เมื่อโควิด-19 กลับมาในวงจรชีวิต...อีกครั้ง
จากรอบแรกที่เหมือนว่าทั้งเราและเพื่อนสนิท จะกลายเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำจาก
การเข้าไปรับบริการร้านค้าเพื่อซื้ออาหารสด ของสดต่างๆ ผลตรวจจนครบระยะเวลากักตัว
ของพนักงานร้านปรากฎว่า ผลเป็นลบ และแน่นอน เพื่อนเราและเราโคตรโล่งใจ
เพราะเพื่อนเราประวัติโชคโชนสุดๆ ออนทัวร์งานศพตั้งแต่ช่วงนั้นประมาณ 3-4 งานได้
ส่วนเราเป็นพวกสันโดษ อยู่บ้านทำการทดลองกับแฟนไปทุกวัน แต่ก่อนหน้านั้น
ก็ได้กลับบ้านไปทำธุระ คนเสี่ยงก็จะเป็นพ่อแม่ของเราเองด้วย

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นปกติ เมื่อเลยช่วงสงกรานต์ผ่านไปได้ไม่นาน
พี่สาวของแฟนก็ทักมาถามสารทุกข์สุขดิบของแฟนเรา พร้อมกับส่งกำลังใจ ห่วงใยแฟน
เพราะบ้านอยู่ในโซนที่มีการระบาดพอดี แต่แฟนก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงทางนี้
เพราะดูแลตัวเองดีมากพอ และสถานที่ๆ ไปซื้อของแต่ละที่ ไม่ใช่ที่ๆ คนปกติไปกัน
ซื้ออาหารก็เลือกไประยะเวลาที่ไม่ชนกับใครที่ไหน เพราะเวลาทำงานคนทั่วไป
เป็นเวลาที่แฟนว่าง และสาเหตุที่ทักหาแฟนจริงๆ ก็คือ สามีของพี่สาวแฟน
หรือพี่เขยของแฟน อยู่ในสถานะผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เพราะไปหาเพื่อนที่เขาติดเชื้อมาพอดี
กลายเป็นว่า พี่สาวที่เลี้ยงลูกน้อยอายุไม่กี่เดือนอยู่ ก็กังวลเรื่องสามีค่อนข้างมาก
แต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์และไปกักตัวอยู่ที่บ้านอีกหลังแล้ว ไม่ได้ใกล้กับลูกเมีย
กทม ศึกรอบด้านสำหรับคนใช้ชีวิตแล้วจริงๆ

แฟนเราและเราไม่ได้รู้สึกว่า เออ ทำไมจะต้องไปกังวล ติดก็แค่รักษาไปตามอาการ
ถ้ามั่นใจในการดูแลปกป้องตัวเองอย่างดีแล้วยังติด มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
เรื่องอะไรก็ตามที่นอกเหนือจากที่ตัวเราหรือแม้แต่แฟนที่ทำได้ เรียกง่ายๆ ว่า
เรื่องของคนอื่น ถึงแม้จะเป็นญาติพี่น้อง แต่นอกเหนือจากสิ่งที่ตัวเราทำได้
เรื่องอื่นๆ คือ เรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ ใครทำสิ่งใด ย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบแทน
นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลก ถ้าเจ็บป่วยสาหัสจนถึงเสียชีวิต มันก็เป็น
เรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะอยู่นอกเหนือสิ่งที่ตัวเราทำได้ มันเป็นธรรมดาของโลก
โรคระบาดในครั้งนี้ มาคอยเตือนใจให้คนทั้งโลกเรียนรู้ ถึงความไม่จีรังยั่งยืนของชีวิต
มาคอยสั่งสอนสัจธรรมของโลก เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย มาเตือนให้รู้ว่าอย่าใช้ชีวิตประมาท
เพราะถ้าพลาดแค่นิดเดียว ก็ต้องจากไปแบบไม่มีวันกลับ ใครยอมรับสิ่งนี้ไม่ได้
หากเกิดกับผู้คนรอบตัวมากๆ เข้า อาจจะจิตตกไป แต่หากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว
ก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่มีอะไรมากระทบจิตใจอีก mind set เรากับแฟน
ค่อนข้างตะวันตก ค่อนข้างสันโดษ เลยจะมีมุมมองชีวิตที่ต่างกับคน asian ทั่วไป

