Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
การกลับมาของเพื่อนเก่า

พูดถึงเรื่องความทรงจำ มันก็คงต้องมีทั้งดีและไม่ดี ถึงแม้ว่าจะมีความทรงจำที่เลวร้ายบ้าง แต่ดิฉันมักไม่ค่อยใส่ใจ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ไม่มีเวลาจะไปจดจำเรื่องที่ไม่ได้ทำให้ชีวิต ณ วันนี้ดีขึ้นแต่อย่างใด

แล้วความทรงจำที่ดีเล่า ถึงจะเลอะๆ เลือนๆ ไปบ้าง เหมือนตามเพลงของฮอทเปปเปอร์ (อย่าเดาอายุกันเลยค่ะ ดิฉันชอบฟังเพลงเก่าค่ะ เป็นรสนิยมส่วนตัวมั้ง?)
"บางสิ่งที่อยากลืมเรากลับจำ บางสิ่งที่อยากจำเรากลับลืม คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขัน อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ"
แล้วก็ร้องวนไปวน เพราะจำเนื้อได้แค่นี้

บางทีอะไรๆ ที่เราลืมๆ ไป มันก็หวนกลับเข้ามาในชีวิตอยู่เนืองๆ จะด้วยชะตาหรือฟ้าหรือกรรมกำหนดเอาไว้ก็มิทราบได้ และการกลับมาของเพื่อนเก่านี้ ก็เฉกเช่นกัน พอเราจะลืมๆ ก็กลับเข้ามาอีกเป็นระยะๆ

ครั้งแรกที่ดิฉันพบอี๊ดเมื่อ 17-18 ปีที่แล้วสินะ เธอเป็นเด็กสาวที่สวยสะดุดตามาก ตาโตดังตาหงส์ ผิวพรรณสวยแลดูนุ่มนวล ตอนนั้นเธออายุ 13 ปี หรือจะเรียกว่า 13 ขวบดี ใบหน้าของเธอเกลี้ยงเกลา ไม่มีสิวสาวเกิดขึ้น รูปร่างของจะท้วมเล็กน้อย ถ้าพูดตามประสาชาวบ้านก็คืออวบอั๋นตามธรรมชาติของเด็กสาวรุ่น

ทำไมเราถึงต้องเจอกัน มันเป็นเรื่องของความบังเอิญ เพราะเธอต้องมารับการรักษาทางสุขภาพอย่างหนึ่ง และดิฉันเป็นนักเรียนในตอนนั้นได้รับมอบหมายให้ช่วยดูแลเธอ ความสัมพันธ์และมิตรภาพเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มิมีการนัดหมายใดๆ ทั้งสิ้น คุยคร่าวๆ พอรู้ว่ากลับทางเดียวกัน

"อี๊ดจะกลับบ้านอย่างไรวันนี้ เดี๋ยวพี่ไปส่งไหม รอแป๊บนึงพอทำงานเสร็จก็ไปด้วยกันได้"
"ขอบคุณค่ะพี่"

นับจากวันนั้น ทุกครั้งที่ได้พบเจอเธอ ทำให้ดิฉันได้รับรู้เรื่องราวของเธอทีละเล็กละน้อย และความผูกพันมันสานต่อโดยที่ดิฉันและเธอคงไม่รู้ตัว

"พ่อหนูเอาหนูมาฝากไว้กับป๋าตั้งแต่หนูอายุ 11 แล้วนะพี่ แต่ป๋าดีนะพี่ เขาบอกว่าหนูยังเด็ก ให้ช่วยเก็บแก้วและทำความสะอาดหลังบาร์เลิกก็พอ"

ป๋าที่ว่าเป็นใครนั้น ดิฉันมิเคยถาม และมิเคยอยากรู้ จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยถาม
ดิฉันรู้แต่ว่า เวลาที่ต้องไปส่งอี๊ด จะส่งที่หน้าสถานที่บันเทิงแห่งหนึ่งในย่านท่องเที่ยวที่ยามค่ำคืนจะครึกครื้น และมักมีรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นจอดอยู่หลายคันเสมอ จำได้แม่นยำ ด้วยว่าบาร์แห่งนี้เป็นทางผ่านไปยังบ้านพักในตอนนั้นของดิฉันนั่นเอง ทุกครั้งดิฉันจะจอดส่งอี๊ดที่ข้างหน้าบาร์เลย

"แต่หนูยังไม่ดูแลแขกนะพี่ หนูยังเด็ก อีกสัก 2 ปีมั้ง เห็นป๋าบอก ให้หนูอายุ 15 ปีก่อน จริงๆ พูดง่ายๆ นะพี่ พ่อหนูเอาหนูมาขายนั่นแหละ พ่อมีเมียใหม่ แล้วหนูก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่ ก็ดีนะ มีกินมีที่อยู่"

เธอเป็นเด็กสาวที่สวย ฉลาด มองโลกในแง่ดี และที่สำคัญมองโลกในแบบที่มันเป็น เธอไม่คิดว่าโลกนี้มันเลวร้าย แต่เธอคิดว่าทำอย่างไรเธอจะอยู่ได้อย่างรอดปลอดภัยมากกว่า

วันนึงรถติดไฟแดง เรามองเห็นเด็กขายพวงมาลัยเคาะหน้าต่างของรถแต่ละคัน รถคันหนึ่งโบกมือว่าไม่เอา แต่ว่าลดหน้าต่างลง แล้วยื่นเงิน 10 บาทให้ เด็กขายพวงมาลัยส่ายหน้า แล้วเดินจากไป
"เออ ดูสิ แปลกดี เขาให้เงินแล้วไม่เอานะ มีศักดิ์ศรีนะเนี่ย ถ้าไม่ซื้อก็ไม่รับเงินให้เปล่า"
"พี่คะ ถ้าเป็นหนู หนูรับนะ"
... อี๊ดเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ
"คนเราเวลาที่ไม่มีเนี่ย เราต้องไม่หยิ่งนะพี่ ถ้าเป็นหนู หนูจะรับเอาไว้ ศักดิ์ศรีน่ะมันกินไม่ได้"

ดิฉันจำได้แม่นและรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ที่ 13 ขวบแต่กลับมีความคิดและความนิ่งในการคิด
ที่ไม่ธรรมดาอีกอย่างคือ เธอขาดความสดใสของเด็กวัยนี้ไป

ดิฉันรับรู้เรื่องราวและเรื่องเล่าของชีวิตของเธอ จากเธอเองทุกๆ ครั้งที่ได้มีโอกาสอยู่กัน 2 ต่อ 2 และความเห็นอกเห็นใจก็ก่อเกิดขึ้นในจิตใจของดิฉันอย่างน่าพิศวง ซึ่งตัวดิฉันเองก็บอกไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นเพราะอะไร?

เพื่อนๆ ในกลุ่ม บอกดิฉันว่า อย่าเอาตัวเองเข้าไปรับรู้เรื่องราวของเด็กคนนี้ให้มากนัก ติดต่อกันในเรื่องที่เราต้องดูแลเขาในด้านสุขภาพก็เพียงพอแล้ว

ในวันที่เธอต้องมาพบดิฉัน เธอจะนั่งรอดิฉันจนถึงเย็นเพื่อที่จะได้กลับพร้อมกัน
"หนูอยากอยู่กับพี่ ไม่มีอะไรทำหรอก แค่ไปช่วยช่วงเย็นที่บาร์เท่านั้น ตอนกลางวันหนูว่างๆ หนูก็ไม่มีอะไรทำ มาหาพี่ หนูยังเห็นว่าที่โรงเรียนเป็นยังไง คนที่แต่งชุดนักศึกษาเป็นยังไง หนูคงไม่มีวาสนาที่จะได้ใส่หรอกพึ่ แค่ดูก็ยังดี"
หลายๆ คนที่เห็นอี๊ดเดินตามดิฉันในช่วงหลังๆ เข้าใจว่า นี่คือน้องสาวที่แท้จริงของดิฉัน

เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี ความผูกพันและความใกล้ชิดมาถึงจุดที่ดิฉันมีแผนการหนึ่งเกิดขึ้นสำหรับอี๊ด และดิฉันต้องการทำให้มันเป็นจริง

ดิฉันบอกตัวเองว่า เราดูคนไม่ผิดหรอก คนหนึ่งอาจจะหลอกใครๆ ได้ด้วยคำพูดและการกระทำ แต่ดวงตาคู่โตและสวยคมดั่งตาหงส์คู่นั้นของเธอมันบอกดิฉันว่า มันไม่เคยโกหก

แผนการของดิฉันเริ่มขึ้นจากบทสนทนากับเพื่อนชายรู้ใจในขณะนั้น ซึ่งหุ้นทำร้านค้าประเภทหนึ่งกับเพื่อนอีก 2-3 คน บางทีเล่าให้ฟังเสมอว่า ถ้าได้เด็กมาช่วยคนงานที่จ้างอยู่แล้วก็น่าจะดี ลูกจ้างประจำจะได้ไม่เหนื่อยมาก กลัวจะลาออกไปเสียก่อน ดิฉันจึงเล่าเรื่องของอี๊ดให้เพื่อนชายฟัง พร้อมทั้งบอกแกมบังคับว่า ดิฉันต้องการให้อี๊ดย้ายออกจากบาร์มาอยู่ที่ร้านค้านั้น และขอให้ได้รับเงินเดือนโดยพอประมาณตามงานที่ทำ

นั่นเป็นแผนการแรกที่ดิฉันวางเอาไว้ และมันสำเร็จ...
อี๊ดคุยกับป๋า ป๋าตกลงยอมให้อี๊ดออกจากบาร์โดยไม่ต้องจ่ายเงินคืนแต่อย่างใด นับว่าเขาเป็นคนที่ดีคนหนึ่งที่น่าจะหาได้ยากในสังคมปัจจุบัน หรือไม่ก็คือ อี๊ดเป็นคนที่โชคดีมากคนหนึ่งที่ได้มาเจอป๋า ไม่ใช่คนอื่น สำหรับดิฉันการช่วยให้อี๊ดออกมาจากบาร์ได้ เป็นเพียงการกระทำที่ดิฉันคิดว่า หากเป็นน้องสาวจริงๆ เราจะทำอย่างไร ก็เท่านั้น แต่สำหรับอี๊ด ดิฉันคือคนที่ให้ชีวิตใหม่แก่เธอในทันที

อี๊ดทำงานวันละ 4-5 ชั่วโมง มีวันหยุด 1 วัน/สัปดาห์ ที่อยู่ไม่ต้องเสีย ได้เงินเดือนๆ ละ 700 บาท เธอตั้งใจทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ภายหลังออกจากบาร์ ดูเหมือนว่าอี๊ดมีชีวิตตามที่ควรจะเป็น ถามว่าสบายกว่าที่บาร์ไหม เธอตอบว่าไม่ได้สบายกว่า แต่เธอรู้สึกว่าเธอน่าจะมีอนาคตให้ได้คิดฝันบ้าง นี่คือโอกาสที่ดีในชีวิตของเธอ เธอต้องการจะทำให้มันดีที่สุด

