สัพเพเหระ ตอนที่ 5 ชีวิตจริง ไม่มีนางเอก
หลายคนคงจะสงสัย วันนี้ไอ้หมอนี่มาแปลก มันจะมาเล่นละครรึไง อิอิ

ไม่หรอกครับ ตลอดชีวิตผมดูละครน้อยมาก ละครที่ผมดูอย่างจริงจัง ตั้งแต่ตอนแรกจนตอนสุดท้าย ตั้งแต่ผมเกิดมาจนอายุปูนนี้ มีแค่สามเรื่องเท่านั้น

ตาไม่ฝาดหรอกครับ สามเรื่องเท่านั้นจริง ๆ

แรงบันดาลใจที่ทำให้อยากจะเขียนบล๊อคนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีพี่สาวที่ผมนับถือท่านนึง ผมก็ไม่ทราบว่าเค้าคิดอะไร อยู่ ๆ เค้าก็เกริ่น ๆ ขึ้นมาว่า "ชีวิตคนมันเหมือนละครจัง" ผมก็อือออไป เพราะว่าก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วพี่เค้าก็ถามผมว่า "แล้วเราล่ะ คิดว่าชีวิตตัวเองเหมือนละครเรื่องไหน"

ผมตอบแบบไม่คิดเลยล่ะครับ "ทอฝันกับมาวินคับเจ้"

ถึงแม้ว่าหน้าตาผมมันจะไม่ค่อยได้เรื่อง ต่างกับพระเอกละครเหลือเกิน ประมาณว่าหน้ามือหลังตีน (ขออนุญาตใช้คำนี้ เพราะว่ามันเห็นภาพดี) แต่ชีวิตจริงของผมนี่แหละ เหมือนในละครมาก

หลาย ๆ ท่านที่อายุประมาณรุ่นเดียวกับผมคงจะพอจำได้ว่าเรื่องราวเป็นเ่ช่นไร ดังนั้นผมจะไม่พูดถึงมากนัก

ชีวิตของผมก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ ตามแบบฉบับครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน แน่นอนว่าพ่อผมวางทางเดินของผมไว้ให้แล้วว่าอนาคตผมจะ้ต้องเรียนอะไรต่อไป ปัญหาของผมก็คือ ผมมีปัญหากับวิชาคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็สุดจะอธิบาย หัวผมไม่ไปกับมันเลยให้ตายเหอะโรบิน

ปัญหาของผมเริ่มแสดงอาการตั้งแต่ขึ้นป.ห้า แต่ก็ยังพอเอาตัวรอดมาได้ แต่มันมาแสดงอาการชัดมากเมื่อตอนผมอยู่ม.สาม การเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงม.สอง ประวัติดีมาตลอดคือไม่เคยตก ไม่เคยติดศูนย์จนถึงต้องสอบซ่อม แต่พอผมขึ้นม.สามเทอมสองเท่านั้นแหละ ผมก็ได้ลิ้มรสคำว่าสอบตกเป็นครั้งแรกในชีวิต

เดาได้ใช้มั๊ยครับว่าวิชาอะไร ใ่ช่ครับ คณิตศาสตร์นั่นเอง ตกมิดเทอมเลยขอรับกระผม ก็ต้องสอบซ่อมเป็นครั้งแรกในชีวิตเ่ช่นกัน ตอนปลายเทอม อาจารย์เรียกผมมาคุย ท่านบอกผมว่า "จริง ๆ แล้วสอบไฟนอลเธอก็ตกนะ แต่ครูเห็นกับที่เธอพยายามตั้งใจเรียน ไม่เคยขาด ไม่เคยสาย การบ้านส่งทุกครั้ง ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นครั้งนี้ครูจะช่วยก็แล้วกัน"

น้ำตาจะไหลครับ สำนึกในบุญคุณจริง ๆ ถึงอาจารย์ท่านจะค่อนข้างดุ แต่ผมก็รักอาจารย์ครับ ขอขอบคุณอาจารย์อีกครั้งครับ

