*~ สบายๆ style Latte จ้า ~*
|
|||||||||||||
วัคซีนโควิด-19 และเรื่องน่าเศร้าจาก PM 2.5 ช่วงนี้เราก็ให้ความสนใจกับเรื่องของวัคซีนมากเป็นพิเศษ เพราะตัวเราเองก็เลือกสนับสนุน โครงการ วัคซีนเพื่อคนไทย กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งตัวเราก็ฝากความหวังไว้ที่นั่น ทำไมถึงคิดแบบนั้น? ก็เพราะมันเป็นไวรัส RNA ที่สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย และไวมากๆ โดยส่วยตัวแล้ว เราไม่สามารถฝากความหวังไว้กับทุกวัคซีนจากต่างประเทศที่รัฐบาลจัดซื้อมาให้ ไวรัสที่ขึ้นชื่อว่ากลายพันธุ์ได้ง่าย และไวมาก โดยปกติแล้ววัคซีนจะใช้ได้ กับไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมชนิดหนึ่งๆ ที่มีความแน่นอนในส่วนหลักซึ่งเปลี่ยนแปลงยาก แต่ด้วยความไวของการกลายพันธุ์ของไวรัสนี้ เราก็เลยมองว่า มันอาจจะไวมาก จนกระทั่งส่วนหลักที่หลายๆ บริษัทเลือกมาทำเป็นวัคซีน มันจะใช้ไม่ได้ผลซักวันหนึ่ง แล้วมันก็ไวเกินกว่าที่คิดไปมาก เชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อังกฤษ และแอฟริกา ก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่วัคซีนบางเจ้าที่ใช้ไม่ได้ผล แม้แต่ชุดตรวจก็ตรวจไม่เจอเช่นกัน ในระยะยาวแล้ว ไวรัสตัวนี้ก็จะกลายพันธุ์และปรับตัวเพื่อที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อม ในประเทศหรือภูมิภาคของเราได้ในท้ายที่สุดเหมือนกับสายพันธุ์อังกฤษและแอฟริกา ถึงเวลานั้น เราคงไม่สามารถไปสั่งตัดเพื่อผลิตวัคซีนเฉพาะจากต่างประเทศได้ มันคงราคาสูงเกินไป และต่อให้สั่งซื้อ มันก็เป็นการสั่งซื้อกับเอกชนของต่างชาติ ทำไมเราต้องปล่อยให้เงินไหลออกนอกประเทศ แทนที่เราจะร่วมลงทุนไปกับ บริษัทเอกชนในประเทศ ที่มีศักยภาพมากพอ เพื่อให้ได้วัคซีนเพื่อคนในชาติ นอกจากได้วัคซีน ได้แหล่งผลิตวัคซีนในอนาคตแล้ว เงินภาษีจากการส่งออกวัคซีน หากเขาทำได้สำเร็จ ภาระหนี้สินของประเทศเราก็จะลดลงอย่างมหาศาลอีกด้วย เรามองแล้วว่าแบบนี้ ประเทศเรามีแต่ได้กับได้ รายได้ของประเทศไม่จำเป็นจะต้อง พึ่งพาแค่การท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เราสามารถผลิตและส่งออกวัคซีน หรือยาได้ในอนาคต และเราเคยมองแล้วว่าประเทศเราขาดเอกชนที่มีศักยภาพ ขาดเอกชนที่เป็นของคนไทยแท้ๆ ที่จะสร้างรายได้ให้ประเทศ พอเห็นโครงการนี้ปุ๊บ เราก็ไม่คิดอะไรมากเลย นี่แหละที่เราอยากจะให้ประเทศไทยมี คือ ความเป็นเจ้าของ ความเป็นเจ้าของแบบ 100% มันคือจุดบอดที่ทุกคนในชาติมองข้าม ทั้งที่สำคัญมาก ส่วนตัวเราอยากให้ลดการพึ่งพาต่างชาติให้มากกว่านี้ เพื่อที่วันนึงหากเกิดเหตุแบบนี้อีก