|
ตอนที่ 9 : ขอให้รักของฉัน อยู่กับเธอตลอดไป เล่ม 1 - 3 โดย ภูระริน

9
เมื่อเข้าห้องเรียนพร้อมกันทุกคนแล้ว มีหลายคู่ที่ไม่ค่อยพอใจกับคู่ของตัวเอง เพื่อนบางคนทำท่ารังเกียจกันอย่างออกหน้า จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนก็ต้องอยู่ร่วมกันอย่างนี้ไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ภูสิตาหยิบถุงกระดาษในกระเป๋านักเรียนออกมา ทำให้คนข้าง ๆ มองด้วย อะไรเหรอ ? ภูสิตามองหน้าเขาแต่ไม่ได้ตอบคำถาม เป็นอะไร ? เล่นตัวจังเลยนะ ก็คนถามดี ๆ เขาหน้าตึง แต่ภูสิตาไม่ได้สนใจอาการนั้น กลับเดินตรงไปที่โต๊ะของอำภา
อำภานี่ของฝาก อย่าว่าอะไรเราเลยนะ เราตั้งใจให้
อำภายิ้มรับแล้วเปิดถุงออกดู ในถุงเป็นเสื้อนักเรียนใหม่เอี่ยม 2 ตัว
ให้เราเหรอ ? ให้เราจริง ๆ เหรอ นี่ตัวใหม่ ๆ เลยนะ จริงหรือเปล่า ? ขอบใจนะจ๊ะ ขอบใจมาก เด็กหญิงดีใจ พูดวกไปวนมาหลายรอบ
เล่าให้น้าฟัง ท่านเลยฝากมาให้ เก็บไว้นะจ๊ะ ภูสิตาหมายถึงแม่เลี้ยงของเธอ เมื่อพูดจบก็รีบเดินจากมา ไม่อยากให้ใครเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ กลัวว่าอำภาจะอาย
เพื่อน ๆ บางคนไปมุงอยู่ที่โต๊ะอำภาเพื่อชื่นชมเสื้อใหม่กัน
ใจดีจังนะ ทีกับเราพูดดี ๆ ด้วยยังไม่ได้ ปรเมษฐ์พูดอย่างน้อยใจ
นี่บอลเป็นอะไร พูดอยู่ได้ ก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้วนี่ไง ถามอะไรนักหนา ? ภูสิตาชักเบื่อคนแสนงอน เขายิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นภูสิตาพูดจาจริงจัง
อ้าว ! ก็พูดได้ สบายดีใช่ไหม ไม่ได้เจอกันนาน สูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย ? เด็กชายเอามือมาวัดศีรษะของเธอกับบ่าของตัวเอง ภูสิตารีบเอามือปัดมือเด็กชายออกจากศีรษะแต่ไม่ทัน เขาไวกว่าเธอนัก สูงขึ้นนะเนี่ย ปรเมษฐ์เองก็สูงขึ้นมาก บ่าของเขากว้างออก ดูเหมือนเสื้อนักเรียนที่ใส่จะเป็นตัวใหม่ เด็กหญิงมองบ่าที่อยู่ข้าง ๆ แล้วเดาเอาจากสายตา พอดีกับที่อาจารย์เข้ามาแล้วเริ่มทำการสอนชั่วโมงแรกทันที
มองอะไร ? เขาถามบ้างเมื่อรู้สึกว่าถูกมองแล้วภูสิตาหลบสายตา
เปล่า ! ทำไมต้องมาแต่เช้า มารอใคร ? ภูสิตาถามพลางจดงานในสมุดตามที่อาจารย์กำลังสอน ใครบอก ? เขาถามแต่ไม่ได้มองหน้าเธอ
เจอเบสที่โรงอาหาร เขาว่าบอลมารอที่ห้อง รอใคร ?
แค่อยากมาดูว่าจะได้นั่งกับใคร ทำไมเหรอ ?