แผนการขั้นต่อไปคือการโน้มน้าวให้อี๊ดเรียนศึกษาผู้ใหญ่ต่อ ในขณะนั้นดิฉันเรียนจบและไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว อี๊ดเล่าให้ฟังก่อนไปว่า เธอได้สมัครเรียนแล้วและจะเรียนตามที่เคยคุยกันไว้ อย่างน้อยต้องให้ได้วุฒิ ม. 6

และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับเพื่อนชายเริ่มร้างราด้วยวัตถุประสงค์ในชีวิตไม่สอดคล้อง ความร้าวฉานก็เข้ามาเยือนและนำไปสู่จุดจบตามความคาดหมายของตัวดิฉันเองและคงจะเป็นความคาดหมายของเขาด้วยเช่นกัน และข่าวคราวของอี๊ดก็หายไปพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ดิฉันมีกับเพื่อนชายนั่นเอง

ต่อมาดิฉันเดินทางไปเรียนต่อ ชีวิตมีแต่เบื้องหน้าที่เราต้องค้นหาและผจญภัย ชีวิตที่ผ่านมานับจากนี้ไปเป็นแค่อดีตเท่านั้น และอี๊ดก็ถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มของบุคคลในอดีตที่ช่วงหนึ่งของชีวิตเราเคยได้พานพบและรู้จัก




Create Date : 04 ตุลาคม 2549
Last Update : 4 ตุลาคม 2549 20:52:34 น. 17 comments
Counter : 1211 Pageviews.

 
มันเป็นเวลานานเท่าไรแล้วนะ ที่ชื่อของอี๊ดไม่ได้หลุดเข้ามาในสาระบบแห่งห้วงความคิดคำนึงของดิฉัน

เพื่อนรักคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อมีชีวิตอยู่บนความคาดหวังของใคร หากแต่บนความคาดหวังของตนเอง และดิฉันก็เชื่อเช่นนั้น หากวันหนึ่งโชคดีมีโอกาสได้มาพานพบกันอีก ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็ดำเนินชีวิตไปตามทางและแผนการของแต่ละคนไป

หลังเรียนจบและกลับไปทำงานต่างจังหวัดที่เมืองไทยดังเดิม ความทรงจำเกี่ยวกับอี๊ดก็ย้อนกลับมาในหัวของดิฉันอีกจนได้ เพียงเพราะรูปปักครอสติชท์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในกล่องใบหนึ่ง ระหว่างที่ดิฉันรื้อข้าวของที่เก็บไว้ออกจากกล่องต่างๆ เพื่อจัดห้องพักที่ถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็นห้องเก็บของในช่วงที่ดิฉันลาไปเรียนต่อ

รูปปักนั้นถูกเข้ากรอบเอาไว้อย่างสวยงาม เป็นรูปกวางแม่-ลูกยืนกินหญ้าในป่า และมีนาฬิกา เป็นสไตล์ในยุคนั้นที่หญิงสาวทุกวัย นิยมใช้เวลาว่างจากงานเพื่อทำงานฝีมือลักษณะนี้ แต่ไม่ใช่ผู้หญิงแบบพธูไทย เพราะดิฉันปักไม่เป็นและไม่อดทนที่จะทำให้ได้

"หนูให้เป็นของขวัญสำหรับพี่นะ หนูภูมิใจแทนพี่มาก"
เธอยื่นภาพปักเข้ากรอบนี้ให้ ในวันรับปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น

"ปักเองเหรอ โห ทำไมต้องทำมาให้แบบนี้ สงสัยจะทำนานนะ ไม่เห็นต้องให้อะไรพี่เลย มาให้เห็นหน้าก็ดีใจแล้ว"
"หนูทำมาหลายเดือนแล้ว ทำตอนว่างๆ หนูอยากให้พี่ ให้เป็นกรอบอย่างนี้เลย และพี่ก็เอาไปติดข้างฝานะ พี่จะได้นึกถึงอี๊ดบ้าง อี๊ดคงจะคิดถึงพี่มากแน่ๆ เลย เพราะอี๊ดจะไม่มีใครแล้ว"
"ทำไมจะไม่มีใครล่ะ อยู่ที่ร้านก็มีเพื่อนแถวๆ นั้น มีลูกค้าที่แวะเวียนมาคุย แล้วก็ยังมีพี่นก"
ดิฉันหมายถึง ลูกจ้างประจำที่ทำงานที่ร้านที่อดีตเพื่อนชายของดิฉันเป็นหุ้นส่วนแห่งนั้น และอี๊ดไปช่วยงาน

"ไม่มีหรอกพี่ เพราะมันเทียบกันไม่ได้ สำหรับพี่ อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย อี๊ดเป็นเด็กคนนึงที่พี่รู้จัก แต่สำหรับอี๊ด พี่เป็นเหมือนแม่และเหมือนพี่แท้ๆ"
"พอแล้ว ร้องไห้ทำไม ไม่มีใครที่ไหนตาย"
"หนูไม่เคยร้องไห้แบบนี้หลังจากแม่ตายเลยนะพี่ พ่อเอาหนูมาขาย หนูยังไม่ร้องไห้เลย..."
"แต่พี่ไม่ได้ตายนี่นา เลิกร้องได้แล้ว"
"พี่กำลังทำให้หนูเศร้า"
"จำเอาไว้นะ ตั้งใจเรียน อนาคตเป็นของเรา อี๊ดจะได้เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง และอี๊ดก็กำลังทำอยู่ อย่าลืมบอกพี่ว่ารับปริญญาเมื่อไรนะ พี่จะมาทันที แต่พี่ไม่ปักภาพครอสติทช์ให้นะ มันทรมาน"

ดิฉันหยิบรูปปักขึ้นมา เอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเอาฝุ่นออก และตัดสินใจติดเอาไว้ที่ข้างฝา ที่เคยถอดมันลงมาก่อนที่จะเก็บเข้ากล่อง ตอนเตรียมตัวจะไปเรียนต่อนั่นเอง


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:20:53:52 น.  

 
เราได้ยินเสมอๆ ถึงคำกล่าวที่ว่า คนที่พูดถึงอดีต คือคนแก่
เพราะเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้น หรือที่ถูกเก็บเกี่ยวมา ในตลอดช่วงชีวิตหนึ่งๆ ถูกบันทึกเอาไว้เหมือนดั่งฟิล์มหนังที่ไม่เคยเก่า และพร้อมจะถูกฉายย้อนขึ้นมาได้เมื่อมีสิ่งกระตุ้นทำให้เรานึกถึง หรือไม่ก็เพราะประสบการณ์นั้นๆ มันฝังใจไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี

แต่ดิฉันมิใช่คนที่จะมีชีวิตอยู่กับอดีต เรายังมีปัจจุบันและอนาคตที่ต้องคิดถึง สำหรับอดีตที่ตัวเองอยากนึกถึงและเพราะเราเลือกได้ ดิฉันจึงพยายามจะเลือกนึกถึงมีเพียงอดีตที่สวยงามเท่านั้น ส่วนอดีตใดๆ ที่ไม่สวยงามมันคงมิมีทางที่จะลบเลือนจากไป หรือเราจะเปลี่ยนแปลงมันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เราก็สามารถปรุงแต่งด้วยจิตใจของเราเองให้เห็นอดีตเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่การจดจำ ย้ำเตือนตัวเองว่า เพราะเราเลือกได้ ชีวิตของเราจะไม่ย้อนรอยอดีตในส่วนนี้อีกถ้าเราไม่ใช่คนโง่

แต่ในความเป็นจริง มิใช่เพียงแต่คนแก่เท่านั้นที่จะมีสิทธิพิเศษในการนึกถึงอดีต เราพูดถึงอดีต เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ยามที่เราได้หวลกลับมาพบกับเพื่อนๆ ที่เราเคยใช้ชีวิตในวัยเยาว์ ชีวิตมหาวิทยาลัย ชีวิตการงานที่เคยทำ ทุกๆ ครั้ง แผ่นฟิล์มหนังหลายเรื่อง หลายตอนที่เปรียบเสมือนแผ่นความจำขนาดเล็กแต่มีความจุมหึมาที่ฝังอยู่ในหัวสมองดูจะออกมาวิ่งโลดแล่น พาดผ่านกันไปมา หลายบท หลายฉาก ที่มีตัวละครแตกต่างกันไป

คนๆ หนึ่งอาจเป็นตัวละครชูโรงของฉากหนึ่งๆ สำหรับความทรงจำของอีกคน แต่สำหรับอีกคนหนึ่ง คนเดียวกันอาจเป็นเพียงแค่ตัวประกอบฉากเท่านั้น

ตลอด 3 ปี ภายหลังจากที่เรียนจบกลับมาทำงานที่เมืองไทย ดิฉันสนุกกับการทำงาน กับโครงการใหม่ๆ ในชีวิตทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องหน้าที่การงาน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก โครงการย้ายมาอยู่ที่ฝรั่งเศสเริ่มก่อตัวแบบเห็นรูปร่างมากขึ้น อนาคตที่ดูเหมือนจะไกลเกินกว่าที่เราจะคิดถึงมัน ยามที่เรานึกถึงว่า การตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายฝรั่งเศสและอยู่แยกกันแบบนี้ เราจะทำอย่างไรต่อกับชีวิตที่เหลือของเรา ตอนนี้เริ่มจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบัน นั่นคือใกล้เคียงความจริงมากขึ้นทุกที

"คุณพธูไทยคะ มีโทรศัพท์มาค่ะ"
เสียงเรียกจากอินเตอร์คอม ทำให้ดิฉันละมือออกจากแป้นคอมพิวเตอร์ ซึ่งปกติในวันทำงานระหว่างสัปดาห์ที่แสนจะยุ่งเหยิงแบบนี้ ใครจะตามหาดิฉันจะหาตัวได้ง่ายมาก เพราะถ้าไม่อยู่ที่หน้าคอมพ์ ง่วนกับการจัดการหลายๆ โครงการอย่างสนุกสนาน ก็สามารถตามหาดิฉันได้ที่ห้องบรรยายนักศึกษา

"ฮัลโหล พธูไทยรับสายค่ะ ใครต้องการพูดด้วยคะ"
"พี่พธู พี่พธูจริงๆ ด้วยใช่ไหม? นี่อี๊ดนะพี่ นี่อี๊ดนะ พี่จำได้ใช่ไหม?" เจ้าของเสียงคู่สาย แลดูตื่นเต้น พูดเร็วระรัว

เป็นความประหลาดใจที่แทรกไปด้วยความดีใจ ด้วยนึกไม่ถึงว่าบุคคลที่โทรศัพท์มาหาจะเป็นอี๊ด เด็กสาวเจ้าของภาพปักคนนั้น
"...เอ่อ.. อ้อ อี๊ดเหรอ เป็นยังไงบ้าง?"
"พี่พธูสบายดีใช่ไหม? หนูคิดถึงพี่มากเลยนะ คิดถึงมาก"
"แล้วเป็นยังไงบ้าง?" เวลาคนที่ไม่เจอกันนานๆ หรือไม่ได้คิดถึง หรือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในช่วงนั้นๆ ก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรดี หรือว่าไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหนดี

นี่มันกี่ปีแล้วนี่ที่ดิฉันไม่เห็นหน้าอี๊ด นับจากวันที่รับปริญญา?

