ทุกคนเกิดมาทำไม ?
ทุกคนเกิดมาทำไม ?

    ๑. เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม

    ๒. เกิดมาเพื่อแสวงหาบุญกุศล สร้างบุญกุศล รับบุญกุศล

    ๓. เกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้และพัฒนากรรมตนเอง

    ๔. เกิดมาเพื่อแสดงกรรม เพื่อเจริญธรรม  ด้วยข้อที่ว่า เป็นกฎแห่งกรรม มีเหตุและผล สร้างเหตุเช่นใด ย่อมต้องมีผลเช่นนั้น ถ้ามีเหตุอันต้องการเกิด จึงต้องเกิดมารับรู้และใช้กรรม

    ๕. เกิดมาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะอีกหนึ่งภูมิ เตรียมพร้อมอีกหนึ่งภูมิ หมายถึง ยกระดับภพ ภูมิปัญญาของตนเองสูงขึ้นหรือต่ำลง เช่น ภูมิสูงขึ้น เช่น จะเป็นพระพุทธเจ้า คือ เกิดมาเพื่อสะสมบารมีหลายร้อยพันชาติ จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า หรือภูมิต่ำลง เช่น พระเทวทัต ตกนรกอเวจี เป็นต้น

    พระพุทธเจ้าก่อนที่จะเกิดมาก็ต้องสะสมภูมิเช่นนั้น

เกิดมาเพื่ออะไร?
    เกิดมาเพื่อ ๕ ข้อข้างต้น
  
ระหว่างมีชีวิตอยู่จะต้องทำอย่างไร?
    ทำตามกฎกติกาของธรรม

แล้วจะต้องทำอย่างไร?
    เราก็จะต้องรู้ว่ากฎกติกานั้นให้ทำอะไร? เราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดี เช่น ให้เกิดมาเป็นคนก็ต้องเป็นคนที่ดี ให้เกิดมาเป็นหมาก็ต้องเป็นหมาที่ดี ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง อย่าเสียชาติเกิด เป็นครูก็ต้องทำตามหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้อง
 
ระหว่างเกิดความสุขจะทำยังไง?
    เกิดความสุขอย่าหลงใหล 
    เกิดความทุกข์อย่าท้อแท้ใจ 
    เกิดความเสียใจ เราก็ต้องไปหาเหตุว่าทำไมเราต้องเสียใจกับตรงนั้นล่ะ
    เกิดความเศร้าใจ เหตุอะไรที่ทำให้เราเศร้าใจ เราก็ต้องแก้ ต้องเข้าสู่หลักอริยสัจ ๔
    ญาติตาย เราจะทำให้ญาติตื่นฟื้นคืนมาได้ไหม? ฉะนั้น เราก็ต้องยอมรับความจริง
    เจ็บป่วย ยอมรับความจริง แล้วดูแลรักษา ศึกษากับผู้รู้

ตายแล้วไปไหน?
    ไปเกิด เป็นไปตามเหตุ

ตายแล้วจะไปไหนมีกี่เส้นทาง?
    คนทั่วไปที่พูดกันแล้วมี ๗ เส้นทาง ได้แก่
    ทางที่ ๑ ไปนิพพาน
    ทางที่ ๒ ไปพรหมภูมิ
    ทางที่ ๓ ไปสวรรค์
    ทางที่ ๔ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์  
    ทางที่ ๕ ไปเกิดเป็นเดรัจฉาน
    ทางที่ ๖ ไปเป็นเปรตและอสุรกาย 
    ทางที่ ๗ ไปเกิดเป็นสัตว์นรก 
    ทางที่ ๒ ถึง ๗ เป็นเส้นทางโลกียะ  เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น
    แต่ถ้ารวมทั้ง ๗ เส้นทางเป็นหนึ่งเดียว คือ ทุกสรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุ เราสร้างเหตุเช่นใดต้องไปตามเหตุเช่นนั้น

ทำอย่างไรให้ตายตาหลับ?

