จากว่าที่ผู้ต้องขังสู่บัลลังก์ผู้พิพากษา
ใจจริงก็ไม่ค่อยอยากเล่าเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่แฟนบอกว่า มันจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆ คน
ได้ต่อสู้กับกระบวนการอยุติธรรมต่างๆ สิ่งสำคัญก็คือ ตัวคุณเองต้องเป็นคนที่ดีมากพอด้วย
ดีมากพอ ในที่นี้หมายถึง บุคคลที่ไม่มีพฤติกรรมประพฤติผิดข้อกฏหมายและศีลธรรมอันดี
ของสังคมแม้แต่ข้อใดข้อหนึ่งเลย ถ้าคุณทำได้ ความยุติธรรมมันจะวกกลับมาหาคุณเสมอ

เรื่องนี้เป็นชีวิตจริงของน้าของเราเอง ไม่ใช่เรื่องแต่ง มันคือชีวิตของคนตัวเป็นๆ
หมายเลขคดีความก็ยังคงมีอยู่บนโลกออนไลน์ในปัจจุบันอยู่ ซึ่งไม่ขอบอก
เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่เราก็ขอเล่าในเฉพาะมุมมองที่เราเห็นก็ละกัน

แรกเริ่มเดิมที แม่เราก็ไม่น่าจะไปเป็นพี่สาวได้เลย แต่เพราะคนยุคสมัยเก่าก่อน
มักจะถือเคล็ดขอลูกของพี่ของน้องมาเลี้ยง เพื่อที่ตัวเองจะได้มีลูกตามมาเร็ววัน
แม่เลยถูกยาย 1 ส่งไปอยู่กับยาย 2(น้องสาวของยาย) ก็เพราะการถือเคล็ดนี้
จากลูกคนที่ 5 มุ่งสู่พี่สาวคนโตของบ้าน ถูกดับฝันอนาคตตัวเองทุกทาง
จนได้ทำงานเป็นข้าราชการในยุคนั้น (จริงๆ ถูกส่งไปตั้งแต่ลูกคนแรกลามมา
จนกระทั่งถึงแม่เรานี่แหละ คนอืนหนีกลับเพราะทนความดุของตาไม่ไหว
ยกเว้นแม่)

แม่เราเติบโตมา 2 ด้าน ด้านนึงเป็นลูกคนกลางๆ ช่วงชีวิตวัยเด็กแม่ไม่เคยเล่า
แต่เวลาที่แม่เล่า แม่จะเล่าช่วงชีวิตหลังจากที่ไปอยู่กับยาย 2 เป็นต้นไป
จากคนที่จะมีชีวิตเป็นชาวนาธรรมดาๆ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นแต่ก็แลกกับการที่ต้อง
ไม่มีสิทธิในการเลือกใช้ชีวิตเลย ต้องเข้าใจปริบทของสังคมยุคนั้นด้วยเช่นกัน
พ่อแม่ใหญ่ที่สุดในบ้าน เขาสั่งอะไรก็ต้องทำตาม นั่นคือสภาพสังคมยุคนั้น

ในระหว่างที่แม่ใช้ชีวิตในด้านของการเป็นพี่สาวคนโต ทำทุกอย่างสารพัด
จับปลา หุงหาอาหาร ดูแลงานบ้านงานเรือน ทำงานบ้านทุกอย่าง โดยมียาย 2
คอยสอน เมื่อแม่ไปอยู่ไม่กี่ปี ยาย 2 ก็ตั้งท้องลูกคนแรก คนนั้นก็คือ น้าคนที่จะเล่านี่แหละ
ส่วนลูกคนที่ 2 เกิดมาไม่นานยาย 2 ก็เสียชีวิตทันที ยาย 1 เลยรับทุกคนกลับไปเลี้ยง
และจดทะเบียนสมรสกับตา (สามีของยาย 2) เป็นคนสุดท้าย เพราะสามีลำดับอื่นๆ
ตายไปหมดแล้ว ด้วยสภาพสังคมยุคนั้นที่ผู้ชายทำงานตัวเป็นเกลียว ผู้หญิงดูแลงานบ้าน
ก็เลยทำให้ต้องมีการพึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่เสมอ และมักจะกลัวการที่ลูกขาดแม่
หรือขาดพ่อก็เลยมีการแต่งงานเพื่อให้คนนึงส่งเสีย อีกคนนึงทำงานบ้านแทน