"พี่จำหนูได้นะ เราไม่ได้เจอกัน 8 ปีแล้วนะพี่"
"8 ปีแล้วเหรอ ทำไมมันเร็วจัง แล้ว.. แล้วเป็นยังไงบ้าง?"
"หนูอยู่หาดใหญ่นะพี่ หนูจะมาหาพี่นะ มาเลยเย็นนี้ พี่ว่างใช่ไหม?"
"แล้วรู้ได้ไงว่าพี่อยู่นี่"
"ก็ตามหาสิพี่ หนูตามหาพี่มานานแล้วนะ พี่นกและพี่นรา (อดีตเพื่อนชายของดิฉันเอง) ไม่บอกหนูว่าจะติดต่อพี่ยังไง ตั้งแต่พี่เลิกกันไปกับพี่นรา คนทุกคนก็ไม่พูดถึงชื่อพี่อีกเลย หนูก็ไม่กล้า"
"ขนาดนั้นเลยเหรอ?" ใช่สิ ดิฉันเคยบอกเลิกแฟนก่อนไปเรียนต่อนี่นา ไม่เพียงแต่ความทรงจำในเรื่องของอี๊ดแต่ความทรงจำส่วนอื่นด้วยเช่นกันที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา

"พี่ไปทำงานต่อนะ เดี๋ยวเราเจอกันตอนเย็นนี้นะ หนูมาหาพี่เอง"
ตลอดช่วงบ่ายของวัน จิตใจของดิฉันเต็มไปด้วยความสุขอย่างบอกไม่ถูก อี๊ดเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในส่วนของความทรงจำที่ดีของดิฉัน เวลาเรานึกถึงสิ่งที่ดีๆ มันทำให้เรามีความสุขอย่างนี้เสมอ

8 ปีแล้ว...
8 ปีที่ดิฉันเฝ้าสร้างโครงการชีวิตของตัวเอง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา เรามองย้อนกลับไปทุกสิ่งทุกอย่างยังชัดเจน แต่เป็น 8 ปีที่ไม่มีอี๊ดอยู่ในอดีตช่วงนี้เลย

เย็นนี้ดิฉันคงจะได้ทราบความเป็นไปในชีวิตของเธอว่า 8 ปีของเธอนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:20:59:33 น.  

 
จริงอยู่ที่ชีวิตของคนๆ หนึ่ง มิได้เกิดมาเพื่อความคาดหวังของใครก็ตาม แต่บุคคลที่ดิฉันจะเจอในเย็นนี้ ดิฉันก็อดจะคาดหวังไม่ได้
เด็กสาวคนนี้ที่ครั้งหนึ่งนั้น การรับรู้เรื่องราวของเธอมีผลต่อการตัดสินใจให้ดิฉันเข้าไปข้องเกี่ยวเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอ
ก็ด้วยเพราะเราคาดหวังว่าน่าจะทำให้ชีวิตที่จุดนั้นๆ มีการหันเห โดย...เป็นไปในทางที่ดีขึ้น

แต่ดิฉันก็เผื่อใจเอาไว้ว่า สิ่งที่ตรงข้ามกับความคาดหวังก็อาจจะเป็นจริงด้วยเช่นกัน


"คุณพธูไทยคะ มีแขกมาขอพบค่ะ"
"ผู้หญิงหรือผู้ชาย?"
"เอ่อ คนที่มาถามเป็นผู้หญิง แต่มีผู้ชายมาด้วยกันค่ะ"

คงจะเป็นอี๊ดนั่นเอง แต่มาเร็วก่อนเวลาที่บอกเอาไว้
ระหว่างเก็บเอกสาร ภาพของเด็กสาวอายุ 13 ขวบ ที่พบเป็นครั้งแรกลอยขึ้นมาในภาพความทรงจำ และตอนนี้เล่า... ที่แน่ๆ เธอคงจะสวยสดงดงามเป็นหญิงสาวเต็มตัว

ดิฉันหยุดยืนและสอดส่ายสายตามองหาว่าอี๊ดอยู่ตรงไหน ท่ามกลางบุคคลหลากหลายที่มานั่งรองานบริการอยู่ตรงบริเวณรับรอง
"พี่คะ พี่พธู..." ดิฉันหันกลับไปยังต้นเสียงที่คุ้นเคย

อี๊ดเดินก้าวมาหาอย่างรวดเร็ว พร้อมรอยยิ้มกว้าง เธอยกมือไหว้ แล้วเอื้อมมือมาจับมือดิฉันเอาไว้ ดวงตากลมโตคู่นั้นยังสดใส จ้องดิฉันไว้ไม่กระพริบ
"พี่พธู พี่ยังเหมือนเดิมเลย อี๊ดคิดถึงพี่มาก"
"อี๊ดสวยเหมือนเดิมนะ ดูเป็นสาวเต็มที่แล้วนะ เป็นยังไงบ้าง แล้วมาได้ยังไง?"

ไม่มีคำตอบต่อคำถามของดิฉัน ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับดิฉันเดินเข้ามาหาเราสองคน
"นี่ไงพี่พธู ที่หนูเล่าให้พี่เลิศฟังน่ะ"
ชายหนุ่มยกมือไหว้ดิฉัน
"อี๊ดพูดถึงพี่พธูให้ผมฟังตลอดเลยครับ อี๊ดบอกเสมอว่าอยากตามหาพี่พธูให้เจอ"
ดิฉันยิ้มให้แทนคำตอบรับใดๆ รู้สึกเคอะเขินกับการถูกเรียกว่า "พี่" โดยคนรุ่นราวคราวเดียวกัน หรืออาจจะอายุมากกว่า ชายคนนี้คงจะเป็นคนที่มาจีบอี๊ด หน้าตาพอใช้ได้ ดิฉันคิดในใจ...

"พี่เลิศแล้วนุ่นกับแนนไปไหนล่ะ อย่าให้ไปไกล ทำไมไม่ไปดู?"
"เล่นอยู่แถวนี้แหละ ให้เด็กๆ นั่งเฉยๆ มันทำไม่ได้หรอก แต่บอกเอาไว้แล้วว่า อย่าไปไหนไกล"

อี๊ดหันมาทางดิฉัน มือยังคงจับกุมมือของดิฉันอยู่ คงเข้าใจอาการงุนงงของดิฉัน
"ลูกหนูเองพี่ น้องนุ่นกับน้องแนน"
"..."

ณ อารมณ์นั้น บอกไม่ถูกว่าดิฉันอยากร้องไห้หรือว่าอยากจะยิ้มยินดี ที่หญิงสาวบอกว่า เด็กที่พูดถึงคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มี 2 คนแล้ว

แต่ที่แน่ๆ คือ ดิฉันรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอ และต้องกลืนมันลงไปอย่างยากเย็น
ดิฉันกำลังผิดหวังและเสียใจ หรือว่าดิฉันกำลังประหลาดใจกันแน่

เราคงพลาดอะไรไปมากมายจริงๆ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานี้


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:00:14 น.  

 
ดิฉันพาแขกผู้มาเยือนทั้งสี่แวะมานั่งเล่นที่บ้านพัก ด้วยเห็นว่ายังเร็วเกินที่จะพากันไปยังร้านอาหาร
นุ่นและแนน ใช้เวลาช่วงนี้ในการทำความคุ้นเคยกับป้าพธูไทย

"โอ้โห พี่... พี่ยังเก็บรูปปักของหนูที่ทำให้เอาไว้อีกหรือ?"
"ก็ให้เอาไว้เก็บไม่ใช่หรือ"
"พี่เลิศดูสิ นี่อี๊ดทำเองให้พี่พธูเลยนะตอนรับปริญญาน่ะ ขนาดพี่เลิศอี๊ดยังไม่เคยให้อะไรเลย"
อี๊ดหันมาพยักเพยิดกับผู้เป็นสามี

"อี๊ดพูดถึงพี่พธูให้ผมฟังตลอดเลยครับ ผมก็อยากจะเห็นหน้าและรู้จักตัว"
"พูดยังไง ดีหรือไม่ดี?"
"มีแต่ดีสิครับ พี่พธูนี่สุดยอดแล้วละครับ ผมนับถือเลย คือเหมือนกับเป็นแม่ของอี๊ดได้เลยนะครับ"
"ถ้าเป็นแม่เองจริงๆ ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเบ่งก็มีลูกออกมาคนนึง และอาจจะหัวใจวายตายไปแล้ว เพราะว่าวันดีคืนดีลูกพาแฟนและหลาน 2 คนมาให้เห็นหน้า"

ดิฉันไม่รู้ว่า เรื่องเล่าของอี๊ดเกี่ยวกับดิฉันให้กับผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไร แต่วิธีการพูดและท่าทางของเขา ทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก สัญชาตญาณมันบอกว่าเขาเป็นคนที่แปลกมาก และอาจถึงขั้นไม่ปกติ
... ไม่ใช่หรอก เราคิดไปเองต่างหาก ดิฉันพยายามบอกตัวเองว่าอย่างนั้น แต่เราก็คงไม่คิดในแง่ลบกับเขา เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำเช่นนั้น

เลิศพานุ่นและแนนออกไปเล่นข้างนอกตามคำขอของอี๊ด ทำให้ดิฉันโล่งใจมาก
"พอพี่พธูเลิกกับพี่นรา หนูก็เคว้งไปเลยนะ หนูไปทำงานที่ร้านนั้นได้ก็เพราะว่าพี่ พอพี่ไป ทุกคนก็มองว่าหนูจะอยู่ยังไง"
"ก็ไม่เกี่ยวกันนี่นา อีกอย่างพี่เลิกกับเขา ตอนนั้นอี๊ดก็รู้จักดีกับทุกๆ คนอยู่แล้วโดยไม่ต้องมีพี่"
"แต่ก็นั่นแหละพี่ ถ้าเลิกกันมันก็ต้องมีคนผิด และพี่น่ะ คือคนผิด"
"ก็แล้วแต่ว่า ใครเป็นคนเล่าเรื่อง ใครจะเล่าให้ตัวเองผิดบ้างล่ะ"
"พี่เล่าให้หนูฟังได้ไหม? ถ้าไม่ทำให้พี่เสียใจ ว่าหนูถามเรื่องเก่า"
"ถามทำไม? เล่าเรื่องของตัวเองให้พี่ฟังน่าสนใจกว่า เรื่องของพี่เยอะแยะ คงไม่ได้ตั้งใจมาหาให้พี่เล่านิยายปรำปราให้ฟังหรอกนะ เข้าใจว่าอยากให้พี่รู้เรื่องของตัวเรามากกว่ามั้ง?"