อย่ามามองแบบนี้ ก็เบสเขาพูดเหมือนตัวมารอเรา
นั่นก็ใช่ แล้วปรเมษฐ์ก็ทำเมินคนข้าง ๆ ไปเสียดื้อ ๆ
คำสนทนาของคนทั้งสองไม่พ้นสายตาและหูของปูนาไปได้ ปูนาเห็นปรเมษฐ์เข้าห้องมาแต่เช้าแล้ว เขารีบกุลีกุจอไปที่บอร์ดทันที จะเหยียบเท้าหรือชนใครเขาไม่ได้สนใจ พอเห็นรายชื่อเท่านั้นเจ้าตัวก็ยิ้มร่า ไม่เสียแรงที่พ่อเลี้ยงเหล้า พูดจบเขาก็เดินไปชะเง้อรอเหมือนคน ๆ นั้นสำคัญเสียมากมาย พอเห็นภูสิตาเดินมาเขาจึงกลับไปนั่งที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปูนารู้และดูออกมานานแล้วว่าปรเมษฐ์ให้ความสำคัญกับภูสิตามากแค่ไหน เด็กหญิงไม่ได้เสียใจหรืออิจฉาแม้แต่นิดเดียว หากแต่เรื่องวันนี้ทำให้แน่ใจว่าปรเมษฐ์คิดอะไรอยู่ แต่เด็กหญิงก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไร เธอยิ้มพลางส่ายหน้า
ตลอดเวลาที่นั่งเรียนในห้องเทอมนี้ ปรเมษฐ์แทบจะไม่ลุกเดินไปไหน เขาทำตัวเหมือนคนขี้เกียจและขยันเรียนในเวลาเดียวกัน นอนทำไม ? อาจารย์มาแล้ว พอถูกเตือนเขาก็ลุกขึ้นแล้วก็ตั้งใจเรียนเหมือนคนละคนกับเมื่อครู่
รู้อะไรไหม ? ปรเมษฐ์ถามไม่มีปี่มีขลุ่ย
รู้ทุกเรื่องเลย จะฟังเรื่องอะไรล่ะ ? ภูสิตาชักนึกสนุก
เรามีความลับ
เก็บความลับของตัวไว้เถอะ
มันเป็นความลับไง้ ! อยากรู้ไหมว่าอะไร ?
อยากเล่าก็เล่ามา
เล่าไม่ได้หรอก อยากเล่าแทบตายก็ทำไม่ได้ ปรเมษฐ์หันมามองคนข้าง ๆ สายตาคู่นั้นในยามนี้ดูเศร้านัก
ทำไมล่ะบอล ?
ไม่มีใครเชื่อหรอก พูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจ
ภูสิตาได้แต่สบตาคนเล่า อะไรของเขา ? เด็กหญิงนึกในใจ
ยิ่งวันเวลาผ่านไปนานเท่าไรภูสิตาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับคนข้าง ๆ มากขึ้น เขามีโลกส่วนตัวไม่น้อยไปกว่าเธอหรอก แต่สิ่งที่เด่นชัดก็คือความมีน้ำใจที่หาได้เสมอจากคำพูดที่ฟังดูก้าวร้าวและท่าทางที่ดูไม่สนใจใครนั้น เขาอาจจะไม่รู้ตัว แต่ภูสิตาเห็นมันมาตลอด
วันหนึ่งเมื่อจบวิชาที่อาจารย์สุวิทย์สอน ท่านก็เรียกปรเมษฐ์เข้าไปพบ
บอลเดี๋ยวตามไปที่ห้องพักอาจารย์หน่อย ปรเมษฐ์ลุกเดินออกไปโดยไม่มีทีท่าใด ๆ หายไปไม่นานก็กลับมา แต่ภูสิตารู้สึกว่าเขานิ่งผิดปกติ
อาจารย์ดุเหรอ ? เรื่องอะไร ?
จะมาด่าเรื่องอะไร ไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ เขาเลิกคิ้วสูง ท่าทางมั่นใจ
งั้นเรียกไปทำไม ?
