ไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus)
ข้อมูลจาก: //www.siamhealth.net ขอขอบคุณที่เอื้อเฟื้อข้อมูลค่ะ
ไข้หวัดใหญ่ Influenza virus
ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อ Influenza virus เป็นการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ เชื้ออาจจะลามเข้าปอดทำให้เกิดปอดบวม ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัวปวดกล้ามเนื้อมาก จะพบมากทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการเสียชีวิตมักจะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียน
สำหรับไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไข้ไม่สูงมาก
ในปี คศ.2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้
1. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนคือเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน(เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน
2.เด็กที่อายุ 6-23 เดือนควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย
3.ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2)-like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1)-like, และ B/Hong Kong/330/2001 ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท
การติดต่อ
เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายโดยทางเดินหายใจ วิธีการติดต่อได้แก่
- ติดต่อโดยการไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางเยื่อบุตาและปาก - สัมผัสเสมหะของผู้ป่วยทางแก้วน้ำ ผ้า จูบ - สัมผัสทางมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
อาการของโรค
- ระยะฟักตัวประมาณ1-4 วันเฉลี่ย 2 วัน - ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน - เบื่ออาหาร คลื่นไส้ - ปวดศรีษะอย่างรุนแรง - ปวดแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบกระบอกตา - ไข้สูง 39-40 องศา - เจ็บคอคอแดง มีน้ำมูกไหล - ไอแห้งๆ ตาแดง - อาการไข้ คลื่นไส้อาเจียนจะหายใน 2 วัน แต่อาการน้ำมูกไหลคัดจมูกอาจจะอยู่ได้ 1 สัปดาห์ - สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงมักจะเกิดในผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว อาจจะพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ่มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ - อาจจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ซึมลง หมดสติ - ระบบหายใจอาจจะมีอาการของโรคปอดบวม จะหอบหายใจเหนื่อยจนถึงหายใจวาย
โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่จะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางรายซึ่งอาจจะมีอาการปวดข้อและไอได้ถึง 2 สัปดาห์
ระยะติดต่อ
ระยะติดต่อหมายถึงระยะเวลาที่เชื้อสามารถติดต่อไปยังผู้อื่น
ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ ห้าวันหลังจากมีอาการ ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่จะอาศัยระบาดวิทยาโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาด และอาการของผู้ป่วย การวินิจฉัยที่แน่นอนต้องทำการตรวจดังนี้
- นำเอาเสมหะจากจมูกหรือคอไปเพาะเชื้อไวรัส - เจาะเลือดผู้ป่วยหาภูมิ 2 ครั้งโดยครั้งที่สองห่างจากครั้งแรก 14 วัน - การตรวจหา Antigen - การตรวจโดยวิธี PCR,Imunofluorescent
โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ
ผู้ป่วยอาจจะมีอาการกำเริบของโรคที่เป็นอยู่ เช่นหัวใจวาย หรือหายใจวาย มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ เช่น ปอดบวม ฝีในปอด เชื้ออาจจะทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การรักษา
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่จะหายเอง หากมีอาการไม่มากอาจจะดูแลเองที่บ้าน วิธีการดูแลมีดังนี้