"หลังจากที่พี่ไปแล้ว หนูก็ยังอยู่ที่ร้านอีก 2-3 ปีนะ ก็ไปเรียนหนังสือ มีเพื่อนเยอะแยะ ทีนี้พี่เลิศเป็นเซลล์มาขายนมผงที่ร้าน ก็เจอหนู แล้วเพื่อนที่โรงเรียนก็มีการชวนไปเที่ยวนะพี่ หนูยังเด็ก เราก็อยากจะไปเที่ยวบ้าง ถามพี่นก พี่นกก็ไม่เคยห้ามหนู เขาก็ว่าหนูอยากทำอะไรกับชีวิตหนูก็ทำไป หนูก็ไปเที่ยวกับเพื่อนโดยมีพี่เลิศเป็นคนไปรับ-ส่ง ทีนี้ทำไปทำมามันก็เกินเลยน่ะพี่"
"แล้วตั้งท้องหรือ?"
"ไม่ใช่พี่ คือ ถ้าจะมองว่า หนูมันเป็นเด็กใจแตกก็ได้นะพี่ แต่หนูรู้ตัวนะว่าหนูกำลังทำอะไรอยู่ คนที่ไม่มีแบบหนูเนี่ย เวลามีใครมาคอยตาม คอยเอาใจ ให้อะไรต่างๆ หนูก็ไม่ได้ปฏิเสธ"
"แล้วไม่รู้หรือว่า เขาอาจคาดหวังอะไรในตัวเรา?"
"ก็คิดนะพี่ แต่ไม่รู้เหมือนกันตอนนั้นมันอาจคิดไม่ถึงก็ได้"
"เอาเป็นว่าได้เสียกัน?"
"ใช่พี่ ก็เลยออกจากร้าน แล้วก็พาไปไหว้พ่อหนูที่ต่างจังหวัด ก็หนูก็ไม่มีใครนี่นา"
"แล้วเรื่องเรียนล่ะ"
"หนูเรียนได้ถึงชั้น ป. 6 แต่ก็คงไม่พอจะเอาไปทำอะไรได้หรอกนะ"
"ทำไมมีลูก 2 คนเร็วมาก มีตอนอายุเท่าไร?"
"ตอนนั้นไปไหว้พ่อ หนูก็เกือบๆ 17 ปีแล้วนะ จากนั้นก็มีน้องนุ่นเลย ครอบครัวพี่เลิศเขาดีนะพี่ เป็นคนจีน หนูก็ไปอยู่กับเขาและก็ช่วยกิจการที่บ้านนั่นแหละ"
"แล้วตอนนี้ล่ะ? เออ... แล้วมาหาดใหญ่ทำไม คงไม่ได้มาหาพี่โดยเฉพาะนะ"

อี๊ดเงียบไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเล่าเรื่องของตัวเองต่อ


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:00:49 น.  

 
"อยู่บ้านพ่อแม่เขามันก็ดีนะพี่ แต่หลังๆ นี่เศรษฐกิจมันก็ไม่ค่อยดี แล้วพี่เลิศก็ออกจากงานมาอยู่บ้าน หนูมีลูก 2 คนอย่างนี้ มันก็ต้องใช้น่ะพี่ เดี๋ยวลูกไปโรงเรียนก็ต้องมีรายจ่าย พ่อแม่เขาก็อยากให้เราทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน หนูก็อยากทำ เพราะให้หนูอยู่เฉยๆ หนูทำไม่ได้หรอก พี่ก็รู้ ว่าถ้าให้หนูทำงานหนัก หนูก็เคยทำมาแล้ว ขอให้มีอะไรทำเถอะ"
"แล้วหาอะไรทำได้แล้วหรือยัง?"
"ก็ที่มาหาดใหญ่ เพราะเรามาดูว่ามีกิจการทำโรงงานขายไอศครีมน่ะพี่ เห็นญาติๆ กันบอกว่าให้มาทำที่นี่ ค่าครองชีพก็ถูกกว่าที่กรุงเทพฯ หนูก็ว่าดี และพี่นกบอกว่า พี่พธูยังอยู่หาดใหญ่ หนูก็ดีใจเพราะว่าจะได้เจอกันอีก"
"จะมาเมื่อไรล่ะ?"
"ก็ถ้าคุยกันตกลงเสร็จเรียบร้อย ก็คงจะเร็วๆ นี้แหละพี่ นี่หนูต้องมาดูเองหมดเลย ปล่อยให้พี่เลิศดูคนเดียวคงไม่ได้ คราวนี้หนูจะได้อยู่ใกล้ๆ พี่แล้วนะ"
"พี่จะย้ายไปฝรั่งเศสปีหน้าแล้ว"
".... อะไรนะพี่ ไม่เอาน่า พี่พูดเล่นนะ นี่หนูตกใจหมด พี่พูดเล่นใช่ไหม"
"แล้วจะพูดเล่นไปทำไม?"
"ไปทำไมล่ะพี่ ทำไมต้องไป อยู่ที่เมืองไทยเถอะพี่ หนูตามหาพี่เจอแล้ว พี่จะหนีหนูไปอีกแล้วหรือ?"
"หนีอะไรกัน ชีวิตคนเรามันก็ต้องมีอะไรที่คิดอยากจะทำกัน อี๊ดเองก็เหมือนกัน นี่เห็นไหม เราจะมีกิจการเป็นของตัวเองแล้วนี่ พี่ก็เหมือนกัน"

ความเงียบเข้ามาครอบงำบรรยากาศที่รื่นเริงเมื่อครู่...
"ปีนี้อี๊ดอายุเท่าไรแล้ว?"
"22 ปีแล้วพี่"
"แล้วก็เป็นแม่ลูก 2 ด้วยนะ ไม่ใช่ผู้หญิงโสดๆ ดูแล้วเลิศเขาก็รักลูกดีนะ แล้วเขาอายุเท่าไรแล้ว?"
"พี่เลิศรักลูกมากพี่ พี่เขาน่าจะอายุแก่กว่าพี่สัก 2-3 ปีได้นะ"
"ก็ดีมากแล้ว ตอนนี้อี๊ดคงต้องพยายามตั้งใจช่วยกันสร้างครอบครัวใช่ไหม พี่จะรอดูความสำเร็จละกัน จะย้ายมาเมื่อไรก็โทรมาบอกด้วย พี่ว่าอี๊ดคงย้ายมาก่อนที่พี่จะย้ายไปแน่นอน"

ภาพของอี๊ดในวันนั้น ประกอบกับความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวของเด็กคนนี้ไม่ทำให้ดิฉันกังวลใจนัก อย่างน้อยเธอก็ก้าวผ่านช่วงชีวิตของเธอไปอีกก้าวหนึ่ง วัยรุ่นวัยคะนอง จังหวะชีวิตในขณะนั้น ทำให้วันนี้เธอเป็นแม่ลูกสอง และดุเหมือนว่า...
ดูเหมือนว่า จะมีสามีที่รักและใส่ใจครอบครัวอย่างดีด้วยเช่นกัน

แผนการชีวิตในการย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสเริ่มเข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าทุกวันๆ จนดิฉันลืมเรื่องการย้ายมาอยู่หาดใหญ่ของอี๊ดและครอบครัวไปสนิทใจ นอกจากการเตรียมตัวด้านเอกสาร และโครงการต่างๆ ที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อนจะลาออก วันเวลาจึงผ่านไปโดยดิฉันมิต้องคิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องทำอะไรบ้าง เพราะว่าตารางเวลาทุกช่องของอาทิตย์นี้และอาทิตย์ถัดไปเต็มก่อนแล้วล่วงหน้า

ดิฉันเดินทางมาอยู่ฝรั่งเศส ยุ่งเหยิงกับชีวิตส่วนตัว เรื่องราวเกี่ยวกับอี๊ดครั้งล่าสุดที่พอจำได้ก็เอามาร้อยเรียงต่อเรื่องว่า ป่านนี้อี๊ดและครอบครัวคงจะทำกิจการเล็กๆ ที่หาดใหญ่ ลูกทั้งสองคงจะไปเข้าโรงเรียนที่นั่นแล้ว


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:04:07 น.  

 
คนเราทุกคนมีฝัน และมีสิทธิ์ที่จะคิดฝัน
แต่จะมีสักกี่คนเล่า... ที่ฝันของเขาและเธอนั้นเป็นจริง

ในจำนวนคนเหล่านี้ ดิฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งตามฝันของตัวเอง เป็นฝันที่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ทุกๆ ครั้งที่วิ่งไปจนหยิบจับต้องมันได้ ดูเหมือนว่าฝันนั้นก็สลายไป ใช่ว่าวิ่งไปไม่ถึงฝัน แต่ด้วยว่าฝันนั้นดูเหมือนจะไม่อยู่นิ่ง หากแต่ขยับดิ้นหลุดและหนีเราไปเสียทุกที ไม่ว่าจะด้วยความต้องการ ความไม่รู้จักพอ หรือ...สิ่งที่กลัวที่สุดคือ ความจำเจที่นำมาซึ่งความเบื่อหน่าย เหล่านี้มักจะก่อตัวขึ้นทุกๆ ครั้งภายหลังที่เราได้ฝันนั้นมาแล้ว... เป็นเรื่องที่แปลกแต่ว่าจริง และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตนี้มีรสชาดและสีสัน

ไม่ว่าจะเป็นหญิงสัญชาติใดๆ ไม่ว่าเท้าจะยืนเหยียบอยู่บนแผ่นดินไหนๆ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งหรือหลายฝันของเธอคือฝันที่ให้กับครอบครัว โดยมีฝันของตัวเองสอดแทรกอยู่ในนั้นยากที่จะแยกออกจากกัน


