ขบวนวการก่อเกิดแห่งสรรพสิ่งสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง
ขบวนวการก่อเกิดแห่งสรรพสิ่งสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง

    ๑. กิเลส
    ๒. ตัณหา
    ๓. อัตตา

    ถ้าเรายึดว่าเราชื่อแดง พอเรายึด ก็มีคติแล้วว่า แดงดี พอคนหนึ่งมาบอกว่า แดงไม่ดี ก็จะขัดตัวตน 

    พอขัดตัวตนปั้บแล้วตัวอะไรจะตามมา กิเลสก็ต้องมา ตัณหาก็ต้องตามมา เพื่อตีเขาให้เขายอมรับ สร้างเรื่องให้เขายอมรับ นี่แหละเป็นตัวกิเลส

    กิเลส ก็คือ วิธีการ เพื่อสนองอารมณ์ของตัณหา ตัณหา ก็จะมาให้กับตัวตน เพราะตัวตนเป็นผู้กำเนิดตัณหา

    ทีนี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ไปถามหาว่าตัวตนมาจากไหน?

    ตัวตนมาจากอารมณ์ยึดครอง แล้วก่อให้เกิดเป็นตัวตน อัตตา

    สังขารก็คือยึดเหนี่ยวกันกลายเป็นตัวตนขึ้นมา 

    อันนั้นยึดเหนี่ยวทางนาม รูปร่างของเรายึดเหนี่ยวทางรูป

    สังขารที่ทำให้เราต้องหิว ก็เพื่อสนองอัตตา เพื่อให้อัตตาคงอยู่ได้ ถ้าเราไม่กินเราก็จะหิว ก็จะทำให้อัตตาตายได้

    กิเลส กรรม วิบาก ใครเป็นผู้ก่อเกิด? ก็คืออัตตานั่นเอง

 
ถามตอบปัญหา

    สรรพสิ่ง  หมายถึง  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา  โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ  สิ่งมีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิต
    ตามที่ท่านได้กล่าวในหัวข้อกระทู้ว่า "ขบวนการก่อเกิดแห่งสรรพสิ่งสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง" ย่อมรวมถึงสิ่งไม่มีชีวิตด้วย
    แต่คำอธิบายของท่านกลับกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียว  โดยไม่ได้กล่าวถึงสิ่งไม่มีชีวิตเลย
    ดังนั้นคำอธิบายของท่านจึงยังไม่สมบูรณ์  โดยขาดคำอธิบายว่า สิ่งไม่มีชีวิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ?


    ตอบว่า สิ่งที่ท่านกล่าวมานี้ถูกต้อง สิ่งที่เราเน้นคือ การเกิดของภาวะจิตใจ เราเน้นภาวะจิต คือ กิเลส ตัณหา อัตตา มันเกิดขึ้นที่จิตใจ อย่างอื่นเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตใจก็จะไม่มี อัตตา ตัณหา กิเลส 

    ฉะนั้น ท่านเข้าใจผิด ท่านเข้าใจเพียงแค่ด้านเดียว

    คำว่า "ขบวนการก่อเกิดแห่งสรรพสิ่งสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง" เน้นเป็นสิ่งมีชีวิตนั้นถูกต้องแล้ว เพราะว่าก้อนหิน โต๊ะ ม้านั่ง ไม่มีจิต จึงไม่มีอัตตา ตัณหา กิเลส

    และในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง กิเลส ตัณหา จะเอาทั้งนั้น สิ่งที่เราอยากได้ อยากมี อยากเป็นเกิดขึ้น เพราะ กิเลส ตัณหา อัตตา เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เพราะมี ๓ ตัวนี้

    สิ่งที่ผมอธิบายนี้เกิดขึ้นในจิตใจของคนเรา ไม่ใช่การเกิดขึ้นของโลก

    แต่ถ้าการเกิดขึ้นของโลก ก็ต้องเป็น สรรพสิ่งต้องเกิดเป็นไปตามขบวนการแห่งการเกิดของพระเจ้า เป็นของคริสต์ศาสนา ส่วนพราหมณ์ คือ พระพรหม ของศาสนาพุทธ ก็คือ เป็นกฎแห่งธรรมชาติ กฎแห่งกรรม