แม่เป็นลูกของยาย 1 คนเดียวที่มีโอกาสได้ร่ำเรียนจนจบสูงที่สุดในบรรดาลูกทุกคน
เพราะตาที่รับราชการคอยส่งเสียให้จนจบ หลังจากเรียนจบแล้ว แม่ก็รับอาสาส่งเสีย
น้องอีก 2 คนต่อ ส่วนลูกคนอื่นๆ ของยาย 1 เป็นหน้าที่ของยาย 1 ในการส่งเสียเอง
แม่เข้ารับราชการเมื่อก่อนจำได้ว่าเงินเดือนน้อยมากๆ ไม่ถึงพัน แต่ยุคนั้นคือเยอะมาก
น้าคนแรกเรียนสาขานึง จบแล้วเข้ารับราชการต่อทันที ส่วนน้าอีกคนเรียนวิศวะ
ม.เอกชนแห่งนึง(ในปัจจุบัน อดีตไม่ใช่ ม.) น้าทั้ง 2 คนนี้เป็นคนที่ไม่สามารถคุยกันได้เลย

น้าคนแรกมีนิสัยเป็นคนตรงฉิน ผิดนิดเดียวก็คือผิด ทุกอย่างในชีวิตก็ตามเนื้อผ้า
และอะไรที่ไม่ผิดเลย ก็จะไม่ยอมคน ไม่ยอมใครหน้าไหนทั้งนั้น เหมือนตาทุกอย่าง
ส่วนน้าคนที่สองก็ตรงข้ามเกือบทุกอย่าง ทั้งหลักคิดในชีวิตและการกระทำต่างๆ

ด้วยความที่เป็นคนตรงฉิน นอกจากงานหลักแล้ว งานรองสมัยนั้นน้าเราก็ได้ทำงาน
ที่ต้องดูแลการเงิน เป็นคนที่ต้องเซ็นอนุมัติเงินภายในหน่วยงานราชการนั้นๆ
เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร เป็นกันทุกยุคทุกสมัย เรื่องนี้เกิดขึ้นน่าจะตอนที่
น้าของเราอายุน่าจะซัก 30 กว่าๆ ปีได้ มีการโกงเงินหลวงสารพัดโดยที่น้าไม่รู้เรื่อง
จนกระทั่งถูกทางการจับได้ และน้าเราอยู่ดีๆ ก็ถูกฟ้องว่าทุจริตเงินราชการ แถมยังถูก
ตัดสินในศาลชั้นต้นว่าผิด และไล่ออกจากราชการอีกด้วย

คนตรงฉินและไม่ยอมคนแบบน้าเรา ก็ไม่ยอมสิ ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าเป็นข่าวใหญ่ไหม
ในระดับภาค แต่เหมือนเคยเห็นน้าออกทีวียุคนั้นอยู่ เป็นเรื่องใหญ่มาก โกงกันเป็นล้าน
ยุคนั้นคือ ไม่ใช่น้อยๆ เลย น้าจะถูกริบทรัพย์สิน(ทั้งที่ก็ไม่ได้มีอะไรที่สร้างมาเองเลย
ทั้งหมดเป็นมรดกจากตา) จะต้องติดคุก คือ ประกันตัวเองออกมาสู้คดียาวนานมากๆ

ในระหว่างที่ต้องสู้คดีน้าเราก็พยายามหาหลักฐาน เพราะในหลักฐานในชั้นศาลคือ
มีการสอบสวนในองค์กร และน้าเป็นคนเซ็นรับสารภาพว่าเป็นผู้กระทำผิดเพียงคนเดียว
ความเป็นจริงกระบวนการพิจารณานั้นไม่เกิดขึ้น เป็นการเกิดขึ้นแค่การประชุมกัน
ของคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตที่รวมหัวกันโกงนั่นแหละ และโยนความผิดให้น้าเรารับ
น้าขึ้นศาลแบบงงๆ และถูกตัดสินว่าผิดแบบงงๆ ไปอีก

