ขอบคุณที่ยกให้เป็น "แรงบันดาลใจ"
หลังจากเคยเขียนเรื่อง สิ้นสุดเสียที กับ 17 ปี ที่ผ่านมา (ตอน ฉะเชิงเทราทำเราร้องไห้) จากกระทู้นี้ //pantip.com/topic/30131841 ในมุมของลูกศิษย์ วันนี้ขอเขียนในมุมของครูบ้าง (ยาวหน่อยนะคะ)
เมื่อวานนี้ได้คุยเฟสบุ๊คกับลูกศิษย์คนหนึ่ง เราเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาเค้า ตอนเรียนอยู่ ปวช. 1 ตอนนั้นเขาไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าที่ควร เพราะขาดเรียน โดยไม่มีเหตุผลที่สมควรเท่าไรนัก ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาก็เรียกมาพบสอบถามสาเหตุ รวมทั้งว่ากล่าวตักเตือนก็บ่อยครั้ง ก็มีผลต่อเด็กในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อีกไม่กี่วัน ก็เหมือนเดิมอีก
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเราคิดว่ามันทำให้ชีวิตเค้าเปลี่ยนไปเลย
ประมาณกลางเดือนต้นเดือนสิงหาคม 2552 ช่วงเวลาประมาณ เกือบ 16.00 น. ที่ห้องพักครู มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งเข้ามาแจ้งว่า มีเด็กถูกรถชนอยู่ที่หน้าโรงเรียน ก็เลยรีบวิ่งออกไปดู เมื่อไปถึงก็พบอาจารย์ฝ่ายปกครองยืนคุยกับผู้ชายร่างท้วมคนหนึ่ง (เป็นคนขับรถยนต์คู่กรณี) แต่ไม่เห็นเด็ก ก็เลยพูดคุยกับคู่กรณีก็ได้ทราบว่าเค้ารีบไปพบลูกค้าอีกจังหวัดหนึ่งที่อยู่ถัดไปจากตรงนี้ พอขับรถมาถึงเนินไม่เห็นนักเรียนที่ขับรถออกมา ก็เลยพุ่งชนเต็มแรง อยากจะรู้ว่าน้องคนนั้นเจ็บตรงไหนบ้างไหม อยากจะชดเชยค่าเสียหายให้ อยากให้นัดมาตกลงค่าเสียหายกันที่โรงเรียน โดยให้เราเป็นคนกลาง เค้าก็ให้เบอร์ติดต่อไว้ ก็เลยได้ทราบว่าคู่กรณีเป็น Sales engineer บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
หลังจากที่โดนชน เด็กเกิดความตกใจ กลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายผิด เห็นแผลตามร่างกายแล้วก็ยิ่งตกใจ จึงรีบลุกขึ้นขับรถมอเตอร์ไซด์ในสภาพที่ถลอกปอกเปิกไปที่ รพ. จากนั้นจึงโทรตามที่บ้าน เราจึงถามเด็กว่าพอมาไหวไหม คู่กรณีที่ขับรถชนเค้าอยากจะชดเชยค่าเสียหายให้ เค้าก็บอกว่าไหว เราก็เลยนัดให้มาพบคู่กรณีในวันรุ่งขึ้น ในเวลาเที่ยง
ก่อนเวลานัดหมายเด็กนักเรียนก็เข้าไปหาที่ห้องคอมพิวเตอร์ที่เราสอนอยู่ เราก็เห็นสภาพเด็กคือ ใส่เฝือกที่คอ มีแผลที่ข้อศอก หัวเข่า แล้วเค้าก็เปิดเสื้อให้ดูร่องรอยบาดแผลภายใน เราก็เห็นว่าพอสมควรทีเดียว
พอเวลานัดหมายอาจารย์ฝ่ายปกครองก็โทรตามเราให้เราไปนั่งเป็นคนกลางในการตกลงค่าเสียหาย บอกตรง ๆ เราเองก็ไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้เท่าไรนัก ในใจก็คิดว่าเค้าคงไม่มีอะไร เด็กได้ประโยชน์ เค้าอาจจะช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลเด็กและค่าซ่อมรถให้ เราก็เลยบอกให้เด็กพาพ่อแม่ไปรอในห้องก่อน