    แต่หัวข้อนี้ ผมกล่าวถึงจิตใจ

    สมมติว่า เวลานี้ เราเกิดตัณหา ตัณหาอยากได้ก้อนหินก้อนหนึ่ง ก้อนหินนี้จะอยู่ในใจของเราทันที นี่แหละ สรรพสิ่งเกิดขึ้นในใจ

    สิ่งที่ผมพูดนี้กล่าวถึงสิ่งที่มีจิต มีใจ

    สมมติใจของเราคิดถึงหมา ๑ ตัว นี่เป็นตัณหาไหม? ก็เป็นตัณหา แล้วกิเลสก็คือเราจะไปเสาะแสวงหาหมา แต่หมาตัวนี้อยู่ในใจเราแล้ว เกิดแล้ว ใจเราจะต้องมีหมาแล้ว นี่แหละ กิเลส ตัณหา อัตตา ทำให้เกิดทุกสิ่งในใจของเราได้

    อันนี้พูดถึงการเกิดขึ้นในภาวะในจิต ไม่ใช่ทั่วไปที่เราเห็น



       ถามว่า    สภาวะแรกสุด คือ ความว่างเปล่า  ซึ่งทั้งหลักคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้นิยามของความว่างเปล่าว่า "เป็นศูนย์" หรือ "ไม่มีอะไรเลย"

    ส่วนสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น  ยังไม่มีมนุษย์คนใดทราบได้  เนื่องจากเกินกำลังความสามารถของมนุษย์ที่จะทราบได้ ยิ่งคำถามว่าสิ่งแรกเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น  ยิ่งยากเกินกำลังความสามารถของมนุษย์ที่จะทราบได้มากขึ้นไปอีก  เพราะว่ามนุษย์ไม่มีทางทราบได้เลยว่า สิ่งแรกคืออะไร ?


    ตอบว่า สรรพสิ่งก่อเกิดด้วยขบวนการก่อเกิด ด้วยวิถีแห่งกฎของธรรม ธรรมก็คือธรรมชาติ

    เริ่มแรกว่างเปล่าเป็นศูนย์ เพราะเราคำนวณจากวิทยาศาสตร์ ไม่ถูกต้อง

    ในคำว่า "ศูนย์" แปลว่าไม่มีอะไร ไม่ถูกต้อง เพราะเส้นที่เราจะวาดเป็นเลขศูนย์มีไหม? ก็ต้องมี เพียงแต่ว่าจะปรากฏหรือไม่ปรากฎ

    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมปฏิเวธอยู่ในธรรม แต่ถ้าถึงเวลาสัปปายะก็จะปรากฏให้เห็นเป็นรูป  แต่ถ้าไม่สัปปายะก็จะดำรงอยู่ในความเป็น "นาม"

    คุณนั่งอยู่ที่บ้านเฉยๆ คุณเห็นมีลมไหม? มีน่ะ ลมมีตลอด เพียงแต่ว่าลมไม่เคลื่อนไหวเราก็ยังไม่เห็นทิศทางของลม พอเคลื่อนไหวเราจึงเห็นทิศทางของลม ลมเคลื่อนไหวตลอด

    เรามองผ่านไปเห็นต้นไม้ เราเห็นช่องว่างเปล่า มีลมไหม? ก็ต้องมี 

    มีอากาศ (air) ไหม? ก็ต้องมี

    มีปราณ (氣)ไหม? ก็ต้องมี

    มีธาตุต่างๆ (Element) รวมอยู่ในนี้ไหม? ก็ต้องมี

    อวกาศ (space) ก็คือ ช่องว่างระหว่างแต่ละตัว มีช่องแต่ไม่เชื่อมต่อกัน

    ยกตัวอย่าง เราพนมมือ สิ่งที่แทรกอยู่ระหว่างมือที่พนมคืออวกาศ "ช่องว่าง" ของแต่ละสิ่ง จะมีช่องหนึ่งที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกัน จะแนบแน่นยังไงก็ต้องมีอวกาศ จะเข้าไปรับรู้ได้ต้องเข้าไปด้วย "ญาณ" อวกาศนี้ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า อากาสธาตุ

