สิงหาคม 2560

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Quimbamto วิตามินลดกรดไหลย้อนและโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างได้ผล





มีหลายคนคุ้นเคยกันดีกับโรคกระเพาะอาหาร เมื่อเกิดอาการเรอเปรี้ยว หรือมีรสขมในปาก ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน ปวดบริเวณหน้าอก ก็จะคิดไว้ก่อนว่านั่นเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะเป็น โรคกรดไหลย้อน(Gastro esophageal reflux disease ,GERD)

โรคกรดไหลย้อน เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยของที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยเป็นด่างจากลำไส้เล็ก โดยอาจมีหรือไม่มีภาวะหลอดอาหารอักเสบก็ได้


คนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการแสบยอดอก เรอเปรี้ยว ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบ หรือเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง จนทำให้ปลายหลอดอาหารตีบ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหาร บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้


แต่บางครั้งไม่ได้มาด้วยอาการแสบยอดอก เรอเปรี้ยว แต่มาพบแพทย์ด้วยอาการของโรคหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรืออาจมาด้วยอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด บางรายมาด้วยอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งเมื่อวินิจฉัยแล้วไม่พบโรคอื่น จะถูกส่งต่อมาที่แผนกระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน นั่นเอง


โรคกรดไหลย้อน มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิต ลักษณะของโรคคือการที่มีกรดไหลย้อนขึ้นจากกระเพาะอาหารมาที่หลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อนจึงพบได้จากการอักเสบของหลอดอาหาร


โรคกรดไหลย้อน พบในผู้ใหญ่ ประมาณ 20-40% อาการที่พบเป็นประจำคือ อาการแสบยอดอก


โรคกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ มีอาการปวดท้องบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ มีประวัติเป็นเรื้อรังมานาน แต่สุขภาพทั่วไปไม่ทรุดโทรม บางรายมีอาการจุก เสียด แน่น เจ็บ แสบ หรือร้อน อาการมักจะสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารหรือชนิดของอาหาร เช่น อาจปวดมากเมื่อหิว หลังรับประทานอาหารจะทุเลา แต่บางรายอาการปวดเป็นมากขึ้นหลังอาหาร โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น


มีสาเหตุหลักจากเชื้อแบคทีเรียเฮโลโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicombacter Pylori) หรือ เอช.ไพโลไร หากโรคกระเพาะที่เป็นอยุ่เกิดจากเชื้อ “H. Pylori” อาจทำให้บุคคลในครอบครัว หรือเพื่อนที่ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน เกิดโรคกระเพาะอาหารได้


ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และรับการตรวจหาเชื้อ“H. Pylori” ในกระเพาะอาหาร เพื่อการวินิจฉัยที่ตรงจุดและการรักษาที่ทันท่วงที ก่อนจะลุกลามเป็นโรคร้ายในอนาคต


แป้งเคยเป็นโรคกรดไหลย้อน จากพฤติกรรมชอบอาหารรสเผ็ดจัด เป็นเวลานานหลายปี พอได้กินวิตามิน licorice(DGL) 500 mg ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า อาการปวดแสบร้อนของกรดที่ไหลย้อนมาลำคอ ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อยากลองวิตามินตัวใหม่ๆเพิ่มเติม จึงศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเรื่องวิตามินที่ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลดกรดไหลย้อนอีกครั้ง


มีวิตามินชื่อ Quimbamto(กระเจี๊ยบเขียว)เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบมีสารเมือกและเพกทิน(pectin)


      กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเอธิโอเปีย แถบศูนย์สูตรของทวีปแอฟริกา อียิปต์ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก และเอเชียใต้ นิยมปลูกมากทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่สามารถปลูกได้ทุกภาค


กระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน โฟเลต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี อยู่ในปริมาณพอสมควร


นอกจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกายย่อยไม่ได้ และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ เช่น เพกทิน (pectin) และเมือก (mucilage) ซึ่งเกิดจากสารประกอบ acetyated acidic polysaccharide และกรดกาแล็กทูโลนิก (galactulonic caid)ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้เป็นอย่างดี