พอไปถึงเค้าก็นั่งอยู่ในห้องฝ่ายปกครองกันพร้อมหน้า ฝ่ายเด็กนักเรียนก็มีพ่อ แม่ รวมเป็น 3 คน ฝ่ายคู่กรณีก็มี จนท.ประกันเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่ง อยู่ด้วย รวม 2 คน
พอเริ่มนั่งคุยคู่กรณีก็ถามว่าเด็กเป็นอย่างไรบ้าง เด็กก็บอกรายละเอียดคร่าว ๆ เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ (ตอนนั้นเรากับ จนท.ประกันก็นั่งฟังโดยไม่ได้พูดอะไร) สอบถามอาการบาดเจ็บแล้วจากนั้นพ่อแม่ของ เด็กก็สอบถามว่าจะชดเชยค่าเสียหายให้ครอบครัวอย่างไรบ้าง เพราะคนก็เจ็บ รถก็พังเสียหาย
อยู่ ๆ จนท.ประกันก็ตอบพ่อกับแม่เด็กว่า "พวกคุณน่ะสิ ที่ต้องเป็นฝ่ายชดใช้ให้ลูกค้าผม รถลูกคุณนั่นแหละ ขับมาตัดหน้ารถลูกค้าผม รถลูกค้าผมบุบเข้าไปอย่างนี้ ค่าซ่อมก็เป็นหมื่นแหละ " พ่อแม่เด็กหันหน้ามาทางเราโดยไม่ได้นัดหมาย "ไหนอาจารย์บอกว่าเค้าจะชดใช้ให้ตี๋ (เด็กนักเรียน)ไงคะ" เราก็อึ้ง ๆ เราก็เลยบอกว่าเมื่อวานนี้คู่กรณีก็บอกแล้วว่าจะชดใช้ให้เด็ก ให้นัดเด็กมาเพื่อตกลงค่าเสียหาย คราวนี้คู่กรณีบอกว่า "ผมได้ปรึกษากับจนท.ประกันแล้ว เค้าบอกว่าถ้าเราผิดเราจะชดใช้ให้ แต่นี่เราไม่ได้ผิด อีกอย่างผมขับความเร็ว 50 เอง แล้วเด็กก็ขับรถมาตัดหน้าผมเองด้วย" มันเปลี่ยนคำพูดเป็นคนละคนกับเมื่อวานเลย เราไม่เห็นเหตุการณ์ด้วยเลยไม่รู้ว่าจริงเท็จยังไง พอจนท.ประกันเห็นเราเริ่มจะนิ่ง เค้าก็เลยรีบถามพ่อกับแม่เด็กว่าวันนี้ มีเงินมาเท่าไหร่ พ่อกับแม่เด็กก็บอกว่าไม่ได้เตรียมมาหรอก เพราะคิดว่าจะได้เงินชดเชย
จนท.ประกันก็เลยบอกว่า "งั้นผมคิดค่าซ่อม 7 พันแล้วกัน " พ่อเด็กเลยหันหน้าไปบอกแม่เด็กว่า "เดี๋ยวกลับบ้านไปขายที่ดินก่อน แล้วค่อยเอาเงินมาให้เค้าแล้วกัน อีกซัก 2 - 3 วันนะ" เรายิ่งสลดไปใหญ่ เราก็เลยตัดบทว่าขอตัวซักครู่ คุยกันไปก่อน (ในใจคิดแต่ว่าถ้ารู้ว่ามาแล้วเป็นแบบนี้ไม่ต้องให้มาดีกว่า แล้วก็นึกถึงว่าจะช่วยไงดีวะ สงสารจริง ๆ เงิน 7 พันนี่ถึงขนาดต้องกลับไปขายที่ดินกันเลยเหรอ)
แล้วก็เลยนึกถึงรุ่นพี่ที่เป็นทนายความ เลยขอคำปรึกษา เค้าก็แนะนำให้ไปโรงพัก ไม่ต้องตกลงอะไรทั้งนั้น รุ่นพี่บอกให้เราถ่ายรูปรอยบุบของรถไว้ด้วย แล้วก็แนะวิธีพูดมาให้อีกนิดหน่อย พอคุยกับรุ่นพี่จบเราก็เดินเข้าไปใหม่
