ห่วงคู่ค้าเอเชีย-ศก.จีนชะลอตัว กดดันส่งออก
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ไทยพาณิชย์แนะจับตาคู่ค้าเอเชีย-เศรษฐกิจจีนชะลอ มรสุมลูกใหม่ขย่มส่งออก หลังเดือนก.ค.ส่งออกหดตัว 4.5% ผลพวงวิกฤติหนี้ยุโรป ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 19.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 4.5%YOY (เทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า) ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 21.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 13.7%YOY ส่วนดุลการค้าขาดดุล 1,746 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ วิกฤติยุโรปยังเป็นอุปสรรคต่อการส่งออก เศรษฐกิจยุโรปที่เข้าสู่ภาวะถดถอยไปแล้วในช่วงไตรมาส 2 และยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การส่งออกไปยุโรปหดตัวถึง 21.7%YOY นอกจากนี้ แล้วการส่งออกไปประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของยุโรปก็หดตัวตามไปด้วย เช่น จีนหดตัว 7.5%YOY ญี่ปุ่นหดตัว 3.5%YOY และกลุ่มประเทศอาเซียนหดตัว 2.6%YOY เป็นต้น ทำให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมของเดือนกรกฎาคมหดตัวถึง 4.5%YOY ซึ่งสอดคล้องกับการชะลอตัวลงอย่างมากของการส่งออกของ จีน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ที่ได้มีการประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ "การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาหดตัวอีกครั้ง โดยลดลง 4.8%YOY ซึ่งสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่พึ่งพิงตลาดยุโรป และประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของยุโรปค่อนข้างมาก เช่น อัญมณีและเครื่องประดับหดตัว 37.3%YOY แผงวงจรไฟฟ้าหดตัว 35.3%YOY นอกจากสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวแล้ว สินค้าเกษตรก็ยังหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกข้าวลดลง 28.5%YOY จากปริมาณการส่งออกที่ลดลง ในขณะที่มูลค่าการส่งออกยางพาราลดลง 33.8%YOY จากปัจจัยราคาเป็นหลัก" ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจแลธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า การนำเข้ายังขยายตัวจากการนำเข้าสินค้าทุน ซึ่งขยายตัวถึง 35.8%YOY โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การนำเข้าประเภทเครื่องจักรและส่วนประกอบ ทั้งเครื่องจักรกลที่ขยายตัว 39.8%YOY และเครื่องจักรไฟฟ้าที่ขยายตัวถึง 105.8%YOY ขณะเดียวกันยังขาดดุลการค้าราว 1,746 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การส่งออกที่หดตัวประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวค่อนข้างมาก ทำให้ดุลการค้าขาดดุล ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจแลธุรกิจธนาคารไทยพาณิชย์ ยังระบุด้วยว่า ต้องจับตามองประเทศคู่ค้าในภูมิภาคเอเชียควบคู่ไปกับสถานการณ์ในยุโรป โดยเฉพาะประเทศจีนที่สัญญาณการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ส่งออกไปจีนเป็นหลัก เช่น เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และวัตถุดิบ เป็นต้น สำหรับเหตุการณ์ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ในยุโรปในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ได้แก่ คำตัดสินของศาลเยอรมนีว่ากองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป หรือ ESM ขัดต่อกฎหมายของรัฐธรรมนูญหรือไม่ การเจรจาระหว่างกรีซกับกลุ่มเจ้าหนี้ Troika (ECB, IMF, European Commission) เพื่อให้ได้รับเงินช่วยเหลือต่อไป และมาตรการของธนาคารกลางยุโรปในการช่วยเหลือสเปนและอิตาลี
Create Date : 31 สิงหาคม 2555 |
|
57 comments |
Last Update : 31 สิงหาคม 2555 7:00:02 น. |
Counter : 4315 Pageviews. |
|
|
|