ส่วนทางเพื่อนสนิทของเราที่เหมือนจะรอดพ้นในรอบแรก หลังจากเหตุการณ์นั้น
เพื่อนก็ออนทัวร์งานศพต่ออีก 2 งาน เพราะเพื่อนรอบตัวกักตัวกันไปหมดแล้ว
ก็เลยต้องเป็นตัวแทนไปร่วมงานศพของพ่อแม่เพื่อนหรือญาติๆ แทนคนอื่น
และเมื่อวานนี้เองที่เพื่อนของเราทักมา เพราะเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อประมาณ 6 วันก่อน
เพื่อนเอาผลไม้มาส่งให้เรา และเราก็แบ่งแยมให้เพื่อนเอาไปลองชิมดู เจอกันหน้าบ้าน
บริเวณโล่งแจ้ง สวมหน้ากากทั้งคู่ นอกจากรับส่งของแล้วก็ ยืนห่างกัน 2-3 เมตร
แล้วถึงคุยกัน

เพื่อน: 'คิง พี่ในห้องทำงานฮาติดโควิดจากสามีว่ะ'
เรา: 'ละคิงไปตรวจยังวะ'
เพื่อน: 'วันนี้ลืมบัตรประชาชน วันพรุ่งนี้จะไปตรวจละคิง'
เรา: 'เออละเราเพิ่งเจอกันเองนะ'
เพื่อน: 'ใช่'
เรา: 'แล้วเขาไปติดได้ยังไงวะนั่น'
เพื่อน: 'สามีพี่เขาติดจากเพื่อนสนิท ที่เพิ่งจะกลับบ้านตอนสงกรานต์'
เรา: 'เออนะ ฮาว่าละ กลับบ้านกันทีไร หายนะคนรอบข้างทุกที'
เพื่อน: 'ฮาก็ว่างั้นนะ ละคิงมีอาการอะหยังก่อ'
เรา: 'เอาจริงๆ มีเกือบทุกอย่างอ่ะ ยกเว้นมีไข้'
เพื่อน: '...คิงอย่าพูดอย่างนั้น ใจคอไม่ดี...'
เรา: 'แต่ฮาอธิบายได้ทุกอย่าง 1. ฮาไอ-จามหนักมาก มา 3-4 วันละ
ล่าสุดเจ็บหน้าอก หายใจติดขัด'
เพื่อน: 'กำ'
เรา: 'ฮาก่อลืมไปว่า ค่าฝุ่นมันร้อยป๋ายแล้ว ลืมเปิดเครื่องกรองฝุ่น
แล้วแฟนฮาก่อเปิดประตูบ้านทิ้งไว้ รับลม รับฝุ่นเต็มๆ ทุกวัน ทั้งวันอ่ะ
พอเปิดเครื่องกรองฝุ่นปุ๊บ วันนี้เนี๊ยะ หายหมดละที่ไอ-จามกับเจ็บหน้าอกอ่ะ'
(ร่างกายเรามีปฏิกิริยากับฝุ่นไวมาก เพราะปกติอยู่ในห้องที่เปิดเครื่องกรองตลอดเวลา)
เพื่อน: 'อ่อ'
เรา: '2. ฮาขรี้แตก ที่คุยกับคิงเมื่อวานเนี๊ยะดุ๊'
เพื่อน: 'เออว่ะ'
เรา: 'คิงก็รู้สาเหตุ รูปฮาก็ส่งให้ดู 555555555555'

เพื่อน: 'เออออออออออ มะม่วงฝานแช่น้ำปลา แซ่บลืมมมมม'
เรา: 'นั่นเน๊าะ นี่เจอกันก็หลายวันละ ถ้าจะติดฮามีอาการไปนานแล้ว'
เพื่อน: 'ละคิงล้างยังไง ฮาล้างน้ำเปล่า'
เรา: 'ฮาระแวง ฮาล้างน้ำยาฟองๆ หมดทุกอย่างอ่ะ'
เพื่อน: 'ชิบหายละกู'
เรา: 'คิงก่อไปตรวจก่อน ผลยังไงก็ว่ากันอีกที ถ้าคิงติดฮาก็แค่เสี่ยงสูงตาม
ช่วงนี้ก็แค่กักตัววนไป'
เพื่อน: 'ฮาไปงานศพหลายงานด้วย'
เรา: 'มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้อ่ะ คนจะตายมันห้ามได้ที่ไหน แถมตัวแทนพวกเพื่อนคิง
ก็เสือกกักตัวกันหมดเพราะเสี่ยงสูง คิงแค่ไปแทนคนอื่น ไม่ได้อยากจะไปแต่แรก'
เพื่อน: 'ฮาก่อว่างั้น'