- ให้นอนพักไม่ควรจะออกกำลังกาย - ให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือดื่มน้ำผลไม้ ไม่ควรดื่มน้ำเปล่ามากเกินไปเพราะอาจจะขาดเกลือแร่ - รักษาตามอาการ หากมีไข้ให้ใช้ผ้าชุมน้ำเช็ดตัว หากไข้ไม่ลงให้รับประทาน paracetamol ไม่แนะนำให้ aspirinในคนที่อายุน้อยกว่า 20 ปีเพราะอาจจะทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า Reye syndrome ถ้าไอมากก็รับประทานยาแก้ไอ แต่ในเด็กเล็กไม่ควรซื้อยารับประทาน
- สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจจะใช้น้ำ 1 แก้วผสมเกลือ 1 ช้อนกรวกคอ อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆเพราะอาจจะทำให้เชื้อลุกลาม - ในช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์สาธรณะ ลูกบิดประตู - เวลาไอหรือจามต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก - ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงสถามที่สาธารณะ
ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เมื่อไร
แม้ว่าไข้หวัดใหญ่จะหายได้เอง แต่ผู้ป่วยบางรายมีโรคแทรกซ้อน ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์
ผู้ป่วยเด็กควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้
- ไข้สูงและเป็นมานาน - ให้ยาลดไข้แล้วไข้ยังเกิน 38.5องศา - หายใจหอบหรือหายใจลำบาก - มีอาการมากกว่า 7 วัน - ผิวสีม่วง - เด็กดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารไม่พอ - เด็กซึม หรือไม่เล่น - เด็กไข้ลด แต่อาการไม่ดีขึ้น
สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่หากมีอาการดังต่อไปนี้ให้พบแพทย์
- ไข้สูงและเป็นมานาน - หายใจลำบาก หรือหายใจหอบ - เจ็บหรือแน่นหน้าอก - หน้ามืดเป็นลม - สับสน - อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้
กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มที่เสี่งต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน ควรจะพบแพทย์เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคตับ โรคหัวใจ โรคไต โรคปอด - คนท้อง - คนที่มีอายุมากกว่า 65 ปี - ผู้ป่วยโรคเอดส์ - ผู้ที่พักในสถาพเลี้ยงคนชรา
ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการเหล่านี้ควรจะรักษาในโรงพยาบาล
- มีอาการขาดน้ำไม่สามารถดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ - เสมหะมีเลือดปน - หายใจลำบาก หายใจหอบ - ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีม่วงเขียว - ไข้สูงมากเพ้อ - มีอาการไข้และไอหลังจากไข้หวัดหายแล้ว
การรักษาในโรงพยาบาล
- แพทย์จะให้น้ำเกลือสำหรับผู้ที่ดื่มน้ำไม่พอ - ผู้ป่วยเหล่านี้ควรจะได้รับยา Amantadine หรือ rimantidine เพื่อให้หายเร็วและลดความรุนแรงของโรค ควรจะให้ใน 48 ชมหลังจากมีไข้ และให้ต่อ 5-7 วัน ยานี่ไม่ได้ลดโรคแทรกซ้อน - ให้ยาลดน้ำมูกหากมีน้ำมูก - ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนไม่ควรให้ยาปฎิชีวนะ - ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะหายใน 2-3 วันไข้จะหายใน 7 วันอาการอ่อนเพลียอาจจะอยู่ได้ 1-2 สัปดาห์
การป้องกัน
- ล้างมือบ่อยๆ - อย่าเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา - อย่าใช้ของส่วนตัว เช่นผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ร่วมกับผู้อื่น - หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย - ให้พักที่บ้านเมื่อเวลาป่วย - เวลาไอจามใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก
การฉีดวัคซีน
