FC3124 - The World is Mine ยินดีต้อนรับค่ะ ......... FC3124 - The World is Mine ยินดีต้อนรับค่ะ
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และฝากครรภ์ การเตรียมความพร้อม




พ.อ.ดาราพงศ์ ลังกาฟ้า
สูตินรีแพทย์


การตั้งครรภ์ เป็นภาวะธรรมชาติที่เกิดมาพร้อมกับมนุษย์ จนเราเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้วในระหว่างการตั้งครรภ์ประมาณ 40 สัปดาห์ หรือ 9 เดือนเศษนั้น มีสิ่งที่ควรปฏิบัติและระมัดระวังหลายอย่าง เพื่อให้ได้ผลการคลอดที่ทั้งบุตรและมารดาปลอดภัย และมีสุภาพแข็งแรงสมบูรณ์

ผู้เขียนมีประสบการณ์ที่ได้จากการเป็นสูตินารีแพทย์ มาประมาณ 10 กว่าปี ได้พบผู้ตั้งครรภ์และผู้ฝากครรภ์หลากหลายจึงได้เขียนเรื่องนี้ ตามประสบการณ์ทางวิชาการเพื่อเป็นแนวปฏิบัติแก่บุคคลทั่วไป

ก่อนจะตั้งครรภ์นั้นเราต้องวางแผนไว้ก่อน ทุกวันนี้ในสังคมไทยมีการร่วมเพศก่อนแต่งงานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาคือรายที่ไม่ได้วางแผนคุมกำเนิด ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้ พวกนี้มักอ้างว่าร่วมเพศครั้งแรกแล้วไม่เห็นตั้งครรภ์ หรืออยู่ด้วยกันมาเป็นปี ๆ ประจำเดือนก็มาตลอด จึงไม่ได้คุมกำเนิด ต้องเข้าใจว่าช่วงแรก ๆ ร่วมเพศแล้ว ไม่ตั้งครรภ์แล้วจะคิดประมาทว่าจะไม่ตั้งครรภ์ในครั้งต่อ ๆ ไปไม่ได้ เพราะการตั้งครรภ์ขึ้นกับรอบจังหวะและสิ่งประกอบหลาย ๆ อย่างถ้ายังไม่ได้รับการตรวจโดยละเอียดต่อเนื่องจากแพทย์จะถือว่าตนเองเป็นหมันไม่ได้

ดังนั้นถ้าเราไม่ได้คุมกำเนิด เราต้องคิดว่า เราพร้อมที่จะตั้งครรภ์ได้ทุกเมื่อก่อนตั้งครรภ์ ต้องระวังเกี่ยวกับโรคประจำตัวและการใช้ยา ถ้าเรามีโรคประจำตัว ซึ่งรักษากับแพทย์เป็นประจำ ต้องถามแพทย์ว่า "สมควรตั้งครรภ์ตอนนี้ได้ไหม" ถ้าได้อาจมีการเปลี่ยนยาหรือหยุดใช้ยาบางตัว เพื่อให้ปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ ผู้ที่ชอบทานยาลดความอ้วนควรคุมกำเนิดไว้ก่อน เมื่อคิดจะตั้งครรภ์ต้องหยุดกินยาลดความอ้วน