เรา : งั้นเอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ ไปโรงพักกัน คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ต้องจ่ายเงินนะคะ แล้วคุณก็พาลูกค้าคุณไปด้วยนะคะ จนท. ประกัน : อยากเสียเงินเยอะกว่านี้ก็เอาเหอะอาจารย์ ดูก็รู้ว่าใครผิด เสียแค่ 7 พันให้มันจบ ๆ ไปดีกว่า ไปโรงพักไม่แน่อาจจะโดนเป็น หมื่นนะ เรา : ลูกค้าคุณบอกว่าขับความเร็ว 50 นี่คะ เค้าทันมองเห็นป้ายเตือนก่อนถึงหน้าโรงเรียนไหมคะว่า "เขตโรงเรียน" ตรงเนินโน่นแน่ะค่ะ (ประมาณ 300 เมตรก่อนถึงหน้าโรงเรียน) แล้วถ้าขับความเร็ว 50 น่าจะเบรกทันนะ เด็กคงไม่ลอยกระเด็นไปไกล แล้วอีกอย่างถ้าเด็กขับรถรถมอเตอร์ไซด์ตัดหน้าลูกค้าคุณ รถมอเตอร์ไซด์ต้องถูกชนจากด้านข้าง แต่นี่รถเสียหายตรงท่อไอเสียที่อยู่ด้านขวาบิดเบี้ยว นั่นหมายความว่า ชนจากด้านหลัง เบรกไม่ทันเพราะขับมาเร็วต่างหาก จนท. ประกัน : อาจารย์เห็นเหตุการณ์หรือไง (เสียงเริ่มดังขึ้น สีหน้าไม่พอใจ) เรา : ไม่เห็นค่ะ แต่คิดว่าตำรวจเค้าน่าจะสืบสวนประมาณนี้ค่ะ แล้วเด็กยังแผลสดใหม่ขนาดนี้ เค้าคงจะคิดได้ว่ารถยนต์ขับมาความเร็ว 50 จริงหรือเปล่า ไปเหอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปเป็นเพื่อนเด็กด้วย ไปเจอที่โรงพักเลยนะคะ (แล้วหันไปพูดกับเด็ก) ตี๋รอครูแถวนี้ก่อนนะ เดี๋ยวครูไปหาเบอร์โทร.รุ่นพี่ที่เป็นตำรวจแปบ เดี๋ยวพาไป
จากนั้นก็เดินออกไปเอาของประมาณ 5 นาที พอกลับมาอีกทีก็ไม่เห็นรถคู่กรณี ก็เลยเข้าใจว่าเค้าคงล่วงหน้าไปรอที่โรงพักแล้ว แต่ผิดคาด เด็กบอกว่า "อาจารย์ครับ เค้าฝากบอกอาจารย์ว่าไม่ไปแล้วโรงพัก เสียเวลาเค้า เค้าต้องไปที่อื่นต่อ ต่างคนต่างซ่อมแล้วกัน ไม่เอาเรื่องแล้ว" แต่เราก็ไม่นอนใจ ก็บอกให้ผู้ปกครองพาไปแจ้งความดีกว่ากันไว้ แต่พ่อแม่เด็กเค้าเองก็ไม่่อยากไปเท่าไรนัก กลัวเสียเวลา เป็นคดีความกัน
เรื่องนี้เงียบไปนานหลังจากที่เราลาออกในเดือนกันยายน 2552 พอช่วงกลางเดือนมีนาคม 2553 (หลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน) เด็กคนนี้ก็โทรมาหาอีกครั้ง แจ้งว่าผู้ใหญ่บ้านให้มาตามพ่อกับแม่เค้าไปตกลงค่าเสียหายที่บ้านผู้ใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องรถชนเมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา เด็กก็บอกอีกว่า ฝั่งนั้นบอกว่าแจ้งความแล้ว ตำรวจให้ไปตกลงค่าเสียหายกันเอง ถ้าตกลงไม่ได้ให้ไปที่โรงพัก (ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด แต่เด็กเล่ามาแบบนี้) เราก็เลยโทรหารุ่นพี่ที่เป็นครูแล้วให้เค้าประสานกับตำรวจให้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยให้เด็กไปเล่ารายละเอียดให้ฟัง จากนั้นประมาณ 3 - 4 วันก็โทรไปถามเรื่องราว รุ่นพี่ก็บอกว่าตำรวจเรียกทั้ง 2 ฝ่าย เข้าไปคุย แล้วก็ตกลงยังไงไม่ทราบปรับไปคนละ 500 บาท แล้วก็ปิดคดี เด็กก็โทรมาขอบคุณใหญ่เลย เราก็เลยบอกว่าขอให้ตั้งใจเรียนเป็นสินน้ำใจให้เราแล้วกัน (พูดไปโดยไม่ได้คิดอะไร) เด็กก็รับปาก บอกว่าจะยกให้เป็นแรงบันดาลใจ