คิดว่าสิ่งที่คนๆ นึงต้องเจอแบบนี้มันยุติธรรมไหม? ไม่แน่นอน ไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่ก็ดันมีความผิด นอกจากโดนยัดข้อหาเอาดื้อๆ แล้ว ทนายความตัวแสบก็รับเงินด้วย
น้าเปลี่ยนทนายเป็นหลายคน ทุกคนถูกซื้อด้วยข้าราชการระดับสูงในจังหวัดนั่นแหละ
ทนายคนแรกก็ทำแสบเอาไว้ คือ ทำให้น้าแพ้คดีในศาลชั้นต้น และถูกตัดสินโทษ
ด้วยความที่เป็นคนไม่รู้กฎหมายแต่ก็ไม่เคยทำผิดข้อใดมาก่อน ก็เลยทำให้เป็นจุดแข็ง
ที่ทำให้น้าเรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองมาก

ทนายบอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เชื่อผม ผมเรียนมา แต่ถามว่าน้าทำตามที่บอกไหม?
ไม่ ไม่เลย แนะนำอะไรก็ไม่ทำ ก็ผมไม่ผิด ทำไมผมต้องเซ็นรับ ทำไมผมต้องยอม
ตอนที่ถูกล่อให้เซ็นอะไรก็ตาม น้าก็จะยิงคำถามใส่ทนายตลอด ว่า ทำเพื่ออะไร
เซ็นเพื่ออะไร ต้องบอกว่า น้าเรารอบคอบนะ ไม่ได้ฟังทนายทุกอย่าง อ่านเอกสาร
ทั้งหมดที่เอามาให้เซ็นทุกตัวอักษรด้วยเช่นกัน เอกสารแปลกปลอมที่สอดแทรกมา
ถูกน้าดึงออกไป เซ็นเฉพาะเรื่องที่ควรเซ็น อะไรไม่เกี่ยวข้องก็เอาออกไป

แล้วน้าเอาเงินจากไหนมาสู้คดี? 'ทำไร่ไถนา' บอกตรงๆ เลย จากอดีตข้าราชการ
มุ่งสู่เกษตรกร กว่าจะมีรายได้เพียงพอในแต่ละเดือนก็ว่ายากมากแล้วอ่ะ
ส่วนเรา ตอนเด็กๆ เข้าใจผิดว่า น้าทำเกษตร น้าเป็นเกษตรกรด้วยซ้ำไป
มีแต่คำถาม ทำไมน้าขึ้นศาล แล้วเกษตรกรไปขึ้นศาลทำไม งงไปหมดเลย
แล้วรูปที่บ้านน้า ก็เป็นรูปถ่ายตอนที่เรียนจบ อ้าว ก็น้าจบสายนี้ทำไมมาเป็นเกษตรกร
ด้วยความเด็ก แต่ไม่กล้าถามอะไรมาก ก็ได้แต่งงๆ ไปนั่นแหละ

ด้วยความไม่รู้กฎหมาย และทนายทุกคนถูกซื้อได้ง่ายๆ ด้วยเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
น้าตัดสินใจไปเรียนกฎหมายเองซะเลย รูปรับปริญญาที่บ้านน้า เลยมีอยู่ 2 รูปติดผนัง
รับปริญญาต่างสาขากัน ตอนเห็นครั้งแรกก็ยังงงๆ มาเข้าใจเรื่องราวต่างๆ
ก็ตอนที่น้าสะใภ้เล่าให้ฟังทุกเรื่อง ครอบครัวเรากับน้าค่อนข้างสนิทกันมาก
ฝากกันเลี้ยงลูกบ่อยมาก เพราะน้าเป็นหมันมีลูกไม่ได้ น้าสะใภ้มีภาวะ PCOS
ซึ่่งในยุคสมัยก่อน การแพทย์ยังไม่พัฒนา ก็เลยไม่รู้กันว่ามีโรคพวกนี้อยู่ด้วย
เลยทำให้มีบุตรยากเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อสองสามปีก่อน PCOS แสดงผลน้าสะใภ้
เป็นมะเร็งในระบบสืบพันธุ์ต้องตัดทิ้งทั้งหมด (ถ้าเราไม่รักษา PCOS เราจะเป็นมะเร็ง
เหมือนน้าสะใภ้นี่แหละ)