มีข้อถามว่า ควรตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือก่อนตั้งครรภ์ไหม ? เช่น ตรวจเลือดดูกามโรค หรือโรคติดต่อทางกรรมพันธุ์ เช่น ทาลัสซีเมีย เป็นต้น เรื่องนี้ต้องปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผลเลือดที่ผิดปกติ ประโยชน์ที่ได้คือ ถ้ามีผลที่ผิดปกติเกิดขึ้นจะได้ทราบถึงผลที่จะมีต่อการตั้งครรภ์ที่จะตามมา บางโรคอาจรักษาให้หายก่อนได้ มีการเข้าใจผิดในหลายรายที่ว่ากลัวกรุ๊ปเลือดของคู่แต่งงานไม่เหมือนกัน (กรุ๊ปเลือด A, B, AB หรือ O) แล้วจะทำให้ลูกที่คลอดมาเกิดตัวเหลืองหลังคลอดได้ ขอให้เลิกคิดกังวลในเรื่องนี้ เด็กตัวเหลืองหลังคลอดเกิดจากสาเหตุได้หลายอย่าง ไม่ได้เกิดจากกรุ๊ปเลือดพ่อหรือแม่เป็นสำคัญ และการแก้ไขเรื่องเด็กตัวเหลืองนั้นกุมารแพทย์สามารถแก้ไขได้โดยไม่ยากในสมัยปัจจุบัน

ภาวะขาดประจำเดือน ถ้าอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ แล้วมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิด หรือคุมกำเนิดไม่ถูกวิธี
หรือไม่สม่ำเสมอ เช่น ลืมกินยาคุมกำเนิด หรือลืมฉีดยาคุมบ้าง สาเหตุแรกที่คิดถึงไว้ก่อนคือ การตั้งครรภ์ แต่อาจมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดมีการขาดประจำเดือนโดยไม่ได้ตั้งครรภ์ เช่น ความผิดปกติของต่อมในสมอง (ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดในจิตใจได้) ความผิดปกติของต่อมใต้สมอง, รังไข่หรือมดลูก, เกิดจากการใช้ยาบางอย่าง ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและรักษาตามสาเหตุที่พบบ่อยมากในปัจจุบัน เกิดจากการฉีดยาคุมกำเนิดอันนี้เป็นผลข้างเคียงตามปกติของยาซึ่งไม่ต้องแก้ไขหรือรักษา

เมื่อเกิดประจำเดือนขาดไป รอให้ขาดประมาณ 7 วัน จึงไปให้แพทย์ตรวจปัสสาวะทดสอบว่าตั้งครรภ์หรือไม่ ถ้าผลตรวจออกมาว่าไม่ได้ตั้งครรภ์อย่าด่วนสรุปว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ แน่นอน อาจเป็นประจำเดือนคลาดเคลื่อน หรือตั้งครรภ์แล้วแต่ยังตรวจไม่พบก็ได้ มีบางคนไปเร่งประจำเดือนให้มาโดยใช้ยาสตรี ยาฉีด ยากิน จากร้าน
ขายยาซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะเกิดตรวจพบอีกทีว่าตั้งครรภ์แล้วยาพวกนี้อาจมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นถ้าประจำเดือนคลาดเคลื่อนโดยไม่ตั้งครรภ์ เราไม่ต้องไปเสี่ยงใช้ยาเร่งให้ประจำเดือนมา เดี๋ยวประจำเดือนก็จะมาเอง

เมื่อตรวจว่าตั้งครรภ์แล้ว สิ่งแรกที่ควรปฏิบัติ คือเข้ารับการฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด ไม่ใช่คิดว่าต้องให้ท้องโตก่อนแล้วค่อนฝากครรภ์ ยิ่งฝากครรภ์เร็วยิ่งได้เปรียบ คือถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้น แพทย์จะได้ทราบ และแก้ไขให้ก่อน นอกจากนี้ยังทำให้ทราบถึงอายุครรภ์และกำหนดคลอดที่แน่นอน

การฝากครรภ์ก็เข้าฝากครรภ์กับโรงพยาบาลที่เราจะไปคลอดได้โดยสะดวก มีบางรายจะกลับไปคลอดที่
ภูมิลำเนาเดิมซึ่งไกลออกไปมาก ก็สามารถฝากครรภ์กับโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยใกล้ ๆ กับที่เราอยู่ตอนนี้ก่อน เวลากลับไปคลอดก็ถือสมุดฝากครรภ์ หรือขอประวัติฝากครรภ์นำกลับไปด้วย

ขั้นต้นของการฝากครรภ์ แพทย์จะให้ท่านไปตรวจเลือดเพื่อดูกรุ๊ปเลือด ความเข้มข้นของเลือด กามโรค ซิฟิลิส โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี และตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามี น้ำตาล ไข่ขาว (โปรตีน)หรือมีการอักเสบของ
ทางเดินปัสสาวะหรือไม่ แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะซักถามประวัติโรคในอดีต โรคประจำตัว โรคที่กำลังรักษา
ในปัจจุบัน ประวัติการตั้งครรภ์ครั้งก่อน ประวัติโรคในครอบครัว มีการตรวจร่างกาย จากประวัติ การตรวจ
ร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการนี้ ถ้ามีผลผิดปกติแพทย์จะอธิบายให้ท่านทราบถึงข้อปฏิบัติและ
การรักษา

ในสมัยนี้มีการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างน้อย 4 เดือนหลังคลอด ก็จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายพยาบาลมา
ตรวจต้านม พร้อมกับอธิบายและให้การแนะนำเตรียมตัวในเรื่องนี้

อายุของมารดาที่เหมาะสมในการตั้งครรภ์ คือ 20-30 ปี ถ้ามารดาอายุเกิน 35 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการคลอด
บุตรที่มีลักษณะผิดปกติทางโครโมโซมได้ เช่น มีบุตรพิการหรือปัญญาอ่อน ดังนั้นในมารดาอายุเกิน 35 ปี
จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ไปเจาะน้ำคร่ำดูโครโมโซมของลูกเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 4 เดือน ซึ่งในกรุงเทพฯ มีโรงพยาบาลหลายแห่งสามารถทำได้ แต่ถ้าในต่างจังหวัดอาจต้องไปทำที่โรงพยาบาลหรือในมหาวิทยาลัยในภูมิภาคนั้น

ในระหว่างการฝากครรภ์ ในอายุครรภ์ 28 สัปดาห์แรก แพทย์จะนัดตรวจทุก 4 สัปดาห์ อายุครรภ์ 28-36 สัปดาห์จะนัดตรวจทุก 2 สัปดาห์ อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ขึ้นไป จนถึงคลอดจะนัดตรวจทุกสัปดาห์

ที่กล่าวมานี้เป็นการฝากครรภ์แบบปกติ แต่ถ้าเป็นการตั้งครรภ์เสี่ยง เช่น มความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ
มารดาหรือทารกในครรภ์ แพทย์อาจนัดตรวจบ่อยกว่านี้ ท่านต้องไปตรวจตามแพทย์นัด และสามารถถาม
ความผิดปกติ และรายละเอียดในการปฏิบัติตัวจากแพทย์ได้ ถ้าท่านมีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นระหว่าง
ตั้งครรภ์ ท่านควรรีบพบแพทย์ที่ฝากครรภ์ได้ทันที โดยไม่ต้องรอถึงวันที่แพทย์นัดตรวจตามปกติ ดังเช่นความผิดปกติต่อไปนี้

