...ทำสวนชีวิตหล่อเลี้ยงชีวิต...
ทำสวนหนังสือหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ.
|
|||
แม่
บ้านเก่า ถนน และความทรงจำ รอยเท้าของคนดีเดินผ่าน ถนนนั้นก็เป็นสิริมงคล ลูกแม่ ถนนอย่างนั้นแหละ เหมาะสำหรับลูกควรจะเดิน ถนนนั้นแม้จะไกล ก็เป็นถนนที่ปลอดภัย ความหวังของแม่ ก็อยากให้ลูกเดินถนนอย่างนี้. (กวีนิพนธ์ชื่อ ถนน ของ จ่าง แซ่ตั้ง ) ฉันหยิบหนังสือรวมกวีนิพนธ์คัดสรรของ จ่าง แซ่ตั้ง ชุด แม่กับลูก ออกมาอ่านอีกครั้งในค่ำคืนเงียบสงัด ในยามที่มองเห็นดวงดาววิบวับไหวอยู่บนเวิ้งฟ้า ลมหนาวพัดพาอายหนาวยะเยียบมาจากเชิงดอยสูง อากาศสดสะอาด ช่างกล่อมเกลาความรู้สึกบางอย่างออกมาให้ใคร่ครวญคิดถึง... ใช่...พลอยทำให้ฉันคิดถึงภาพเก่าๆ ในวัยเยาว์ คิดถึงแม่...คิดถึงบ้าน คิดถึงถนนที่ฉันเดินออกมาจากหมู่บ้าน... ฉันกลับมาเยี่ยมเยือนบ้านเกิดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่วิถีชีวิตเร่ร่อนห่างหายนานและนาน ฉันจ้องมองหาความสุขที่ล่องลอย มองหาอดีตที่พลัดหาย ภาพผ่านสองข้างทางแปลกเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนเดิม ถนนดินที่ทอดยาวไปสู่หมู่บ้านเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีต ดงป่าสักที่เคยคลุมปกรกครึ้มร่มเย็นกลับโล่งเตียนเหลือแต่ตอ เท่าที่มองเห็นต้นไม้ที่ยังให้เห็นพอหลงเหลืออยู่ ก็มีแต่ภายในบริเวณสุสานป่าช้าริมถนนทางเข้าหมู่บ้านเท่านั้น ความเงียบของชนบทหายไป กลายเป็นความอึกทึกและรีบเร่ง เมื่อคนในหมู่บ้านต่างแข่งขันกันมีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้ากันยกใหญ่ โอ. บ้านเกิดของฉัน เปลี่ยนไปมากจริงๆ * * * * * * อยู่อย่างนั้น... ฉันขังตัวเองอยู่ในห้องนอนสกปรก ห้องที่แสงแดดส่องสาดมาไม่ถึง บรรยากาศอับชื้น หนังสือทั้งเก่าใหม่วางระเกะระกะเต็มพื้นห้อง ไม่อยากเก็บหรือคิดจะปัดกวาด เศษกระดาษเขียน จดหมาย บทกวี เรื่องสั้น ถูกขยำทิ้งจนล้นถังขยะ บางครั้ง สิ่งที่เราเคยกลั่นออกมาจากความคิดความรู้สึก ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไม่มีความหมายเหมือนกันนะ ฉันครุ่นรำพึงกับตัวเอง ฉันมีความรู้สึกเริ่มเบื่อผู้คน เบื่อตัวเอง เบื่ออาหารมื้อเช้า มื้อกลางวันทำไมคนเราต้องจมอยู่กับความหิว ความอยาก ความอิ่ม อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่รู้ นั่งมองรูปภาพของตัวเองที่ติดอยู่ข้างฝาห้อง ภาพเก่าๆ ที่ยังไม่ได้ใส่กรอบ สีมันดูซีดจาง นั่น,แมลงสาปกำลังไต่มากัดกินแทะเล็ม จากท่อนขาลามไปถึงลำตัว ใกล้ทรวงอกเข้าไปทุกที โอ.หัวใจฉันกำลังถูกกัดกร่อน แต่ช่างเถอะ ปล่อยให้มันกัดกินภาพไปเรื่อยๆ อย่างแช่มช้า เหมือนกับว่าฉันกำลังเฝ้ามองตัวเอง หรือว่าฉันกำลังฟุ้งซ่านใกล้บ้า! บ้านเก่าหลังนี้ ก่อนเคยมีแต่เสียงหยอกล้อ เสียงหัวเราะและเสียงเพลง บทเพลงแห่งความสุขก้องกังวานไปทั่ว ฉันยังจำวันที่แม่ให้นอนหนุนตัก มืออุ่นอ่อนโยนนั้นโอบกอดฉันไว้ พร้อมกับคอยพร่ำสอนให้เป็นคนดี อย่าเห็นแก่ตัว โตขึ้นให้ทำงานที่สุจริต อย่าอวดเบ่งข่มเหงคนที่ด้อยกว่า ตอนนั้น ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายคำพูดของแม่เท่าไร เพราะยังเยาว์นัก มาบัดนี้, คงเหลือเพียงภาพความทรงจำเก่าๆ แม่จากฉันไปนานแล้วด้วยโรคเบาหวานกับความดันสูง พ่อแต่งงานใหม่ย้ายไปปลูกบ้านหลังใหม่ที่ท้ายทุ่ง