหนึ่ง อพยพไปยังอบิสสิเนีย (ฮาบาซะฮ์ หรือเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ซึ่งกษัตริย์อัลบายาซีร์ แห่งอบิสสิเนียเป็นชนต่างศาสนิก แต่เป็นกษัตริย์ที่มีคุณธรรมสูง นับเป็นการอพยพครั้งแรกของมุสลิมที่มีขึ้นในปี ฮ.ศ.ที่ 5 กษัตริย์อัลบายาซีร์ แห่งอบิสสิเนียได้ให้การต้อนรับบรรดามุสลิม และทรงประทานที่พำนักให้ ผู้อพยพเหล่านั้นต่างมีความสุขที่ได้อยู่กับสันติภาพ ความมั่นคงและเสรีภาพในการนับถือศาสนา และในปี ฮ.ศ.ที่ 6 มีการอพยพของมุสลิมไปยังอบิสสิเนียอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้มุชรีกีนจากมักกะฮ์ได้ส่งตัวแทนไปเจรจากับกษัตริย์อัลบายาซีร์แห่งอบิสสิเนีย ขอรับผู้อพยพทั้งหมดกลับมักกะฮ์ เพื่อรับโทษ และเมื่อได้มีการซักถามได้ความอย่างชัดแจ้งแล้ว กษัตริย์อัลบายาซีร์แห่งอบิสสิเนียได้ตรัสว่า บรรดามุสลิมมีอิสระที่จะอยู่อาศัยในราชอาณาจักรของพระองค์ได้ ตราบที่พวกเขาต้องการซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับมุชรีกีน มักกะฮ์ เป็นอย่างมากนั้น เป็นการชี้ให้เห็นว่า มุสลิมสามารถที่จะอยู่ที่ใดก็ได้ ที่มีผู้ปกครองที่มีคุณธรรมเฉกเช่นที่ศาสดาได้ส่งสาวกของท่านไปยังอบิสสิเนีย

ปัญหาที่ 6 การอยู่ร่วมกับศาสนิกอื่น


6.1 สาเหตุ

คนส่วนหนึ่งถูกสอนให้เชื่อว่า การคบค้าสมาคมกับคนต่างศาสนาเป็นบาป ไม่สามารถอยู่ร่วมกับกาฟิร และผู้ที่ไม่เป็นมุสลิมบางส่วนก็มีแนวคิดนี้เช่นกัน