มาถึงตอนนี้หลายท่านคงจะงง ๆ เหมือนละครตรงไหนฟะ มันกำลังจะเริ่มแล้วครับ

ณ เวลานั้น ผมรู้ัตัวเลยว่า ถ้าต้องเรียนสายศิลป์ คำนวณ ตามความต้องการของพ่อผมแล้วล่ะก็ ไม่รอดแน่ ผมก็เลยตัดสินใจเบนเข็มไปลงเรียนสาย ศิลป์ ภาษาฝรั่งเศส พอพ่อผมรู้เท่านั้นแหละครับ เป็นเรื่องทันที ผมโดนพ่อผมสวดหยั่งกะผมไปเสพยามาเลย วันรุ่งขึ้น พ่อผมก็พาผมเข้าพบผู้ช่วยฝ่ายวิชาการซึ่งผมไ่ม่อยากเจอเค้าเลยจริง ๆ เพราะรู้ว่านิสัยเธอเป็นไง โชคดีที่ไม่เจอ แต่เจออาจารย์อีกท่านนึง เป็นนายทะเบียน ซึ่งผมก็สนิทกับอาจารย์ท่านนี้

ลองนึกภาพดูครับ เด็กนักเรียนคนนึง ต้องมาก้มหน้ายอมรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ผมต้องบอกอาจารย์เค้าว่า "ผมโง่เอง จริง ๆ แล้วผมจะลงศิลป์ คำนวณ แต่ลงผิดไปลงศิลป์ ภาษา" แล้วผมก็หลบตา เสียงเริ่มสั่น น้ำตามันจะไหล

อาจารย์ท่านอ่านสถานการณ์ออก ก็เลยจับมือผมไว้ แล้วบอกว่า "ไม่เป็นไร ครูเข้าใจนะ ไม่ต้องห่วง ใบลงทะเบียนยังไม่ได้ป้อนเข้าระบบ แค่กรอกใหม่ก็จบแล้ว" กว่าผมจะกรอกมันเสร็จ แค่ชื่อ เลขประจำตัว กับสายที่ต้องการจะลงเรียน ก็ใช้เวลานานทีเดียว มือมันสั่น อารมณ์ ณ เวลานั้น มันบอกไม่ถูก มันทั้งโมโห ทั้งเสียใจ และอะไรหลาย ๆ อย่าง

พ่อผมอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น แล้วก็บอกว่า ไปกินข้าวกัน ผมกินอะไรไม่ลง ในขณะที่พ่อผมจัดการกับข้าวในจานแบบสบายอารมณ์ หมดเกลี้ยงในเวลาไม่นาน

เจ็บสิครับ เจ็บมาก จนเกินบรรยาย ลองคิดดูครับ กับคนที่ได้ชื่อว่ารักเราเท่าชีวัน แต่ทำกับเราแบบนี้ หลายท่านคงจะสงสัยนะครับว่าพ่อผมให้เหตุผลว่าอย่างไรในการไม่ให้ผมเรียนฝรั่งเศส เค้าบอกว่า "เรียนฝรั่งเศสเหรอ อนาคตก็เป็นได้แค่คนกวาดถนนน่ะแหละ" ความรู้สึก ณ เวลานั้นก็ประหนึ่งมีดกรีดลงหัวใจทีเดียว

มาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจจะนึกด่าผมในใจว่าทำไมเอาพ่อตัวเองมาประจาน แต่ขอให้รับทราบไว้ครับ ผมรู้และสำนึกในบุญคุณของพระอรหันต์ในบ้านทั้งสองท่านอย่างสุดหัวใจ เหตุผลที่ผมเขียนเล่าก็เพื่อเป็นอุทาหรกับใครก็ตามที่เป็นคุณพ่อ หรือกำลังจะเป็นคุณพ่อให้ดูเป็นตัวอย่าง "หวังดีกับลูกน่ะดี แต่ความหวังดีที่มากเกินไปมันอันตราย"

การเรียนในม.สี่ของผมขลุกขลักมากทีเดียว ก็เนื่องจากวิชาคณิตศาสตร์น่ะแหละครับ
สอบย่อยตก ซ่อม
มิดเทอมตก ซ่อม
ไฟนอลตก ซ่อม

เป็นงี้จริง ๆ จนกระทั้งผมเริ่มทำในอีกสิ่งที่ไม่เคยทำ โดดเรียนครับ พอถึงคาบคณิตศาสตร์ก็โดด ไม่เรียนซะงั้น อาจารย์ท่านนี้ก็ไม่สนใจ ไม่เช็คชื่อ และให้สอบด้วย สุดยอดจริง ๆ ก็มันเรียนไม่ได้นิ เข้าไปนั่งเรียนก็เฉาชีวิตเปล่า ๆ