ภายหลังการตั้งตัวหลังช่วงชีวิตชุลมุนในระหว่างการย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสของดิฉัน นอกจากความจำเป็นในการศึกษาให้เข้าใจสิ่งแวดล้อมใหม่ในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษา วัฒนธรรม ผู้คน ตลอดไปถึงระบบต่างๆ ในสังคมแล้ว ดิฉันก็จำต้องใช้เวลาพอสมควรในการวางตัวเองว่าควรจะอยู่ตรงไหนในสังคมในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหม่ เมื่อรู้ตัวก็พบว่าเวลาผ่านไปอีกกว่า 6 ปี ก่อนที่จะเริ่มวิ่งไล่ตามฝันที่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นโครงในอากาศขึ้นอีกครั้ง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนเช้าตรู่ของวันหนึ่งในฤดูหนาว ดิฉันลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าตี 5 แล้ว ฟ้ายังมืดครึ้ม ใครโทรมาได้แต่เช้าขนาดนี้นะ ปล่อยให้ดังไปจนกว่าเครื่องอัดเสียงจะทำงานก็แล้วกัน แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้งในเวลาต่อมา ด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ยังดังขึ้นมาอีกรอบ จำใจสลัดความง่วงเหงาออกและลุกขึ้นไปรับ

"ฮัลโหล"
"ขอสายคุณพธูไทยค่ะ" ดิฉันตาสว่างขึ้นทันทีเมื่อพบว่าเสียงปลายสายเป็นภาษาไทย
"พูดอยู่ค่ะ"

"พี่... พี่พธู นี่อี๊ดนะพี่...หนู..." เสียงร้องไห้สะอื้นดังขึ้นจนไม่เข้าใจว่าพูดอะไร
"ใครนะ อี๊ดเหรอ?..." ความคิดชัดเจนมากขึ้นและสมองสั่งการได้ดีขึ้น

"มีอะไร? ร้องไห้ทำไม? แล้วนี่เอาเบอร์มาจากไหน?"
"ฮืออออ.... หนูไปหาพี่ที่บ้านแม่ แล้วหาว่าจะติดต่อพี่ยังไง พี่... หนูไม่ไหวแล้ว ฮืออออ...."
"ร้องทำไม หยุดร้องก่อน ไม่งั้นพูดไม่รู้เรื่อง... จะให้โทรกลับไหม โทรมานี่แพงหรือเปล่า เดี๋ยวพี่โทรกลับเอง บอกเบอร์มาเลย"

อี๊ดให้เบอร์เพื่อให้ดิฉันโทรกลับ พร้อมเล่าว่าตอนนี้มีปัญหาครอบครัวอย่างหนัก ส่วนโครงการโรงงานไอศครีมที่หาดใหญ่นั้น ก็เป็นเพียงแค่ฝันสลาย ไม่เคยเป็นความจริง ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีทุนทรัพย์ที่จะทำ หากแต่ว่า...
"พี่พธู หนูอดทนมานานแล้วนะพี่ หนูพยายามทำหน้าที่ของแม่ ของเมียที่ดีที่สุด แต่มันไม่ไหวแล้วพี่"
"มีอะไรก็ต้องค่อยๆ พูดคุยกันนะ"
"ไม่ไหวนะพี่ คนนอกไม่มีใครรู้หรอกพี่ ผัวหนูนะมันปกติเสียทีไหนล่ะ ถ้าพูดแบบชาวบ้าน เขาบอกว่า เป็นบ้าน่ะพี่"
"ขนาดนั้นเลยเหรอ? พูดเองหรือเปล่า"
"ไม่ใช่พี่ เขาต้องไปโรงพยาบาลศรีธัญญานะพี่"
"ใจเย็นๆ ก่อน พี่มีเพื่อนเป็นจิตแพทย์ที่เคยทำงานที่โรงพยาบาลนี้ เขาเคยเล่าไม่จำเป็นว่าต้องบ้า จึงจะไปโรงพยาบาลนะ บางทีถ้าเครียดมากก็ไปหาหมอได้ และถ้าได้ยาที่เหมาะสมก็สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ แต่ก็คงต้องดูแลกันมากหน่อย"
"ไม่เอาแล้วพี่ หนูทำมาตลอดแล้ว กี่ปีไม่รู้แล้วนะพี่"
"แล้วเราไม่เคยรู้เลยหรือ?..." ดิฉันยังจำความรู้สึกที่มีกับเลิศเมื่อครั้งที่พบเจอครั้งแรกและครั้งสุดท้ายได้ ว่าเลิศเป็นผู้ชายที่แปลกมากทั้งคำพูดและท่าทาง


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:04:36 น.  

 
อี๊ดหยุดร้องไห้ เริ่มพูดชัดถ้อยชัดคำขึ้น เสียงสะอื้นยังคงมีเป็นพักๆ เหมือนเวลาที่เราร้องไห้อย่างหนัก อย่างปลอดปล่อยออกมา จนไม่สามารถจะหยุดร้องได้อย่างทันที
"ตอนแรกไม่รู้นะพี่ หลังๆ พอมีไอ้ตัวเล็กน้องแนนอีกคนเนี่ย พี่เขาเริ่มแปลกๆ....(เสียงถอดหายใจยาวควบไปกับเสียงสะอื้น)"
"แล้วยังไงต่อ อย่าร้องต่อนะ ไม่งั้นพี่ฟังไม่รู้เรื่อง"
"คนที่บ้านเขาก็บอกว่า ให้ลองพาไปตรวจที่คลินิกหมอ พอไปถึง เขาก็บอกว่าให้ไปที่โรงพยาบาลศรีธัญญาเลย... พอไปถึงนะพี่ มีแต่คนบ้าน่ะพี่ หนูก็ว่าทำใจแล้วนะ"
"คนเป็นผัว-เมียกัน มันก็ต้องดูแลกันนะ"
"หนูดูแลพี่ นี่มันกี่ปีแล้ว ต้องพาไปโรงพยาบาล ดูแลให้กินยา วันไหนไม่ได้กินยา อาการกำเริบอีก"
"แล้วลูกๆ ล่ะเป็นยังไงบ้าง"
"ก็ยังดีว่า หนูยังอยู่กับพ่อแม่เขา เขาก็ช่วยเราบ้าง แต่นี่ลูกนี่ต้องไปโรงเรียน ต้องกินต้องใช้ หนูก็เครียด ผัวหนูเป็นอย่างนี้จะทำงานได้ยังไง แล้วจะให้หนูมานั่งงอมือ งอตีน คอยดูผัวที่เป็นบ้า ไม่ต้องไปทำงานทำการเนี่ย หนูทำไม่ได้นะพี่ หนูไม่ไหวแล้ว"
"..."
"ให้ดูแลกัน มันยังไม่เท่าไรนะพี่ นี่มันตบหนูนะพี่ พ่อหนูเลวยังไง เขายังไม่เคยตบหนูเลย มันตบหนู หนูไม่เอาแล้ว หนูจะไปแล้ว"
"ใจเย็นๆ แล้วลูกล่ะ จะทำยังไง แล้วจะไปอยู่ที่ไหน?"
"หนูจะทิ้งลูกไว้กับพ่อแม่เขาก่อน แล้วหนูจะไปอยู่กับเพื่อนหนู เขาว่าเขาจะหางานที่เหมาะกับหนูได้ แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะ หนูไม่ไปขายตัวแน่นอน ถึงหนูจะไม่มีขนาดไหน หนูก็จะไม่ขายตัว"

จังหวะนี้ ดิฉันมิสามารถสรรหาคำพูดหรือคำปลอบโยนใดๆ มาให้แก่อี๊ดได้
"...มีอะไรจะให้พี่ช่วยได้บ้างไหม?"
"ไม่มีพี่ หนูแค่อยากบอกพี่เท่านั้น หนูไม่ได้จะให้ใครมาช่วยหนู หนูไม่รู้จะพูดกับใครเท่านั้น หนูมีสองแขนสองขา หนูหางานทำได้"
"ตอนนี้อยู่ที่ไหนเนี่ย ยังอยู่ที่บ้านแฟนหรือเปล่า?"
"ไม่พี่ หนูออกมาแล้วเมื่อคืนนี้เอง มานอนบ้านเพื่อน แล้วเขาต้องไปทำงาน หนูนั่งคิดมาตลอดคืนเลยพี่ หนูเหมือนหมาจนตรอกนะพี่... ฮือออออ" อี๊ดเริ่มร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง
"อย่าพูดอย่างนั้นอี๊ด พี่พร้อมจะช่วยนะ ขอให้อี๊ดบอกพี่มาเท่านั้น"

หากได้นั่งเห็นหน้ากัน ดิฉันคงจะกอดคอร้องไห้ไปกับเธอด้วย...
"พี่พธูช่วยหนูมาแล้ว หนูยังทดแทนบุญคุณไม่ได้ พี่ไม่ต้องมาช่วยหนูอีก กับใครๆ หนูก็ไม่ขอให้ช่วยเหมือนกัน"
"แต่พี่ไม่ได้คิดเรื่องบุญคุณอะไรนะ ถ้าอี๊ดมีชีวิตที่ดี มีความสุข พี่ก็มีความสุขด้วยเท่านั้น"
"ที่หนูเคยคิดว่ามันสุขทำไมมันแป๊บเดียว ทำไมชีวิตหนูมันเป็นแบบนี้..."
"ถ้าอยากร้องไห้ ร้องไปเลย ร้องให้หมดเกลี้ยง แล้วลองนั่งคิดดูว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่อย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลาม อย่าอยู่คนเดียวนะ เมื่อไรเพื่อนถึงจะกลับบ้าน?"
"ไม่ต้องกลัวนะพี่ หนูไม่ฆ่าตัวตายหรอกพี่ หนูยังมีลูก พี่ไม่ต้องห่วงหนู หนูไม่คิดสั้นๆ หรอก หนูแค่สมเพชชีวิตตัวเองเท่านั้น..." อี๊ดหัวเราะแบบแกรนๆ

"แล้วตอนนี้พอจะคิดบ้างหรือยัง ว่าจะทำอะไร หรืออยากทำอะไร?"
ขอเพียงให้อี๊ดบอกมาว่าอยากทำอะไร ดิฉันก็คิดว่าพร้อมที่จะรับฟังและหากมีลู่ทาง หรือมีเพื่อนสนิทที่รู้จักที่เมืองไทย จะแนะนำไปหาทันที...
"ยังไม่ได้คิดพี่ แต่เพื่อนหนูบอกว่า ถ้าหนูไม่เลือกงานก็คงหาทำได้ อีกอย่างมันว่าหนูหน้าตาดี... คงต้องดูอีกทีน่ะพี่"
"ยังไงอย่าลืมโทรมาบอกพี่นะ มีเบอร์เอาไว้แล้ว หรือจะให้โทรกลับ"
"ไม่ต้องพี่ นี่เบอร์บ้านเพื่อน ถ้าหนูหางานได้ หนูก็ออกไปแล้วพี่ หนูไม่ชอบรบกวนใครนานๆ หนูโทรมาบอกพี่เท่านั้น อยู่ดีๆ ก็คิดถึงพี่ขึ้นมา ไม่อยากให้พี่นึกว่า เวลาโทรหาพี่ทีไรต้องมีเรื่องเดือดร้อนมาให้ทุกที"

หลังวางสายไปแล้ว ดิฉันตัดสินใจไม่นอนต่อ อาบน้ำเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ พร้อมๆ กับพยายามสลัดเรื่องของอี๊ดออกไปจากหัว เธอต้องการให้เรารับรู้และรับฟังเรื่องของเธอเท่านั้น เธอไม่ใช่เด็กแล้ว นั่นสิ ปีนี้อี๊ดน่าจะอายุ 28 ปีแล้ว


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:05:06 น.  