6.2 ข้อพิจารณา

ศาสนาอิสลามเรียกร้องสันติภาพและยึดมั่นในหลักการแห่งความเข้าใจ ความรักและเอื้ออาทรระหว่างมนุษย์ด้วยกัน อิสลามปฏิเสธความคิด พฤติกรรมสุดโต่ง และความรุนแรงโดยสิ้นเชิง
การประชุมใหญ่ระดับโลก เรื่องมุสลิมกับเพื่อนต่างศาสนิก (we & the other) ซึ่งจัดโดยกระทรวงศาสนสมบัติและกิจการอิสลาม ร่วมกับสภาสูงสุดเพื่อการธำรงสายกลาง ณ โรงแรมเชอราตัน ประเทศคูเวต เมื่อ 6-8 มีนาคม 2549 ที่ประชุมมีมติร่วมกันพอสรุปได้ดังนี้
ความหลากหลายทางศาสนา ภาษา และเผ่าพันธุ์ ถือเป็นพื้นฐานทางธรรมชาติและข้อเท็จจริงของสังคมมนุษย์ โดยที่ความหลากหลายในเรื่องดังกล่าว ไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้างที่จะสร้างความบาดหมางและเป็นศัตรูระหว่างกัน และขอประกาศเจตนารมณ์แห่งการยึดมั่นหลักสายกลางและต่อต้านพฤติกรรมอันนำไปสู่ความรุนแรงและความบาดหมางระหว่างผู้คนในสังคม
1. อิสลามเป็นศาสนาที่เรียกร้องสู่การสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือระหว่างคนต่างศาสนิก ภายใต้หลักการของความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และยึดมั่นในหลักการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยสันติและมีความยืดหยุ่น สามารถนำไปปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนต่างศาสนิกได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
2. การศึกษาอิสลามที่มีนัยแอบแฝงและมีวัตถุประสงค์ที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความมีอคติ การใส่ร้ายและบิดเบือน เป็นสิ่งที่ต้องประณาม การเสวนากับเพื่อน พี่น้องต่างศาสนิก มิได้หมายถึงความพยายามที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสารัตถะของศาสนา หากแต่มีเป้าหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างเพื่อนร่วมโลก ตลอดจนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปสู่การจรรโลงสังคมใฝ่สันติ
3. ที่ประชุมตระหนักในความสำคัญและบทบาทของการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างเพื่อนต่างศาสนิก และยืนยันว่าทุกประชาชาติมีสิทธิเสรีภาพในการยึดมั่นศาสนาตามความเชื่อแห่งตน การใช้ชีวิตร่วมกันกับพี่น้องต่างศาสนิก ถือเป็นข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ และความจำเป็นของสังคมมนุษย์ ภายใต้บริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม สิทธิเสรีภาพควรตั้งมั่นบนพื้นฐานของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เป็นเครื่องมือในการแสดงออกซึ่งสิทธิเสรีภาพจนเกินขอบเขต หรือล้ำเส้น กรอบวิถีการดำเนินชีวิตอันปกติสุขของสังคมอื่น
อนึ่ง ในประวัติศาสตร์อิสลามเอง ก็ปรากฏความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมทั้งผู้ที่มิใช่มุสลิมด้วยเช่นเดียวกัน เช่น พบว่าการใช้บ่อน้ำร่วมกันระหว่างศาสดาและซอฮาบะฮ์กับยะฮูดีย์ ขณะอยู่ที่มาดีนะฮ์ เมื่อท่านศาสดาวาฟัต พบว่า อุปกรณ์การทำสงครามของท่านศาสดาได้ถูกจำนองไว้กับยะฮูดีย์ นี่ก็เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนถึงแบบอย่างความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับผู้ที่มิใช่มุสลิม ที่ให้ไว้โดยท่านรอซูล (ศ็อลฯ)


ปัญหาที่ 7 การใช้ผ้ายันต์ เครื่องราง และของขลัง เพื่อการอยู่ยงคงกระพัน


7.1 สาเหตุ


คนบางส่วนถูกสอนแนะนำให้เชื่อว่า การใช้ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลัง การท่องจำถ้อยคำ เพื่อเป็นคาถาอาคม จะเกิดผลดีต่อตนเอง เช่น ศัตรูมองไม่เห็นตัว หรือจะอยู่ยงคงกระพัน ตีรัน ฟันแทงไม่เข้า



7.2 ข้อพิจารณา
ศาสนาอิสลามสอนมิให้มุสลิมกระทำการใดๆ การบูชาหรือเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกสร้าง ผ้ายันต์ เครื่องราง ของขลัง เวทมนต์ คาถาอาคม หรือการกระทำอื่นใดที่สื่อหรือส่อไปในทางการตั้งภาคี (หรือที่เรียกกันว่าชิริก) ต่ออัลเลาะฮฺ (ซ.บ) ในทัศนะของอิสลามถือว่า พฤติกรรมในการทำชิริก เป็นการก่อบาปใหญ่ และบุคคลเหล่านี้หลุดพ้นจากสถานะความเป็นมุสลิม เพราะอิสลามสอนให้เชื่อมั่นในเอกภาพของอัลลอฮฺ (ซ.บ) และการกำหนดสภาวะของอัลลอฮฺ (กอฎอ-กอฎาร) ไม่ใช่เครื่องรางของขลัง

ปัญหาที่ 8 การสาบาน (ซูเปาะห์ หรือซุมเปาะห์) และการถอนคำสาบาน


8.1 สาเหตุ

การปรากฏของกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกร้องให้เยาวชนลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจของรัฐ มีการฝึกอาวุธ และมีการซูเปาะห์ หรือซุมเปาะห์ (สาบาน) หากละเมิดคำสาบาน ชีวิตของผู้ละเมิดนั้นชอบธรรมที่จะต้องถูกฆ่า