    บางคนบอกว่าว่างเปล่าไม่มีอะไร แต่นั่นแหละมีอะไรอยู่ในนั้นเยอะแยะ เรามองไม่เห็นต่างหาก

    ส่วนวิญญาณธาตุ คือ ตัวรับรู้ หมายความว่า ตัวที่แสดงรูปออกมาให้เรารับรู้ว่าสิ่งนัั้นเป็นอะไร เช่น "แก้ว ๑ ใบ" ก็จะแสดงให้เรารับรู้ได้ว่านี่คือแก้ว

     ทุกสรรพสิ่งต้องมีวิญญาณธาตุ แน่นอนมันออกมาถ้าไม่มีวิญญาณธาตุ เราก็ไม่สามารถรับรู้ว่ามันเป็นอะไร มันคืออะไร

    ขนมปังก็มีวิญญาณธาตุของขนมปัง เราเอาอะไรรับรู้ขนมปังนี้?

    เราเอาจิต กับสติรับรู้วิญญาณของขนมปัง พอรู้เสร็จ สัมปชัญญะไปวิเคราะห์

    สรรพสิ่งต้องมีวิญญาณ ถ้าไม่มีรูปร่าง แล้วเราจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร เราไม่เห็นนี่ ไม่รู้

    ในจิตของเรามีวิญญาณไหม?

    วิญญาณต้องขึ้นแต่ละตัว จิตกับสัมปชัญญะรวมกันเพื่อไปรับรู้วิญญาณตัวนี้ สำหรับตัวของเรามันต้องมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีแล้วจะดำรงอยู่ได้ยังไง

    บางคนบอกว่าอัตตาอยู่ตรงไหน?

    นิดเดียว แค่เราทุบไปที่ตัวเขา หรือมือเขา เขาเจ็บ นั่นแหละ อัตตา

    ยกตัวอย่าง เราเห็นโทรศัพท์ อันนั้นอยู่ในหมวดสัมปชัญญะ สัมปชัญญะไปแยกเป็นปัญญาแล้ว เป็นความจำ คุณไม่เคยเห็นโทรศัพท์มาก่อน แล้วคุณจะรู้ไหมว่าอันนี้เป็นโทรศัพท์ ก็ไม่รู้ แต่คุณเห็นโทรศัพท์แล้วจำไว้ในจิต

    แสดงว่าวิญญาณอยู่ข้างนอก แล้วเราจำวิญญาณของสิ่งนั้นๆ คือ โทรศัพท์เข้าไปในจิต เพราะว่าเราจำไปแล้วว่าสิ่งอย่างนี้เขาเรียกว่า โทรศัพท์ เวลาเราไปเจอเขาก็เรียกว่า "โทรศัพท์" 

    วิญญาณจะอยู่ข้างนอกหมด จะบ่งบอกตัวอัตตาของเขา แต่ถ้าอยู่ข้างในเพราะว่าเราเก็บสิ่งนั้นเข้าไป ไปหมวดของความจำ สัญญา 

    สัญญาก็คือสิ่งเหล่านี้แหละเขาเรียกว่า โทรศัพท์ เหมือนกับว่าเราไม่รู้จักผี แล้วไปเจอผีก็ไม่รู้อันนั้นเป็นผี

    และในตัวของเราก็มีวิญญาณ ถ้าไม่มีวิญญาณ เราก็ไม่รู้ว่าเรามีตัวตนได้ไง

    สัญญาก็จะไปเอาวิญญาณมาจำไว้ เวลาเราส่งความจำนี้ออกไปก็จะเป็นสัญญาณ

^_^  ..._/_...  ^_^ 
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต



Create Date : 07 กรกฎาคม 2563
Last Update : 7 กรกฎาคม 2563 10:01:36 น.
Counter : 314 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรหมสิทธิ์
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต

ศึกษาเรียนรู้ธรรมะโดยธรรม นำมาปฏิบัติ และเผยแผ่ธรรมะนั้น ให้คนรู้จักบริหารกรรม แก้กรรม พัฒนากรรม ให้เกิดสันติสุข
New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2563

 
 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog