ถึงแม้ว่าวันขึ้นปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว แต่กลิ่นไอของเทศกาลเฉลิมฉลองและการไหว้พระขอพรยังไม่หมด อย่างที่กรุงเทพฯ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ยังคงเปิดให้ประชาชนเดินทางไปไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ๙ องค์ ได้จนถึงวันที่ ๙ ม.ค. (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) พระพุทธรูปแต่ละองค์มีประวัติความเป็นมาและความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป วันนี้ ปอป้าก็เลยนำเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปทั้ง ๙ องค์มาเล่าให้อ่านกันค่ะ
๑. พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระปฏิมาแบบสุโขทัย-ล้านนา นับถือเป็นพระพุทธปฏิมาศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานพระพุทธสิหิงค์ กรุงเทพมหานครอัญเชิญออกให้ประชาชนถวายน้ำสงกรานต์เป็นประจำทุกปี นับเป็นพระพุทธรูปอำนวยความอุดมสมบูรณ์และสวัสดิมงคล
๒. พระหายโศก พระปฏิมาศิลปะล้านนา พุทธศตรวรรษที่ ๒๑ จากจารึกฐานพระพุทธรูปกล่าวว่า ส่งมาถึงกรุงเทพฯ (จากล้านนา) ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ เดิมคงใช้ในพระราชพิธีหลวง จนกระทั่งกรมพระราชพิธีส่งมาเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์สถานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปอำนวยความสุข สวัสดี
๓. พระไภษัชยคุรุ ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ นับถือว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าแพทย์ เนื่องจากทรงบำเพ็ญพระบารมี โดยอธิษฐานความปราศจากโรคภัยของผู้คนในกาลสมัยของพระองค์ ผู้นับถือและบูชาพระองค์จึงปราศจากโรคภัยเบียดเบียน สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่งกรุงกัมพูชา สร้างพระราชทานเป็นพระปฏิมาประธานในอโรคยาศาลา เพื่อผู้ป่วยและประชาชนบูชา เพื่อพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ (ข่าวว่า เทศกาลไหว้พระขอพรปีใหม่นี้ ประชาชนพากันไหว้พระพุทธรูปองค์นี้มากที่สุด)
๔. พระชัยลงอักขระขอม ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ ในพระราชพงศาวดาร สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตำนานการสร้างเป็นของสมเด็จพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ที่เรียกว่าพระชัย เพราะมีความหมายว่า ชัยชนะ เนื่องด้วยแต่เดิมมีความมุ่งหมายเพื่ออัญเชิญไปในกองทัพยามออกศึกสงครามเพื่อชัยชนะ ต่อมาพระชัยยังได้อัญเชิญใช้ในพิธีกรรมเรียกว่า พระชัยพิธี สำหรับขจัดมาร อุปสรรค อำนวยให้พิธีกรรมสำเร็จผล
๕. พระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๒๓ สร้างขึ้นตามคติเรื่อพระพุทธเจ้าทรงทรมานพระยาชมพูบดี ทรงนิรมิตพระองค์ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช เหนือพระยามหากษัตริย์ทั้งปวง เพื่อคลายทิฐิมานะแห่งพระยามหาชมพูกษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพ พระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิจึงหมายถึงอำนาจ และธรรมอันเป็นแก่นสารยิ่งกว่าอำนาจแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
๖.-๗. พระพุทธรูปคู่ไม้แก่นจันทร์แดง ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ เป็นพระพุทธรูปมงคลด้วยวัตถุพิเศษตามตำนานพระแก่นจันทร์ ว่าด้วยสมัยพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดายังดาวดึงส์สวรรค์เป็นเวลา ๓ เดือน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอนุสรณ์ถึงพระพุทธองค์ จึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปไม้แก่นจันทร์ขึ้น พระแก่นจันทร์จึงเป็นรูปแทนเสมือนองค์พระพุทธเจ้า พระไม้แก่นจันทร์แดงทั้งคู่นี้ แสดงปางประทานอภัย มีความหมายถึงการปกป้องภยันตรายทั้งปวง
๘. พระพุทธรูปหลวงพ่อนาก ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๐ โดยประวัติการได้มามีปาฏิหาริย์รอดพ้นอันตรายจากคนร้ายซึ่งลักลอบขุดค้นพบในเจดีย์โบราณ ณ วัดป่าแดงหลวงดอนไชยบุนนาค ปัจจุบันคือวัดบุนนาค จังหวัดพะเยา เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ลักลอบขุดพร้อมของกลางได้ที่จังหวัดลำปาง และเก็บรักษาหลวงพ่อนากพร้อมโบราณวัตถุอื่น ๆ ไว้ที่จังหวัดเชียงราย เพราะขณะนั้นพะเยาขึ้นอยู่กับจังหวัดดังกล่าว ต่อมาหลวงอดุลยธารณ์ปรีชาไวย์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงราย ได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ พระพุทธรูปแสดงปางสมาธิ หมายถึงการตรัสรู้ธรรม
๙. พระพุทธรัตนมหามุนี พระแก้วน้อย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ ๒๑ องค์พระพุทธรูปจำหลักจากอัญมณีเนื้ออ่อนแก้วสีเขียว เดิมพระพุทธรูปชำรุดแตกเป็น ๒ ส่วน เจ้าของเดิมได้มาคนละคราว สามารถต่อกันได้สนิทเป็นอัศจรรย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับถวายจาก พ.ต.อ. อานนท์ อาขุบุตร และครอบครัว
เป็นอันว่าจบเรื่องราวของพระพุทธรูปทั้ง ๙ องค์ ซึ่งแต่ละองค์มีคุณสมบัติตามความเชื่อที่มีต่อ ๆ กันมา
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเรากราบไหว้พระเพียงเพราะโหนกระแสนิยม แต่มิได้ประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม ไหว้พระขอพรอย่างไร ก็คงไม่สมความปรารถนาแน่นอน เอ้า..ใครใคร่กราบไหว้พระพุทธรูปองค์ไหนก็ไหว้กันไป สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสไปกราบไหว้ด้วยตนเอง ก็กราบไหว้ผ่านหน้าบล็อกพร้อม ๆ กับปอป้าไปก่อนละกัน
ขอบคุณ ข้อมูลและภาพ จาก หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
เพลง แขกขาว
นิชฺฌตฺติพลา ปณฺฑิตา
บัณฑิตมีความไม่เพ่งโทษของผู้อื่นเป็นกำลัง
ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขด้วยเมตตาธรรมตลอดไป..นะคะ