8.2 ข้อพิจารณา

การซูเปาะห์ ซุมเปาะห์ หรือการสาบานนั้น ขึ้นอยู่กับผู้ที่กล่าวถ้อยคำสาบานว่ามีเจตนาเช่นไร คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติไว้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน ในหลายโองการด้วยกัน และฮาดิษหลายบทได้กล่าวรองรับเช่นกัน
“พวกเขาได้ถือเอาคำสาบาน (พล่อยๆ) ของพวกเขามาเป็นโล่ป้องกันตนเอง แต่แล้วพวกเขาก็ขัดขวางจากวิถีทางของอัลลอฮฺ แท้จริงพวกเขานั้นมีพฤติกรรมอันเลวร้ายยิ่ง” (63:2)
“อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าในการสาบานที่ไม่จงใจ แต่พระองค์ทรงเอาผิดด้วยสิ่งที่พวกเจ้าผูกพันการสาบาน ดังนั้นการไถ่ความผิดของมัน คือ การให้อาหารแก่คนอนาถา 10 คน จากระดับปานกลางของอาหารที่พวกเจ้าให้แก่ครอบครัวของพวกเจ้า หรือไม่ก็เครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขา 10 คน หรือไม่ก็ไถ่ทาส 1 คน ให้เป็นอิสระ แต่ถ้าไม่ได้ก็ให้ถือศีลอด 3 วัน นั่นเป็นการไถ่ความผิด” (5:92)
อิบนุอุมิ้ร กล่าวว่า บิดาของฉันเคยสาบาน แต่แล้วท่านนบี (ศอลฯ) ได้ห้ามโดยกล่าวว่า ผู้ใดที่สาบานกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากอัลลอฮฺ (ซ.บ) แล้ว ก็เท่ากับเขาผู้นั้นเป็นผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ (ซ.บ) (รายงานโดยอะห์มัดอิบนิฮัมบัล) และศาสดาได้กล่าวว่า บุคคลใดยังคงแข็งใจสาบาน ทั้งๆ ที่คำสาบานนั้นเป็นอันตรายต่อครอบครัว การกระทำของบุคคลดังกล่าวถือเป็นบาปที่ใหญ่ ณ อัลลอฮฺ (ซ.บ)

ปัญหาที่ 9 การลอบฆ่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกาฟิร (ต่างศาสนิก) และมุนาฟิก (ผู้กลับกลอก)


9 ข้อพิจารณา


9.1 สาเหตุ

คนบางส่วนถูกเสี้ยมสอนให้มีความเชื่อว่า การฆ่ากาฟิร (ต่างศาสนิก) และมุนาฟิก (ผู้กลับกลอก) เป็นสิ่งที่อนุมัติในอิสลาม ผู้ฆ่าจะได้ผลบุญ และหากพลาดท่าเสียที ผู้ฆ่ากลายเป็นผู้ถูกฆ่า เขาก็จะได้รับสวรรค์เป็นการตอบแทน