ปกติจันทร์-ศุกร์ เราจะอยู่ที่บ้าน ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็จะถูกส่งไปอยู่บ้านสวนของน้า
เป็นบางครั้ง เวลาที่อยู่บ้านตัวเองจะไม่ได้ดูทีวีเลย แต่เวลาที่ไปอยู่บ้านสวนของน้า
จะได้นอนดูทีวีดึกๆ ได้เล่นอะไรตลกๆ ในบ้าน บ้านน้าเลยเป็นที่ๆ เราอยากไปเสมอ
เพราะไปแล้วได้เล่น ได้เก็บมะปรางกิน เก็บละมุด เก็บกระท้อน มีทุกอย่างกินสดๆ
เรากับพี่ๆ จะถูกอบรมด้วย 2 ครอบครัว คือ ครอบครัวของเราและครอบครัวของน้า
เรื่องไหนไม่ถูกไม่ควรจะถูกอบรมด้วยครอบครัวน้า เรื่องการใช้ชีวิตต่างๆ พ่อแม่
ก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเราเสมอมา เวลาน้าไม่มีเงินกินข้าว ก็จะแวะมากินข้าว
กับบ้านเราเสมอด้วย

เวลาพ่อแม่ไม่ว่าง พวกเราก็จะถูกส่งไปให้อยู่กับน้า บางทีเวลาน้ามีธุระต่างจังหวัด
ก็มักจะหิ้วเอาเรากับพี่ๆ ติดสอยห้อยตามไปด้วย บางทีด้วยความเด็กเราก็ได้แต่เล่น
ส่วนเวลาน้าไปก็จะไปหาทนาย ไปหาเพื่อนสนิทที่ช่วยหาทนายคนใหม่ให้น้า
กว่าน้าจะได้ทนายที่ไว้ใจได้ น้าก็ลองภูมิทนายจากที่ร่ำเรียนกฎหมายมา จนได้
ทนายคนที่ถูกใจ หลังจากนั้นน้ากับทนายก็ช่วยกันหาช่องทางเพื่อสู้คดีในศาลอุทธรณ์
ระหว่างนั้นก็กลับเข้าองค์กรไปเพื่อเจรจาขอเอกสารสอบสวนพิจารณาความผิดไปด้วย
แต่ปรากฎว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือเลย (แน่สิ ก็มันรวมหัวกันหมดยกเว้นน้าคนเดียว)
จนสุดท้ายน้าก็ชนะด้วย 'การไม่มีอยู่ซึ่งหลักฐาน ก็คือ หลักฐาน'

ใช่... น้ารอดคุกและรอดจากการถูกยัดข้อหาจากคนระดับสูงขององค์กรในจังหวัด
ด้วย 'การไม่มีอยู่ซึ่งหลักฐาน' และการมีฐานะผิดปกติจากคนทั่วไปที่คดโกงเงินราชการ
มีที่ไหน คนโกงเงินราชการอะไรต้องไปทำนา ทำสวน ทำไร่เพื่อหาเงินมาสู้คดี
ศาลพิจารณาตัดสินให้น้าเราพ้นผิดทุกประการ

คิดว่าหลังจากนั้น... น้าเราจะอยู่เฉยๆ ไหม? บอกเลยว่า ไม่! น้าไล่ฟ้องคืนตั้งแต่หัว
ยันหาง รวมไปถึงทนายตัวแสบทุกคนด้วย แล้วคิดว่าจะเหลือไหม บอกเลยว่าไม่เหลือ
แค่เฉพาะคนที่รวมหัวกันไม่นับทนายรวมๆ น่าจะ 10 กว่าคนได้ จากบ้านช่องหลังใหญ่โต
ถูกริบทรัพย์สินตกเป็นของหลวง ถูกฟ้องดำเนินคดีติดคุกกันถ้วนหน้า หลายคนออกคุกมา
โดนชาวบ้านในหมู่บ้านที่เขาอยู่อาศัยปาไข่เน่า ปาสิ่งของใส่ตลอด แถมโดนด่ากราดว่า
ไอ้ขี้โกง ไอ้ชั่ว ลูกเมียของทุกคนก็โดนแบบเดียวกันจนต้องหนีไป สภาพทุกคนหลังติดคุก
ไม่มีใครได้ดิบได้ดี เงินทองที่เคยมีใช้ถูกยึด ชีวิตเหมือนหมาข้างถนน ได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ
สมัครงานด้วยอายุปูนนั้นและมีข้อหาโกงเงินราชการติดหราในประวัติก็ไม่มีใครรับเข้างาน

