ติกะ คือ หมวด ๓
- รตนะ ๓ อย่าง พระพุทธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑.
- ๑. ท่านผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัย ที่ท่านเรียกว่าพระพุทธศาสนา ชื่อพระพุทธเจ้า.
- ๒. พระธรรมวินัยที่เป็นคำสั่งสอนของท่าน ชื่อพระธรรม.
- ๓. หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ชื่อพระสงฆ์.
-
-
- ขุ. ขุ. ๒๕/๑.
- คุณของรตนะ ๓ อย่าง
- ๑. พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย.
- ๒. ่พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในทีชั่ว.
- ๓. พระสงฆ์ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผู้อื่นให้กระทำตามด้วย.
- อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ อย่าง
- ๑. ทรงสั่งสอน เพื่อจะให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น.
- ๒. ทรงสั่งสอนมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้.
- ๓. ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ.
-
-
- นัย. องฺ. ติก. ๒๐/๓๕๖.
- โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อย่าง
- ๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่วด้วย กาย วาจา ใจ.
- ๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ.
- ๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น.
-
-
- ที. มหา. ๑๐/๕๗.
- ทุจริต ๓ อย่าง
- ๑. ประพฤติชั่วด้วยกาย เรียกกายทุจริต.
- ๒. ประพฤติชั่วด้วยวาจา เรียกวจีทุจริต.
- ๓. ประพฤติชั่วด้วยใจ เรียกมโนทุจริต.
กายทุจริต ๓ อย่าง
- ฆ่าสัตว์ ๑
- ลักฉ้อ ๑
- ประพฤติผิดในกาม ๑.
วจีทุจริต ๔ อย่าง
- พูดเท็จ ๑
- พูดส่อเสียด ๑
- พูดคำหยาบ ๑
- พูดเพ้อเจ้อ ๑.
มโนทุจริต ๓ อย่าง
- โลภอยากได้ของเขา ๑
- พยาบาทปองร้ายเขา ๑
- เห็นผิดจากคลองธรรม ๑.
ทุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจไม่ควรทำ ควรจะละเสีย.
-
-
- องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓.
- สุจริต ๓ อย่าง
- ๑. ประพฤติชอบด้วยกาย เรียกกายสุจริต.
- ๒. ประพฤติชอบด้วยวาจา เรียกวจีสุจริต.
- ๓. ประพฤติชอบด้วยใจ เรียกมโนสุจริต.
กายสุจริต ๓ อย่าง
- เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑
- เว้นจากลักทรัพย์ ๑
- เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๑.
วจีสุจริต ๔ อย่าง
- เว้นจากพูดเท็จ ๑
- เว้นจากพูดส่อเสียด ๑
- เว้นจากพูดคำหยาบ ๑
- เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ๑.
มโนสุจริต ๓ อย่าง
- ไม่โลภอยากได้ของเขา ๑
- ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ๑
- เห็นชอบตามคลองธรรม ๑.
สุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจควรทำ ควรประพฤติ.
-
-
- องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓.
- อกุศลมูล ๓ อย่าง
รากเง่าของอกุศล เรียกอกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ
- โลภะ อยากได้ ๑
- โทสะ คิดประทุษร้ายเขา ๑
- โมหะ หลงไม่รู้จริง ๑.
เมื่ออกุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรละเสีย.
-
-
- ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๑. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๖๔.
- กุศลมูล ๓ อย่าง
รากเง่าของกุศล เรียกกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ
- อโลภะ ไม่อยากได้ ๑
- อโทสะ ไม่คิดประทุษร้ายเขา ๑
- อโมหะ ไม่หลง ๑
ถ้ากุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว กุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรให้เกิดมีในสันดาน.
-
-
- ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๒.
- สัปปุริสบัญญัติ คือข้อที่ท่านสัตบุรุษตั้งไว้ ๓ อย่าง
- ๑. ทาน สละสิ่งของของตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น.
- ๒. ปัพพัชชา คือบวช เป็นอุบายเว้นจากเบียดเบียนกันและกัน.
- ๓. มาตาปิตุอุปัฏฐาน ปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข.
-
-
- องฺ. ติก. ๒๐/๑๙๑.
- อปัณณกปฏิปทา คือปฏิบัติไม่ผิด ๓ อย่าง
- ๑. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ.
- ๒. โภชเน มัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร ไม่มากไม่น้อย.
- ๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรเพื่อจะชำระใจให้หมดจด ไม่เห็นแก่นอนมากนัก.
-
-
- องฺ. ติก. ๒๐/๑๔๒.
- บุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง
สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ เรียกบุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง
- ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน.
- ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล.
- ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา.
-
-
- ขุ. อิติ. ๒๕/๒๗๐. องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๑๔๕.
- สามัญญลักษณะ ๓ อย่าง
ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง เรียกสามัญญลักษณะ ไตรลักษณะก็เรียก แจกเป็น ๓ อย่าง
- ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง.
- ๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์.
- ๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน.
-
-
- สํ. สฬ. ๑๘/๑.