กาฟิร ความหมายโดยรากศัพท์ทางภาษา แปลว่า ผู้ปฏิเสธ ผู้ดื้อดึง ผู้ฝ่าฝืน ความหมายทางศาสนา หมายถึง ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อศาสนาอิสลาม กาฟิรจำแนกได้ 3 ประเภทด้วยกัน
1. กาฟิรฮัรบีย์ คือ คนต่างศาสนิกที่เป็นคู่สงคราม คนต่างศาสนิกที่เป็นศัตรูและพยายามที่จะทำลายล้างอิสลาม
2. กาฟิรซิมมีย์ คือ คนต่างศาสนิกที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอิสลาม ซึ่งรัฐจะต้องดูแลพวกเขาด้วยความยุติธรรม และพวกเขาต้องจ่ายภาษีแก่รัฐอิสลาม
3. กาฟิรมูอาฮัด คือ คนต่างศาสนิกที่ได้ทำสัญญา และมีพันธสัญญาที่ไม่รุกรานและไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน
มุนาฟิก หมายถึง คนที่มีลักษณะกลับกลอก หรือสับปลับ ปากกับใจไม่ตรงกัน เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลที่แสร้งทำเป็นศรัทธาในอิสลาม แต่ใจจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ซ้ำร้ายยังคอยมุ่งทำร้ายมุสลิมและอิสลามตลอดเวลา
มุนาฟิกด้านความประพฤติ หรือด้านอากีดะฮ (พฤติกรรมเน้นมุสลิมแต่จิตใจยึดมั่นในสิ่งอื่น) คือ บุคคลที่แสดงออกโดยรูปภายนอกอย่างหนึ่ง แต่ความประพฤติกรรมเสแสร้งซึ่งตรงข้ามกับจิตใจที่แท้จริงของเขา
มุนาฟิกด้านวาจา คือ บุคคลที่มักเรียกกันว่าลิ้นสองแฉก เป็นคุณสมบัติของบุคคลที่สรรเสริญ ยกยอ ยกย่องผู้คนต่อหน้า แต่กลับปฏิเสธและใส่ร้ายผู้คนเมื่ออยู่ลับหลัง
ฮาดิษหนึ่งกล่าวว่า ท่านศาสดา (ศอลฯ) ได้ตำหนิอุซามะฮ์ อิบนุซัยด์ (ร.ฎ) กรณีที่อุซามะฮ์ สังหารชายผู้หนึ่งระหว่างสงคราม แม้ชายผู้นั้นจะกล่าวปฏิญาณตนยอมรับอิสลามแล้วก็ตาม เหตุผลของอุซามะฮ์ คือ ชายผู้นั้นกล่าวคำปฏิญาณตนเพื่อหลีกหนีการถูกสังหาร แต่ท่านศาสดามิได้ยอมรับเหตุผลดังกล่าว ท่านศาสดาได้ถามอุซามะฮ์ว่า “เจ้าสามารถผ่าอกของเขาเพื่อดูว่า ที่เขาพูดนั้นจริงหรือไม่กระนั้นหรือ”
สมัยที่ท่านรอซูล มีผู้ที่เป็นมุนาฟิกหลายคน แต่ท่านรอซูลไม่เคยอนุญาตให้ฆ่ามุนาฟิกแม้แต่คนเดียว ความคิดของผู้ที่ปลุกปั่นยุยงเยาวชนว่า คนที่เห็นต่างจากตน เป็นกาฟิร หรือมุนาฟิก และต้องฆ่าเสียให้หมดจึงเป็นความคิดสุดโต่ง ที่ห่างไกลจากหลักธรรม คำสอนของอิสลามอย่างที่สุด ดำรัสแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ) ในซูเราะฮฺ อัลบากอเราะฮฺ ความว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ ในการนับถือศาสนา (อิลลาม).....” (2:256) และวจนะของศาสนดามูฮัมหมัด (ซ.ล) ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก กล่าวไว้ความว่า “เลือดของบุคคลที่ปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และฉันเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ซ.บ) จะไม่เป็นที่อนุญาต (ให้ผู้ใดล่วงละเมิด).....” ในอัลกรุอานไม่ปรากฏที่ใดเลยที่สั่งใช้ให้ฆ่ามุนาฟิก และในสมัยท่านศาสดา ท่านก็ไม่เคยอนุญาตให้ฆ่ามุนาฟิกแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นที่ชัดเจนว่าในสมัยของท่านนั้นมีมุนาฟิกอยู่ด้วย