พ่อจะให้ไปออสเตรเลีย เขาตอบพลางยิ้มให้ แต่คำตอบนั้นทำให้ภูสิตาถึงกับหายใจไม่ออก เธอทำหน้าไม่ถูกด้วยซ้ำ อ้าว ! ไม่ถามต่อเหรอ ? ปรเมษฐ์หัวเราะ
ไม่มี
..ไม่มีอะไรจะถาม ภูสิตาก้มหน้าไม่สบตาเขา
ไปทั้งคู่ จบเทอมนี้แหละ
ริมฝีปากได้รูปของปรเมษฐ์มีรอยยิ้มจาง หากแต่คนฟังกลืนอะไรบางอย่างลงคอไร้เสียงใด ๆ
วันนี้หนทางที่เดินกลับบ้านทุกวัน ดูช่างยาวไกลเหลือเกิน ภูสิตารู้สึกว่าขาตัวเองอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ต้นไม้ใหญ่สองข้างทางดูใหญ่โตเหลือเกินวันนี้ ทำให้รอบตัวเธอดูมืดมิด เด็กหญิงมองไปรอบ ๆ ตัว ไม่มีใครที่จะเดินผ่านมาแล้วทำให้เธอต้องหันไปหยุดดูเหมือนทุกวัน ๆ ได้เลย จบเทอมนี้แหละ เสียงคุ้นหูยังดังก้องอยู่ในหัว ถ้าไม่มีเขาอยู่ข้าง ๆ กายเหมือนทุกวัน ที่นี่จะน่าอยู่เหมือนที่เคยหรือเปล่า ? เธอถามตัวเองในใจ
เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้ยินเสียงน้านิดาตะโกนออกมาจากในครัว น้องตาล ! กับข้าวอยู่ที่โต๊ะนะคะ วันนี้มีเมนูของหนูโดยเฉพาะ คุณพ่อให้จัดให้ค่ะ น้ามีธุระ แล้วพ่อเราก็ไม่อยู่จ้ะ ดึก ๆ คงจะกลับ น้องตาลอยู่คนเดียวได้นะคะ น้าจะรีบกลับ
ภูสิตาวางกระเป๋านักเรียนนานแล้วแต่ยังไม่เดินเข้ามาในครัว พอคุณนิดาออกมาจากในครัว เธอก็เดินสวนทางเข้าไปดูกับข้าวบนโต๊ะ เด็กหญิงไม่พูดไม่จา ทำให้คุณนิดาต้องชำเลืองดู น้องตาลหิวเหรอคะ ? ทานได้เลยนะ ภูสิตายังคงเงียบแต่เดินตรงเข้าไปที่โต๊ะ มีแกงจืด ผัดผักคะน้าใส่หมูและไข่เจียวหมูสับที่เป็นของโปรดของเธอวางอยู่
เด็กหญิงนั่งลงแล้วตักข้าวให้ตัวเองแค่ทัพพีเดียว แล้วก็เลื่อนจานผัดผักคะน้าออกไปไกลตัว คุณนิดาเดินย้อนกลับมาเพราะได้ยินเสียงเลื่อนจานดังเอี๊ยด ทำไมไม่ทานล่ะคะ ? น้องตาลไม่ทานผัก มันไม่ดีรู้ไหมคะ ? น้ำเสียงเธอเมตตาหากแต่ก็ดุอยู่ในที
ไม่ชอบค่ะ เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมามองแม่เลี้ยงนิ่ง
ไม่ชอบก็ต้องทานนะคะ เลือกกินแบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ คุณนิดาเดินมาเลื่อนจานผัดผักกลับมา แล้วตักใส่จานให้ขณะที่ภูสิตากำลังจะตักข้าวเข้าปาก ภูสิตาวางช้อนทันที เธอสบตาแม่เลี้ยง ขอบคุณค่ะ แต่ตาลไม่กิน มันขม ตาลไม่ชอบ
ไม่ได้หรอกค่ะ ลองดูก่อน มันไม่ได้ขมขนาดนั้น เอ้า ! ทานดูนะคะ คนพูดไม่รอช้าเธอตักข้าวขึ้นมาอีกคำพลางตักผักจะป้อนเด็กหญิง
ไม่เอาค่ะ บอกแล้วไงคะว่าไม่ชอบ ภูสิตารู้สึกโกรธที่ถูกบังคับจึงหันหน้าหนีแล้วเลื่อนจานข้าวออกไปไกลตัวทันที ไม่กินแล้ว !
น้องตาลอย่าเอาแต่ใจตัวเองสิคะ คุณนิดาวางช้อนลง เมื่อเห็นเด็กหญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ภูสิตาหันมาดูหน้าแม่เลี้ยงไม่นานแล้วก็เดินจากไปทันที เย็นนั้นภูสิตาไม่ได้รับประทานอาหารเย็น พอเข้าห้องก็นอนหลับไป มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพ่อเคาะประตู ออกมากินข้าวลูก ดึกแล้ว
ภูสิตาออกไปเปิดประตูห้อง ยังไม่อาบน้ำอีก จะนอนทั้งอย่างนี้เลยหรือลูก ? ข้าวก็ไม่กิน ไม่กินผักก็กินอย่างอื่นหน่อยสิลูก โกรธอะไร ? พ่อถามอย่างเข้าใจ
เด็กหญิงส่ายหน้า ไม่เอาค่ะ ไม่กิน ตาลไม่หิวแล้ว
ไม่ได้หรอกลูก น้านิดาเขาไม่สบายใจ หนูโกรธอะไร ไปคุยกับน้าเขาดี ๆ นะ
ตาลไม่อยากกินผัก แล้วก็ไม่อยากกินข้าวเท่านั้นเอง ไม่ได้โกรธใคร พ่อไม่ต้องห่วง ภูสิตาจะปิดประตูห้องแต่พ่อเอามือกันไว้ พ่อออกไป ตาลจะนอน
นอนไม่ได้ ออกไปขอโทษน้าเดี๋ยวนี้ ตาลเลื่อนจานข้าวใส่คุณน้าได้ยังไง ? เขาอุตส่าห์หวังดี ออกมา ! พ่อพยายามดึงแขนภูสิตาออกมาให้พ้นประตู
ไม่เอานะ ! พ่อจะให้ตาลไปขอโทษทำไม ตาลไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ก็แค่ไม่กินข้าว พ่อปล่อยนะ ! เมื่อสู้แรงพ่อไม่ไหวจึงถูกดึงออกมาที่ห้องนั่งเล่น คุณนิดานั่งดูนิตยสารฉบับหนึ่งอยู่ ดูเธอไม่ได้อาทรร้อนใจแต่มองมาที่ภูสิตาอย่างเมตตา
ขอโทษน้านิดาเสีย ยายตัวดี พ่อสั่งพลางสะกิดที่บ่าให้เด็กหญิงขอโทษ ภูสิตาถึงกับหน้าชาที่พ่อให้ทำแบบนี้ พ่อสะกิดเธอเหมือนไม่ใช่พ่อลูกกัน แล้วคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นใครกัน ? ภูสิตามองหน้าพ่อในยามนี้แล้วหายใจหอบ พ่อเข้าข้างคนอื่นและเธอคือยายตัวดี ! อย่าทำให้พ่อโกรธนะตาล โตแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ พูดเดี๋ยวนี้ ขอโทษน้านิดาเดี๋ยวนี้ ! พ่อเสียงดังจนเด็กหญิงตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อแสดงท่าทางแบบนี้ให้เธอเห็น หูของภูสิตาอื้ออึงไปหมด เธอจับคอซองแน่น แล้วยกมือขึ้นไหว้คุณนิดาทันที
ขอโทษค่ะ น้ำเสียงเธอสงบนิ่ง พ่อยิ้มให้เธออย่างพอใจ ภูสิตาตาพร่าไปหมด รีบวิ่งเข้าห้องนอนทันที
ในห้องนอนเด็กหญิงยืนหอบอยู่นาน น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาอย่างรวดเร็ว พ่อทำแบบนี้กับตาลได้ยังไง ทำไมต้องขอโทษ ? ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องให้พูด ? ความเสียใจที่ได้รับในวันนี้จากที่โรงเรียนก็มากพออยู่แล้ว แล้วนี่คือที่ไหน ? บ้านที่มีคนที่เธอรักที่สุดในชีวิตอยู่แต่ท่านทำเหมือนไม่รัก แล้วต่อไปลูกจะอยู่ได้ยังไง ?