ส่วนตัวเรา ก็แค่กักตัวต่อไปจากรอบก่อนที่กักตัว ไม่ได้ออกไปที่ไหนนอกจากซื้อของ
กินของใช้ในชีวิตประจำวัน พ่นแอลกอฮอล์แทบจะตลอดเวลาทุกวัน จนเป็นปกติแล้ว
ถามว่า พ่นใส่อะไรบ้าง 1.โทรศัพท์ 2.กุญแจ 3.มือ 4.กระเป๋าเงิน 5.กระเป๋า
เวลาไปทานข้าวในร้านอาหาร พ่นแอลกอฮอล์เช็ดโต๊ะของร้านเองทั้งหมดทุกครั้ง
ใช้ลิฟท์ใช้อะไรก็พ่นแอลกอฮอล์ตามทันทีที่สัมผัส ใช้ห้องน้ำในห้างเมื่อไหร่
ก็จะพ่นน้ำยาที่ฝารองนั่ง ตัวล็อคประตู ตรงที่กดชักโครก และแท่นวางกระเป๋า
เวลากลับบ้าน จะเปิดประตูรถก็พ่นแอลกอฮอล์ใส่มือ กลับถึงบ้านเราก็ล้างมือก่อน
ล้างโฟมรวมไปถึงก๊อกน้ำเลย ใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่ช่วงที่ระบาดครั้งแรก
เราใช้ชีวิตแบบคนมีสติ พร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
เราก็เลยไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนอะไร ถ้าติดก็เฉยๆ เพราะป้องกันอย่างดีแล้ว
ถ้าเล็ดลอดมาได้ ก็ต้องยอมรับผลของมัน

ถามว่ามีคนรอบตัวติดไปบ้างรึยัง มีแล้ว รุ่นพี่ เขาเป็นโรคซ้ำซ้อนหลายอย่างด้วย
ทั้งอ้วน ทั้งซึมเศร้า มีอาการทางจิตอื่นๆ พอสมควร ต้องทานยาเป็นประจำทุกวัน
แต่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้อะไรมากมาย
พี่เขานิสัยค่อนข้างจะชอบต่อต้านทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ถ้าอาการสาหัสหรือเป็นอะไรไป
ก็เป็นเพราะผลจากการกระทำของเขาเอง ซึ่งตัวเราเองไม่สามารถไปทำอะไรได้
การดูแลปกป้องตัวเอง เป็นสิทธิและหน้าที่ส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ
ทุกคนมีหน้าที่ดูแลและปกป้องตัวเอง ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนอื่นที่ต้องมาคอยเตือน
คอยด่า ค่อยย้ำคิดย้ำทำ โตๆ กันแล้ว ต้องรู้จักรับผิดชอบกับผลการกระทำของตัวเอง
ต้องรู้จักยอมรับทุกผลกระทบที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติตนของตัวเองทุกอย่าง
เพราะหากจิตสำนึกส่วนบุคคลมันบกพร่องแล้ว มันก็จะส่งผลกระทบต่อไปยังสังคม
ชุมชน จังหวัด และประเทศชาติในที่สุด ถ้าอยากให้สังคมเป็นแบบประเทศเจริญแล้ว
เรื่องพวกนี้ถือเป็นเรื่องปกติของสังคมที่นั่น ซึ่งคิดว่า ด้วยสภาพความเป็นเอเชีย
ที่ชีวิตยึดติดแต่กับเรื่องความสัมพันธ์ ไม่น่าจะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้อยู่แล้ว

ภรรยารุ่นน้องคนสนิทของแฟนที่ไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ ก็กักตัวอยู่
เพราะเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เนื่องจากผู้จัดการโรงงานพาลูกที่เป็นเด็กวัยรุ่น
ไปทำงานด้วย เป็นช่วงที่ปิดเทอมอยู่ ไปนั่งคุยกับภรรยารุ่นน้องอยู่นาน
เด็กไปเที่ยวสถานบันเทิงมา และไม่ได้กักตัวอะไร ผู้จัดการเองก็ชะล่าใจ
เอาลูกติดสอยห้อยตามมาด้วย พอผลตรวจโควิดมาพบว่าติดเชื้อ ก็เลยพากัน
กักตัวกันทั้งโรงงานรวมทั้งผู้จัดการเองด้วย ภรรยารุ่นน้องมีโรคประจำตัวเยอะ
ถ้าติดเชื้อก็สาหัสแน่นอน 100% สำหรับคนนี้ เขาค่อนข้างสนิทกับแฟนเรา
โทรมาบ่นให้ฟัง ก็ได้แค่รับฟังแล้วบอกให้กักตัววนไปแค่นั้น เพราะช่วยอะไรไม่ได้
กำลังใจก็คงไม่จำเป็น เพราะทุกฝ่ายมี mind set ค่อนไปทางตะวันตกอยู่แล้ว
คงไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนบุคคล พูดคุยอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
อะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องยอมรับผลและอยู่กับมันให้ได้ เท่านั้นเอง

ส่วนที่ทางครอบครัวของพี่ชายก็โดนกันบ้างแล้ว เป็นฝั่งของพี่สะใภ้ที่มีคนกลับบ้าน
แล้วหอบเอาเชื้อกลับไปฝากคนทั้งครอบครัวด้วย แถมยังมีการกินเลี้ยงสังสรรค์
ในหมู่เครือญาติกัน จนกลายมาเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกันยกครัว กักตัวกันหมด
ทั้งครอบครัวใหญ่ ส่วนแม่ของพี่สะใภ้นั้นอยู่เลี้ยงหลานที่ชลบุรี ก็เลยรอดปลอดภัย
อยู่แค่คนเดียวในครอบครัวทางนั้น คนอื่นๆ ก็ยังต้องรอผลตรวจ รอบถัดๆ ไป
จนกว่าจะครบ 14 วัน

คนรอบตัวและตัวเองที่สันโดษขนาดนี้ได้รับผลกระทบบ้างแล้ว สังคมแคบๆ
ก็ยังได้รับผลกระทบ แต่ด้วยความที่เราเข้าใจลักษณะของไวรัส ลักษณะของโรค
อาการของโรคและผลกระทบจากการป่วย แม้แต่ช่วงระยะเวลาในแต่ละเฟส
ของการติดโรค ก็เข้าใจทุกกระบวนการอย่างดี ก็เลยยังมีสติที่จะใช้ชีวิตปกติ
ไม่ได้ไปตื่นตระหนกกับตัวเลขที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เราศึกษาลักษณะการระบาดด้วย
ก็เลยรู้ว่าอะไรจริง หรือ อะไรโกหก แค่เห็นตัวเลขก็มองทะลุทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
ก็ไม่ได้ไปใส่ใจอะไรกับมันมาก มีคนติด ย่อมมีคนตาย เคยเตือนทุกคนรอบข้างแล้ว
สิ่งที่สามารถทำได้ ได้ทำไปหมดแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือเสียดายอะไรแล้ว
ถ้าเลือกที่จะปฏิบัติตัวยังไง ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขา เป็นหน้าที่ของเขา
ที่จะเลือกปฏิบัติต่อตัวเอง หรือต่อครอบครัวคนรอบข้างของตัวเองด้วยตัวเอง
เราเป็นคนนอก ไม่มีสิทธิไปก้าวก่ายชีวิตของคนอื่น สิทธิส่วนบุคคลในด้านตะวันตก
จะเป็นแบบนี้ ไม่ได้เหมือนสังคมเอเชียหรือสังคมไทย ที่เรื่องของทุกคนรอบตัว
ก็จะรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองไปเสียทั้งหมด