ปัญหาที่ 10 การเคารพและเชื่อฟังบิดามารดา



10.1 สาเหตุ

เอกสาร เบอร์จีฮาด ดิ ปัตตานี (การต่อสู้ที่ปัตตานี) ซึ่งเป็นเอกสารที่บิดเบือนคำสอนของอิสลาม มุ่งปลุกอารมณ์ ความรู้สึก มากกว่าการศรัทธาอย่างมีเหตุผล มีข้อความที่รุนแรงปรากฏ กล่าวคือ หากผู้ใดไม่เห็นด้วยกับแนวทางการต่อสู้ แม้จะเป็นบิดา มารดา ก็ถือว่าเขาเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ศรัทธาที่แท้จริง จึงมีความชอบธรรมที่จะฆ่าพวกเขาได้ ดังข้อความที่ว่า “.....โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าได้เอาบิดาและพี่น้องของพวกเจ้าในฐานะผู้นำ ถ้าพวกเขาเอนเอียงไปในแนวทางที่หลงผิด รูปธรรมเท่านั้นที่พวกเขาเป็นบิดาและพี่น้องเรา แต่นามธรรมที่แท้จริงนั้น พวกเขาไม่ได้เป็นกลุ่มของฝ่ายเราอีกต่อไป ดังนั้นหากเป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นผู้ทรยศจงฆ่าพวกเขาเสีย.....”



10.2 ข้อพิจารณา

ในสมัยท่านรอซูล มีบิดามารดาของสาวกท่านรอซูลหลายคน เป็นกาฟิรและต่อสู้ขัดขวางอิสลาม แต่ในบริบทปัจจุบันมีเงื่อนไขต่างกัน การที่พ่อแม่ที่เป็นมุสลิมไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเรา (ลูก) ไม่ได้หมายถึง เขาจะเป็นมุนาฟิก หรือเราสามารถที่จะว่าท่านได้ การอ้างข้อความข้างต้นจึงเป็นการกล่าวอ้างที่ผิด
ในสมัยท่านนบี พระราชดำรัสแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ) ที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานซูเราะฮฺ อัลอังกะบูต (29:8) ความว่า “และเราได้สั่งแก่มวลมนุษย์ให้ทำดีต่อบิดามารดาของเขา และแม้เขาทั้งสองบังคับเคี่ยวเข็ญเจ้าเพื่อให้ตั้งภาคีต่อข้า ในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ ก็จงอย่าปฏิบัติตามเขาทั้งสอง.....” ดำรัสแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ) ทรงสัจจะยิ่ง
ทัศนะของอิสลามนั้น บิดามารดาเป็นต้นเหตุแห่งการปรากฏของลูก ดังนั้นหน้าที่ของลูกต่อบิดามารดา คือ การทำดีไม่ว่าบิดามารดาจะนับถือศาสนาใด อิสลามเน้นอย่างยิ่งไม่ให้เนรคุณต่อบิดามารดา แต่บิดามารดา จะมากำหนดไม่ให้ลูกเชื่อและศรัทธาต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ) ไม่ได้ หน้าที่ของลูกนั้น คือ การกระทำดีต่อบุพการีตลอดไปดังที่อัลลอฮฺ (ซ.บ)ได้กำชับให้กระทำความดีความว่า “.....และจงคอยอยู่ ดูแลปรนนิบัติท่านทั้งสอง (หมายถึงบิดามารดาที่ไม่ได้เป็นมุสลิมยามที่ทั้งสองมีชีวิต) บนโลกนี้ให้ดี.....” (31:15)


ปัญหาที่ 11 เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นการญิฮาด (ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ) หรือ ฟะซาด (การก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน)



11.1 สาเหตุ

การถูกปลุกปั่น ยุยง ปลุกเร้ามวลชน โดยอ้างอิงหลักศาสนาที่ถูกบิดเบือน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหลักคำสอนของศาสนาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์แห่งการญิฮาด ทั้งที่จริงแล้วการกระทำเหล่านั้นคือ ฟะซาด (การก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน)



11.2 ข้อพิจารณา

การก่อการทุกชนิดที่ไม่ถูกต้องตามหลักการของอิสลามแล้ว ถือเป็นการก่อความหายนะ (ฟะซาด) ให้กับสังคมทั้งสิ้น เพราะฟะซาดเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับญิฮาด และเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขของการญิฮาด
การบิดเบือนคำสอนของอิสลาม โดยการขับเคลื่อนผ่านบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่รู้สึกตนเองว่า กำลังถูกนำทางความคิด และปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยความรุนแรงไม่อาจนำมาสร้างความชอบธรรมใดๆ ในการก่อความเสียหายให้สังคม อิสลามต่อต้านการใช้ความรุนแรงในทุกมิติ อิสลามคือศาสนาแห่งความรักและสันติภาพ อัลลอฮฺ (ซ.บ) ตรัสไว้ในอัลกรุอาน ความว่า “.....และอย่าได้ให้การเกลียดชังของพวกเจ้าต่อหมู่ชนใดหมู่ชนหนึ่ง ทำให้พวกเจ้าขาดความยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด เพราะมันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรง ยิ่งกว่า.....” (ซูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ 5:8)