ในปี 2547 มีรายงานการศึกษาพบว่าสารประกอบไกลโคไซเลต (glycosylated compounds ซึ่งประกอบด้วย โพลีแซกคาไรด์ (polysaccharides) และไกลโคโปรตีน (glycoproteins) ในกระเจี๊ยบเขียว มีฤทธิ์ยับยั้งความสามารถของเชื้อแบคทีเรีย เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลริ (helicobacter pylori) ในการเกาะเยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ซึ่งแบคทีเรียตัวนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร แต่สารไกลโคไซเลต จะมีฤทธิ์ลดลงเมื่อถูกความร้อน


มีประโยชน์อย่างไร


1.ออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ H. pylori ซึ่งเป็นการเกิดอักเสบของกระเพาะอาหาร จากเชื้อ H. pylori หากเกิดขึ้นกับใครแล้ว มันจะทำให้ความต้านทานของเยื่อบุผิวภายในกระเพาะอ่อนแอลง

ซึ่งง่ายต่อการทำลาย โดยกรดไฮโรคลอริกที่มีอยู่ในตัวกระเพาะอาหารเอง


ยาแผนปัจจุบันต่าง ๆ ที่นำมาใช้เพื่อลดกรด (antacids) รวมถึงยาลดการสร้างและการปล่อยกรดออกสู่กระเพาะ

เช่น H2 blockers และ proton pump inhibitors or PPIs

ถูกนำมาใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลมาเป็นเวลานานหลายปี


อย่างไรก็ตาม ยาทั้งสองกลุ่มไม่สามารถทำลายเชื้อ H. pylori ได้

หากหยุดยาเมื่อใด แผลในกระเพาะก็จะกลับมาเหมือนเดิม


ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงมีการใช้ยาลดกรด H2 blockers และ proton pump inhibitors ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี เพื่อป้องกันไม่ให้แผลในกระเพาะกลับคืนมาอีก โดยไม่ให้มีเลือดออก จนเกิดกระเพาะอาหารทะลุ รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันในกระเพาะขึ้น


2.รักษาแผลในกระเพาะอาหารโดยไม่ต้องกินยาแผนปัจจุบัน

3.ลดกรดไหลย้อนได้เป็นอย่างดี

4.ลดอาการท้องอืดโดยเฉพาะในผู้ที่ตัดถุงน้ำดี

5.ลดก๊าซในกระเพาะอาหาร

6.ลดอาการลำไส้แปรปรวน

7.ช่วยย่อยอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ

8.ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะช่วงเวลาหลังตื่นนอนตอนเช้าในคนที่เป็นกรดไหลย้อน


แป้งกินวิตามินชื่อ Quimbamto 500 mg ยี่ห้อ healthy benefits ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น แค่อาทิตย์เดียว อาการแสบปวดท้องจากกรดไหลย้อนหายเป็นปลิดทิ้ง จึงลดวิตามินเหลือวันละ 1 เม็ดค่ะ


ปัจจุบันนี้เวลาเกิดความเจ็บป่วยใดๆ แป้งเลือกที่จะรักษาตัวเองด้วยวิตามินเป็นลำดับแรกเสมอ ซึ่งเห็นผลชะงัด ไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อสักครั้ง เหตุผลคือมีระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่าปกติ(กินวิตามินต่อเนื่องเป็นประจำ)


ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ การเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคเกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้ จะต้องมีตรวจเพิ่มเติมอย่างละเอียด จากค่ารักษาหลักพันหลักหมื่นกลายเป็นครึ่งแสน


หากเรามีความรอบรู้เรื่องวิตามินกับการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน ยอมรับว่ากินวิตามินดีกว่ายารักษาโรคเยอะเลย อย่างน้อยวิตามิน Quimbamto ก็เป็นสารสกัดจากพืชธรรมชาติที่น่าจับตามองตัวหนึ่งค่ะ


มีเรื่องอยากเตือนให้ระมัดระวังการเสพสื่อสุขภาพทางอินเตอร์เน็ต ที่บอกว่า ควรดื่มน้ำผลไม้เป็นสิ่งแรกเมื่อตื่นนอนตอนเช้า แทนที่จะเป็นน้ำเปล่า เพราะขณะที่ท้องยังว่าง ลำไส้สามารถดูดซึมอาหารและวิตามินจากน้ำผลไม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


ข้อความข้างบนนี้จะไม่สามารถใช้ได้ในคนที่มีภาวะกรดเกิน แผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน เพราะในผลไม้ส่วนใหญ่มีวิตามินซีสูง ไฟเบอร์เยอะ จึงช่วยระบบขับถ่าย แต่ในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารและลำไส้ จะกลายเป็นเพิ่มปัญหาให้สมดุลกรดด่างในกระเพาะอาหาร


ประสบการณ์ตรงคือ แป้งเคยกินองุ่นไร้เมล็ดสีม่วง รสชาติหวานฉ่ำลิ้น แค่ 6-7 เม็ด หลังตื่นนอนตอนเช้า เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี อีก 1 ชั่วโมงต่อมา งานงอกเลยค่ะ ปวดท้องมากๆ ลำไส้บิดตัวอย่างรุนแรง ก่อนที่เข้าห้องน้ำ จะปวดท้องแบบทรมานชนิดตัวขดตัวงอเพราะรู้สึกผ่านผนังหน้าท้องได้ว่า มีน้ำกรดไฮโดรคลอริก จากกระเพาะอาหารไหลมาสมทบในกระเพาะประกอบมีมวลน้ำย่อย ไหลย้อนกระฉอกจากลำคอ คือ คลื่นไส้ตามด้วยอาเจียน 4-5ครั้ง


ตามมาด้วยอาการท้องเสีย 7-8 ครั้ง ใจหวิวๆสั่นๆตลอด จากนั้นพายุจึงสงบ พลางนึกว่า เราเป็นอะไรไป แค่กินองุ่นเอง อืม! ผลไม้สดมีวิตามินซีสูงมาก แค่ไม่กี่เม็ด ก็สร้างความทุกข์ทรมานไม่น้อยเลยค่ะ


ไม่ว่าเราจะกินวิตามินอะไรก่อนหรือหลังอาหารมื้อนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมที่มีประสิทธิภาพสักนิด ขึ้นกับเอนไซม์ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารต่างหาก เพราะถ้าท้องว่างแล้วจะดูดซึมสารอาหารต่างๆได้ดี ทำไมคนที่กินอาหารนั่นโน่นนี่ทั้งวันถึงได้อ้วนท้วนสมบูรณ์ล่ะค่ะ

















ที่มา


https://www.paolohospital.com/phahol/gi-liver/stomach/

https://th.wikipedia.org/wiki/กระเจี๊ยบ

https://vatchainan2.blogspot.com/2011/11/helicobactor-pylori-2.html

https://health.kapook.com/view91313.html





Create Date : 24 สิงหาคม 2560
Last Update : 20 พฤษภาคม 2561 17:49:01 น.
Counter : 2130 Pageviews.

0 comments

แป้งปังปอนด์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 878 คน [?]



เริ่มเขียนblog 20ก.ค55
ปัจจุบัน ( 3 มี.ค 57 ) แป้งได้มีเพจแป้งปังปอนด์ สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์แชร์ข้อมูลจาก blog ให้ท่านที่สนใจได้ติดตามอ่านอย่างสะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาโหลดเนื้อหาจาก blog ดังนั้นขออนุญาตงดตอบคำถามใดๆทางเพจและ facebook ค่ะ






หากท่านใดมีคำถามเกี่ยวกับการกินวิตามินเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพและบำรุงผิวพรรณ รบกวนส่งคำถามไปยัง blog แป้งปังปอนด์ นานาสารพันปัญหา volume 5 อย่างเดียวเท่านั้นค่ะ


ขออนุญาตฝากกด like เพจแป้งปังปอนด์ เพื่อเป็นกำลังใจในการสรรค์สร้างผลงานด้วยมันสมองและสองมือพยาบาลสาวภูไท คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จบการศึกษา ปี พ.ศ 2539 จากที่ราบสูงคนนี้ด้วยนะคะ


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการนำชื่อ " แป้งปังปอนด์ " ไปใช้เพื่ออ้างอิงหรือติดป้ายสินค้าในเวปไซด์หรือที่ใดๆหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน " Blog แป้งปังปอนด์ " แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยการเผยแพร่เพื่อการอ้างอิงหรือนำรูปภาพไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด




New Comments
MY VIP Friend