 
นับจากเช้าวันที่อี๊ดโทรมา ดิฉันก็เฝ้ารอโทรศัพท์จากเธออีก 1 อาทิตย์ แต่ก็ไร้วี่แวว
No news is good news.
การไม่มีข่าว นั่นคือข่าวดี
คำกล่าวนี้สำหรับดิฉันนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นจริง ถึงแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซนต์ก็ตาม

และถ้าได้รับข่าวคราวจากคนสนิทมิตรสหายที่ใกล้ชิดเมื่อไร มักเป็นข่าวร้าย และมักจะร้ายขนาดที่ว่าถึงขั้นเยียวยามิได้ เจ้าตัวแก้ไขเองไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากผู้อื่น ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว บุคคลเหล่านี้ที่ดิฉันจัดอยู่ในกลุ่มของเพื่อนสนิทรู้ใจก็มักจะไม่โทรหรือมาหาเพื่อให้เราลำบากใจ

ฉันใด ฉันนั้น หากดิฉันมีเรื่องทุกข์หรือร้อนใจ จะปรึกษาคนใกล้ตัวในบ้าน ก่อนที่จะไปปรึกษากับผู้อื่น และสำหรับเพื่อนสนิทก็ยิ่งจะไม่ทำ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เขากังวลใจหรือต้องมาลำบากกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่ถึงกระนั้น ดิฉันและเพื่อนสนิทต่างรู้ดีว่า หากเราต้องการความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขอเพียงแต่ให้รับรู้เท่านั้น จะมิเคยปฏิเสธเลย ดังนั้น การช่วยเหลือ คำแนะนำ ของแต่ละฝ่ายจึงเป็นสิ่งที่มีค่าเสมอ

อี๊ดก็เช่นกันที่มีลักษณะเช่นนี้ ตามปกติเธอไม่ใช่คนที่บ่นครวญในวาสนาของตัวเอง เธอมิเคยร้องขอความช่วยเหลือใดๆ จากผู้อื่น แต่หากเป็นการเสนอความช่วยเหลือมาให้โดยมิได้ขอร้องแต่อย่างใด เหมือนดังเช่นที่ดิฉันเคยเสนอให้เมื่อหลายปีก่อนนั้น แต่หากอี๊ดบ่นเรื่องใดขึ้นมาเมื่อไร ก็มักจะเป็นเรื่องใหญ่

แต่เธอมิได้คาดหวังการช่วยเหลือ การติดต่อมาในครั้งล่าสุดนี้เป็นไปเพื่อให้รับทราบข่าวของเธอเท่านั้น...
ดังนั้นการที่เธอไม่ติดต่อกลับมาอีก ดิฉันจึงคิดในด้านดีว่า เป็นเพราะเธอคงจะจัดการกับชีวิตและความยุ่งเหยิงในช่วงนี้ได้แล้ว และคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับให้ชีวิตราบรื่นเพื่อเข้าสู่สมดุลย์แห่งชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง

ดิฉันเข้าใจจากสถานการณ์ที่อี๊ดโทรมาร้องไห้อย่างหนักว่า เธอคงจะเลิกกับสามีไปแล้ว แต่ดิฉันมิทราบว่าเธอจะจัดการกับลูกทั้งสองคนอย่างไร


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:05:36 น.  

 
ชีวิตเป็นสิ่งที่น่าพิศวงงงงวย เราเกิดมาพร้อมกับการมีชีวิต บางทีเราไม่รู้ว่าการได้มาซึ่งชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดกัน แต่กระนั้น การใช้ชีวิตยังเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า

"You only have one life to live. Do it the best!!!"
อาจารย์ชาวอเมริกันที่สนิทกันมาก เคยบอกเอาไว้ว่าเป็นมอตโตที่เขาใช้เป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต
เป็นหลักที่ดูเป็นรูปธรรม ในแง่ที่ว่า มิว่าจะคิดการใด มิว่าจะทำการใด ก็จงทำมันให้ดีที่สุด

อี๊ดหายไปนานพอสมควรอย่างไร้วี่แวว ไร้ข่าวสารใดๆ นานจนดิฉันเลิกห่วงและกังวล ด้วยว่าดิฉันมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องกังวลมากกว่า ที่ต้องดูแล เข้ามาแทนที่เรื่องของอี๊ดอย่างสิ้นเชิง

และปลายปี 2005 เธอก็กลับมา...
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนเช้าตรู่ของวันหนึ่งในฤดูหนาว ปลุกดิฉันให้ตื่นขึ้นจากการหลับลึกอย่างสบายภายใต้ผ้าห่มผืนโต ภายนอกจะคงมืดสลัว มีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์
"พี่พธู อี๊ดโทรมาปลุกพี่หรือเปล่า? เสียงเหมือนกับคนยังนอนอยู่เลย"
"ฮื่อ.. นิดหน่อย ตื่นแล้ว" ดิฉันพยายามบอกตัวเองว่าเราตื่นแล้ว
"พี่สบายดีหรือเปล่า?"
"ฮื่อ.. สบายดี แล้วเป็นไง หายไปเลยจากตอนโน้นที่โทรมา"
"ดีพี่ หนูไปทำงานน่ะ ก็ยุ่งๆ"
"แล้วทำอะไรล่ะ?"
"ตอนนี้ไม่ทำแล้วพี่ หนูเลี้ยงลูกอยู่บ้าน"
"ลูกโตแล้ว ทำไมต้องดูเองอีกล่ะ"
"ไม่ใช่พี่ เป็นลูกชาย ได้ขวบนึงแล้วพี่"
"อะไรนะ?" ดิฉันตาสว่างทันที

"มีลูกอีกคนแล้วหรือ แล้วอะไรกัน ทะเลาะๆ ดีๆ เลิกๆ แป๊บๆ มีลูกอีกคน เออดีเหมือนกัน"
"ไม่ใช่พี่ กับพี่เลิศน่ะ หย่ากันไปแล้ว ส่วนนี่ลูกชายกับแฟนใหม่น่ะพี่ เขาอยากมีลูกของเขาเอง"

อะไรกันนักกันหนา ทำไมนะ การเป็นผู้หญิงนี่ จะต้องหมายถึงมาผลิตลูกกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันหรือ?
อี๊ดมีอะไรที่น่าจะได้ทำในชีวิตของเธอ มากกว่าจะเป็นแหล่งผลิตสิ่งมีชีวิตนะ ดิฉันคิดพลาง เสียดายไปพลาง แต่ดิฉันก็มิควรด่วนตัดสินกับการกระทำของเธอ โดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:06:08 น.  

 
"งงไปหมด ทำไมชีวิตเธอมันพุ่งขึ้น หล่นลง อยู่ตลอดเลยนะ คนดูก็หวาดเสียวตามไปด้วย แต่ละครั้งที่ได้คุยกัน รู้สึกว่าอี๊ดจะมีอะไรๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในชีวิตเลยนะ"
"หนูไม่ได้คิดหรอกพี่ ว่ามันจะเป็นยังไง จะเจอใคร หรือว่าต้องมามีผัว 2 คนแบบนี้น่ะพี่"
"แล้วมีได้ยังไงล่ะ?"

อี๊ดเล่าเรื่องราวให้ดิฉันได้รับทราบข้อมูลแจ่มชัดมากขึ้น ว่าเพื่อนเธอแนะนำให้ไปทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ตรงแผนกห้องอาหารสไตล์มีเพลง มีนักร้อง และมีเด็กสาวนั่งดริงค์ หรือที่เธอเรียกว่า ไปนั่งเอาชั่วโมง
"หนูอยู่ตรงข้างหน้านะพี่ เป็นแผนกต้อนรับแขกน่ะพี่ โชคดีที่เขารับนะพี่ ความรู้อะไรก็ไม่มี เขาให้ทำอันนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"
"แค่ต้อนรับด้านหน้าเท่านั้นนะ?"
"แค่นั้นพี่ พี่เชื่อได้เลย หนูไม่ทำหรอกนั่งดริงค์ เงินดีนะพี่ แต่หนูรู้ว่าเป็นยังไง ก็โตมา เห็นมาในที่แบบนั้น แต่คนที่เขาทำเขานิสัยดีนะพี่ แต่เขาเลือกที่จะทำแบบนั้น หนูรู้จักหลายคนแหละพี่ เพื่อนหนูคนที่แนะนำงานที่นี่ให้ เขาก็ทำนั่งดริงค์"
"แล้วมาเจอแฟนคนใหม่นี่ได้ยังไง?"
"ก็เป็นแขกน่ะพี่ เขาพาลูกค้ามาเอนเตอร์เทน พี่ หนูเจอเยอะนะ ผู้ชายหลากหลายแบบเลย"
"แสดงว่ามีมาจีบเยอะน่ะซี"
"เยอะพี่ ทั้งมีลูกเมียแล้ว กับไม่มี"
"แล้วคนนี้ล่ะ?"
"ยังไม่มีพี่ ก็เลยลองดูไง แล้วเขาก็รู้ว่าหนูเคยแต่งแล้ว มีลูกแล้ว และหนูต้องทำงานเพื่อตัวเองกับเพื่อลูก เขาก็สงสาร"
"เออ สงสารอีกแล้ว อย่างนี้ทั้งปี"
"ก็จริงนั่นแหละ หนูรู้จักสนิทกับลูกค้าที่มาเยอะเลยพี่ ฐานะดีๆ การงานดีๆ ทั้งนั้นแหละพี่"
"ก็เราสวยนี่ ใครๆ ก็มาชอบนั่นแล"
"แหมพี่ สวยเสยอะไร หนูเป็นคนไม่มีอะไร การศึกษาก็ต่ำ ครอบครัวก็ไม่มีอะไรที่จะภูมิใจได้ อย่างนี้คนที่มาชอบๆ น่ะ เขาหวังอะไรกันจากหนูล่ะพี่ หนูก็ไม่ใช่ไม่รู้"
"ก็คนนี้เขาก็หวังล่ะซี"
"ก็อาจจะใช่นะพี่ หรือว่าชะตาหนูมันต้องเป็นแบบนี้"
"กำหนดเองมากกว่า... นี่ คุยนานแล้ว เปลืองตังค์นะ จะให้พี่โทรกลับไหม?"
"ไม่ต้องพี่ หนูบอกแฟนหนูแล้ว ว่าหนูจะโทรไปต่างประเทศเดือนนี้ เขาไม่ว่าอะไรพี่"
"ก็ต้องช่วยกันประหยัด แล้วนี่อยู่ที่บ้านเขา ทำอะไรล่ะ"
"ก็ดูแลบ้านนะพี่ ตอนนี้ไอ้กาโม่ คนเล็กเนี่ย เกือบขวบแล้ว หนูก็กำลังดูๆ ว่าหนูจะเปิดร้านเสริมสวยนะพี่ หนูไปเรียนมาช่วงที่แฟนเขาให้หนูออกจากงานเดิม เขาหึงน่ะพี่"
"แล้วจะเปิดร้านที่ไหน?"
"เปิดที่บ้านเลยพี่ หนูซื้อบ้านแล้วนะ ร่วมกับแฟนหนูนี่แหละ เป็นโครงการที่รัฐบาลเขาว่าดาวน์แล้วอยู่ได้เลยน่ะพี่ ก็รีบมาซื้อเอาไว้"
"เออ ดีๆ แล้วลูกสาวสองคนอยู่ที่ไหน"
"หนูเคยเอามาอยู่ด้วยกัน ก็เข้ากันได้ดีนะพี่ แฟนหนูก็รักลูกหนู"
"อายุเท่าไรกันแล้ว"
"คนโตก็ 13-14 แล้วพี่ เป็นสาวแล้ว แต่ว่าลูกสองคนนี่เป็นห่วงพ่อกัน ก็ขอไปอยู่กับพ่อเหมือนเดิม"
"แล้วพ่อเขาเป็นอย่างไรบ้าง"
"ก็เหมือนเดิมแหละพี่ คนไม่สบายน่ะ ทำมาหากินอะไรไม่ได้หรอกพี่ เขาก็อยู่บ้าน แล้วลูกสาวหนูก็คอยดูแล หายาให้กิน ไปหาหมอด้วยกัน"
"ก็ดี"
"หนูก็ส่งลูกนะพี่ ลูกตกลงกับแฟนหนูว่า หนูจะต้องให้ลูกเดือนละเท่าไรด้วย"
"ก็อย่าให้มีปัญหากันละกันนะ นี่คุยนานแล้ว เอาไว้ค่อยคุยใหม่ละกัน มันเปลือง พอพี่กลับเมืองไทยกลางปีหน้า พี่โทรไปหาละกันนะ แล้วก็จะได้เจอกัน"