จนกระทั่งพ่อผมรู้เรื่อง คงเดาได้นะครับว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อผมถามตรง ๆ เลยว่า"อยากเรียนต่อไปรึเปล่า ถ้าทำแบบนี้ก็อย่าเรียนดีกว่า ออกจากโรงเรียนเลยดีมั๊ย" ผมก็ตอบแบบไม่คิดเหมือนกันว่า "โอเค ไม่เรียนก็ไม่เรียน หางานทำเลย" พ่อผมก็ยังอุตส่าห์มีอารมณ์ถามด้วยว่าจะหางานทำยังไงที่ไหน ผมก็บอกไปว่า "จะไปอยู่กะอากง ทำงานกะอากงน่ะแหละ" พ่อผมก็อึ้งในคำตอบของผม เค้าไม่พูดอะไรแล้วก็เดินออกไปจากห้องผม

ซักครู่นึงก็เข้ามาใหม่ แล้วก็เรียกให้เข้าไปคุยกับแม่ผมด้วยพร้อมหน้าพร้อมตา แม่ผมกำลังจะร้องไห้ ถามผมว่าทำไมจะเลิกเรียนแ้ล้วล่ะ ไม่อยากเรียนแล้วเหรอ ไม่เรียนแล้วจะเอาอะไรไปทำงาน ฯลฯ คราวนี้แหละครับ ผมก็บ่อน้ำตาแตกเลย เป็นครั้งแรกที่ผมพูดเสียงดังใส่พ่อผม น้ำเสียงดุดันชนิดที่ว่า โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ขอซักที มันเก็บกดมานาน

ผมจำรายละเอียดไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรออกไปบ้าง ยาวมาก ใจความสำคััญก็คือ ผมพูดไปว่า รู้ตัวว่าเรียนคณิตศาสตร์ไม่ได้ ถึงเลี่ยงจะไปเรียนฝรั่งเศส แล้วมาบังคับให้เปลี่ยนสายทำไม บลา ๆๆ

แม่ผมก็ช่วยผสมโรง "เห็นมั๊ย บอกแล้วว่าอย่าไปบังคับมัน ให้มันเรียนอะไรที่เรียนได้ไปเหอะ บลา ๆๆๆ"

พ่อผมนั่งฟังนิ่ง ๆ ด้วยสำนึกเป็นครั้งแรกว่าทำอะไรล้ำเส้นไปแล้ว แล้วแม่ผมก็หันมาขอร้องให้ผมเรียนต่อ อย่าเลิกเรียนกลางคัน บลา ๆๆๆ

ผมก็หันไปทางพ่อผม บอกไปว่า "ยินดีจะกลับไปเรียนต่อ แต่ต้องไปรับผิดกับผช.วิชาการซะว่าเป็นคนบังคับให้เปลี่ยนมาลงเรียนตัวนี้ ทำยังไงก็ได้ให้เค้ายอมเปลี่ยนโปรแกรมให้ได้ ถ้าไม่ได้ ก็ไปหาโรงเรียนอื่นมา โรงเรียนอะไรก็ได้ ยินดีเริ่มเรียนม.สี่ใหม่ด้วย"

โชคดีมาก ๆ ที่เค้ายอมให้เปลี่ยน แล้วผมก็ไม่ทำให้ใคร ๆ ผิดหวัง ผมลุยเต็มที่กับการเรียน เสียเวลามานานเป็นปีแล้ว ผลการเรียนผมดีขึ้นแบบก้าวกระโดด เป็นครั้งแรกที่เกรดเฉลี่ยผมขึ้นถึงสาม วิชาภาษาฝรั่งเศสได้เกรดสี่มาตลอด และวิชาภาษาอังกฤษก็ดีวันดีคืนจนกระทั่งผลสอบออกมาได้ท๊อปของระดับม.ห้า และม.หก ติดต่อกันทั้งสี่เทอม

จนกระทั่งปีม.หกปีสุดท้าย เกรดเฉลี่ยผมสูงพอที่จะได้รับทุนการศึกษาจากแบงค์กรุงไทย ซึ่งพ่อแม่ผมทำงานอยู่ เป็นทุนเรียนดีที่แจกให้กับลูกพนักงาน ภูมิใจมัก ๆ คิคิ มีความสุขมากมาย