คุณคิดว่าน้าเราสู้คดีกี่ปี? รวมระยะเวลาทำไร่ ไถนา เพื่อหาเงิน รวมทั้งหมดประมาณ 15 ปี
อยู่แบบคนไม่มีอะไรจะเสียมา 15 ปี สู้คดีที่รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสชนะแทบจะไม่มี แต่ก็ยังสู้
เพราะเชื่อมั่นในความเป็นผู้บริสุทธิ์ของตัวเองจริงๆ และมีพฤติกรรมส่วนตัวที่สนับสนุน
ให้เป็นเช่นนั้นด้วย

และจากที่ชนะแล้วฟ้องคืนก็แล้ว น้าก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เสียดายความรู้กฎหมายที่เรียนมา
น้าเราก็เลยตัดสินใจที่จะสอบบรรจุเป็นผู้พิพากษา ช่วงชีวิตที่เราเห็นน้าเราทำประจำ
ก็คือ การนั่งฟังเทปพิจารณาคดีเก่าๆ เป็นตั้งๆ นั่งอ่านการพิจารณาคดีหลายเล่ม
ถามว่ามากขนาดไหน? ก็ถ้านับแค่ปริมาณแบบเต็มพื้นที่ก็เท่าห้องเช่ากว้างๆ ห้องนึง
หนังสือและสำเนาสำนวนคดีเก่าๆ เป็นพันๆ หมื่นๆ เล่มอยู่ในนั้น หลังจากกลับจากทำสวน
ตกเย็นน้าก็จะมานั่งฟังพิจารณาคดีแบบนี้ทุกๆ วัน กว่าน้าเราจะสอบบรรจุผ่าน
ใช้ระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี

หลังจากบรรจุแล้วเข้าทำงาน ก็ได้ย้ายจังหวัดทุก 2 ปี ถ้าเราจำไม่ผิด การเป็นผู้พิพากษา
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กฎระเบียบเยอะมากๆ แถมไม่สามารถพบปะสังสรรค์ที่ไหนได้เลย
เวลามีเพื่อน มีใครมาหาก็ต้องมาหาที่บ้านพักเสมอ และบ้านพักของผู้พิพากษา
ต้องอยู่ใกล้ศาล ในระยะไม่เกินกี่กิโลเมตรนี่จำไม่ได้ แต่ที่เคยไปที่ภาคอีสานคือ
ขับรถเลี้ยวออกนอกซอยก็ถึงศาลเลย ไม่สามารถไปหาซื้อบ้านหรือเลือกบ้านที่จะอยู่ได้
ตอนน้าได้บรรจุครั้งแรก บ้านพักคือ สภาพทุเรศทุรังมาก บ้านเป็นแค่บ้านจริงๆ
มีแค่ตัวบ้าน ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง ห้องนอน เฟอร์นิเจอร์ ไม่มีอะไรในนั้นเลย
น้าเราต้องกางมุ้ง เอาฟูกพับไปกางนอนเอาเอง ตู้เย็นต้องหาซื้อแบบเก่าๆ มาใช้
แต่บ้านพักผู้พิพากษาแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ตอนที่น้าไป เขายังสร้างไม่เสร็จดี
แต่ก็ต้องรีบเข้าอยู่ เพราะติดที่กฎระเบียบที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

ไม่อยู่ในบ้านพักที่จัดให้ก็จะถูกให้ออก ถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ คนมีหน้าที่ต้องรักษา
ความยุติธรรม การมีสังคมข้างนอกถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่อย่างนึง เท่าที่เราเข้าใจ
น้าเราก็เลยได้แต่อยู่ที่บ้านพัก นอกจากอยู่บ้านพักก็ไปตลาดหาของกิน ไม่ก็เข้าวัด
ทุกวันนี้นอกจากฟังพิจารณาคดีเก่าๆ น้าเราก็ฟังเทศน์หลวงพ่อจรัญและปฏิบัติตาม
แนวทางนั้น น้าตั้งใจว่าถ้าเกษียณอายุราชการแล้วก็จะไปบวชแบบไม่สึกกับน้าสะใภ้

ระหว่างที่ทำงาน บ้านเราก็มีโอกาสแวะไปเยี่ยมบ้างประปราย บ้านพักบางครั้งก็ดี
บางครั้งก็เลวร้ายมาก แต่เลือกไม่ได้ เขาให้อยู่ยังไงก็ต้องอยู่อย่างนั้น ไม่มีสิทธิเลือก
จะได้บ้านดีๆ ก็ต้องมีครอบครัว มีลูก แต่ถ้าไม่มีลูกก็ต้องอยู่แบบที่เขาเลือกให้อยู่
สภาพบ้านแต่ละหลังที่น้าได้อยู่คือไม่น่าจะเรียกว่าบ้านได้เลย

มีครั้งนึงที่น้าจะต้องย้ายจังหวัด ทำขนาดไปบนกันเลยทีเดียว เพราะน้าไม่เลือกที่ลง
น้าเราก็เลยเกือบจะไปโดนเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ได้เงินเพิ่มเยอะจริง
แต่อายุก็สั้นลงตามไปด้วย ไม่คุ้มไปมากๆ (แต่จริงๆ คนใต้ส่วนนึงจริงใจมากนะ
เราก็ยังมีพี่ๆ ที่สนิทกันเป็นสามีภรรยาคนใต้ทั้งคู่ นิสัยน่ารักมากๆ ทั้งคู่เลยด้วย)
สุดท้ายได้จังหวัดอื่นที่ไม่ใช่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็รอดพ้นไป 555555555555

ทุกวันนี้น้าเราเลือกศาลที่ตัดสินคดีเยาวชน เพราะรู้สึกว่า เด็กบางคนสามารถ
กลับตัวได้ในวัยแค่นี้ และหลายคนน้าเราก็พาไปศึกษาธรรมกับพระวัดป่าที่นับถือ
มีเด็กมากมายหลายคนที่กลับตัวกลับใจ เป็นคนดีกลับสู่สังคม บางคนพ่อแม่เด็ก
มาไหว้ขอบคุณถึงศาล เพราะลูกจากเกเรกลายเป็นรักดีไปเลยก็มี ความยุติธรรม
มันมีให้เสมอ สำหรับคนที่ไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
เด็กก็คือผู้ใหญ่คนนึง ที่ประสบการณ์ในชีวิตเขายังน้อย ยังไม่เจออะไรเท่าผู้ใหญ่
เขายังสามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นได้

ส่วนแก๊งต้วต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตน้าเรามาไกลขนาดนี้ น้าสะใภ้ก็เล่าใส่อารมณ์มาก
"ผ่อมันเล๊าะ โทรมา ก่อโทรมาว่า ขอเข้ามาหา ขอมากราบตี๋นท่าน... ละตอน
หมู่สูย๊ะอะหยัง ย๊ะหยังสูตึ๊งบ่ากึ๊ด บ่า5วอกหมู่นี้ ทู๊ววววววววว ลำคานนนนนนนน
จังไบ๊จังง่าว" (แปล 'ดูมันดิ๊ โทรมาก็โทรมาบอกว่า ขอเข้ามาหา ขอมากราบตีนท่าน...
แล้วตอนที่พวกคุณ(มึง)ทำอะไร ทำไมไม่คิดก่อน ไอ้!#$!@%พวกนี้ พุทธโธ่~
น่ารำคาญ เกลียดมากเว่อร์'
)