เราจะได้ไม่ต้องสั่นคลอนไปพร้อมๆ กับการถอนทุน ถอนการลงทุนจากต่างชาติ โดยสิ้นเชิง มันก็หมือนการลงเงินไปเพื่อซื้ออนาคตให้คนในชาติไปในตัว ซื้อความมั่นคงด้านสุขภาพระยะยาวให้กับคนในชาติ ยังไงก็มีแต่ได้กับได้ และเงินที่เขาต้องการจากคนไทย มันก็แค่ 500 บาท แค่นั้นเอง 500 บาท กับการซื้ออนาคต สำหรับเรา มันคุ้มค่ามากๆ แล้ว ซึ่งหลายๆ คนมองสั้นๆ แค่ว่า มันเป็นการจ่ายเงินให้เอกชนเติบโต ระยะสั้นมันใช่ แต่ระยะยาว รายได้ของเขามันก็ลดภาระหนี้สินของประเทศ และเขาทำได้ดีกว่าเราคนเดียว แน่นอน 500 ซื้ออนาคตกับหลายๆ เรื่อง ยังไงก็คุ้ม เทคโนโลยีวัคซีนตัวไหนที่เราสนใจที่สุด สำหรับเรา เท่าที่พอจะไปศึกษาหาข้อมูลมาจากหลายๆ ประเทศ ที่ผู้เชี่ยวชาญ หลายๆ คนแชร์งานวิจัยที่ได้รับการยืนยันมาแล้ว เราให้ความสนใจกับเทคโนโลยี ด้านวัคซีนในส่วนของ mRNA เป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นแค่การแจ้งข่าวสาร ให้ร่างกายได้รับรู้ว่า มันมีไวรัสแบบนี้ๆ อยู่นะ แต่ถามว่า มีความเป็นไปได้ไหม ที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย ก็ต้องตอบอย่างชัดเจนว่า เป็นไปไม่ได้ 100% เหตุผลก็คือ อุณหภูมิ ในการจัดเก็บและขนส่ง วัคซีนชนิดนี้นี่เองถึงมันต้อง อยู่ในอุณหภูมิติดลบถึง -70 °C ไม่ใช่แค่รถขนส่งบ้านเราที่ไม่มีเลย แต่รวมถึง ตู้สำหรับจัดเก็บวัคซีนนี้ เราก็ไม่มี และการลงทุนขนาดนี้ ประเทศเราก็ยากจนเกินไป เรียกว่า เป็นการลงทุนครั้งเดียวที่ไม่คุ้มทุนและจะสร้างภาระหนี้มหาศาลให้คนในชาติ จากที่ศึกษาข้อมูลมาบ้าง เราก็พบว่า งานวิจัยของไทย ที่ใช้พืชผลิตวัคซีน มีลักษณะการทำงานคล้ายๆ กับตัว mRNA อย่างมาก ราคาถูกกว่ามากๆ แถมยังจัดเก็บง่าย มีความเป็นไปได้มากกว่า แถมปัจจุบันยังทำวัคซีนไว้ รองรับเชื้อที่กลายพันธุ์ไปแล้วด้วย ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในขั้นตอนทดลองในสัตว์ แต่ภายในปีนี้ยังไงก็สามารถใช้กับคนได้แล้ว เพราะด้านการเงินในการทดลอง มีเพียงพอแล้ว เพราะมีเอกชนรายใหญ่อีกหลายเจ้าร่วมเป็นพัทธมิตรกันแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ สำหรับเราก็ได้แค่รอลุ้นไปกับคนอื่นๆ ที่เฝ้ารอวัคซีนนี้ เหมือนกัน วัคซีนมาคู่กับภาวะแทรกซ้อน กลัวไหม? เอาจริงๆ มันก็น่ากลัวนะ แต่เปอร์เซ็นที่จะโดนภาวะแทรกซ้อนมันมีอยู่น้อยมาก คนที่ป่วยหนักหลังรับวัคซีน มีปริมาณนึง เป็นเรื่องปกติ คนที่เสียชีวิตหลังรับวัคซีน ก็น้อยลงไปอีก ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ใช่ว่าร่างกายทุกคนจะยอมรับวัคซีน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นหลังรับวัคซีน