- ป่วย ไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นมากหรือน้อย เช่น ไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเดิน ไข้สูงไม่ทราบสาเหตุ อย่าซื้อยารับประทานเอง เพราะยาส่วนใหญ่จะผ่านรกเข้าไปมีผลถึงทารกในครรภ์ได้
- มีเลือดออกจากช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นแท้งคุกคามในช่วงอายุครรภ์ต้น ๆ หรืออาจเป็นรกเกาะต่ำในอายุครรภ์ช่วงหลัง แพทย์อาจต้องทำอัลตร้าซาวด์เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอน การมีมูกเลือดออกในช่วงเดือนสุดท้าย อาจเป็นการเตือนว่าใกล้คลอดแล้ว แพทย์จะตรวจภายในให้ถ้าปากมดลูกเปิดก็จะรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อรอคลอด
- การมีไข้พร้อมผื่นขึ้นคล้ายหัดใน 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ต้องรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอนว่าเป็นหัดเยอรมันหรือไม่ เพราะถ้าเป็นจริงอาจมีผลต่อความพิการของทารกในครรภ์
- มีอาการบวม ตามแขนขา หรือบวมทั้งตัว พร้อมกับมีอาการ ปวดศีรษะ ตาพร่า อาจเป็นลักษณะของครรภ์เป็นพิษ
- มีน้ำเดิน คือมีน้ำไหลอกทางช่อคลอดเหมือนน้ำปัสสาวะ แสดงว่าถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทากรในครรภ์ คืออาจมีสายสะดือย้อยลงมาในช่องคลอด หรืออาจมีการติดเชื้อจากช่องคลอดเข้าไปถึงทารกในครรภ์ได้
- เด็กดิ้นน้อยลงจากปกติที่เคยดิ้น ไม่ใช่รอไปจนกว่าเด็กไม่ดิ้นแล้ว ซึ่งอาจสายเกินไปที่แพทย์จะช่วยเหลือได้เนื่องจากเด็กได้เสียชีวิตในครรภ์ไปก่อนแล้ว

ในระหว่างการตั้งครรภ์ก็ควรปฏิบัติตนโดยทั่วไป ดังนี้
- รับประทานยาบำรุงเลือดและวิตามิน ตามที่แพทย์สั่งให้ บางคนไม่ยอมรับประทาน เพราะกลังว่าตัวเองหรือเด็กจะอ้วน ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้ขึ้นกับยา ขึ้นกับตนเองชอบรับประทานอาหารที่หวาน หรือมีไขมัน มากกว่า ถ้าท่านไม่รับประทานยาบำรุงเลือด ท่านจะซีด หรือเลือดจางลงเรื่อย ๆ เมื่อายุครรภ์มากขึ้น เพราะทารกในครรภ์จะดึงธาตุเหล็กในร่างกายแม่ไปสร้างเม็ดเลือดของทารกเอง เมื่อท่านซีด
การเสียเลือดในขณะคลอด แม้จะไม่มากก็อาจเป็นอันตรายได้
- ควรรับประทานอาหารให้ครบส่วนตามปกติ และดื่มนมสดเป็นประจำ เพื่อความสมบูรณ์ของลูกและแม่ น้ำหนักเด็กที่ได้มาตรฐานหลังคลอดไม่ควรต่ำกว่า 3,000 กรัม และน้ำหนักแม่ที่เพิ่มตลอดการตั้งครรภ์ ไม่ควรต่ำกว่า 10 กิโลกรัม
- ไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ หรือสูบบุหรี่ เพราะอาจทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่คลอดอาจตัวเล็กกว่าปกติได้
- การใช้ยาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ การซื้อยาแผนโบราณหรือยาจีนหรือยาแผนปัจจุบันมารับประทาน เพื่อบำรุงทารกในครรภ์นั้นไม่ควรทำ ยาบางชนิดอาจมีผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ เด็กจะแข็งแรงสมบูรณ์ ฉลาดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตั้งครรภ์ที่ปกติและแม่ได้รับประทานอาหารที่ถูกส่วน
- การตั้งครรภ์ไม่ใช่การป่วย ท่านสามารถทำงานตามปกติ ออกกำลังกายเบา ๆ ได้ ยกเว้นท่านเป็นโรคที่แพทย์
สั่งให้จำกัดการทำงานหรือการออกกำลังกาย ท่านอาจต้องพักผ่อนให้มากขึ้น
- สามารถร่วมเพศได้ตลอดการตั้งครรภ์ ยกเว้นรายที่มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด หรือสามีมีการติดเชื้อ
เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ช่วงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอายุครรภ์ตั้งแต่ 37 สัปดาห์ขึ้นไป ท่านต้องเตรียมตัวให้ พร้อมที่จะไปคลอดที่โรงพยาบาลเมื่อมีอาการปวดท้องคลอด โดยเฉพาะในเวลาวิกาล เช่น เวลากลางคืน
- เมื่ออายุครรภ์เกินกำหนด คืออายุครรภ์มากกว่า 42 สัปดาห์ รกจะเริ่มทำงานลดลงหรือเสื่อมลง อาจเป็น อันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ ถ้ายังไม่ปวดท้องคลอด แพทย์อาจรับไว้ในโรงพยาบาล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคลอด เช่น อาจมีการเร่งคลอด เป็นต้น
- เวลาไปคลอดที่โรงพยาบาล ท่านต้องเตรียมเครื่องใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ผ้าเช็ดตัว รวมถึง
ผ้าห่อเด็ก ผ้าอ้อมเด็กด้วย สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ บัตรประจำตัวผู้ป่วย และสมุดฝากครรภ์อย่าลืมนำไปด้วย

