Bloggang.com : negima_xx : Sukiyaki Western Django - "ศึกหม้อไฟ ซามูไรจิ้มจุ่ม"

Sukiyaki Western Django - "ศึกหม้อไฟ ซามูไรจิ้มจุ่ม"

Sukiyaki Western Django / ศึกหม้อไฟ ซามูไรจิ้มจุ่ม

เนิ่นนานนับร้อยๆ ปีหลังจากที่ศึกดันโนอุระอันเลื่องลือ (ในปี 1185) ผ่านพ้นไป ณ หมู่บ้านเชิงเขาอันห่างไกลในญี่ปุ่น สถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เมื่อกองทหารชุดขาวแห่งเกนจิ (ตระกูลมินะโมโตะ) ภายใต้การนำของ โยชิตสึเนะ กับกองทหารชุดแดงแห่งเฮอิเกะ (ตระกูลไทระ) ภายใต้การนำของ คิโยโมริ เกิดการปะทะกันเพื่อครอบครองขุมทองลี้ลับในตำนาน
เมื่อหนุ่มพเนจรนิรนามผู้มีอดีตอันขมขื่นเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้พร้อมด้วยความแม่นปืนไร้เทียมทาน ก็กลายเป็นที่หมายปองของทั้งสองตระกูลทันที การช่วงชิงอำนาจ, การทรยศหักหลัง, ราคะ และเรื่องรักที่พัวพันกันยุ่งเหยิง กำลังก่อให้เกิดการนองเลือด สงครามไทระ-มินาโมโตะในประวัติศาสตร์จะกลับมามีบทบาทอีกครั้งใน “มะกะโรนี เวสเติร์น” อันแสนวุ่นวายนี้

เพื่อเป็นการคารวะต่อหนังคาวบอยอิตาเลียน (สปาเกตตี เวสเติร์น) หรือที่เรียกกันในญี่ปุ่นว่า “มะกะโรนี เวสเติร์น” ผู้สร้างภาพยนตร์ ทากาชิ มิอิเกะ (จาก Audition) จึงให้กำเนิดหนังคาวบอยญี่ปุ่นสุดคัลต์ สุดมันส์และพิสดาร ในนาม “สุกียากี้ เวสเติร์น” และเลือกใช้สงครามเก็นเปในศตวรรษที่ 12 เป็นฉากหลัง ....

ครั้งแรกที่เห็นตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ยอมรับเลยว่าทำออกมาได้น่าสนใจมากๆ เพราะนอกจากความแปลกแหวกแนวในการนำเสนอแล้ว ยังแฝงได้ด้วยฉากแอคชั่นเก๋ๆ เครื่องแต่งกายที่แปลกตา และบรรดานักแสดงที่คุ้นหน้า (โดยเฉพาะ “เควนติน ตารันติโน” นี่ยังไม่นับตัวผู้กำกับ ทากาชิ มิอิเกะ ที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว) ซึ่งเมื่อหนังเรื่องนี้ออกแผ่นมาแล้วก็ไม่พลาดที่จะไปสอย ดีวีดี เรื่องนี้มาชมอย่างทันที

หลังได้ชม “Sukiyaki Western Django” ก็ต้องยอมรับว่าผู้กำกับ ทากาชิ มิอิเกะ สามารถคุมโทนและให้ความใส่ใจในทุกๆรายละเอียดของหนังเรื่องนี้จริงๆ ไล่กันไปตั้งแต่การเล่าเรื่อง ผูกปม รวมไปถึงอารมณ์ขันที่แฝงไปด้วยปรัชญาพอสมควร

