|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก
ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสได้กลายเป็นศูนย์กลางของศิลปะอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่ากรุงโรมยังมีอิทธิพลอยู่ ศิลปะแบบนีโอ-คลาสสิค (Neo-Classicism) หรือลัทธิคลาสสิคใหม่ เป็นการตอบโต้ความไร้สาระของโรโกโก แม้ว่า ศิลปะแบบนีโอ-คลาสสิค จะเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ตาม เพราะต่อมาภายหลังมีผู้นำคณะปฏิวัติฝรั่งเศสนำมาใช้ จึงเป็นรูปแบบที่เกี่ยวพันแนบชิดกับการปฏิวัติในยุคนี้ ศิลปะแบบนีโอ-คลาสสิคมีส่วนสำคัญทางการเมืองเพราะเนื้อหามักจะกล่าวถึงวีรบุรุษ และ วีรสตรีออกมาอย่างชัดเจน เป็นการสร้างความประทับใจด้วยความมั่งคง เข้มแข็ง นอกจากนั้นยังมักจะอ้างถึงความเป็นประชาธิปไตยของชาวเอเธนส์และสาธารณรัฐโรมัน ภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส นโปเลียน โบนาปาร์ตได้หันมายึดเอาศิลปะแบบนีโอ-คลาสสิค ไปเป็นเครื่องมือในการสร้างและธำรงภาพลักษณ์ของตัวเองทางการเมือง ในฐานะแม่ทัพ และจอมจักรพรรดิ จิตรกรในยุคนีโอ-คลาสสิค เช่น ชาค หลุยส์ ดาวิด (Jacques-Louis David 1748-1825), ช็อง ออกุสต์ โดมินิก แองกร์ (Jean Auguste-Dominique Ingres 1780-1867)
ศิลปะแบบโรแมนติซิซึม (Romanticism) คำว่า โรแมนติกมาจากกลุ่มภาษาโรมัน มาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับความกล้าหาญ ความรัก ศักดิ์ศรีและการผจญภัย ศิลปะแบบโรแมนติซิซึมไม่ได้เป็นรูปแบบทางศิลปะเท่านั้น หากแต่เป้นแนวร่วมที่มีขอบเขตค่อนข้างกว้างขวาง จึงทำให้มีเค้าโครงในการสร้างเรื่องราวมากกว่านีโอ-คลาสสิค ศิลปะแบบโรแมนติซิซึม ถือได้ว่ากำเนินในศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของนักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ช็อง ชาค รูโซ (Jean Jacques Rousseau) ถือว่าโรแมนติซิซึม มีค่านิยมตรงข้ามกับนีโอ-คลาสสิค ตรงความมีระเบียบและความชัดเจน โรแมนติซิซึมมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องความอ่อนไหว การใช้อารมณ์ในการแสดงออก และแทนที่จะสร้าง วีรกรรมในรูปของความคิดนามธรรมตามลักษณะนีโอ-คลาสสิค ศิลปะแบบโรแมนติซิซึม มักจะหาเรื่องราวจากเหตุการณ์ปัจจุบัน และยังพัฒนาความสนใจไปที่จิต โดยเชื่อว่าจิตเป็นแหล่งของความลี้ลับที่อธิบายไม่ได้และบางทีก็ใช้ปรากฏการณ์ที่เป็นอันตราย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ที่ศิลปะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต จิตรกรที่มีความสำคัญในยุคศิลปะแบบโรแมนติซิซึม เช่น วิลเลียม เบลก (William Blake 1757-1827), ธีโอดอร์ เชริโก (Theodore Gericault 1791-1824), เออแชน เดอลาครัว (Eugene Delacroix 1798-1863), ฟรานซิสโก เดอ โกยา (Francisco de Goya 1746-1828)
ในศตวรรษที่ 19 สิ่งที่ขนานไปกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งทางเศรษฐกิจและทางสังคมของโลกศิลปะเอง คือการที่งานหัตถกรรมถูกผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเข้ามาทดแทน งานฝีมือเชิงช่างไม่มีความจำเป็นต่อเศรษฐกิจของศิลปินอีกต่อไป แต่มีกลุ่มบุคคลกลุ่มใหม่ๆเข้ามาเกี่ยวข้องกับศิลปิน เช่น นักวิจารณ์ ซึ่งมีผลต่อเศรษฐกิจของศิลปิน คำวิจารณ์งานศิลปะจะส่งผลต่อผู้ซื้อ งานของผู้อุปถัมภ์ส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ (Dealer) พิพิธภัณฑ์ และนักสะสม ซึ่งสถาบันทางศิลปะเช่น หอศิลป์ ก็กำเนิดในยุคศตวรรษที่ 19 นี้เช่นเดียวกัน ทางด้านทัศนศิลป์ รูปแบบทางศิลปะที่สะท้อนภาพสังคมได้ดีที่สุดคือ เรียลลิซึม (Realism) หรือสัจนิยม คำนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1840 แม้ว่าในความเป็นจริงรูปแบบศิลปะสัจนิยมจะปรากฏขึ้นอย่างแพร่หลายมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม การสังเกตสังคม ธรรมชาติและการเมืองอย่างตรงไปตรงมา เป็นเนื้อหาหลักที่ที่ถูกใช้ในงานจิตรกรรมประเภทนี้ จิตรกรในรูปแบบสัจนิยมที่มีชื่อเสียงเช่น ช็อง ฟร็องซัว มีเล (Jean Francois Millet 1814-1875), กุสตาฟ กูร์เบ (Gustave Courbet 1819-1877), โอโนเร โดมิเย (Honore Daumier 1808-1879),เอดัวร์ มาเน (Eduard Manet 1832-1883)
(อ้างอิงมาจาก //www.Angkrit.blogspot.com &www.google.com)
Create Date : 04 กันยายน 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 4 กันยายน 2551 14:55:38 น. |
Counter : 6201 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ปุราณ (ปุราณ ) 4 กันยายน 2551 18:35:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: p_tham 26 กันยายน 2551 9:53:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|