เวลามีคนมาด่าศาล เอาจริงๆ ฟังแล้วเราก็ไม่ชอบ ไม่พอใจมากๆ อ่ะ เคยรู้อะไรบ้างไหม?
คุณมีชีวิตสุขสบายกว่าเขา คุณไม่ต้องอยู่แบบไม่มีสังคมภายนอกใดๆ เลยแบบเขา
คุณมีอิสระในชีวิต แค่คุณต้องทำตามกฎหมายที่ตราไว้ทุกข้อให้ได้ตรงตามนั้นแค่นั้น
ถ้าไม่ทำผิด ก็ไม่ติดคุก ไม่ต้องโทษใดๆ แล้ว กฎหมายมันถูกตรามาไว้เพื่อใช้บังคับ
คนในสังคมไม่ให้ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในสังคม
เลิกอ้างกฎหมายต่างชาติ เพราะทุกชาติเขาตรากฎหมายเพื่อบังคับใช้กับแค่คนของ
ประเทศตัวเอง ตราขึ้นมาจากพฤติกรรมของคนในชาติ ให้เหมาะสมกับคนในชาติ
เหมาะสมกับสภาพสังคมของตัวเอง เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในสังคมส่วนรวม
การรักษาสิทธิส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิของสังคมโดยรวมเช่นกัน
ต้องจำไว้ในใจเสมอว่า สังคม มาก่อน ตัวเรา เสมอ

-----------------------------------------------------------------------------------------------
ขอนอกเรื่องเผื่อจะมีคนมาดราม่า มาตราที่เป็นประเด็นอีก บอกตรงนี้ ต่างประเทศ
มีกฎหมายเพื่อคุ้มครองประมุขของประเทศตัวเองเสมอ และเคยใช้กันหลายประเทศ
โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ มีคนติดคุกจริง แม้กระทั่งเด็ก เพราะฉะนั้นประเด็น
ข้อกฎหมายใดๆ ก่อนจะด่าจะแสดงความคิดเห็นเอาตามความรู้สึกของตัวเองอ่ะ
หัดไปศึกษาข้อกฎหมายของประเทศที่ยกตัวอย่างมากันด้วย ไม่ใช่พูดกันเอาส่งๆ
เห็นคนอื่นแชร์ก็เอาตาม โดยเฉพาะสื่อโซเชี่ยลที่มีความจริงอยู่ไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้เราตามหาข้อเท็จจริงก่อนจะเชื่ออะไรเสมอ แล้วไม่ใช่จาก link ที่คนแชร์กัน
แต่ไปตามหาเอาจากแหล่งไปเลย เพราะ link บางทีมันก็ต่อไปยังเว็บปลอมอีกชั้น
โดนหลอกซ้ำซ้อนเอาง่ายๆ ได้นะยุคสมัยนี้



Create Date : 24 เมษายน 2564
Last Update : 24 เมษายน 2564 12:41:20 น.
Counter : 595 Pageviews.

9 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า

  
15 ปีที่ต่อสู้ในคดีความ
มันนานมากจริงๆนะครับ
เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งด้วยครับ

โควิดรอบนี้น่ากลัวจริงๆครับ
เศรษฐกิจพังแบบกู่ไม่กลับไปแล้ว
ตอนนี้ต้องรอวัคซีนอย่างเดียวเลย
ส่วนที่ประชาชนต้องอดทนและระวังตัว
ส่วนใหญ่ก็คงระวังตัวกันหมดแล้วล่ะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 เมษายน 2564 เวลา:18:31:46 น.
  
สวัสดียามเช้าครับน้องเหม่ง

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 เมษายน 2564 เวลา:7:12:17 น.
  
ความจริงที่ต้องยอมรับในช่วงเวลานี้
ก็คือ โควิดระบาดหนักมากจริงๆครับ
และถ้ายังคุมสถานการณ์ไม่ได้
มันก็คงยิ่งระบาดหนักกว่านี้อีก

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 เมษายน 2564 เวลา:13:08:03 น.
  
ปล่อยให้ติดแล้วตาย
ฟังดูโหดร้ายมากๆเลยนะครับ
พี่ก๋าไม่อยากเห็นภาพแบบนี้กับเพื่อนร่วมชาติเลยครับ
เห็นภาพข่าวจากอินเดียแล้วสลดใจมากๆ
เขาคือเพื่อนร่วมโลกของเราเช่นกัน

การหยุดรักษาคนป่วย
ถ้าเขาเป็นคนรักของเรา เป็นครอบครัวเรา
คงไม่มีใครใจแข็งยืนดูอยู่เฉยๆได้
คงต้องทำทุกอย่าง ทุกทาง
เพื่อช่วยเหลือกันไป


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 เมษายน 2564 เวลา:22:20:34 น.
  