หนังเปิดเรื่องด้วยภาพคาวบอยตะวันตกหนุ่มนายหนึ่งดวลปืนกับเหล่าโจรกระจอก(ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนพี่ ตารันติโน เรานี่เอง) ก่อนที่เล่าถึงเรื่องราวช่วงการขุมหาสมบัติในเวลาต่อมา พร้อมค่อยๆเปิดตัว เหล่าตัวละครต่างๆในเรื่องไปพร้อมกัน ในช่วง 1 ชั่วโมงแรกของหนังจะเล่าถึงที่มาของสงครามการไล่ล่าขุมทองของกองทหารชุดขาวแห่งเกนจิ (ตระกูลมินะโมโตะ) ภายใต้การนำของ โยชิตสึเนะ กับกองทหารชุดแดงแห่งเฮอิเกะ (ตระกูลไทระ) ภายใต้การนำของ คิโยโมริ ว่ามีที่มาอย่างไร รวมไปถึงการสร้างปมให้ผู้ชมค่อยๆลุ้นไปด้วยว่าหมู่บ้านแห่งนี้นั้นมีทองอย่างที่ตำนานเล่าไว้หรือไม่ พร้อมนำเสนอเรื่องราวของครอบครัวๆหนึ่งในหมู่บ้านที่มีพ่อเป็นชาวเฮอิเกะ(แดง) ส่วนแม่เป็นชาวเกนจิ (ขาว) และมีลูกผสมของสีขาวและแดง 1 คนเป็นพยานรัก ไปพร้อมกันๆได้อย่างน่าติดตาม

ส่วนในอีก 1 ชั่วโมงที่เหลือนั้นอุดมไปด้วยเนื้อหาที่มีอารมณ์หนักกว่าต้นเรื่องอยู่มาก รวมไปถึงฉากแอกชั่นขายสไตล์ในช่วงก่อนจบนั้น นอกจากความบันเทิงแล้วยังได้กลิ่นอายของหนังตะวันตกยุค 70 -80 ตลบอบอวนอยู่ตลอดอีกต่างหาก จึงไม่แปลกเลยที่หลายคนจะชอบช่วงครึ่งหลังนี้มากกว่า

เรื่องของฉากเด่นๆของเรื่องนอกจากโปรดักชั่นย้อนยุคที่ทำออกมาได่ดีแล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้นฉากแอกชั่น ดวลปืน และดาบ ทั้งหลายแหล่ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากการประจัญหน้ากันครั้งแรกของฝ่ายขาว และแดง , ฉากพระเอกโชว์ความสามารถต้นเริ่อง,ฉากการไล่ปล้นรถขนอาวุธ รวมไปถึงฉากดวลปืนถล่มเมืองใน 15 นาที สุดท้ายที่ทั้งไล่ยิง ระเบิดบ้าน กันอย่างไม่ลืมหูลืมตา (ยิ่งฉากพระเอกดวลกับโยชิตสึเนะ กลางหิมะ ทำได้เท่มาก )

ตัวละครต่างๆในเรื่องมีบุคลิกและลักษณะที่เป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆค่อนข้างชัดเจน อย่าง “คิโยโมริ” ผู้นำของฝ่ายแดงนั้นนำเสนอด้านของการเป็นผู้นำที่เลือดร้อน ทำก่อนแล้วค่อยคิดทีหลัง และที่สำคัญเป็นผู้ที่สนใจแต่เรื่องการที่ตนต้องเป็น “ผู้ชนะ” ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม , “โยชิตสึเนะ” ที่ดูเป็นคนสุขุม ฝีมือดาบอยู่ในระดับเยี่ยมแต่แฝงไว้ด้วยความเลือดเย็นอย่างสุดๆเช่นกัน (ดูแล้วลืมภาพโยชิตสึเนะที่ ทักกี้ แสดงไว้ในซี่รี่ย์ “ซามูไรยอดกตัญญู” หมดเลย เหอๆ) ส่วนตัวมือปืนนิรนาม(พระเอก) ก็คงปรียบเสมือน “โชคชะตา” ที่มาเพื่อเปลี่ยนเมืองและชีวิตของคนในเมืองในแบบที่ควรจะเป็น และเด็กลูกผสมในเรื่องก็เป็น “ผลของการกระทำ” ของทุกฝ่ายนั่นเอง