ตั้งแต่รู้เรื่องของปรเมษฐ์วันนั้น ภูสิตาก็พูดคุยกับเขาน้อยลง พออาจารย์ออกไปนอกห้องภูสิตาก็ออกไปนอกห้องทันทีเช่นกัน ปรเมษฐ์คิดว่าเธอหายไปเข้าห้องน้ำ แต่ระยะหลังก็เริ่มสงสัย วันนี้ภูสิตาออกไปนานแล้ว จนอาจารย์สั่งให้ทำงานกันไปแล้ว เธอก็ยังไม่กลับเข้าห้องเรียน ปรเมษฐ์จึงออกไปเดินหา คิดว่าคงอยู่แถว ๆ นี้ แล้วก็จริงอย่างที่คิด ภูสิตานั่งเขียนอะไรบางอย่างลงบนพื้นดินใต้ต้นไม้ โดยมีพี่เข้มนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ในร้านสหกรณ์ เด็กชายไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกตัว จึงเดินเข้าไปหาพี่เข้มแทน
อ้าว ! น้องบอล หนีเรียนมาอีกคนละ เด็กหนุ่มหัวเราะ ปรเมษฐ์ยิ้มให้อย่างคุ้นเคย แต่สายตาเจ้าตัวดูกังวล เป็นอะไรไปอีกคน ? เงียบไปนะ
ปรเมษฐ์ยิ้มกว้างให้ ไม่ได้หนีเสียหน่อย เปล่านี่พี่ ! บอลก็เหมือนเดิม แต่คนนั้นคงไม่ พี่เข้มว่าอย่างนั้นไหม ? ทั้งสองหันไปดูภูสิตาพร้อมกัน พี่เข้มพยักหน้าให้
เออจริง ออกมาคนเดียวนาน ๆ บ่อย ๆ ให้ขนมก็ไม่เอา ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า นี่โมรีก็หายไปเลย ปรเมษฐ์ไม่ได้สนใจจะตอบ เขาเห็นภูสิตาหันหน้ามาทางร้าน จึงนั่งยอง ๆ ลงทันที ทำให้เธอมองไม่เห็นเขา พี่ ๆ บอลไปก่อนนะ อย่าบอกเขาล่ะว่าผมมา ช่วยดูให้หน่อยว่าเขามาทำอะไร มาหาใครหรือเปล่า นะ ๆ ไปแล้ว แล้วเด็กชายก็วิ่งออกจากร้านไป พอภูสิตากลับเข้าห้องเรียนไป นายเข้มก็เดินไปดูที่พื้นดินตรงที่ภูสิตานั่งเขียนอยู่เมื่อสักครู่ มีรูปหัวใจสองดวงวางซ้อนกันและตัวหนังสือเลือนรางที่เจ้าตัวลบออกไปแล้วยังค้างอยู่ เมื่อตั้งใจดูก็จะเห็นชัด ปร..เมษฐ์ เข้มยิ้มกับตัวเอง
พอกลับเข้ามา ภูสิตาก็เดินไปหาเอกรินทร์ พูดคุยกันอยู่ไม่นาน เอกรินทร์ก็เดินกลับมาพร้อมกับเธอ ลุก ๆ ข้าจะนั่งตรงนี้ ขยับไปนั่งเก้าอี้ตาลโน่น ปรเมษฐ์กำลังจดงานอยู่ พอถูกเอกรินทร์ย้ายหนังสือและเครื่องเขียนของเขามาที่โต๊ะของภูสิตา เขาก็ทำอะไรไม่ถูก เฮ้ย ๆ ! อะไร อ้าว ๆ เก็บทำไม ?
เออ ก็ข้าจะนั่งด้วย ภูสิตาเขาจะไปนั่งโน่น
ปรเมษฐ์ดูหน้าคนที่เป็นต้นเหตุทันที ภูสิตาไม่มีท่าทีอะไร แต่เดินมาเก็บข้าวของของตัวเอง เธอไม่ยอมสบตาเขาด้วยซ้ำ ทำไมล่ะ นั่งนี่ก็ดีอยู่แล้ว จะย้ายทำไมตาล ?
ปรเมษฐ์ถูกเอกรินทร์ไล่ทางอ้อมจนต้องลุกออกจากเก้าอี้ มือของเขายังถือปากกากับสมุดอยู่ ได้แต่เดินอยู่รอบ ๆ โต๊ะ เวลานี้รองเท้าเขาก็ไม่ได้ใส่ จึงต้องใช้เท้าเขี่ยรองเท้าตัวเองออกมาด้วย ว่าไงตาล ทำไมล่ะ ? ภูสิตาเก็บของเสร็จก็หันมามองหน้าเขาเล็กน้อย ทั้งคู่หอบสัมภาระไม่น้อยไปกว่ากัน มีเพียงเอกรินทร์เท่านั้นที่ยิ้มร่า
ไป ๆ จะได้ทำงานต่อ เดี๋ยวอาจารย์มา เร็วเข้าพวกแกเนี่ยชักช้า เอานี่ไปด้วย อะไรอยู่ใต้โต๊ะเพียบเลยไอ้บอล ?
