พระพุทธเจ้าดำริจะโปรดอาจารย์ทั้ง ๒
พระพุทธเจ้าดำริจะโปรดอาจารย์ทั้ง ๒

    เมื่อท้าวสหัมบดีพรหมกลับไปสู่พรหมโลกแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงดำริว่า “เราจะแสดงธรรมแก่ใครก่อน ใครจะพึงรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้เร็ว” ทรงดำริต่อว่า “อาฬารดาบสและอุทกดาบส เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีกิเลสเบาบางมานาน หากได้ฟังธรรมก็จะพึงรู้ทั่วถึงธรรมได้เร็ว เราควรแสดงธรรมแก่ท่านทั้งสองก่อน”

    พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงอาฬารดาบสกาลามโคตร  และอุทกดาบสรามบุตร แต่ทรงทราบด้วยทิพยจักษุญาณว่า ท่านทั้งสองเพิ่งจะสิ้นชีพ ทำให้พระองค์นึกเสียดาย เป็นอย่างยิ่ง หากท่านทั้งสองได้ฟังพระธรรมก็จะได้บรรลุพระนิพพานอันเป็นบรมสุข

    ในพุทธประวัติ ได้กล่าวว่า เมื่อท้าวสหัมบดีพรหมกลับไปสู่พรหมโลกแล้ว พระพุทธเจ้าทรงดำริคิดว่าจะไปสอนใครก่อนดี จึงทรงคิดว่าจะไปสอน อาฬารดาบสกาลามโคตร ได้สำเร็จสมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔ (ฌาน ๑-๔) อรูปฌาน ๓ และอุทกดาบสรามบุตร ได้สำเร็จสมาบัติ ๘ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ทั้ง ๒ ท่านนี้ เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีกิเลสเบาบางมานาน หากได้ฟังธรรมก็จะพึงรู้ทั่วถึงธรรมได้เร็ว เราควรแสดงธรรมแก่ท่านทั้งสองก่อน แต่ได้เสียชีวิตไปก่อนได้ ๗ วันแล้ว และอุทกดาบสเพิ่งตายไปเมื่อพลบค่ำนี้เอง

    เพราะอุทกดาบสได้ระดับเนวสัญญานาสัญญายตนะ (sphere of neither perception nor non-perception) คือ การเข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ หมายถึง ไม่ยึดมั่นถือมั่น เกี่ยวกับเรื่องสัญญา สัญญาณ คือสิ่งที่เจ้าตัวเคยได้สัญญาไว้ ผูกพันไว้ เคยทำอะไรไว้ พอปฏิบัติถึงขั้นนี้ก็จะไม่ถือแล้ว เพราะการผูกพันก็เสื่อมถอยได้ ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้

    แต่ว่าท่านอุทกดาบสยังคงยึดติดในสัญญา เพราะไม่เห็นว่าสัญญาเป็นอนิจจัง ถ้าท่านเห็นสัญญาเป็นอนิจจังท่านก็จะหลุดออกจากสัญญานัั้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะถูกมัดอย่างนั้นไว้ตลอด 

    พอท่านปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ เปรียบเสมือนเส้นผมบังภูเขา ไม่เห็นสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง เพราะท่านมีพื้นฐานในระดับนี้ เป็นกิเลสเบาบางขนาดนี้ คนอื่นมองเหมือนกับหมดกิเลสแล้ว แต่นี่ยังละเอียดยังมี เข้าสู่ความเป็นอนิจจังไม่ได้ เพราะเห็นว่ายังมี ยึดมียึดมั่น ไม่เข้าสู่ภาวะอนิจจัง ไม่เข้าสู่ภาวะอนัตตา ท่านยังถือว่ามีอัตตา จิตยังคงวิ่งไปหาอัตตาอยู่นั่นแหละ ท่านยังไม่ถึงนิพพาน ถือว่าท่านอยู่ปากประตูนิพพานเท่านั้น เหมือนกับคนติดปม ร้อยเข้ารูเข็มไม่ได้ ท่านเข้าสู่นิพพานไม่ได้เพราะสิ่งนี้ครอบงำอยู่ ถ้าไม่ครอบงำจะไปวุ่นวายทำไม

    กิเลสนิดเดียว หรือเบาบางนี้คืออะไร?

    กิเลสตัวนี้คือ มิจฉาทิฏฐิมานะ เห็นว่าสิ่งนั้นยังเป็น ยังมีอยู่ แต่สิ่งนั้นเป็นอนัตตาอยู่แล้ว แต่มาเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอัตตา เหลือนิดเดียว เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นอัตตา แต่สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เพราะว่ายังไปยึดว่ามีอยู่

^_^  ..._/_...  ^_^ 
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต

 



Create Date : 30 กรกฎาคม 2563
Last Update : 30 กรกฎาคม 2563 0:09:56 น.
Counter : 617 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรหมสิทธิ์
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต

ศึกษาเรียนรู้ธรรมะโดยธรรม นำมาปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะนั้น ให้คนรู้จักบริหารกรรม แก้กรรม พัฒนากรรม ให้เกิดสันติสุข
New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2563

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
31
 
 
All Blog