อย่างน้อยๆ ในทุกการระบาดเราก็ไม่เคยตัดสินใจผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียวว่าควรทำอะไร
เตือนคนทั้งครอบครัวให้ระวัง และทุกคนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่การเสียสละความสุขส่วนตัวของแต่ละคน เพื่อลดการพบปะกันตามนัดหมาย
เราก็ต้องทำด้วยกันทุกคน เพื่อที่ครอบครัวของเราจะได้ไม่สร้างภาระให้สังคมภายนอก
และสังคมรอบๆ ตัว หรือแม้แต่บรรดาคุณหมอ คุณพยาบาลทั่วทั้งประเทศ
เราอาจจะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวนี้ก็เป็นได้ ครอบครัวที่อย่างน้อยๆ
ก็มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อสังคม และสำคัญที่พ่อแม่ถึงแม้จะหัวรั้นยังไง
เค้าก็ยังรู้จักเรียนรู้ ยอมรับความเป็นจริง รับฟัง และปรับตัวเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับสังคม
ในสภาวะที่มีโรคระบาดแบบนี้ได้ เราเห็นอกเห็นใจผู้คนรอบข้าง ใจเขาใจเรา
เราถึงเลือกที่จะดูแลตัวเองให้มากกว่าการพูดปลอบใจใครต่อใคร แล้วไม่ดูแลตัวเอง
ใช้ชีวิตแบบไม่แคร์สังคมรอบข้าง แบบที่เราเห็นใครต่อใครทำแบบที่ปากพูดอย่าง
พฤติกรรมแสดงออกเป็นอีกอย่าง เหมือนผ่านๆ มา

คิดว่าเดือนหน้าก็อาจจะไปตรวจดูผลเลือดกับ รพ.เอกชน เพราะทั้งแฟนและเราทั้งคู่
อาจจะเคยติดมาก่อนแล้วในรอบแรกที่ยังคงรับนักท่องเที่ยวชาวจีนอยู่
ซึ่งไม่มีทางเป็นไข้หวัดใหญ่แน่นอน เพราะฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ของปีนั้นป้องกันไปแล้ว
อาการของแฟนก็ไปตรงกับอาการของโควิด-19 หลายอย่าง แค่ไม่ใช่เคส PUI
จึงไม่สามารถไปเข้ารับการตรวจในช่วงเวลานั้นได้ แฟนนั่งเครื่องบินร่วมกับคนจีนทั้งลำ
แต่เดินทางแค่ภายในประเทศ ไม่ได้เดินทางเข้าออกไปต่างประเทศ เลยไม่เข้าเกณฑ์
ถ้าผู้คนรอบตัวหรือสิ่งที่สัมผัสมีเชื้อปะปนมา เรากับแฟนก็อาจจะไม่มีอาการเลยทั้งคู่
แต่อาจมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นได้ เพื่อให้หายสงสัยในอาการป่วยของแฟนเมื่อมกราปี 63
การตรวจเลือดในช่วงที่โควิดระบาดหนักน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่เห็นทุกอย่างชัดเจน
ภูมิคุ้มกันของแต่ละคน แม้แต่ทางการแพทย์ยังไม่สามารถตอบได้ว่ายาวนานแค่ไหน
ทุกคนแตกต่างกันหมด บางคนได้ภูมิคุ้มกันแบบชั่วชีวิต บางคนได้แบบหลักวัน/เดือน/ปี
จากที่อ่านเอกสารวิจัยทางการแพทย์ที่ใช้เวลาศึกษาเรื่องพวกนี้มาเกือบ 20 ปี
น่าเสียดายที่ขนาดเรามีเทคโนโลยีที่มาไกลขนาดนี้ แล้วยังไม่สามารถหาคำตอบได้
ว่าทำยังไง วัคซีนถึงจะมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันระยะยาวได้เลย



Create Date : 27 เมษายน 2564
Last Update : 27 เมษายน 2564 21:32:27 น.
Counter : 609 Pageviews.

10 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณ**mp5**, คุณนายแว่นขยันเที่ยว

  
สวัสดียามเช้าครับ

ดูท่าทางเรายังคงต้องอยู่กับโควิดไปอีกนาน
เหมือนไข้หวัดใหญี่ที่กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆนะครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 เมษายน 2564 เวลา:6:28:50 น.
  
คนเป็นผู้นำ
พี่ก๋าว่าเขาต้องแบกรับความหวังของประชาชนเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
และแน่นอนเลย
ว่าจะต้องมีคนรัก คนชัง
สุดท้ายผลงานที่ทำ
จะเป็นตัวบอกเองว่าคุณเป็นผู้นำในดวงใจประชาชนหรือไม่

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 เมษายน 2564 เวลา:13:24:50 น.
  