ชีวิตคนก็เงี้ยแหละครับ มีทุกข์ก็มีสุขปะปนไป ผมมีความสุขอยู่ได้ไม่นาน ก็มีอีกเรื่องนึงผุดขึ้นมา

เรื่องนี้มีภาคสองครับ ตอนนี้ขอจบดื้อ ๆ แบบนี้แหละ

ติดตามต่อตอนหน้าครับ



Create Date : 03 ธันวาคม 2552
Last Update : 10 ตุลาคม 2555 11:25:31 น.
Counter : 821 Pageviews.

2 comments
  
อ่านแล้วซึ้งอะ - -

...ถ้าผิงมีลูก ต้องจำๆ ไว้เนอะ ว่า อย่าบังคับเกิน
โดย: Halimeda lover IP: 60.240.27.27 วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:16:01:07 น.
  
อิอิ

เรียนศิลป์ฝรั่งเศสเหมือนกันค่ะ

รู้ตัวว่าเกลียดเลขมากกกก ถึงมากที่สุด


ตอนนั้นบอกเเม่เลย หนูไม่เรียนแล้วนะ สายวิทย์ ไม่เป็นหมอแล้ว ไม่เอา ไม่ชอบ ไม่อยากอยุ่กับสิ่งที่ไม่ชอบ


ตอนแรกเค้าก็ไม่แฮปปี้หรอกค่ะ แต่นะ เราก็รู้ว่าถ้าเราเรียนไปมันไม่ได้ดีเเน่ๆ เพราะวิชาภาษาไทยกับอังกฤษนี่ ทำคะแนนดีมาก ท็อปตลอด สอบเเข่งได้ที่หนึ่งจังหวัด ที่หนึ่งภาค และเคยได้ที่ต้นๆประเทศ (พวกเอ็นทีกับของเสริมปัญญาหรืออะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้ว)

แต่ คณิตกับวิทย์นี่ ตกตลอดเลยค่ะ ตกแล้วตกอีก
เข็นไงก็ไม่ขึ้นอ่ะค่ะ เป็นคนเดียวในห้องคิงที่ต้องไปเรียนชั่วโมงคณิตศาสตร์เสริมสำหรับคนเรียนอ่อน
แล้วก็ต้องเรียนพิเศษคณิตสองที่ วิทย์อีกที่หนึ่ง เพื่อตามให้ทัน ชีช้ำมาก



รู้ตัวเลยว่า ศิลป์ภาษาเท่านั้น พอพ่อแม่ไม่ค่อยพอใจ
เราก็เลยหาทางแก้ ด้วยการ มุ่งมั่นเข้ารร.ม.ปลายอันดับหนึ่งให้ได้ เพราะเรียนที่รร.นั้น พ่อแม่ไม่ต้องห่วงเรีื่องคุณภาพและสังคมเลย สายไหนก็ปึ้ก ไม่ว่าศิลป์ภาษาหรือวิทย์

ก็เข้ารร.นั้นได้ พ่อแม่ก็มีความสุขค่ะ



ตอนที่รู้ว่าอยากเรียนศิลป์มีแต่คนดูถูกอ่ะค่ะ อาจารย์พูดใส่หน้าเราเลยว่า "หน้าอย่างเธอ เรียนศิลป์ภาษา ไม่มีทางเจริญ" แรงมากกกกกกกกกก



แต่ชีวิตเราก็ดำเนินมาเรื่อยๆ ด้วยดี
เรียนม.ปลายอย่างมีความสุขมาก เพราะได้อยู่กับสิ่งที่ชอบ


ตอนนี้ เราเรียนได้ดีกว่าเพื่อนที่เรียนสายวิทย์รรเดิมหลายคนเลยค่ะ เอนท์ก็ได้ที่ดีกว่าด้วย


ดีใจ ที่วันนั้น กล้าเลือกในสิ่งที่ตัวชอบ เพราะไม่งั้น ชีวิตเราคงแย่แน่ๆเลย



โดย: กอหญ้าพาฝัน วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:23:33:03 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

The Queenslander
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



ธันวาคม 2552

 
 
1
2
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog