การเล่นเกมการเมือง / วีรพงษ์ รามางกูร
การเล่นเกมการเมือง
คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร
เมื่อปีที่แล้วคณะกรรมการรางวัลโนเบลได้มีมติมอบรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ให้กับนักเศรษฐศาสตร์สองคน คนหนึ่งเป็นชาวอเมริกัน คนหนึ่งเป็นชาวยิวที่เกิดที่อเมริกาแต่ไปสอนที่อิสราเอล ทั้งสองคนเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีเกม หรือทฤษฎีการเล่นเกมจนมีชื่อเสียง
ความจริงทฤษฎีการเล่นเกมได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆ โดยเริ่มจากนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ต่อมานักเศรษฐศาสตร์ได้นำมาใช้อธิบายพฤติกรรมทางเศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันของตลาดที่มีผู้เข้าแข่งขันจำนวนน้อยราย หรือมีมากแต่รวมกันก็เหลือเพียงน้อยราย เช่น ตลาดที่มีผู้ขายคนเดียวกับผู้ซื้อคนเดียว หรือมีผู้ขาย 2-3 ราย แต่ผู้ซื้อมีมากราย หรือผู้ซื้อก็มีน้อยรายด้วย หรือการแข่งขันกันเพื่อให้ได้สัญญาจากผู้ซื้อรายเดียว
ต่อมาทฤษฎีการเล่นเกมก็มีผู้นำไปประยุกต์กับพฤติกรรมทางการเมือง การแข่งขันกันลงเลือกตั้งของพรรคการเมือง การแย่งชิงอำนาจทางการเมือง การแย่งชิงตำแหน่งในหน่วยงาน มีการประยุกต์กับวิชาสังคมศาสตร์ เช่น สังคมวิทยา และอื่นๆ รวมทั้งการทหารด้วย
ที่เห็นชัดนอกจากการประยุกต์นำมาอธิบายพฤติกรรมทางเศรษฐศาสตร์ ธุรกิจก็คือ พฤติกรรมทางการเมือง ทั้งการเมืองภายในประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ
ทฤษฎีเกมหรือทฤษฎีการเล่นเกมจึงแพร่หลายมากในปัจจุบัน เพราะในชีวิตประจำวันของเรา เราจะเห็นการเล่นเกมต่างๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทั้งสองฝ่ายจะต้องสำรวจอยู่ตลอดเวลาว่าต้องมีทางเลือก หรือที่เรียกว่า "ยุทธวิธี" อะไรบ้าง มีต้นทุนเท่าไหร่ และขณะเดียวกันก็ต้องพยายามค้นหาให้ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีทางเลือกหรือ "ยุทธวิธี" อะไรบ้าง ทางเลือกแต่ละอย่างมีต้นทุนในด้านต่างๆ อย่างไรบ้าง
หลักง่ายๆ เบื้องต้นก็คือ เลือกใช้ทางเลือกหรือยุทธวิธีที่ตนเองจะได้มากที่สุด เสียหายน้อยที่สุด ฝ่ายตรงข้ามก็จะเลือกวิธีที่ทำให้เราเสียหายมากที่สุด ทั้งสองฝ่ายคิดอย่างเดียวกัน
เกมการเมืองโดยเฉพาะการแข่งขันกันในการเลือกตั้ง หรือเกมแย่งชิงอำนาจกันก็คือ เกมที่เรียกว่า "zero sum games" คือมีผู้ได้และผู้เสีย แต่ที่หนักสุดคือผู้ชนะได้ทั้งหมด "The winner take all" ผู้เสียก็เสียทั้งหมด เกมชนิดนี้จึงเป็นเกมที่ต้องสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง ยอมแพ้กันไม่ได้ เพราะถ้าแพ้ก็อาจหมดตัว อาจไม่มีที่อยู่ ถ้าได้ก็ได้ทั้งหมดไม่เหลือให้ผู้แพ้เลย
บางทีก็เป็นการเล่นเกมที่ฝ่ายหนึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าแพ้ก็เสมอตัวอยู่ที่เดิม แต่ถ้าชนะก็ได้ทั้งหมด ส่วนอีกฝ่ายถ้าชนะก็จะอยู่ในฐานะเดิม แต่ถ้าแพ้ก็หมดตัวจึงยอมแพ้ไม่ได้
