...ความรู้สามารถเรียนทันกันได้...
Group Blog
 
<<
กันยายน 2559
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
7 กันยายน 2559
 
All Blogs
 
Dow Theory







Dow Theory หนึ่งในวิธีการอ่าน Trend แบบเข้าใจง่ายๆ โดย นักแกะรอยหยัก

วันนี้เอา ทฤษฎีการอ่าน Trend ที่เก่าแก่ แต่ Work ที่สุด ตั้งแต่อดีต จนปัจจุบัน มาให้ดูกัน


....ใช่!! แล้วครับทฤษฎี Dow Theory ที่หลายๆคนคุ้นหูกันดี เพราะ เป็นทฤษฎีที่เรียกได้ว่า เป็น พื้นฐานที่สำคัญของการพัฒนาวิชา ในสาย Technical Analysis เลยก็ว่าได้


ทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นขึ้นมา โดย นาย Charles H. Dow (1851–1902) ชายผู้นี้เป็นเป็นก่อตั้งหนังสือพิมพ์  Wall Street Journal ที่ทรงอิทธิพลมาใน Wall Street นั่นเอง  


จริงๆแล้วทฤษฎีนี้ นาย Charles Dow ไม่ได้เป็นผู้ถ่ายทอดออกมาโดยตัวของเขาเอง แต่ทฤษฎีถูกศึกษา ขึ้นมาจาก บท Editorial ที่นาย Dow เคยเขียนลงใน Wall Street Journal อย่างยาวนาน ..


"ด้วยเหตุที่ว่า นาย Dow เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ที่ทำนายการขึ้นลงของตลาดได้อย่างแม่นยำ จนทำให้เขาเองประสบความสำเร็จในการลงทุน ในระดับตำนานคนนึงเลยของ Wall Street" -- 

ซึ่งผู้ที่เอา บทความของ Dow มาศึกษาและสกัดเป็น Dow Theory ก็คือ ชาย 3 คน ที่ชื่อว่า  William Peter Hamilton, Robert Rhea and E. George Schaefer

ทฤษฎี Dow แบ่งออกเป็น 6 หลักการสำคัญ คือ


  1. The market has three movements

ตลาดมีการเคลื่อนไหวหลักๆ 3 แบบคือ

· The"main movement"คือการเคลื่อนไหวของ Trend ในภาพใหญ่ ก็จะเป็นระยะปี ถึงปี  /

· The"medium swing" คือ การเคลื่อนไหวของ Trend ในระยะกลาง ตั้งแต่ week ไปจนหลายเดือน secondary / และ

· The"short swing" คือการเคลื่อนไหวในระยะสั้น ตั้งแต่ ชัวไมง ไปจนถึงหนึ่งเดือน(ข้อนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เพราะการขึ้นลงของหุ้นมันขึ้นลง เหมือนกระแสน้ำเป็นคลื่นนั่นเอง ...ดังนั้น ในขึ้น มีย่อ ..ในลง มีเด้ง -- ประเด็นคือคนส่วนใหญ่จะโดนอาการแบบนี้หลอกเสมอ จนเสมือนถูกผีหลอก..555 มองว่าขึ้นดันลง มองลง ดันขึ้น ...นั่นแหละ ธาติไฟแตกซ่าน ต้องถอยออกไปตั้งสติแล้วมองตั้งแต่ ใหญ่ ไป เล็ก .. จากนั้นก็เลือกกำหนดว่าจะเล่นหุ้นในภาพไหน..เพราะมันเล่นได้ทุกภาพ "ในขึ้นมีลง ในลงมีขึ้น"แต่ที่เลือกไม่ได้ว่าจะเล่น ตรงจุดไหน คือ คนที่ไม่รู้จะเดินไปทิศทางไหนก้เจ๊งตลอดนั่นเอง)

  1. Market trends have three phases ตลาดหุ้นมี Trend และแบ่งเป็น ช่วงๆ ได้3 Phase ใหญ่ๆ คือ 1. ช่วงเก็บของ an accumulation phase (ช่วงนี้ก็ตามชื่อ ..คือ ช่วงที่เจ้าเก็บของ ..คนส่วนใหญ่ยังไม่สนใจ เพราะมองว่าหุ้นยังไม่ขึ้น หรือมองลบต่อหุ้นนั้นๆ นั่นเอง -- แต่เจ้าเขาสนใจ "เจ้าในที่นี่คือ ใครก็ได้ ที่ใหญ่พอ ที่มีผลต่อการซื้อขาย จนมีนัยยะในการขึ้นลงต่อหุ้นตัวนั้นๆ') 2. ช่วง  public participation phase (ช่วงมหาชนเริ่มสนใจ ช่วงนี้นักลงทุนเริ่มเข้ามา ซึ่งนัก Technical ที่เล่นตาม Trend Following ก็จะกระโจนเข้ามาในช่วงนี้ และทำกำไรตามหุ้นที่ขึ้นอย่างร้อนแรง) 3. a distribution phase (ช่วงปล่อยของ ..ก็คือ ช่วงที่แมลงเม่า หรือ คนส่วนใหญ่เริ่มออกทำงาน ..คนเหล่านี้ เห็นหุ้นขึ้นมาร้อนแรง เห็นข่าวดีมากมาย ..จากนั้นก็เลยกระโดดเข้าไปตาม ซึ่งเวลาที่โดดเข้าไป ก็มักเข้าไปในช่วงที่ตลาดขึ้นไปสุดแล้ว เริ่มย่อ ก็นึกว่าได้ของถูก ..แต่ความจริง การย่อ มันเป็นจุดเริ่มต้นของขาลง ..ในที่สุด เขาก็อยู่บนดอยนั่นเอง)
  2. "ราคาสะท้อนทุกอย่างในตลาดอยู่แล้ว" ... นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล Insideหรือ ว่าข่าวสารทุกอย่าง ได้สะท้อนในราคาล่าสุดที่อยู่ในหุ้นอยู่แล้ว (ข้อนี้สำคัญมาก แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ จึงซื้อหุ้นตามข่าวดี ขายตามข่าวร้าย -- "ซวยเสมอ ก็เพราะไม่เข้าในกฏข้อนี้นั่นเอง')
  3. Stock market averages must confirm each other ทุกอย่างต้องมีความสอดคล้องกัน ...ประมาณว่า ไม่มีอะไรเกิดโดยไร้เหตุผล เช่น ค้าขายดี การขนส่งก็ควรดี ..ดังนั้น ถ้าค้าขายดี แต่การขนส่งแย่ อาจมีกลิ่นแปลกๆ เพราะ มันจะดีได้อย่างไร หากไม่มีการหมุนเวียนของสินค้า ..หรือ บริษัทบอกว่า ธุรกิจดี แต่สินค้าขายไม่ได้ อันนี้ก็กลิ่นตุๆ ...ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น มันมีสัญญาณบอกเราก่อนเสมอ เช่น คนเริ่มไม่ใช้จ่าย คนเริ่มกู้ไม่ไหว ..ก็ส่งสัญญาณขาลงของเศรษฐกิจ ประมาณนั้น ..."ต้องหมั่นเป็นคนช่างสังเกตุในสิ่งรอบตัว เพราะตลาดหุ้นก็คือ กระจกส่องของเศรษฐกิจนั่นเอง"
  4. Trends are confirmed by volume การที่ตลาดจะมี Trend ต้องมี Volumeด้วย ..ไม่งั้น อาจเกิดจาก "การสับขาหลอก" ..ดูดีๆ
  5. Trends exist until definitive signals prove that they have endedข้อนี้สำคัญ คือ ราคาจะขึ้นจนกว่ามันจะไม่ขึ้น จากนั้นมันก็จะลง .. พอลงมันก็จะลง จนมันไม่ลง จากนั้น มันก็จะขึ้น -- ซึ่งข้อนี้ ถูกตีความให้เอามาใช้ใน Technical เป็น "หัวยก ตูกยก คือ ขาขึ้น .. หัวลง ตูดลง คือ ขาลง (เหมือนน้ำ ลูกคลื่นนั่นแหละครับ) -- ถ้าเข้าใจการขึ้นลงบของน้ำ ก็จะเข้าใจทฤษฎี Dow นั่นเอง"

 มาดูของจริงกัน

(อันนี้ผม Plot ใส่สูตร ใน Chart ให้ แสดงออกมาเป็น สี -- สีแดงคือ Bearish คือ ขาลง "ไม่ควรมีหุ้น ..เพราะขาลงเราไม่รู้ว่าจะลงถึงเมื่อไหร่ ดังนั้น ผู้ที่ Trade ตามทฤษฎี Dow จะขายออก ทุกครั้งที่เริ่มสัญญาณ Beraish" ..ส่วนในขาขึ้น สีเขียว เขาก็จะถือ จนกว่าจะไม่ขึ้น)... มันตรงๆ แบบกำปั้นทุบดิน แต่ก็ลองศึกษากันดู เพราะนี่คือ แก่นของ Technical Analysis คือ คิดดีๆ คุณเล่นหุ้นควรรู้ว่า ตอนนี้มันขึ้นหรือลง Bull หรือ Bear ...

ลองดู


"ตอนนี้ในภาพ Day  หัวยก ตูกยก" -- ก็แปลว่า Bullish ขึ้นต่อ ... คำถามคือ แล้วมันจะขึ้นต่อถึงเมื่อไหร่ -- ตอบง่ายๆ ว่ามันจะขึ้นต่อ จนถึงมันไม่ขึ้นต่อ ก้จะเกิดสัญญาณ Bearish นั่นเอง


https://www.facebook.com/notes/bualuang-securities/dow-theory-




Create Date : 07 กันยายน 2559
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2559 21:15:41 น. 0 comments
Counter : 1058 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Querist
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




Friends' blogs
[Add Querist's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.