สวัสดียามเช้าครับน้องเหม่ง

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 เมษายน 2564 เวลา:7:41:53 น.
  
พี่ก๋าอาจจะมองคนละมุมกับน้องเหม่งเลยล่ะครับ
ถ้ามองภาพรวม มองแบบผู้นำอังกฤษหรือหลายประเทศคิด
เค้าก็บอกว่ายอมปล่อยให้มีการระบาด
จะได้สร้างภูมิคุ้มกันรวมหมู่ไปเลย
ที่ตายก็ตายไป

แต่พี่ก๋ามองมุมเล็กๆนะ
ใจเขาใจเรา
ถ้าญาติเรา คนรักเราป่วย ติดโควิด
แล้วมีคนบอกว่าก็นี่ไงไม่ดูแลตัวเอง
จะตายก็ตายไป
มันน่าเศร้ามากครับ
ถ้าเป็นคนทีเ่รารู้จัก รัก หรือเคารพรัก
มันน่าสะเทือนใจมากๆ

ประชาชนส่วนใหญ่ก็พยายามแล้ว
ที่จะป้องกันตัวเอง
สุดท้ายการระบาดมันก็เกิดขึ้น

แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่
ก็พยายามกันสุดชีวิตแล้ว

ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจริงๆครับ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 เมษายน 2564 เวลา:15:56:13 น.
  
พี่ก๋าคงจะไม่ถนัดวิทยาศาสตร์แบบน้องเหม่งว่าไว้จริงๆนั่นแหละครับ 555

ขอบคุณนะครับที่พยายามอธิบาย
แม้จะเห็นต่าง มองกันคนละมุม
แต่พี่ก๋าก็ตั้งใจอ่านเม้นท์ของน้องเหม่งเสมอครับ
ถือเป็นการเปิดมุมมองและวิธีคิดของพี่ก๋าไปด้วย



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 เมษายน 2564 เวลา:23:46:08 น.
  
สวัสดียามเช้าครับ

บางเรื่องที่เป็นเรื่องของความคิด ความเชื่อ
คงทำให้คิดเหมือนกันหมดไม่ได้หรอกครับ
พี่ก๋ามีเพื่อน มีน้องที่คิดไม่เหมือนกัน
พี่ก๋าก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องคิดเหมือนพี่ก๋า
คุยกันได้ครับ คิดต่างไม่ต้องทะเลาะกันก็ได้
ดีเสียอีกได้เห็นแง่คิดที่แตกต่าง

ในเรื่องเดียวกัน
พี่ก๋าว่ามันมีมุมมองเป็นร้อยๆพันๆวิธีมองเลย
ที่เราคิดว่ามันถูก เพราะมองจากมุมของเรา จากความรู้ที่เรามี
มันมีหลายเรื่องแน่ๆในชีวิต ที่พี่ก๋าเองก็ไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง
หรือคิดว่ามันถูกทั้งๆที่รู้มาแบบผิดๆ

โควิด การเมือง ศาสนา การใช้ชีวิต ฯลฯ
ก็เป็นเช่นนั้น
พี่ก๋าไม่เชื่อว่ามันจะมีชุดข้อมูลเดียวที่จะถูกหรือผิดครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 เมษายน 2564 เวลา:7:33:24 น.
  
รักแท้
บางคนก็เชื่อว่ามี
บางคนก็ไม่เชื่อว่ามี

ชีวิตคู่มีปัญหาแน่ๆ
แต่ถ้ามีความเข้าใจ ยอมรับ
และช่วยกันแก้ปัญหา
ยังไงก็น่าจะอยู่กันไปได้เรื่อยๆ

น้าเน็กพี่ก๋าฟังอยู่สองรายการครับ
สนุกดี

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 เมษายน 2564 เวลา:15:19:18 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Princezz Matcha Latte
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มะมะมะเหม่ง เองงับ!!! ทุกวันนี้ไม่เดิน เพราะกลิ้งได้
^_^
เมษายน 2564

 
 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
28
29
30
 
 
All Blog