มีข้อซักถามบ่อย ๆ กับแพทย์ระหว่างฝากครรภ์ ซึ่งอาจมีความเข้าใจทั้งผิดและถูก และแปรเปลี่ยนไปตาม
ท้องถิ่น ประเพณี สังคม ฐานะ ความรู้ ค่านิยม พอประมาณได้ดังนี้

อัลตร้าซาวด์มีอันตรายไหม ?
ถ้าแพทย์ให้ท่านตรวจเมื่อมีความผิดปกติ เช่น ท้องโตหรือเล็กกว่าอายุครรภ์ มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
ตรวจดูความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ ท่านควรตรวจตามแพทย์สั่ง เพราะอัลตร้าซาวด์ปลอดภัยต่อทารก
ในทุกอายุครรภ์ แต่ถ้าท่านตั้งใจตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อตรวจดูเพศทารกอย่างเดียวนั้น เห็นว่าไม่สมควรเพราะ
ไม่สามารถดูแม่นยำได้ 100% ทำให้เข้าใจผิดได้

ควรผ่าตัดคลอดทางช่องท้องเลยดีไหม? (จะได้ไม่ปวดท้อง)
ทุกวันนี้ยังยอมรับกันว่า การคลอดปกติทางช่องคลอดเป็นการคลอดที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด การผ่าตัดคลอด
จะใช้ในกรณีที่จำเป็นที่แพทย์ตัดสินใจว่าคลอดทางช่องคลอดไม่ได้ การผ่าตัดคลอดมีความเสี่ยงหลายประการ
มากกว่า เช่น เสี่ยงต่อการใช้ยาระงับความรู้สึกหรือยาสลบ เสี่ยงต่อการเสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการติดเชื้อใน
ช่องท้อง จริง ๆ แล้วผู้ที่กลัวการปวดท้องคลอดนั้น สามารถบรรเทาอาการปวดได้ เช่น ขอให้แพทย์ฉีดยา
ระงับปวดให้ มีอีกกรณี บางคนบอกว่าท้องหลังแล้วตั้งใจทำหมันหลังคลอด อย่างนี้ผ่าท้องและทำหมันไป
เลยทีเดียว ไม่ดีกว่าคลอดทางช่องคลอดแล้วทำหมันทีหลังหรือ จะได้เจ็บครั้งเดียว ขอบอกว่า คลอดทาง
ช่องคลอดแล้วทำหมันจะดีกว่า เพราะทำหมันหลังคลอดจะมีแผนเป็นสะดือเล็กนิดเดียว แทบมองไม่เห็น
และใช้เวลาในการทำหมันน้อยกว่าทำผ่าตัดคลอดมาก อาจใช้ยาชาเฉพาะที่หรือฉีดยาสลบระยะสั้น ๆ ได้