ในแต่ละช่วงอายุ ล้วนเป็นเรื่องปกติทั้งสิ้น แต่คนไทย หรือสำนักข่าวด้อยคุณภาพหลายๆ แห่ง ก็แชร์ข้อมูล ทำเป็นเรื่องน่ากลัว คนกลุ่มนี้ในต่างชาติ ปกติจะถูกนิยามให้อยู่ในกลุ่ม ต่อต้านวัคซีน หลักๆ ก็คือ ต่อต้านการฉีดวัคซีนทุกรูปแบบ และบูชาธรรมชาติคัดสรรโดยแท้จริง เจ็บ ป่วย และตายตามโรค โดยไม่สนใจว่าโลกข้างนอกจะป้องกันกันมากน้อยแค่ไหน เราก็เลยไม่ค่อยติดตามข่าวสารด้านวัคซีนจากภายในประเทศ เพราะสื่อด้อยค่า เลยไม่ให้ราคากับสื่อในประเทศมากนัก สำหรับเรา เราคงอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่ดีเท่าเพจที่เราติดตามอ่านข้อมูลด้านนี้ โดยมีคนไทยนำข้อมูลที่เชื่อถือได้ จากหลายๆ แหล่งที่เขาคัดกรองมาแล้ว ว่าถูกต้องและมีงานวิจัยและติดตามผลมาจนครบสมบูรณ์แล้ว ถึงนำมาเขียน ชื่อเพจว่า เยอรมันอินไซต์ สามารถกด link ไปเพื่ออ่านย้อนหลังเนื้อหาต่างๆ ที่แอดมินสรุปมาให้แล้วได้ทั้งหมด เพจนี้จะมีวิธีการอ่านที่ค่อนข้างละเอียดนิดนึง ที่ต้องกดอ่านในส่วนเนื้อหาเบื้องต้น ก่อนที่จะอ่านเนื้อหาอื่นๆ ภายใน จากการกดอ่านข้อความบรรยายใต้รูปภาพเพิ่มเติมอีก คือได้ข้อมูลเต็มๆ แน่นๆ มีความถูกต้องและชัดเจนพอๆ กับประเทศอื่น แต่ข้อมูลหลายๆ ส่วนอาจจะ ตรงข้ามกับบ้านเรา จะด้วยเหตุผลอะไรนั้น ไม่ขอพูดถึงก็ละกัน สำหรับวัคซีนที่ผลิตจากพืชนั้น มันเป็นการสานต่อจากงานวิจัยที่ใช้สำหรับ รักษาอีโบล่า มันผ่านการทดสอบและทดลองมาด้วยระยะเวลานานมากแล้ว ว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด แต่ไม่ถูกนำไปใช้ที่ไหน เพราะวัคซีนนั้นสำเร็จ แต่ไม่ทันโรคมันหายไปก่อน แต่เอาวิธีการมาปรับใช้กับการทดลองวัคซีน โควิด-19 ซึ่งถ้าสำเร็จจริง อาจจะเป็นวัคซีนที่ดูท่าทางว่าจะมีความปลอดภัย มากที่สุดตัวนึงเลย ผลไม่น่าจะต่างจาก mRNA ด้วย ต่างกันแค่เปลือกที่หุ้ม รหัสพันธุกรรมเท่านั้นเอง ส่วนนี้ก็ต้องมารอลุ้นต่อไป สำหรับเรา ------------------------------------------------------------------------------------------ PM 2.5 ช่วงที่ผ่านมา หลังจากแฟนกลับจาก กทม ก็ได้แวะมาคุยเรื่องงานเพิ่มเติม กับรุ่นน้องคนสนิท ภรรยาของน้องก็เล่าเรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นให้ฟัง ว่า ภรรยาของเด็กในที่ทำงานเสียชีวิต เนื่องจากรับฝุ่น PM 2.5 มากเกินไป อายุแค่ 27 ปีเองอ่ะ อายุน้อยมาก แต่เพราะไม่สวมหน้ากากอะไรเลย เลยรับฝุ่นเต็มๆ สะสมมานานต่อเนื่องหลายปี เป็นมะเร็งโดยที่ไม่ได้สูบบุหรี่ จนเป็นที่ถกเถียงกันในวงสนทนาถึงเรื่องหน้ากากอนามัย ควรใช้แบบไหนกันแน่ เพราะตอนนี้เราอยู่ในสภาวะโรคระบาดและมีฝุ่นพิษปกคลุมร่วมด้วย