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:06:44 น.  

 
เดือนสิงหาคม 2006

ดิฉันกลับถึงเมืองไทย และโทรหาอี๊ดตามสัญญาที่ให้เอาไว้ เธอดีใจมากที่ได้รับโทรศัพท์ และยิ่งดีใจมากที่ทราบว่า ขณะนั้นดิฉันอยู่เมืองไทยแล้ว
"พี่ เดี๋ยวหนูขอเวลาสักไม่กี่วัน เคลียร์ลูกค้าก่อนนะพี่ แล้วหนูจะไปหา พี่อยู่กรุงเทพฯ ตลอดหรือเปล่า?"
"โอ้โฮ ต้องเคลียร์ลูกค้าเลยหรือ?"
"ก็พอมีแหละพี่ แบบว่าในหมู่บ้านนั่นแหละ ถ้าหนูหายไป ปิดร้านไป เดี๋ยวเขาจะสงสัย ปกติหนูเปิดร้านทุกวันไง มาเมื่อไรก็ทำให้ ก็อยู่บ้านเองนี่พี่ ไม่ค่อยไปไหนหรอก เปิดร้านอยู่ที่บ้าน ได้เลี้ยงลูกเอง แล้วคนเขาก็เริ่มรู้จักบ้างแล้ว บอกต่อๆ กันน่ะ บางทีมีลูกค้ามาจากต่างหมู่บ้านด้วยนะ"


ครั้งสุดท้ายที่ได้พบอี๊ด คือตอนที่เธอกับเลิศพร้อมลูกสาวทั้งสองไปหาดิฉันที่หาดใหญ่
นั่นก็เกือบ 9 ปีแล้วนะ หรือว่ามากกว่า 9 ปี?
เมื่อหวนคิดไปก็แปลกใจตัวเองเป็นยิ่งนัก ว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วดังพริบตา

ไม่เพียงแต่กาลเวลาที่ผันผ่านได้นำมาซึ่งความชราภาพแก่ชีวิต แต่กาลเวลาก็นำมาซึ่งความสุกงอมของการใช้ชีวิตด้วยเช่นเดียวกัน หลายๆ คนจึงมักบอกว่า เมื่ออายุมากขึ้น เรามีความสุขุมมากขึ้น ทั้งการคิดและการกระทำ อาจจะด้วยประสบการณ์ที่ผ่านพบ การลองผิดลองถูกในการใช้ชีวิต ทำให้เราตรึกตรองมากขึ้นในการก้าวย่างต่อไปของการดำเนินชีวิต เพื่อลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุด


ในที่สุดอี๊ดโทรกลับมาหาดิฉัน เพราะเคลียร์ลูกค้าได้แล้วทั้งวัน และจะหอบเจ้ากาโม่ ลูกชาย มาให้เห็นหน้าด้วย เรานัดกันที่ทำงานของดิฉัน คาดว่าเมื่อมาถึงดิฉันคงยังมีอะไรที่จะต้องเร่งทำให้เสร็จก่อนจะเดินทางกลับฝรั่งเศส

"พี่พธู ตอนนี้อี๊ดมาอยู่แถวๆ คลองเตยแล้วนะพี่ เดี๋ยวจะนั่งรถเมล์ต่อไปหาพี่ ให้เจอที่ไหน"
"พออี๊ดมาถึง ก็ขึ้นมาที่ตึกเลย พี่จะสแกนเอกสารอยู่ที่ห้องคอมพ์ ตึกข้างหน้าเลยนะ ขึ้นมาเลยที่ชั้น 8"
"ใช่ตึกที่หนูเคยไปหาพี่ตอนพี่เรียนหรือเปล่า?"
"ตอนนี้มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เป็นตึกใหม่ พอมาถึงก็จะเห็นว่า มีตึกสูงๆ ตั้งขึ้นมาเลย ก็ตึกนั้นนั่นแหละ"


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:07:45 น.  

 
ดิฉันมองเห็นหญิงสาวเดินมามองๆ ผ่านทางกระจกที่เป็นกำแพงกั้นห้อง พอเธอเห็น ก็ยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่เหมือนเดิม พร้อมดวงตาโตที่สดใสเป็นประกาย เหมือนเด็กสาว 13 ที่ดิฉันได้พบเป็นครั้งแรก ที่ในเขตรั้วของสถาบันแห่งนี้นี่เอง และในวันนี้ได้พบเห็นอีกครั้ง เธอน่าจะมีอายุไม่เกิน 32 ปี รูปร่างดูเพรียวขึ้น ใบหน้าส่อแววว่ามีความสดใสที่ถูกปิดทับด้วยเครื่องสำอางค์ ผมยาวถึงกึ่งหลังถูกรวบเอาไว้ด้วยยางรัดผมแบบเรียบๆ

อี๊ดเดินเข้ามาหา มีเด็กน้อย คาดว่าคงเป็นเจ้ากาโม่ ที่จูงจับมือกันไว้
"สวัสดีป้าสิลูก อย่าอายลูก" แล้วก็จับมือพร้อมสวมกอดดิฉันเอาไว้
กาโม่ยืนมองจ้องหน้าดิฉันเอาไว้ ลูกกี่คนๆ หน้าตาได้มาทางแม่หมดเลย โดยเฉพาะดวงตาคู่โต ดิฉันคิดในใจ

"พี่พธู พี่ทำไมไม่เปลี่ยนเลย ยังเหมือนเดิมเลยพี่"
"จะให้เปลี่ยนยังไง พูดให้ดีๆ ให้ถูกใจนะ"
"ก็ไม่แก่ไงพี่ ยังสาวเหมือนเดิม" อี๊ดจ้องหน้าดิฉันราวกับจะค้นหารอยเหี่ยวย่น
"เออ พูดอย่างดี อี๊ดก็ยังปากหวานเหมือนเดิม เลิกจ้องหน้าได้แล้ว รำคาญ เขินเหมือนกันนา"
"ปากหวานอะไรกัน จริงๆ นะ 2 ปีก่อนหนูไปหาพี่นกมา พี่นกแก่ไปมากเลยพี่ แล้วก็เจอพี่นราด้วย รายนั้นก็แก่ไปถนัดใจเลยพี่ เมียเขาก็แก่"
"เออ ชักจะปากไม่หวานแล้ว ว่าใครๆ แก่ไปหมด แล้วใครจะสวยเหมือนเราล่ะ ดูสิ นี่เดี๋ยวนี้แต่งหน้าแต่งตาแล้วเหรอ"
"นิดหน่อยพี่ ก็เราเป็นช่างเสริมสวยนี่พี่ ถ้าลูกค้าเห็นเราโทรม เขาก็ไม่อยากมาทำกับเราหรอก"

อี๊ดเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนในอดีตที่เราต่างรู้จักร่วมกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือในอดีตส่วนที่เราได้เคยมีช่วงเวลาของการใช้ชีวิตอย่างใกล้ชิดร่วมกัน อี๊ดยังคงสัมพันธภาพเอาไว้กับผู้คนเหล่านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตต่อๆ มา แต่เธอบอกว่า ชีวิตใหม่ที่เธอตอนที่ออกมาจากบาร์นั้น เปรียบเสมือนชีวิตที่เธออยู่ในครอบครัวใหม่ ถึงผู้คนเหล่านั้นจะไม่รู้สึกเช่นนั้นกับเธอก็ตาม เธอจึงยังคงโทรถามข่าวคราวทุกข์สุขเสมอ หากเทียบกับดิฉันแล้ว ดิฉันเอาตัวเองออกจากกลุ่มคนเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง และไม่คิดแม้กระทั่งจะติดต่อกลับไปอีก เพราะไม่มีความผูกพันธ์ใดๆ ที่ยังคงเหลืออยู่ แว่บหนึ่งของความคิดที่เข้ามาคือ ทำไมเราจึงตัดขาดกับผู้คนเหล่านั้น ทั้งๆ มิได้มีความโกรธเคืองอันใดต่อกัน ยังนึกแปลกใจอยู่ทุกวันนี้


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:09:08 น.  