การเล่นเกมมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ และเมื่อฝ่ายตรงกันข้ามเปลี่ยนยุทธวิธีไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนยุทธวิธีไปด้วย ในระหว่างทางก็จะเกิดความสูญเสีย มีต้นทุนทั้งสองฝ่าย ตราบใดที่การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด ความสูญเสียส่วนมากก็เป็นเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ตำแหน่งแห่งที่ อำนาจ วาสนา และอื่นๆ เช่น ความเชื่อถือ ชื่อเสียง จิตใจ สุขภาพและอื่นๆ
ต้นทุนที่ว่านี้มีทั้งต้นทุนส่วนตัว และต้นทุนส่วนรวม ต้นทุนของสังคม และต้นทุนของประเทศชาติ ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับเกมของทั้ง 2 หรือ 3 ฝ่าย แต่ถูกลากเข้าไปในเกม ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาหรือจากการชวนเชื่อของผู้เล่นเกมนั้น
โดยปกติในช่วงต้นการต่อสู้เล่นเกมจะเป็นการต่อสู้แบบฝ่ายชนะได้หมด ฝ่ายแพ้เสียหมด หรือที่เรียกว่า "The winner take all games" และจะเกิดความเสียหายกับทั้งสองฝ่าย เกิดความเสียหายกับส่วนรวม เกิดความเสียหายกับสังคมประเทศชาติ
ข้อเสียที่สำคัญของการเล่นเกมกันไม่ว่าจะเป็นเกมทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การค้า หรือเกมการเมือง สังคมก็คือผู้ที่เข้าแข่งขันจะละเลยจริยธรรม ศีลธรรม วินัย กฎเกณฑ์ ปรัชญา ความดีงาม คุณค่าของสังคม เกียรติยศของตนเองในระยะยาว แต่จะมุ่งเอาชนะกันด้วยยุทธวิธีต่างๆ ที่คิดว่าจะทำให้ตนเป็นฝ่ายชนะ
ในขบวนการของการเล่นเกมกันก็จะเกิดจิตวิทยาสังคม เกิดกระแสความคิดทางสังคมที่เข้าข้างแต่ละฝ่าย จนลืมนึกถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมทั้งระยะสั้นและระยะยาว ลืมเรื่องศีลธรรม จริยธรรม กฎหมาย กฎเกณฑ์ที่ถูกต้องที่จำเป็นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ทฤษฎีการเล่นเกมได้พิสูจน์ว่า ในที่สุดเมื่อเล่นเกมกันไปเรื่อยๆ เสียหายไปเรื่อยๆ หลังจากได้เกิดความสูญเสียไปมากพอ ทั้งสองฝ่ายหรือสามฝ่ายแล้วแต่เกม จะหันเข้ามาเล่นเกมร่วมมือกัน หรือ "co-operation games" โดยมาตกลงกติกา เงื่อนไขกันเอง จนในที่สุดจะเป็นเกมที่ได้ทั้งสองฝ่าย หรือไม่สูญเสียทั้งสองฝ่าย หรือสูญเสียบ้างทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ผู้ชนะได้ทั้งหมด ผู้แพ้เสียทั้งหมด หรือกลายเป็นได้ด้วยกันทั้งคู่ หรือที่ชอบเรียกกันว่า "win-win games"
ในระหว่างการต่อสู้ เล่นเกมชนะได้หมด แพ้เสียหมดนั้น จะเอา "ความถูกต้อง" เอา "กฎหมาย" เอา "กติกา" เอา "จริยธรรม" เอา "ศีลธรรม" เอา "ระบบกับบุคคล" เอาอะไรมาพูด ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครฟัง จะไม่มีใครเชื่อ
ในสังคมที่ "ระบบการเมือง" และระบบ "กฎหมาย" ฝังรากลึกแล้วอย่างอเมริกา การเล่นเกมการเมืองของเขาจึงมักจะอยู่ในกรอบของระบบ ตัวอย่างเช่น เมื่อศาลสูงสหรัฐผู้รักษากฎเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญตัดสินสั่งให้หยุดการนับคะแนน "ผู้เลือกตั้ง" ประธานาธิบดีในมลรัฐฟลอริดา ทุกฝ่ายก็เชื่อฟังหยุดเดินขบวนที่เกือบปะทะกัน เพราะคะแนนแพ้ชนะกันเพียง 300-400 เสียงเท่านั้น หรือกรณีประธานาธิบดีต้องข้อหาทางด้านศีลธรรมหรือจริยธรรม เพราะไปมีเพศสัมพันธ์กับเด็กสาวที่มาฝึกงานที่ทำเนียบขาว เพราะไปให้การเท็จ เมื่อรัฐสภาตัดสินไม่ปลดออกจากตำแหน่งทั้งๆ ที่เรื่องนี้ในสังคมอเมริกันถือว่าร้ายแรงมาก ทางด้านจริยธรรมและศีลธรรมทุกฝ่ายก็หยุด สื่อมวลชนก็หยุด เชื่อฟัง เพราะคนอเมริกันเคารพและเชื่อมั่นใน "ระบบ" และรัฐธรรมนูญของเขาเหมือน "พระเจ้า" หรือในอังกฤษที่เขาเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา เมื่อเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเมื่อมีการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินเขาก็หยุด เพราะประเพณีทางการเมืองเขาเป็นอย่างนั้น
แต่ในสังคมทางตะวันออกที่ "ระบบ" และ "สถาบันการเมือง" ยังไม่หยั่งรากลึกเหมือนของเขา ผู้คนยังไม่เคารพและเชื่อมั่น "ระบบ" และ "รัฐ ธรรมนูญ" เหมือนเชื่อมั่นใน "พระเจ้า" อย่างของเขา จึงไม่มีใครจะหยุดยั้งความขัดแย้งที่รุนแรง หรือการเล่นเกมทางการเมืองที่รุนแรงอย่างของเขาได้ จนกว่าจะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง มีเลือดตกยางออก มีการล้มล้างระบบปฏิรูปก่อนแล้วค่อยมาตั้งระบบ กติกากันใหม่ จึงจะยอมหยุด
ในระหว่างการเล่นเกมและการต่อสู้กันนั้นไม่ว่าใครก็ตาม แม้จะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แม้จะเป็นผู้ที่เป็น "กลาง" ซึ่งไม่มีในสายตาของคู่ต่อสู้ หรือผู้ที่ไม่ยอมถูกลากเข้าไปในเกมการต่อสู้ จะเตือนสติให้ความคิดเห็นอย่างไรก็จะไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีใครฟัง ด้วยเหตุผลที่ผู้ชนะได้หมด และผู้แพ้เสียหมด ยังไม่ถึงจุดที่ทั้งสองฝ่ายจะหันเข้ามาสู่เกมที่ร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์ทั้งสองฝ่ายและประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวม
สถานการณ์ของบ้านเราในขณะนี้จึงอยู่ในภาวะเช่นที่กล่าวข้างต้น ประโยชน์ยังไม่มีสำหรับการจะอ้างถึงจริยธรรม ศีลธรรม หรือรัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือกติกา เพราะไม่มีใครฟัง
ต่างฝ่ายต่างก็งัดเอายุทธวิธีที่ใช้แก้ยุทธวิธีของฝ่ายตรงกันข้ามมาใช้โดยการปลุกอารมณ์ ปลุกกระแสของผู้คนฝ่ายตนออกมาสนับสนุน ผู้คนจะถูกดึงหรือถูกลากเข้ามาร่วมในเกมการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งแบบบนดินและใต้ดิน
เมื่อผู้คนถูกดึงเข้ามาร่วมในเกมมากๆ เข้าก็จะเกิดความตึงเครียดมีอารมณ์ร่วมเหมือนกับการดูฟุตบอล และพร้อมที่จะระบายอารมณ์ร้อนโดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล กติกา
เมื่อการเล่นเกมได้พัฒนาไปถึงจุดที่ต่างคนต่างถอยกันไม่ได้ก็จะเกิดความเสียหายต่อ "ระบบ" กติกาซึ่งรวมกันสร้างขึ้นหลายอย่างเช่น
ความเคารพต่อระบบกติกา กฎหมาย หรือแม้แต่รัฐธรรมนูญก็หมดไป แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อดีอยู่หลายอย่าง เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด แม้จะเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2517 ซึ่งเคยยอมรับว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่ง
รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาที่น่าเป็นที่ยอมรับมากที่สุด เพราะสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากการแต่งตั้งของคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่มาจากทุกฝ่ายทั้งฝ่ายที่มาจากประชาชน จากฝ่ายปัญญาชน จากฝ่ายผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย มหาชน และจากฝ่ายที่มาจากสถาบันที่เป็นกลางทางการเมือง เช่น ศาลยุติธรรม
ในขณะที่จะให้รัฐสภาลงมติยอมรับรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎรบางส่วนดูเหมือนจะเป็นฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้น ไม่ค่อยเต็มใจจะรับสักเท่าไหร่ แต่กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องออกมาระดมผู้คนให้ชุมนุม ยกธงเขียวกดดันให้สภายอมรับ ฝ่ายกลุ่มการเมืองก็ปลุกระดมผู้คนมาต่อต้าน แต่ในที่สุดสภาก็ต้องยอมรับเพราะทนความกดดันของฝ่ายกดดันให้ยอมรับไม่ได้
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ผู้ที่เคยผลักดัน เคยปลุกระดมให้ผู้คนรวมตัวกันมากดดันให้สภายอมรับ มิได้ออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญที่ตนผลักดันอย่างหนักจนคลอดออกมาได้อย่างจริงจัง ที่จริงน่าจะต้องถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ร่างด้วยซ้ำที่จะต้องอธิบายชี้แจงเหตุผลของประเด็นต่างๆ ว่าเหตุใดคณะกรรมการยกร่างจึงได้เขียนรัฐธรรมนูญไว้ในลักษณะนั้น
ผมเองก็เชื่อว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญร่างมาอย่างมีเหตุผล อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ได้ใช้ผ่านมาระยะหนึ่ง ความคิดความอ่านที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา บางกรณีก็ปฏิบัติไม่ได้เพราะไม่ได้คิดไว้ก่อน หรือไม่ถูกใจประชาชนหรืออะไรก็แล้วแต่รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายก็ย่อมแก้ไขได้ให้เหมาะสม แม้จะไม่ถูกต้องก็ตามแต่ไม่ใช่ล้มทั้งฉบับแล้วร่างกันใหม่
ที่น่าห่วงก็คือจะเกิดเป็นประเพณีการเรียกร้องกดดันบังคับโดยการชุมนุม แม้ว่าจะเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ถูกต้องตามสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้ใช้ แต่ข้อเรียกร้องมิได้เป็นไปตามกติกา หลักการ และเจตนารมณ์ และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการเล่นเกมกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ
แม้ว่าในชีวิตจริงเราคงจะหลีกหนีการเล่นเกมกันไม่ได้ การเล่นเกมจึงต้องมีการวางกฎ กติกา มีผู้รักษากฎ มีผู้รักษากติกา มีองค์กรมีสถาบัน หรือมีวิธีการที่จะให้มีการชี้ขาด เมื่อชี้ขาดแล้ว ทุกคนเคารพเชื่อฟังหยุดการเล่นเกม ไม่ใช่เมื่อองค์กรหรือสถาบันหรือกรรมการผู้มีหน้าที่ชี้ขาด ชี้ขาดแล้วไม่ถูกใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะขับไล่ หรือจะทุบองค์กรชี้ขาดทิ้งเสีย แทนที่จะหาทางปรับปรุงแก้ไขให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น
แต่เหตุผลจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้คนได้ตั้งสติ หยุดคิด แต่การตั้งสติ หยุดคิดจะเกิดขึ้นไม่ได้ตราบใดที่เกมยังไม่ยุติ หรือสังคมยังไม่เสียหายพอ เป็นที่น่าเป็นห่วงว่าความเสียหายขนาดไหนที่ทั้งสองฝ่ายหรือกี่ฝ่ายก็แล้วแต่จะเห็นว่าเพียงพอ จึงจะหันหน้ามาร่วมมือกันยุติปัญหา
การเล่นเกมกันนั้นไม่มีใครชนะหรอก มีแต่ผู้แพ้ทั้งนั้นรวมทั้งประเทศชาติด้วย
หน้า 2<
* ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3776 (2976)
Create Date : 20 มีนาคม 2549 |
|
9 comments |
Last Update : 20 มีนาคม 2549 2:47:23 น. |
Counter : 463 Pageviews. |
|
|
วันนี้ได้อ่านเรื่องการเมือง แต่เช้าเลย รอดู วิน-วิน เกม อยู่ค่ะ