    ทุกคนตายตาหลับหมด แต่จะทำยังไงให้ตายอย่างเข้าใจ เราก็ต้องทำความเข้าใจว่าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย แล้วรับความจริงได้ไหม? ถ้ารับความจริงไม่ได้ก็เรียกว่าตายโหง เช่น ถ้าตอนนี้เรายังไม่อยากตาย เพราะว่าลูกหลานยังไม่มีงานทำเป็นห่วงเป็นใย แต่มฤตยูกำลังจะคร่าเอาชีวิตเราไปแล้ว

    ถ้าอย่างนั้น ถ้าเรายังไม่อยากตาย แต่ด้วยว่าเหตุที่เราสร้างเหตุอะไรแล้วเราจำเป็นต้องตาย แล้วจะทำยังไง ก็ต้องหาหมอแก้ไขวิบากกรรม หาวิธีให้ไม่ตาย

    ถึงเวลาตายจริง เราสามารถชลอการตายได้ เวลาตายจริงๆ ก็ต้องรับความจริงก็จบ เหตุที่ว่ายังไม่ถึงวาระ เวลานี้เราเป็นโรคยังไม่ถึงเวลาจบสิ้นของโรคอันนี้เราก็ต้องหาหมอ เราก็จะมีโอกาสแก้ไข ถ้าหมอบอกว่า ๕๐ ต่อ ๕๐ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสอยู่ ๕๐ แล้วถ้า ๘๐ ต่อ ๒๐ โอกาสรอดแค่ ๒๐ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเราตัดสินใจ ใครจะไปตัดสินใจแทนเราไม่ได้ ถ้ากรณีโอกาสรอด ๒๐ ถ้าหากว่าเราก็ยังไปผ่าตัดสมองแล้วเกิดตายไปขึ้นมาแล้วเราจะทำยังไง เราก็ไม่ต้องทำยังไงก็แค่ให้รับความจริง ความจริงก็ต้องเป็นเช่นนี้ เราทำเหตุเช่นนี้ 

    แล้วถ้าเรายังไม่ทันรับจริงแล้วตายก่อนล่ะ เราก็ต้องเป็นทุกข์ เป็นผีโหยหวนไป เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จะมาเก็บวิญญาณของเรา เช่น ตามโรงพยาบาลมีเยอะแยะไป ตายไม่อยากตาย แล้วก็ส่งเสียงโหยหวน เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็มาเก็บ

    ถ้าหากว่าเก็บดวงวิญญาณดีๆ ก็ต้องส่งไปเรียนรู้ต่อ เรียนรู้ให้เข้าใจเข้าสู่การบำเพ็ญ แต่ถ้าไม่อยากบำเพ็ญก็ต้องเอาดวงวิญญาณนี้ไปขัง เพื่อไม่ให้มารบกวนมนุษย์ หมอ พยาบาลทั้งหลาย

    ถ้าเราตายแล้ว เราอยากเห็นหน้าลูก เมีย แล้วเราก็พูดว่าอย่าเอาดวงวิญญาณเราไปขังเลย จะได้ไหม? 

    ก็ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ 

    ถ้านึกขึ้นได้ว่า เมื่อ ๓ ปีก่อนเคยทำบุญตักบาตรกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง แล้วขอบุญกุศลตรงนี้มาช่วยเราได้ไหม?

    เราก็ต้องไปคุยกับพระสงฆ์รูปนั้นที่เราเคยตักบาตรให้กับท่าน เขาจะยอมช่วยไหม?

    เราไปคุยกับท่านก็เพราะกุศลที่เราเคยตักบาตร ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระสงฆ์รูปนี้จะยอมไหม? ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นยอมช่วยเราก็มีสิทธิ์ขึ้นมา

    แต่ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ล่ะ เราจะทำยังไง?

    ก็ช่วยไม่ได้

    ถ้าอย่างนี้จะว่าพระสงฆ์รูปนั้นปัดภาระไหม?

    ไม่มีตัดภาระ เพราะทุกอย่างก็ต้องมีเหตุ นี่คือความจริง ที่หนีไม่ได้ ทุกอย่างเนื่องมาจากเหตุ อันนี้เป็นสัจจะปรมัตถ์ ไม่มีใครแก้ไขได้

ระหว่างมีชีวิตอยู่จะเคลียร์ของเก่ายังไง?

    เราต้องเรียนรู้ แต่ถ้าไม่ทันเคลียร์ เราจะทำยังไงจะได้อุ่นใจ 

    ถ้าเราไม่ทันเคลียร์เราก็ต้องพาลูกตุ้มนี้ไปด้วย วิบากกรรมนี้ไปด้วย

    แต่ใจอยากจะเคลียร์ แต่ทำไม่ได้ คนเราอยากไม่ได้ คนเราถ้าจะเอาก็ต้องลงมือเลยแล้วก็เพราะว่าระหว่างที่คิดได้นั้น สายรัดหน้ากากออกซิเจน(Simple face mask) อยู่ที่หน้าของเรา เราทำไม่ได้