 
ดิฉันนั่งฟังอี๊ดเล่าเรื่องผู้คนต่างๆ ด้วยความสนใจ หาใช่ว่าเรื่องของคนเหล่านั้นจะน่าสนใจ แต่หากเป็นเพราะสนใจวิธีการคิดและความผูกพันธ์ที่อี๊ดมี และให้กับอดีตของเธอในชีวิตช่วงนั้นต่างหาก ดิฉันกำลังชื่นชมเด็กคนนี้ ไม่ใช่สิ เธอไม่ใช่เด็กแล้ว ณ วันนี้ เธอเป็นแม่ลูก 3 ผ่านการมีสามีมาแล้ว 2 คน เป็นเจ้าของร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง

"แล้วเปิดร้านมานานหรือยัง?"
"ก็ปีกว่าๆ แล้วพี่ พอกาโม่อายุได้ 1 ขวบ หนูก็ตัดสินใจบอกแฟนว่า หนูจะไม่อยู่บ้านเฉยๆ หนูจะเปิดร้านทำเสริมสวยกับสปา"
"แล้วไปเรียนมาตั้งแต่เมื่อไร?"
"ก็ตอนท้องนั่นแหละพี่ แฟนหนูเขาให้หนูออกจากงานมาอยู่บ้าน หนูก็หาอะไรทำสิพี่ ก็เรียนๆ ไปช่วงนั้น"
"ดีนะ แล้วชอบหรือเปล่า"
"ชอบสิพี่ กว่าจะรู้ว่าชอบนะพี่ ก็คิดอยู่นานว่าจะทำอะไร หนูก็ไม่มีความรู้ ปริญญาอะไรก็ไม่มี แล้วจะทำอะไรดี หนูไม่อยากเป็นลูกจ้างใครแล้ว ทำเองดีกว่า ก็มาคิดๆ ว่าจะทำอะไร"
"เราก็ชอบแต่งตัวด้วยไหม?"
"ก็ไม่เชิงหรอกพี่ แต่งหน้า แต่งผมดีกว่า แต่งตัวก็ไม่นะพี่ หนูขี้เหนียวจะตายพี่ก็รู้ หนูหาเงินมาได้ยาก หนูจะใช้ทีก็คิดมาก แล้วยังมีลูกอีก"

พูดคุยจนมาถึงเรื่องของชีวิตคู่
"แล้วกับแฟนคนนี้เป็นอย่างไร"
"เขาก็ดีนะพี่ แต่หนูเป็นคนที่ผ่านอะไรมาเยอะแล้ว หนูไม่ยึดติดนะพี่ เขาบอกให้หนูอยู่บ้าน หนูก็บอกว่า ถ้าให้อยู่บ้านเฉยๆ ก็ต้องให้หนูเดือนละ 10000 บาท ถ้าให้ไม่ได้ หนูก็ต้องหาอะไรทำ"
"ก็ดีนะ แล้วเลยทำที่บ้านเลย"
"ใช่พี่ กว่าจะยอมนะพี่ หนูก็ไม่ยอมเหมือนกัน คือจะทำให้ได้ไง ตั้งใจแล้วต้องทำให้ได้"
"ตกลงว่า 10000 บาทเขาให้ไม่ได้"
"ไม่ได้พี่ รายจ่ายที่บ้านเนี่ย มันสูงนะ ค่าผ่อนบ้าน รถอีก ลูกอีก มันก็เยอะ แต่หนูอยากได้ 10000 เพื่อจะได้เก็บและเอาไว้ใช้สำหรับลูกสาว 2 คนของหนู หนูไม่ใช่คนตัวเปล่า หนูยังมีลูกที่ต้องรับผิดชอบอีก"
"เข้าใจคิดนะ แล้วทำร้านนี่ได้ไหม ตามที่ตั้งไว้ 10000 บาท"
"ได้สิพี่ เดือนละหมื่นนี่อย่างต่ำนะพี่ แล้วก็ตอนนี้หนูจะขยายร้านนะพี่ จะทุบให้ออกมาติดรั้วบ้านเลย ตอนนี้หนูใช้ที่ส่วนที่เป็นที่จอดรถของบ้านทำร้านน่ะพี่"
"ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่สำเร็จนะ"
"พี่พธู หนูไม่รู้หรอกว่า สำเร็จนี่เป็นอย่างไร รู้แต่ว่า หนูต้องการมีในสิ่งที่หนูไขว่คว้า และหนูก็หามาด้วยตัวของหนูเอง ผัวหนูจะมาว่าหนูเกาะเขาเฉยๆ เนี่ย ว่าไม่ได้ อีกอย่าง ถ้าต่อไปเขาเกิดไปเจอคนใหม่ หรือว่าเลิกกับหนูเนี่ย หนูก็มีอาชีพเอง หนูก็ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น"
"คิดเรื่องเลิกกัน?"
"ก็ต้องคิด คือ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ว่าหนูระวังมากกว่า ความที่เราเห็นมาเยอะ จากเพื่อนๆ ที่ทำงานโรงแรม กับชีวิตหนูเองเนี่ย หนูว่า ถ้าเราหาเงินได้เอง มันดีกว่าไงพี่ อยากจะทำอะไรกับเงินของเราเอง ก็ไม่ต้องยุ่งกับใคร สบายใจกว่า"
"คิดว่าชีวิตตอนนี้คลื่นลมสงบ?"
"ก็สงบพี่ หนูนิ่งมากขึ้น และหนูพอใจมัน"
"ก็เหลือว่า ทำให้มันดีที่สุด แล้วจะมีลูกอีกไหมเนี่ย?"
"ไม่เอาแล้วพี่ พอแล้วพี่ ตอนนี้หนูจะมีชีวิตของหนูเองแล้ว อย่างลูกสาวสองคน ก็โตๆ แล้ว เหลือแต่กาโม่ ก็ค่อยๆ เลี้ยงไป แล้วหนูพอแล้ว หนูจะใช้ชีวิตของหนูบ้างแล้วแหละ"


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:09:44 น.  

 
อี๊ดกับกาโม่ นั่งรอดิฉันทำงานทั้งวัน ช่วยจัดเอกสารบ้าง แกะแม็กสำหรับเอกสารที่ต้องสแกนบ้าง เราใช้เวลาในวันนั้นในการพูดคุยในเรื่องจิปาถะทั่วไป ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
"แล้วกาโม่เข้าโรงเรียนหรือยัง อายุเท่าไรแล้ว"
"ไปแล้วพี่ สามขวบปีนี้แหละ แต่วันนี้ให้หยุดเรียน เพราะจะมาหาพี่ไง หนูก็พามาด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวพี่ไม่เห็น"
"แล้วบ้านอยู่ไหน มาไกลไหม?"
"ก็ไกลเหมือนกันพี่ ออกไปทางสนามบินดอนเมืองโน่นดแหละพี่ ปกติไม่เข้าเมืองหรอก แล้วพี่จะกลับเมื่อไร"
"อีก 2-3 วันนี้ ยังเก็บของไม่เสร็จเลย"
"พี่ไปค้างกับหนูคืนนึงสิพี่ หนูอยากดูแลพี่ อยากให้พี่เห็นด้วยว่า หนูมีบ้านแล้ว อยากให้พี่เห็นร้านหนูด้วย"
"แหม ไม่ต้องไปดูก็เชื่อแล้ว แล้วพี่ไม่ได้เป็นอะไร ทำไมต้องมาดูแลกัน เอาไว้เที่ยวหน้าละกัน ให้มีเวลามากกว่านี้"

ก่อนจะจากกันในเย็นวันนั้น
"ตอนนี้ก็ดูเหมือนชีวิตจะโอเคดีทุกอย่างนะ พี่ว่า"
"ก็ดูเหมือนอย่างนั้นแหละพี่ แต่คนที่เคยล้มมาแล้วอย่างหนูเนี่ย ถ้าล้มอีก มันคงไม่เจ็บมากแล้วพี่"
"คิดในแง่ร้ายไปทำไม? ถ้าเราเคยล้ม เราก็ต้องระวัง จะคิด จะทำอะไร ก็ต้องระวัง จะได้ไม่ล้มอีก"
"ไม่หรอกพี่ อะไรมันเกิดได้เสมอ สุขได้มันก็ไม่นาน ทุกข์ไปมันก็ไม่นานพี่ คิดเอาไว้บ้างว่า ถ้าล้มอีกจะทำยังไง มันก็ไม่เสียหลาย"
"อ้ะ ถ้าล้มอีกจะทำยังไง? ดูเหมือนอยากจะล้มเหลือเกิน"
"ก็ลุกขึ้นมาอีกสิพี่ คราวนี้จะไม่เสียเวลาคร่ำครวญร้องไห้เพราะเจ็บหรอกพี่ เพราะหนูรู้แล้วว่า เจ็บมันเป็นยังไง"
"อือ ใช่ ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมา แล้วก็เดินใหม่ ก็แค่นั้น ชีวิตมันก็มีแค่นี้นั่นแหละ"

จบบริบูรณ์
-----------------------------------------------


โดย: พธูไทย วันที่: 4 ตุลาคม 2549 เวลา:21:10:32 น.  

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่นำมาแบ่งปันนะคะ พี่พธูไทย ซาบซึ้งเหลือเกินค่ะ


โดย: กาทะน้อยของน้องหมูแดง วันที่: 19 มกราคม 2550 เวลา:3:29:08 น.  

 
อ่านจนจบ ได้แง่คิดมากมายเลยครับ ขอบคุณมากครับ และขอชมเจ้าของบล็อกว่า เขียนได้ดีจริงๆครับ อย่างนี้เป็นนักเขียนได้สบายเลยครับ


โดย: a little donkey (boonsiriPOWER ) วันที่: 24 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:00:42 น.  

 
ดีมากๆเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะอ่านจนจบ แต่ก็ตามอ่านจนจบจนได้ ให้ข้อคิดกับชีวิตได้ดี อี๊ดมีความคิดเหมือนกับดิฉันเลย ล้มแล้วเราก็ต้องลุก อย่ามามัวเสียเวลาคร่ำครวญ
ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ดิฉันเองก็มีภาระต้องเลี้ยงลูกเอง แต่ก็สู้ไม่ถอยค่ะ มีแต่ตัวกับกำลังใจเท่านั้น สรุปดีมากจริงๆ เขียนได้ดี อ่านเพลิน ขอบคุณนะคะที่แบ่งปันข้อคิด สิ่งดีๆให้


โดย: ม่ามี้กะเบบี๋ วันที่: 3 กันยายน 2552 เวลา:23:00:44 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

พธูไทย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




บล็อกนี้เปิดไว้เพื่อเก็บสิ่งที่เขียนจากที่ต่างๆ เอามารวมๆ กัน
ไม่ได้เข้าบล็อคบ่อยๆ มาดูเฉพาะตอนที่จะเขียนอะไร
ดังนั้นถ้าใครมาเยี่ยมชมหรือเขียนถามอะไรเอาไว้ จะไม่เคยตอบ
เพราะกว่าจะตอบมันนานมาก และผู้ถามคงจะลืมไปแล้วว่าถามอะไร
Friends' blogs
[Add พธูไทย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.