แล้วเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อเค้าอีก แต่เราติดต่อเด็กนักเรียนที่เราเคยเป็นที่ปรึกษาในห้อง ก็เลยทำให้รู้ว่าเค้าเปลี่ยนไปแล้ว จากไม่ตั้งใจเรียนกลายเป็นเด็กตั้งใจเรียน ไม่เคยขาดเรียนเลย ขยันมาก จนเมื่อวานได้คุยกับเค้าก็เลยคัดลอกข้อความมาให้อ่านค่ะ
เด็ก :สวัสดีครับอาจารย์ เรา :จ้า ใครเอ่ย เด็ก :ต๊๋ครับอาจารย์ เรา :ใครนะ /ไม่ได้ยินเลย เด็ก :ตี๋ครับ จำผมไม่ได้หรอครับ เรา :ตี๋ "เทพ" ใช่ไหม เด็ก :ครับ เรา :ใส่รูปนี้ใครจะไปจำได้ เด็ก :น่ารักดีออก เรา :ก็น่ารัก แต่มองแล้วไม่รู้ว่าใครอ่ะ / ตอนนี้ทำไรอยู่ เด็ก :เรียนครับ เรา :ที่เดิมไหม เด็ก :ตอนนี้เลยนั้งเล่นเน็ตครับ /ไม่ครับ เรา :อ้าวแล้วอยู่ไหนล่ะ เด็ก :แปดริ้วครับ เรา :ราชภัฎเหรอ เด็ก :ครับอาจารย์เก่งจังเลยครับ เรา :ทำไมเข้าราชภัฎ /ทำไมไม่เรียน ปวส.ไปก่อนล่ะ เด็ก :เบื่อครับ เรา :อ้าวแล้วกันซิ /คิดถึงอนาคต จะบ่นว่าเบื่อไม่ได้ เด็ก :แต่ที่นี้ก็ยังทำให้รู้สึกเบื่อเหมือนกันครับ /หลายอย่างครับ เรา :แล้วลงคณะอะไร /สาขาอะไร เด็ก :วิทคอมครับ เรา :อย่าบอกนะว่ามาตามเพื่อน เด็ก :เปล่าครับ มาตามพี่ เรา :พอกัน /แล้วลงไปน่ะเราอยากเรียนหรือเปล่า เด็ก :ไม่ครับ / คิดว่าเรียนคอมมาอะไรเกี่ยวกับคอมก็อันนั้น เรา :แล้วคิดจะทำไงต่อตอนนี้ เด็ก :เรียนให้จบให้ได้ครับ เรา :อืม ดีแล้ว /พยายามเข้าหาเวลาว่างเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิชาที่จะเรียนไว้ล่วงหน้า เด็ก :ผมอยากเรียนที่ที่อาจารย์สอนอยู่แต่ความรู้ไม่ถึงสอบไม่ติด เรา :ครูสอนที่ไหน เด็ก :ตอนนี้ผมเรียนปีสองเพิ่งเปิดเทอมวันนี้วันแรก /ไม่ใช่ที่ราชมงคลหรอครับ เรา :ไม่ได้สอน /เรียนที่นั่น เด็ก :หรอครับ ไอ้เม่นบอกมาแบบนี้ เรา :มันมั่ว เด็ก :แล้วตอนนี้อาจารย์สอนที่ไหนครับ เรา :ตอนนี้ทำงานบริษัทจ้า /น่าจะแอดเฟสตั้งนานแล้ว จะได้บอกได้ว่าต้องทำไงบ้าง เด็ก :ไม่เป็นไรครับ มันไม่มีอะไรเป็นไปดั่งใจคิดเสมอไงครับ เรา :งั้นก็พยายามเข้า พยายามหาความรู้เพิ่มเติมเยอะ ๆ ถ้าเราพอมีความรู้ก่อนที่อาจารย์เขาจะเริ่มสอนวิชานั้น ๆ เราจะได้เปรียบเพื่อนในห้อง เพราะเราจะเข้าใจได้เร็ว เอาใจช่วยมีอะไรก็ปรึกษามาได้ ยินดีเสมอจ้า เด็ก :ขอบคุณครับ ยังดีเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะครับอาจารย์ เรา :แน่นอน มีคนเดียว 555+ ยังไงก็ทำอย่างที่ครูบอก มีปัญหาอะไรก็ถามไถ่มาได้ ครูก็ดีใจที่เรามีความตั้งใจแบบนี้ ครูสนับสนุน ไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจไปได้หรอก เด็ก :ครับแล้วผมจะพยายามให้เต็มที่ครับ เรา :ครูก็ช่วยเต็มที่เหมือนกัน เด็ก :ครับแค่นี้ก็เป็นกำลังใจที่ดีสุดแล้วครับ เรา :ได้กำลังใจก็ตั้งใจเอาให้เต็มที่ มีแรงเท่าไหร่ใส่ให้หมด ครูเชื่อว่าลูกศิษย์ครูถ้าตั้งใจ ไม่แพ้ใครหรอก เด็ก :ทำยังกับผมเรียนเก่ง ผมสู้ใครไม่ไหวหรอกครับ สู้กับใจตัวเองยังลำบาก เรา :เราต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน ครูเองก็ไม่ได้เก่งมากมายนะ แต่เพราะครูอยากเรียนให้จบไง อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ เลยต้องพยายามให้มากขึ้น ครูตอนสอบเข้าราชมงคล เกรดน้อยที่สุดในห้องเลย จนอาจารย์ที่เค้าสอบสัมภาษณ์ถามเลยว่าจะไหวไหม เพราะครูได้เกรดแค่ 2.48 แต่คนอื่นในห้องได้ 3 กว่าทุกคน คิดดู ว่าครูต้องพยายามขนาดไหน เด็ก :ครับอันนี้น่าชื่นชมและเอาเป็นแบบอย่าง เรา :ครูเชื่อว่าเราเองก็ทำได้ ถ้าเราตั้งใจทำให้มันสุดๆ คิดซะว่าเรียนแบบนี้ครั้งเดียวในชีวิต ตั้งใจทำให้มันสำเร็จ เด็ก :ครับแล้วผมจะจำให้ขึ้นใจ เรา :แฟนน่ะเลิกคิดไปก่อน ถ้าเรียนจบไว มีงานทำที่มั่นคง ผู้หญิงเค้าก็อยากอยู่ด้วย เด็ก :อันนี้มันก็ยากนะครับ เพราะมันจะเหงา เรา :คิดเล่น ๆ ถ้า 4 ปีไม่จบ ซ้ำชั้น แก้ F อยู่คนเดียว เพื่อน ๆ จบหมดแล้ว เหงากว่าไหมล่ะ เด็ก :แต่ผมก็ยังไม่มีนะแฟนนะ ปีนี้เข้าปีที่ สองแล้ว เรา :ครูไม่ได้ห้ามไม่ให้มีแฟนนะ มีได้ แต่เราต้องสนใจการเรียนเป็นหลัก เด็ก :ครับ แฟนดีๆๆ นะ หายาก เรียนก็ลำบาก ยังต้องคิดมากเรื่องแฟนก็หนักไปครับ เรา :อีกอย่างคือเพื่อน เพื่อนที่ชวนกินชวนเที่ยวก็มีมาก เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในสังคม เพื่อนก็สำคัญ คบเพื่อนก็คบที่คบตั้งใจเรียน กลุ่มไหนเอาแต่เที่ยวก็ไม่ต้องใส่ใจมาก เด็ก :แต่หลังจากเรียนเสร็จผมอยู่คนเดียวตลอดเลย อันนี้ก็ทำเอาหนักเลยครับช่วงมาแรกๆๆ เรา :ก็หาคบที่พอจะพึ่งพาอาศัยกันได้ เด็ก :ครับ
เรารู้สึกตื้นตันใจ ขนาดเด็กคนนี้ยังเรียนไม่จบ ถ้าวันหนึ่งเค้าโทรมาบอกว่า "ผมเรียนจบแล้วครับ" เราว่า เราคงเป็นปลื้มมากกว่านี้ ดีใจที่เค้าเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ คนเป็นครูคงไม่หวังอะไรมากมาย นอกจากลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ ขอบคุณที่ทำให้วันนี้ของครูเป็นอีกวันที่มีความสุขมากวันหนึ่ง
Create Date : 25 มิถุนายน 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มิถุนายน 2556 13:52:51 น. |
Counter : 2714 Pageviews. |
|
|
|