การป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีน ซึ่งทำจากเชื้อที่ตายแล้วโดยฉีดทีแขนปีละครั้ง หลังฉีด 2 สัปดาห์ภูมิจึงขึ้นสูงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ แต่การฉีดจะต้องเลือกผู้ป่วยดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี - ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวเช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตับ - ผู้ป่วยโรคเบาหวาน - ผู้ป่วยโรคเอดส์ - หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป และมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ - ผู้ที่อาศัยในสถานเลี้ยงคนชรา - เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง - นักเรียนที่อยู่รวมกัน - ผู้ที่จะไปเที่ยวยังที่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ - ผู้ที่ต้องการลดการติดเชื้อ
การใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่เพื่อรักษา
Amantadine and Ramantadine เป็นยาที่ใช้ในการป้องกันและรักษาไวรัสไๆข้หวัดใหญ่ชนิด A ไม่ครอบคลุมชนิด B Zanamivir Oseltamivir เป็นยาที่รักษาได้ทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งชนิด A,B
การให้ยาภายใน 2 วันหลังเกิดอาการจะลดระยะเวลาเป็นโรค จะใช้ยารักษาไข้หวัดกับคนกลุ่มใด
เราจะใช้ยากับคนกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ และยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรคกลุ่มที่ควรจะได้รับยารักษาได้แก่
- คนที่อายุมากกว่า 65 ปี - เด็กอายุ 6-23 เดือน - คนท้อง - คนที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคไต โรคตับ โรคหัวใจ - การให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่
ยาที่่ได้รับการรับรองว่าใช้ป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้แก่ Amantadine Ramantadine Oseltamivir วิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีน แต่ก็มีบางกรณีที่จำเป็นต้องให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่
- ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับวัคซีนไม่ทัน ทำให้ต้องได้รับยาในช่วงที่มีการระบาดของโรค - ผู้ที่ดูดแลกลุ่มเสี่ยงและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ควรจะได้รับยาในช่วงที่มี การระบาดของโรค - ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่นโรคเอดส์ - กลุ่มคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนและไม่อยากเป็นโรค
เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่
Family Orthomyxoviridae Genus: Influenza ตัวเชื้อมีขนาด 80-120 nm ลักษณะเป็น filament Types: A, B, and C
การจำแนกชนิดของเชื้ออาศัย antigen ซึ่งอยู่ที่เปลือก(virus envelope) และแกนกลาง ( nucleoprotein )
- Influenza A virus ทำให้เกิดโรคในคน สัตว์ปีก หมู ม้า สัตว์ทะเล แต่สัตว์ป่าจะเป็นพาหะของโรค
- Influenza B virus เกิดโรคเฉพาะในคน
- Influenza C virus ทำให้เกิดโรคในคนและม้า แต่เป็นอย่างไม่หนัก
การระบาดของไข้หวัดนกส่วนใหญ่เกิดเชื้อชนิด Type A
- ที่เปลือกของเชื้อยังมี antigen อีกสองชนิดคือ Hemagglutinin(H )และ neuraminidase(N)
- Influenza A virus จะมี H antigen อยู่ 15 ชนิดคือ H1-H15,ส่วน N antigen มีอยู่ 9 ชนิดคือ N1-N9 เชื้อชนิด H5,H7 จะเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดการระบาดอย่างรุนแรง
- Influenza B virus จะเกิดโรคเฉพาะในคน เชื้อนี้จะทำให้เกิดการระบาดเป็นครั้งๆ แต่ไม่ทำให้เกิดการระบาดไปทั่วโลกเหมือน type A
- Influenza C virus ไม่มีการแบ่ง antigen ทำให้เกิดโรคอย่างเบาในคน ไม่มีการระบาด
Type: Influenza A
ไวรัสชนิดนี้จะเป็นสาเหตุของการระบาดในคน การระบาดของไข้หวัดนกทั่วโลกเกิดจากเชื้อตัวนี้ จะมี H antigen อยู่ 15 ชนิดคือ H1-H15 ส่วน N antigen มีอยู่ 9 ชนิดคือ N1-N9
เมื่อเร็วๆนี้เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ H5, H7, and H9
influenza Aจะพบในนกโดยที่นกจะไม่เป็นโรค influenza A ชนิด H5 and H7 จะทำให้เกิดการระบาดในสัตว์เลี้ยง นอกจากนั้น influenza A ยังทำให้เกิดโรคในม้า หมู ปลาวาฬ แมวน้ำ แมว เสือ
การเรียกชื่อไวรัส
การเรียกชื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่อาศัยหลักเกณฑ์ดังนี้้