    แล้วก่อนหน้านั้นทำไมเราไม่ทำ ก็เพราะว่าเรานึกไม่ได้ 

    ก็นี่แหละคือเหตุ ที่ทำให้เรานึกไม่ได้ เราก็ต้องรับต่อไป แต่พอเรานึกขึ้นได้สายท่อออกซิเจนก็อยู่ติดปากแล้ว นี่แหละโอกาสเหมาะต่อให้เรียกร้องถึงฟ้าก็เปล่าประโยชน์ ในธรรมก็มีให้มาอยู่แล้วคุณไม่เอาเอง เราจะมาเอาตามใจตนเอง ตอนไหนตอนนั้นอย่างนี้ไม่ได้ แล้วเราเกิดจิตสำนึก เอานิสงส์แห่งจิตสำนึกจะให้เราได้อย่างนี้ก็ไม่ได้ ต้องรอไปต่อชาติหน้า นี่แหละ เวลามีโอกาสให้รีบใคว่คว้า มาหมดโอกาสแล้วมาเรียกร้องถึงฟ้าก็ไม่มีประโยชน์

ทำอย่างไรให้มีสรณะที่พึ่งอย่างมั่นคง?

    มั่นคงที่สุดคือ "ปัญญา" เราต้องหมั่นไปศึกษาปัญญา    

ทำไมมนุษย์เกิดมาไม่เท่ากัน?
    ไม่เท่ากันเพราะว่า มีกรรมไม่เท่ากัน มีวิบากไม่เท่ากัน มีเหตุไม่เท่ากัน

ทำไมมนุษย์ต้องเข่นฆ่ากันด้วย?
    เป็นไปตามวิบากแห่งกรรม ตามเหตุแห่งกรรม มีทั้งรักกัน มีทั้งอริกัน มีทั้งเป็นปรปักษ์กัน บางคนบางคนเกิดมาทำไมไม่ฆ่ากันแต่กลับมานึกรักชอบกัน แค่เห็นใบหน้าก็ชอบกันแล้ว ก็เป็นเพราะวิบากแห่งกรรม แต่บางคนเห็นใบหน้าก็ไม่ชอบกันแล้ว เกลียดกันแล้ว

ทำไมโลกนี้ถึงมาแย่งชิงกัน?
    เพื่อการอยู่รอดของสัตว์โลก ในเมื่อบางสิ่งมีอยู่น้อย แต่มีคนเยอะหรือว่ามีคนที่จะเอาเยอะก็ต้องมีการแย่งชิง

"เหตุ" อะไรที่ทำให้เกิดการแย่งชิง?
    เพราะว่าต้องการให้ตนเองอยู่รอด

ทำไมคนรวยถึงต้องดูถูกคนจน?
    เป็นธรรมดา เพราะว่ารวยเหนือกว่าก็ต้องดูถูกผู้ที่ต่ำกว่า

วิธีแก้ถ้าเรารวยแล้วจะไม่ดูถูกคนจน?

    เป็นคนรวยก็ต้องเป็นคนมีธรรมะ 
    ๑. มีจาคะ 
    ๒. มีความเมตตา 
    ถ้าคนรวยมีพรหมวิหาร ๔ เมื่อไหร่ ตัวดูถูกก็จะไม่มี

ทำไมคนจนถึงต้องไปสวามิภักดิ์กับคนรวย?
    การต้องยอมในเงื่อนไข เพราะต้องไปพึ่งพาอาศัย

ทำไมคนจนยกย่องคนรวย?
    ก็เพราะต้องการพึ่งพาอาศัย ถ้าไม่ยกย่องก็อยู่ไม่ได้ แม้แต่การคล้อยตาม ถ้าเราไม่คล้อยตามก็เท่ากับจะเป็นปรปักษ์ เป็นการหาเรื่อง

แต่ทำไมคนจนเคารพคนรวย ในเมื่อเกิดมามีเนื้อหนังเหมือนกัน?
    อันนี้ไม่ใช่เป็นอย่างนี้ทุกคน สุดแท้แต่จริตของเขา คนจนบางคนก็ไม่ได้ไปเคารพคนรวยแต่เขาเคารพคนมีคุณธรรม ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเป็นอย่างนี้หมด
    ทั้งๆ เขาจน เขาก็ไม่ได้สนใจ แต่เขาสนใจความคุณธรรม

 



Create Date : 26 กรกฎาคม 2563
Last Update : 26 กรกฎาคม 2563 9:30:21 น.
Counter : 514 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรหมสิทธิ์
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต

ศึกษาเรียนรู้ธรรมะโดยธรรม นำมาปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะนั้น ให้คนรู้จักบริหารกรรม แก้กรรม พัฒนากรรม ให้เกิดสันติสุข
New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2563

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
26 กรกฏาคม 2563
All Blog