เพื่อนบล็อกและเพื่อนเฟซของพี่ก๋า
มีทั้งคนชอบและไม่ชอบรัฐบาล
ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
พี่ก๋าไม่เคยทะเลาะกับใครเรื่องนี้นะ
เพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยม
ชุดข้อมูลที่รับรู้ก็คนละชุด
ความเชื่อก็คนละแบบ

การเมืองมันเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามากๆ
ถ้ามันมีผลกระทบอันเกิดจากการบริหารงานของรัฐบาล
ความชอบความชังมันก็เกิดขึ้นตรงนั้นทันที

พี่ก๋าก็เลือกรัฐบาลจากความสามารถตรงนั้นครับ
ส่วนใครจะชอบพรรคไหน รัฐบาลไหนก็ตามสบายเลย

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 เมษายน 2564 เวลา:20:15:58 น.
  
สวัสดียามเช้าครับน้องเหม่ง

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 เมษายน 2564 เวลา:7:03:49 น.
  
ใช่ครับ
ธุรกิจปิดตัวไปเยอะมาก
ถ้าในเชียงใหม่
สายการท่องเที่ยวกระทบหนักสุดๆไปเลย

คนตกงานเยอะมากๆครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 เมษายน 2564 เวลา:11:56:42 น.
  
ยังคงเป็นจริงเสมอนะครับ
ที่ว่าธนาคารชอบยื่นร่มให้ตอนแดดออก
พอฝนตกดึงร่มคืน 555

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 เมษายน 2564 เวลา:20:49:34 น.
  
เจ้าของบริษัททัวร์หลายคนมากครับ
ที่ยื่นกู้เงินไปแล้วไม่ผ่าน
ตอนแรกทุกคนดูข่าวแล้วบอกว่ารัฐบาลจะช่วย SME
แต่พอยื่นจริงก็ไม่ง่ายเลย
ไม่ผ่านแม้แต่รายเดียวครับ
ตอนนี้ธนาคารเห็นชื่อว่าทำเกี่ยวกับการท่องเที่ยว
ไม่มีปล่อยเงินเลย

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 เมษายน 2564 เวลา:23:34:54 น.
  
เขียนแบบข้างบนดีเลยครับ เข้าใจง่าย งั้นผ๋มอู้กำเมืองพ่อง

..
ตะก่อนผ๋มเขียนบล๊อกเป็น บทสนทนา ใช้คำว่า ฮา คิงแบบตางบน
ช่วงนั้นหมู่ตาหานกำลังดังขนาด.. คงมีคน แป๋คำว่า ฮา กาว่า คิง
บ่าเป๋น.. คิดว่า คิง ภาษาอังกฤษเหมือนคำว่า สายสะพายที่ผมได้รับ
คนเข้าไปเยี่ยมบล๊อกมาก ไม่กี่วันบล๊อกผมถูกปิดครับ... ต้องดิ้นรน
แก้ไขนาน กว่าจะใช้ได้

ปัจจุบันคงไม่เป็นแบบนั้นแล้ว 555
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 30 เมษายน 2564 เวลา:6:43:45 น.
  
สวัสดียามเช้าครับน้องเหม่ง

เรื่องรายละเอียดการกู้เงิน
พี่ว่าเจ้าของทัวร์ทุกคนรู้ดีครับ
ยังไงก็ต้องวางหลักทรัพย์
แต่ก็เข้าใจแบงค์อยู่แหละครับ
ชั่วโมงนี้ธุรกิจท่องเที่ยวมันมืดดำอยู่แล้ว
สิ้นหวังมาเป็นปีแล้ว 555

ทุกคนก็แค่มาบ่นให้ฟังเท่านั้นแหละครับ
เพราะตอนรัฐบาลแถลงว่าจะให้การช่วยเหลือธุรกิจ SME
ทุกคนก็หวัง แต่พอไม่ได้
พนักงานก็โชคร้ายไปครับ
ตอนนี้เกือบทุกบริษัทก็ให้พนักงานออกกันหมดแล้ว
เงินชดเชยจากประกันสังคมก็หมดไปตั้งนานแล้วครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 เมษายน 2564 เวลา:7:13:28 น.
  
แวะมาเยี่ยมครับ
โดย: **mp5** วันที่: 1 พฤษภาคม 2564 เวลา:10:33:47 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Princezz Matcha Latte
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มะมะมะเหม่ง เองงับ!!! ทุกวันนี้ไม่เดิน เพราะกลิ้งได้
^_^
เมษายน 2564

 
 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
28
29
30
 
 
All Blog