สงสารก็แต่พี่สาวที่อยู่คนเดียวในบ้านเก่าหลังนี้ ฉันหรือ นานทีปีหนจะกลับบ้านครั้งหนึ่ง ใช่ว่าฉันจะเห็นแก่ตัวหรือหนีปัญหาไม่สู้ชีวิต เพียงแต่ตัวเองกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ ฉันจึงจำต้องเดินออกจากบ้านเก่าหลังนี้ เพื่อไปสู่ถนนสายชะตากรรม * * * * * * ยามใดที่ฉันคิดถึงแม่ ฉันจะกลับคืนมาบ้านเกิด จ่อมจมอยู่ในห้องหับของความทรงจำ หยิบหนังสือเรื่องสั้นเล่มเก่าของ รมย์ รติวัน ออกมาอ่าน บางบทบางตอนของเรื่อง ปุยนุ่นและดวงดาว ฉันอ่านแล้ว มีความรู้สึกว่าเหมือนมีแม่มาอยู่ใกล้ ๆ ** ใต้แสงแดดอ่อนในฤดูหนาวยามย่ำเย็น มันทำให้ฉันว้าเหว่นัก แต่ฉันมองเห็นแม่กำลังฝัดข้าวอยู่กลางลานดิน ล้อมรอบด้วยเสียงเป็ดไก่จอแจ มองเห็นพ่อต้อนควายเข้าคอก มองเห็นพี่หน้าเป็นมันอยู่ในครัว ปู่สุมไฟไล่ริ้นยุงอยู่หน้าบ้าน ย่ากำลังให้ข้าวหมูในเล้า อีกนาน ทุกคนจะพร้อมหน้ากันที่ชานเรือน ล้อมวงกินข้าวมื้อเย็น พออิ่มก็มืด พอดีดาวจะค่อยๆ ผุดขึ้นทีละดวงจนพร่างเต็มฟ้า มันวาบเป็นทางยาวก่อนจะดับสนิท แม่หัวเราะและกล่าวกับฉันว่า ดาวตกอยู่ทุกคืนแหละลูก แต่ท้องฟ้าก็ไม่หมดดาว ขอให้ฉันได้ต่อถ้อยคำตอบแม่ว่า เหมือนความหวังของมนุษย์แหละ แม่จ๋า แม้มนุษย์จะเคยสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มนุษย์ก็ไม่เคยหมดความหวัง จริงไหมจ๊ะ แม่ ค่ำคืนนี้ ฟ้าช่างมืดนัก ลมเหนือพัดโชยมาเย็นเยือกหนาว หนาวในห้วงความทรงจำ ว้างไหวและเปลี่ยวเหงา ฉันก้าวเดินออกมายืนอยู่กลางสวนหลังบ้าน แหงนหน้าจ้องมองดวงดาวที่วับแวมอยู่กลางฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล มีดาวดวงหนึ่งกระพริบวิบวาวแจ่มจ้าที่สุดในหมู่ดาว เคลิ้มคล้ายเหมือนกับว่าดวงดาวกำลังจ้องมองมายังฉัน บางที แม่อาจอาศัยอยู่บนดาวดวงนั้น ** บางตอน เรื่องสั้น ปุยนุ่นและดวงดาว ของ รมย์ รติวัน ขอบคุณครับ...
ก็ส่วนใหญ่จะขนหนังสือไปอ่านช่วงที่อยู่บนดอยนั่นแหละครับ บรรยากาศเป็นใจ... โดย: ภู เชียงดาว IP: 210.86.185.134 วันที่: 5 เมษายน 2549 เวลา:18:08:20 น.
เศร้าจัง...อยากกลับบ้าน แต่คงไม่เห็นอะไรอย่างนี้อีกแล้ว ไม่เห็นถนนลูกรังที่เคยปั่จักรยานกลับบ้าน ไม่เห็น ต้นกล้วย ต้นข้าวโพดที่ปลูกไว้ตามสองข้างทาง ....ไม่เห็นและคงไม่ได้เห็นอีกตลอดไป
โดย: น้ำนิ่ง IP: 192.168.1.103, 58.10.207.6 วันที่: 12 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:53:37 น.
|
pu_chiangdao
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?] ภาพและงานเขียนทุกชิ้นที่ปรากฏในเวบไซต์นี้ เป็นลิขสิทธิ์ของเจ้าของบทประพันธ์นั้นๆ แต่เพียงผู้เดียว ห้ามกระทำการดัดแปลง แก้ไข หรือแอบอ้างไปเป็นผลงานของตน โดยไม่มีการอ้างถึงเจ้าของลิขสิทธิ์ หากผู้ใดมีความประสงค์ จะนำข้อมูลดังกล่าวออกเผยแพร่ ตีพิมพ์ หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด โปรดติดต่อเจ้าของบทประพันธ์โดยตรง *************************** งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27) การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ที่มา : เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา Group Blog All Blog
Friends Blog
Link
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
และที่น่ายกย่องไปกว่านั้นก็คือ..
คุณเห็นมากกว่าตัวหนังสือ