ว่าไง้ ! ปรเมษฐ์ชักโมโห ที่ภูสิตาเอาแต่นิ่ง และความฉุกละหุกก็ทำให้เขาหงุดหงิดเอามาก ๆ เป็นใบ้หรือไง ? ถามก็ไม่ตอบ ทำไมต้องย้าย ? สีหน้าเด็กชายจริงจังอย่างที่ภูสิตาไม่เคยเห็นมาก่อน พอภูสิตากำลังจะพูดอาจารย์ก็เข้ามา เธอหันไปเห็นพอดีจึงได้รีบวิ่งไปที่นั่งเดิมของเอกรินทร์ทันที
อะไรกันปรเมษฐ์ ยืนทำไม ? นั่งลงสิคะ บอกให้ทำงานเงียบ ๆ ไง อาจารย์เตือนเขา ปรเมษฐ์ไม่ได้มองหน้าอาจารย์ด้วยซ้ำ เขายังยืนหอบสมุดและถือปากกาอยู่ สายตาเขามองไปที่ภูสิตา แววตาเด็กชายกังวลอย่างเห็นได้ชัด
บอลนั่งลง ! เดี๋ยวก็โดนหรอกเอ็ง เร็ว ! เอกรินทร์ดึงเพื่อนให้นั่งลง ภูสิตานั่งลงตรงที่นั่งใหม่ เห็นแววตาคนโมโหแล้วก็รู้สึกเหนื่อยใจอย่างที่สุด ไม่กล้าหันกลับไปดูเขาอีกเลย ทำไมเธอจะไม่รู้ฤทธิ์เจ้าหมอนั่น แต่ยังไงก็ต้องทำ ตั้งแต่นี้ต่อไปเธอจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ห่าง ๆ ปรเมษฐ์เข้าไว้ ภูสิตารู้อยู่แก่ใจว่าตัวเอง กลัว
เธอไม่อยากรู้สึกเจ็บปวดกับการสูญเสียใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากต้องขาดเพื่อนอย่างเขาไปสักคน ก็ขอให้จากกันเสียตั้งแต่วันนี้ ทำตัวให้ชินเสียตั้งแต่วันนี้
ตั้งแต่วันที่ย้ายที่นั่ง ปรเมษฐ์พยายามถามเธอหลายครั้ง แต่ภูสิตาไม่ยอมพูดด้วย จนเขาเองก็จนใจ เธอทำเหมือนกับเขาไม่มีตัวตน ส่วนตัวเขาเองก็เปลี่ยนไป ไม่ค่อยยิ้มไม่ค่อยพูดคุยและไม่สนใจใครเลย ตาลเพราะรู้ว่าบอลจะไปออสเตรเลียใช่ไหมตัวถึงไม่คุยกับมัน ? ปูนาพอรู้เรื่องจากปรเมษฐ์ เด็กหญิงก็ทำตัวเป็นผู้ประสานรอยร้าว
ไม่เอานะปูนา ไม่คุยเรื่องคนนี้
ปูนาได้ฟังคำตอบแล้วก็จนใจเหมือนกัน เธอปลอบใจปรเมษฐ์ด้วยการเล่าเรื่องที่คุยกับภูสิตาทุกเรื่องให้เขาฟังทุกวันแทน นึกอยู่แล้วเขาไม่ฟังหรอก เขาคงไม่อยากนึกถึงเรา ปรเมษฐ์ตัดพ้อ
ก็มันจะต้องห่างกันนี่นา ตาลคงรับไม่ได้
รู้แล้ว ไม่เป็นไรหรอก วันหนึ่งเราจะไปทวงสัญญากับเขาเอง
สัญญาอะไรเหรอ ?
เขารู้ดียิ่งกว่าใคร
Create Date : 23 ตุลาคม 2563 |
|
0 comments |
Last Update : 23 ตุลาคม 2563 11:41:48 น. |
Counter : 180 Pageviews. |
|
 |
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]

|
คนเขียน..เป็นคนธรรมดา เราเขียนทุกอย่างเพราะอยากเขียนเท่านั้นเอง เป็นงานอดิเรก...ไม่ใช่มืออาชีพ ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ ขอบคุณที่แวะมาค่ะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|