Type ให้ใช้ A,B,C กรณีที่เป็น Type A จะแยกเป็น 2 ชนิดคือ H,N antigen และแต่ละชนิดยังแยกเป็นย่อย
- แหล่งกำเนิดโรค - ลำดับพันธุ์ที่แยกเชื้อได้ - ปี ค.ศ.ที่แยกได้ - สำหรับ influenza A ให้บอกชนิดย่อย ของ H และN แอนติเจน ตัวอย่าง Influenza virus A/Hong kong/1/68/[H3N2]
ไข้หวัดใหญ่คนและไข้หวัดใหญ่นกต่างกันอย่างไร
คนจะติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ทั้ง Influenza A,B,C สำหรับType A เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ H1N1, H1N2, และ H3N2
สำหรับไข้หวัดนกจะเป็นเฉพาะ Type A สายพันธุ์ที่มักจะทำให้เกิดโรคในนกได้แก่ H5 และ H7 แต่ความทนทานต่อเชื้อไข้หวัดของนกแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน นกน้ำ เป็ดป่า นกป่าจะไม่เกิดโรค สัตว์เหล่านี้จะเป็นพาหะและจะนำเชื้อไปสู่สัตว์เลี้ยงทำให้สัตว์เลี้ยงเกิดโรค และเชื้อนั้นอาจจะติดมายังคน
การระบาดของเชื้อโรค
เชื้อที่เป็นสาเหตุของการระบาดได้แก่ Influenza A virus ซึ่งมีวิธีการระบาดได้สองวิธีคือ
- highly pathogenic avian influenza (HPAI) คือการระบาดชนิดรุนแรงซึ่งทำให้เกิดอัตราการตายสูงเกิดจากเชื้อ H5,H7
- low-pathogenic avian influenza (LPAI) เป็นการระบาดอย่างไม่รุนแรง แต่อาจจะกลายพันธุ์เป็นเชื้อที่ระบาดรุนแรงก็ได้ การระบาดเชื่อว่าเกิดจากนกน้ำ หรือนกที่อพยพจากแหล่งอื่นที่เป็นภาหะของโรคนำเชื้อโรคมาที่ฟาร์ม
การเปลี่ยนแปลงทางพันธุ์กรรมของไวรัส
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A จะมีการกลายพันธุ์อยู่เสมอ และทำให้เกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่เป็นระยะๆ การเปลี่ยนแปลงทางพันธุ์กรรมของเชื้อไวรัสไข้หวัดนกมีสองวิธีได้แก่
-antigenic drift เป็นการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของไวรัสทำให้เกิดไวรัสพันธุ์ใหม่ที่ร่างกายไม่เคยเจอจึงไม่มีภูมิต่อเชื้อโรคนี้ ตัวอย่างการเกิดการกลายพันธุ์ทำให้ในแต่ละปีต้องคิดวัคซีนเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่
- antigenic shift คือการที่เชื้อไวรัสไขหวัดมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุ์กรรม เมื่อเชื้อนั้นไปติดเชื้อสัตว์ ทำมีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของเชื้อไวรัสอย่างทันที ทำให้เกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่คนไม่รู้จักและไม่เคยมีภูมิต่อเชื้อโรค เมื่อเชื้อระบาดเข้าสู่คน คนไม่มีภูมิต่อเชื้อโรคจึงเกิดการระบาดไปทั่วโลก ดังเคยเกิดมาเมื่อปี 1918ที่ประเทศสเปน การเกิด antigenic shift มักจะเกิดกับสัตว์เลี้ยงใกล้ตัว เช่น แมว หมู
เชื้อไข้หวัดนก
เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ติดในนกเรียกว่า avian influenza viruses ซึ่งเป็นเชื้อชนิด infuenza type A เท่านั้น สายพันธ์ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในนกได้แก่สายพันธ์ H5, H7, และ H9 ลักษณะของการติดเชื้อไข้หวัดนก
Influenza A H5
- มี9สายพันธ์ได้แก่H5N1, H5N2, H5N3,
H5N9 เป็นได้ทั้งชนิดที่มีความรุนแรงมากและน้อย( highly pathogenic or low pathogenic ) - มีหลักฐานว่าเกิดการติดเชื้อในคน และทำให้เสียชีวิต
Influenza A H7
- มี9สายพันธ์ได้แก่ H7N1, H7N2, H7N3,
H7N9 เป็นได้ทั้งชนิดที่มีความรุนแรงมากและน้อย( highly pathogenic or low pathogenic ) - ไม่ค่อยพบว่าติดต่อสู่คน นอกจากจะพบในคนงานในฟามร์ ทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบ
Influenza A H9
- มี9สายพันธ์ได้แก่ H7N1, H7N2, H7N3,
H7N9 เป็นเฉพาะที่มีความรุนแรงน้อย - มีรายงานว่าคนติดเชื้อนี้ 3 คน
credite: //www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/influenza.htm
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2552 12:18:37 น. |
Counter : 4526 Pageviews. |
|
|
|