นอนหงายไม่ได้ เพราะกลัวรถจะติดหลังแล้วคลอดออกมาไม่ได้ ?
เป็นการเข้าใจผิดของคนสมัยก่อน ซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเกาะของรกในร่างกาย รกจะไม่เกาะติดกับหลัง
ของเรา เพราะรกอยู่ในมดลูก รกจะเกาะติดกับด้านหน้าหรือด้านหลังของมดลูกก็ได้ไม่มีอันตรายใด ๆ ที่จะมี
อันตรายคือ รกเกาะต่ำ โดยรกมาเกาะด้านล่างบริเวณปากมดลูก ซึ่งทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดได้ รกจะ
เกาะที่ไหนไม่ได้ขึ้นกับท่านอน การนอกตะแคงดีกว่านอนหงายในอายุครรภ์หลัง ๆ ตอนท้องโตท้อง การนอนหงายมดลูกจะไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ ซึ่งอยู่ด้านหลังมดลูกได้ ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง และเลือด
ไปหล่อเลี้ยงมดลูกน้อยลง เป็นอันตรายต่อแม่และเด็กได้ แต่ถ้านอนตะแคง มดลูกจะไม่ไปกดทับเส้นเลือดดำ
ใหญ่ อันตรายก็ไม่เกิดขึ้น

รับประทานเบียร์หรือน้ำมะพร้าว จะทำให้เด็กตัวเกลี้ยง ไม่มีไขจริงหรือไม่ ?
ไม่จริง เป็นความเชื่อต่อ ๆ กันมากับสมัยก่อน เด็กจะมีไขหรือไม่ขึ้นกับอายุครรภ์ของเด็กตอนคลอดไม่ได้ขึ้น
กับอาหาร ยิ่งไปดื่มเบียร์ยิ่งมีผลเสียต่อการตั้งครรภ์

ความเชื่อในการอยู่ไฟหลังคลอด?
การอยู่ไฟหลังคลอด คือการนอนบนที่นอนที่มีไฟหรือถ่านร้อนสุมอยู่ข้างล่าง นิยมมากในบางภาค เป็นความเชื่อมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งมีผลเสียหลายอย่าง คือ เสี่ยงต่อการถูกไฟไหม้ การย่างไฟทำให้เสียน้ำออกจาก
ร่างกายมาก อาจถึงช็อคได้ หรือไม่ก็ทำให้น้ำนมน้อยลงไม่พอให้ลูกดูด ดังนั้นหลังคลอดไม่ควรอยู่ไฟ ควรปฏิบัติตนตามสบายปกติ อยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทดี อุณหภูมิปกติ สบาย ๆ รับประทานอาหารและน้ำให้
เพียงพอ ไม่มีขอแสลงที่ห้ามรับประทานหลังคลอด เคยรับประทานอะไรก่อนคลอดก็รับประทานได้ตามปกติ การมีสุขภาพดีทั้งกายและใจหลังคลอด จะทำให้มีน้ำนมให้ลูกดูดเพียงพอ และจะทำให้แม่แข็งแรงพอที่จะ
ดูแลบุตรได้เต็มที่

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ท่านจะเห็นว่าการตั้งครรภ์แม้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ใช่ว่าจะปล่อยให้เป็นไปตาม
บุญตามกรรม เราสามารถกำหนดให้การตั้งครรภ์มีความผิดปกติที่น้อยที่สุดได้ ถ้าเราสามารถปฏิบัติให้ถูกต้อง
ตามระบบการฝากครรภ์ที่ดี สิ่งที่สำคัญคือ ถ้ามีสิ่งที่น่าสงสัย หรือสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นก็ให้รีบพบและปรึกษา
แพทย์ทันที การตั้งครรภ์ของท่านก็จะบรรลุจุดประสงค์ที่สมบูรณ์คือ มีสุขภาพสมบูรณ์ดี ทั้งมารดาและบุตร
ในที่สุด