ภรรยารุ่นน้องแย้งหัวหน้าโรงงานเพื่อขอใช้หน้ากากอนามัยแบบมีวาล์ว เพราะป่วยอยู่ก่อนแล้ว และหายใจลำบาก ไม่สามารถใช้หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโควิด-19 ได้เลย (จริงๆ งานวิจัยในเว็บองค์การอนามัยโลก ก็มีมาซัพพอร์ตอยู่ว่ามันใช้ได้ผลเหมือนกัน ถ้าไม่อยากใช้วาล์วก็แค่อุดมัน ประสิทธิภาพก็ดีไม่ต่างกัน) และแบบมีวาล์วก็ดีกว่าแบบผ้าหลายเท่า เพราะมันปิดหน้าได้สนิทมากกว่าแบบผ้าด้วยซ้ำ ปัจจุบันเรากับแฟน ใส่หน้ากากขั้นต่ำก็ N95 มากกว่านั้นก็ N99 ป้องกันทั้งฝุ่นและโควิด คุยไปคุยมาก็แบบ เออนะ ไอ้เรานี่ก็เคยป่วยจากฝุ่น PM 2.5 มาก่อนด้วย ไอเป็นเลือดเลย แล้วพวกคนที่มันแชร์ๆ วิธีการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ด้วยการล้างสวนจมูก การดื่มน้ำผึ้งมะนาวจะช่วยโน่นช่วยนี่ เราพยายามเถียงแล้วนะ เพราะเราป่วยมาก่อน เราไม่อยากให้ใครป่วยตาม แต่คนที่ยึดติดกับความเชื่อแบบโบร่ำโบราณ ก็ยังเผยแพร่กันต่อไป แล้วผู้คนที่เชื่ออยู่ ก็รับกรรมกันไป การป้องกันที่ดีที่สุด ก็คือใส่หน้ากากกันฝุ่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับหน้ากากทางการแพทย์ อันนั้นป้องกันฝุ่นไม่ได้จริง และเปิดเครื่องฟอกอากาศตลอดเวลา ปิดบ้านให้มิดชิด เอาเทปมาแปะ ตามซอกตามรูหน้าต่างประตูของบ้าน (ถ้าเป็นบ้านแบบเก่า) แค่นี้ก็ปลอดภัย ขึ้นมากๆ แล้ว หน้ากากกันฝุ่นสามารถป้องกันโควิด-19 ได้อยู่แล้ว ด้วยประสิทธิภาพของมัน กันฝุ่นคืองานหลัก ของแถมก็คือป้องกันโควิด-19 ด้วย
PM 2.5 รุนแรงจริงๆครับ
หลานสาวพี่ก๋าไปเชียงรายเจอควันหนักๆวันเดียว เลือดกำเดาไหลเลย เชียงใหม่เจอปัญหานี้มา 10 กว่าปีแล้ว ทุกคนก็มีข้อมูลในมืออยู่บ้างว่าเกิดจากสาเหตุนั้น เกิดจากสาเหตุนี้ แต่พอพ้นปี ก็ควันมาตามนัดทุกปีครับ 555  โดย: กะว่าก๋า
  วันที่: 7 เมษายน 2564 เวลา:11:24:12 น. |
Princezz Matcha Latte
 ฝากข้อความหลังไมค์ Rss Feed  Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] มะมะมะเหม่ง เองงับ!!! ทุกวันนี้ไม่เดิน เพราะกลิ้งได้ ^_^ Group Blog All Blog
Link |
||||||||||||
| Pantip.com
| PantipMarket.com
| Pantown.com
| © 2004 BlogGang.com
allrights reserved.
|
|||||||||||||
พี่ก๋าไม่กล้าฉีดเลยครับ
อีกสองยี่ห้อที่น่าจะอนุญาตให้เอกชนนำเข้ามา
คือจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และไฟเซอร์
ดูน่าเชื่อถือว่าเยอะเลย
นอกจากโควิดที่ว่าน่ากลัว
ยังเจอ PM 2.5 ซ้ำเข้าไปอีกรอบ
ถ้าเชียงใหม่ฝนไม่ตก
ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา PM 2.5
อย่างรุนแรงเลยครับ