ปัญหาที่ 12 การทำลายศพ การทำให้ศพเสียโฉม



12.1 สาเหตุ


เยาวชนและบุคคลกลุ่มหนึ่งถูกชักจูง จูงใจโดยบิดเบือนหลักศาสนา ให้เกิดความเชื่อว่า การต่อสู้เพื่อเรียกร้องดินแดนเป็นการต่อสู้ในหนทางของศาสนา เป็นที่อนุมัติในอิสลามให้ฆ่าคนกาฟิร มุนาฟิก และการตัดศีรษะ เผาศพอำพราง เป็นการแสดงถึงพลังของอิสลาม


12.2 ข้อพิจารณา

อิสลามเป็นศาสนาที่ปฏิเสธความรุนแรง การละเมิด การคร่าชีวิตมนุษย์และการรุกรานทุกรูปแบบ เป็นศาสนาที่กระจายสันติภาพและกำชับให้เกิดความยุติธรรม การกระทำความดี ห้ามปรามความชั่ว การให้อภัย ดังดำรัสแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ) ที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกรุอานหลายโองการ
“.....ผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่ง โดยมิใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือมิใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว ก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล.....” (5:32)
“และผู้ใดที่ฆ่าผู้ศรัทธาโดยเจตนา (และโดยมิชอบ) แน่นอนผลตอบแทนของเขาคือทัณฑ์ทรมานในขุมนรกตลอดกาล.....” 4:93)
“ห้ามการแย่งชิงและการทำให้ศพเสียโฉม” (อัลฮาดิษ)
“จงบริจาคทานและจงอย่าทำให้ศพเสียโฉม” (อัลฮาดิษ)
“พวกท่านไม่ทราบหรือว่า ข้าพเจ้าสาปแช่งผู้ที่ใช้เหล็กเผาไฟนาบสัตว์ที่ใบหน้าของมัน หรือตีมันที่หน้า” อัลฮาดิษ)
“ไม่มีการบังคับใดๆ ในการนับถือศาสนา (อิสลาม).....” (2:256)
“ผู้ใดสงเคราะห์ความดีหนึ่งแก่ผู้อื่น เขาย่อมมีส่วนได้จากความดีนั้นด้วย และผู้ใดสงเคราะห์ความเลวหนึ่งแก่ผู้อื่น เขาก็ต้องรองรับความผิดจากความเลวนั้นด้วย และอัลลอฮฺทรงอานุภาพเหนือ ทุกๆ สิ่ง” (4:85)
“อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่เจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะกระทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม” (60:8)
“อย่าให้มีการกระทำที่เป็นภัยต่อตัวเองและการกระทำที่เป็นภัยต่อผู้อื่น” (อัลฮาดิษ)







 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2550
7 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2550 7:42:01 น.
Counter : 866 Pageviews.

 
 
 
 
 
 

โดย: canx วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:10:00 น.  

 
 
 
 
 

โดย: Jeab (rayasuree2526 ) วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:14:57 น.  

 
 
 
 
 

โดย: สอระ (สอระ ) วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:56:44 น.  

 
 
 
 
 

โดย: fonejank วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:13:15:23 น.  

 
 
 
 
 

โดย: f. IP: 203.113.34.7 วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:16:10:39 น.  

 
 
 
 
 

โดย: วาสัน มะลี IP: 124.121.40.54 วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:7:53:17 น.  

 
 
 
ใคร ก็จะ
 
 

โดย: เทิดทูล IP: 124.121.40.54 วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:7:57:46 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

rajata
 
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผมก็คนไทยคนหนึ่งทีรักประชาธิปไตย
[Add rajata's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com