การดูแลปฏิบัติตัวของหญิงหลังคลอดบุตร
หญิงหลังคลอดก็คือ คนปกติที่เพิ่งผ่านการคลอดบุตรนั่นเอง แต่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ
เพื่อที่จะทำหน้าที่เป็นคุณแม่เลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุดต้องการการเอาใจใส่ดูแลจากคนใกล้ชิดบ้างตามสมควร
สามารถช่วยเหลือตนเองและปฏิบัติตัวถูกต้องหลังคลอดได้ ดังต่อไปนี้

การเคลื่อนไหวร่างกายหลังคลอด
ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายก็จะช่วยให้ร่างกายมีการขยายตัวของกล้ามเนื้อ แผลฝีเย็บก็จะสมานเร็วขึ้น การดูแลแผลฝีเย็บถ้าคลอดทางช่องคลอดหลังคลอดจะมีแผลที่ฝีเย็บและมีน้ำคาวปลาออกมาทางช่องคลอดและจะหมดไปภายใน 7-10 วันควรรักษาความสะอาดของช่องคลอดโดยการใส่ผ้าอนามัยไว้ ล้างอวัยวะเพศและเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆเมื่อแฉะหลังคลอดช่องคลอดของผู้เป็นแม่จะมีความรู้สึกปวดแผลฝีเย็บ ซึ่งถึอว่าเป็นเรื่องปกติถ้าปวดมากควรรับประทานยาแก้ปวด อาการก็จะทุเลาลง ส่วนแผลฝีเย็บนั้น ควรล้างด้วยน้ำสะอาดไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างแผลเป็นพิเศษแต่อย่างใด หลังจากล้างแล้วใช้ผ้าสะอาดหรือ สำลีซับให้แห้ง
การพักผ่อนร่างกายหลังคลอด คุณแม่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
การบริหารร่างกายหลังคลอด ถ้าคุณแม่คลอดปกติทางช่องคลอด หลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้วคุณแม่ก็ควรจะ
ได้เริ่มบริหารร่างกาย เพื่อให้กลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์โดยเร็วที่สุด จะทำให้ร่างกาย ผนังท้อง
และผนังช่องคลอดจะได้ไม่หย่อนยาน
การรักษาความสะอาดของร่างกาย ถ้าเป็นคนคลอดตามปกติ คือไม่ผ่าตัดคุณแม่หลังคลอดก็ควรอาบน้ำสระผม
ได้ตามปกติ สำหรับแผลที่ช่องคลอดนั้น อาจใช้น้ำอุ่นผสมด่างทับทิมหรือน้ำยาทำความสะอาด หรือน้ำตุ้มสุก
อุ่น ๆ ชำระแผลในระยะแรก ๆ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้าไป แต่ถ้าคุณแม่คลอดโดยการผ่าตัดหน้าท้องระยะแรก
ยังอาบน้ำไม่ได้เพราะจะทำให้แผลผ่าตัดเปียกอาจติดเชื้ออักเสบได้ ต้องใช้วิธีเช็ดตัวประมาณ 7 วัน หลังจาก
หมอตัดไหมแล้วสัก 1-2 วันก็อาบน้ำได้ตามปกติ อาบน้ำเสร็จก็ใช้ผ้าสะอาดธรรมดาเช็ดแผล ไม่จำเป็นต้อง
ใช้แอลกอฮอล์ก็ได้ และไม่ต้องไปทำแผลใด ๆ ทั้งสิ้น สะเก็ดที่ติดอยู่ที่แผลก็ไม่ควรแกะออก ปล่อยให้หลุดไปเอง
ดีกว่า ผ้าอนามัยจะต้องหมั่นเปลี่ยนบ่อย ๆ ถ้ามีเลือดชุ่ม เพื่อให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าทำให้เกิดการหมักหมมหรือ
มีกลิ่นเหม็น เพราะอาจจะทำให้ฝีเย็บอักเสบ







Create Date : 06 กรกฎาคม 2550
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2554 8:33:30 น. 0 comments
Counter : 612 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Puffy_BlueBear
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add Puffy_BlueBear's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.