ตัวละครที่ดูเหมือนจะเป็นสีสันของเรื่องก็คือ “นายอำเภอ” นอกจากเรียกเสียงฮาจากการทะเลากับตัวเอง (ใช่แล้วครับ เจ้านี่มันคุยกับตัวเองจริงๆทั้งเรื่อง) ยังเป็นตัวละครที่ “ตายยาก” ที่สุดในเรื่องอีกก็ว่าได้ ส่วนจะยากยังไงนั่นต้องลองไปชมในหนังดูครับ ซึ่งถ้ามองอีกมุมว่าผู้กำกับอาจจะแฝงนัยว่า “นายอำเภอ” ก็คือนอกจากจะเป็นตัวแทนของกฏหมายแล้วยังเป็นตัวแทนของ “ความยุติธรรม” ในเรื่องอีกด้วย ซึ่งอาจจะแฝงว่าจริงๆแล้ว แม้ว่าความโหดร้ายแค่ไหนจะมาเยือนยังเมืองๆนี้ แต่ “ความยุติธรรม” ก็ยังคงอยู่แถมยังไม่เคยตายและตายหายไปจากเมืองยากอีกต่างหาก เพียงแต่ว่าไอ้ “ความยุติธรรม” นี่มันแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้นเอง ทำให้ในตอนจบเมื่อความยุติธรรมของเมืองไม่สามารถทำให้เมืองสงบได้ “ความยุติธรรมนอกเมือง” หรือก็คือพระเอกจึงต้องมาสะสางสะเอง และ “เควนติน ตารันติโน” ก็ถือเป็นสีสีนอีกอย่างของเรื่องที่ ขโมยซีนได้ดีเช่นกัน

โดยรวมแล้ว “Sukiyaki Western Django” เป็นหนังที่คารวะต่อหนังคาวบอยยุคเก่าๆได้อย่างดี แถมยังใส่ “กึ๋น และ ลูกบ้า” ผสมลงไปในหนังในสัดส่วนที่พอดี พร้อมเติมความคมคายและปรัชญาปนลงไป ผลรับที่ได้ คือ “Sukiyaki” หม้อใหญ่ของวงการหนังที่ครบเครื่องไปด้วยวัตถุดิบชั้นดีมากมายมารวมตัวกัน ซึ่งถ้าใครไม่เคยลิ้มลองมาก่อนอาจจะรู้สึกแปลกๆ หรือไม่ถูกใจก็เป็นได้ หรือใครที่เคยลิ้มรสมาแล้วก็อาจจะหายอยากไปพักใหญ่ แต่ที่แน่ๆก็คือ สุกี้หม้อๆไฟรส "คัลต์" นั้นไม่ใช่หาชิมเอาง่ายๆ!!

Create Date : 29 ธันวาคม 2551

Last Update : 11 เมษายน 2553 19:04:27 น.

4 comments

Counter : 7223 Pageviews.

เข้ามาดูหนัง แล้วขอส่งความสุขค่า

โดย: แม่ภูมิไทย (Artagold

) วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:11:32:39 น.

กำลังอยากดูเรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ อยากดูมาตั้งหลายเดือนแล้ว

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

โดย: bookofpear

วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:12:54:15 น.

นำโมบายทำข้ามปีมาเป็นของขวัญปีใหม่ค่ะ เพิ่งอัพเสร็จตะกี้เองค่ะ

โดย: แม่ภูมิไทย (Artagold

) วันที่: 1 มกราคม 2552 เวลา:16:22:57 น.

เป็นหนึ่งในหนังคาวบอยที่แย่ที่สุดที่ผมเคยดูมาเลยครับ(นอกจาก summer love poland cowboy)

เป็นการยำหนังเรื่อง จังโก้+Yojimbo ถ้าใครได้ดูสองเรื่องนี้มาแล้วก็พอจะเดาออกเลยว่าหนังจะจบแบบไหน

สังเกตตอนจบด้วยว่าไอ้เด็กนั่นโตขึ้นแล้วไปอิตาลีจนกลายเป็นจังโก้(เรื่องจังโก้นี่มันไม่เกี่ยวกะอิตาลีเลย บรรยากาศในหนังก็เม็กซิโกทั้งเรื่อง ยกเว้นฟรังโก้ นีโรที่เป็นคนอิตาลี)

สรุปแล้วไม่ประทับใจคอหนังคาวบอยอย่างผมเลย

โดย: clint_eastwood@hotmail.com IP: 124.120.83.44 วันที่: 4 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:06:31 น.