Transformers: Revenge of the Fallen ดำเนินเรื่องราวต่อจากภาคแรกโดยเริ่มที่ 2 ปีผ่านไปหลังสงครามบนโลกมนุษย์ได้ยุติลง แต่ทว่าสงครามในห้วงจักรวาลนั้นเพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากการกลับมาถึง ไซเบอร์ทรอน เมื่อ Starscream ได้รับคำสั่งของเจ้าแห่งฝ่าย ดีเซปติคอนส์ นาม The Fallen ผู้ชั่วร้าย และได้ตัดสินใจกลับมาบุกรุกโลกพร้อมกองกำลังจักรกลสังหาร ฝ่าย ออโต้บอทส์ ที่เชื่อมั่นในสันติภาพได้พบว่า ซากหุ่นที่ถูกทำลาย ของ Megatron ได้ถูกขโมยไปจากกองทัพสหรัฐฯ และทำให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้ Megatron จึงกลับมาเพื่อแก้แค้น พร้อม Starscream ผู้ภักดี และกองทัพจักรกลสังหารฝ่ายดีเซฟติคอนส์ที่เดินทางมาสมทบอีกจำนวนมาก ส่วนอีกด้านหนึ่ง Sam เด็กหนุ่มเจ้าของรถรถเชฟวี่ คาเมโร่ ปี 1976 ที่แปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้ก็ถึงเวลาต้องห่างจากแฟนสาว Mikaela สุดร้อนแรงสักระยะ เนื่องจากต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และด้วยเหตุบังเอิญจากการไปสัมผัสโดนเศษชิ้นส่วนจาก All Spark หรือ เดอะคิวบ์ ที่เก็บมาได้ ทำให้ตัวของ Sam เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลมาสู้สมองเขาไม่รู้จบ และทำให้เขากลายเป็นเป้าในหารตามล่าของเหล่า ดีเซปติคอนส์ อย่างไม่รู้ตัว พร้อมมหาสงครามแค้นที่กำลังจะระเบิดศึกอันยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ให้เกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ !!
ผู้กำกับจอมระเบิดบ้านเผากระท่อมอย่าง Michael Bay นำเสนอโลกของ Transformers ได้มีความหลากหลายมากกว่าที่เคย นอกจากนี้ดูเหมือน Bay เองยังจะสนุกมือไปกับการได้ออกแบบฉากแอกชั่นให้อลังการงานสร้างมากขึ้น และการเล่นกับมุมกล้องใหม่ๆ รวมไปถึงการใส่มุกตลกๆ ลงไปผสมปนเปกับฉากแอกชั่นตามสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปยังผลงานก่อนๆของ Bay จะพบว่าพี่แกเป็นผู้กำกับที่มีสถิติการทำหนังที่ดี (ว่าง่ายๆ คือเฉลี่ยกำกับหนังออกมาได้กำไรมากกว่าเจ๊ง) ไล่มาตั้งแต่ Bad Boys (1995), The Rock (1996), Armageddon (1998), Bad Boys II (2003) ที่แต่ละเรื่องทั้งกำไรและขึ้นหิ้งหนังแอกชั่นสามัญประจำบ้านไปแล้ว จะมีก็แค่บางเรื่องที่แกเป๋ไปบ้างอย่าง Pearl Harbor (2001) ที่น่าจะทำเงินได้มากกว่าที่คิด (รายได้ส่วนมากมาจากตลาดต่างประเทศสะมากกว่า) กับ The Island (2005) หนังที่แกลองเปลี่ยนแนวกำกับดูบ้าง และหลายคนมองว่าเป็นหนังเรื่องแรกของ Bay ที่ออกมาแป๊กเต็มรูปแบบ (ทั้งๆที่ส่วนตัวคิดว่าตัวหนังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก) ก่อนจะมากู้หน้าได้จาก Transformers (2007) ภาคแรกอีกที นอกจากนี้ Transformers: Revenge of the Fallen ยังถือเป็นหนังภาคต่อเรื่องที่สองของผู้กำกับคนนี้ด้วย นับตั้งแต่ Bad Boys II
Michael Bay ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับหนังแอกชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีมุมมองการนำเสนอที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา และที่ดูเหมือนจะเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาก็คือ การสร้างสรรค์ฉากแอกชั่นชนิดระเบิดกันตูมตาม ทำลายทุกอย่างที่สามารถทำลายได้ในหนัง และใน Transformers: Revenge of the Fallen เครื่องหมายการค้าของเขายิ่งถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน เพราะตัวหนังเต็มไปด้วยฉากแอกชั่นที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างดีและสมจริงที่สุดที่จะทำได้ในปัจจุบันนี้ ไม่แปลกใจครับที่ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า Steven Spielberg (ที่เจ้าตัวเองก็นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้างพิเศษในหนังเรื่องนี้ด้วย) เอ่ยปากชมหลังดู Transformers: Revenge of the Fallen จบ ว่ามันคือหนังที่ดีที่สุดในชีวิตการกำกับของ Michael Bay !
ซึ่งตรงนี้ผมขอเดาว่าคำว่า ดีที่สุด ตรงนี้น่าจะเป็นในแง่ของ การสร้างสรรค์ การนำเสนอและในแง่ของการให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมสะมากกว่า เพราะ Spielberg มักจะชื่นชมผู้กำกับที่มีมุมมองตรงนี้ที่เจ๋งๆครับ และ Bay เองก็ได้งัดทุกอย่างที่อยู่ในตัวเขาแสดงออกมาเต็มที่ชนิดไม่มีกั๊กในหนังเรื่องนี้ และหลังได้ดูก็ผมขอบอกในฐานะคอหนังที่โตมากับหนังของนาย Bay คนนี้เลยว่า Revenge of the Fallen อาจจะไม่ใช่หนังที่ ดีที่สุด แต่มันคือหนังที่อลังการงานสร้างและ มันส์ ที่สุดของ Michael Bay อย่างไม่ต้องสงสัย !
สิ่งเดียวที่เกือบจะทำให้ Revenge of the Fallen ได้เป็นหนังที่ดีที่สุดของ Michael Bay ก็คือ ตัวบท ครับ แม้ลักษณะการดำเนินเรื่องจะคล้ายๆกับในภาคแรก แต่ในภาคสองด้วยองค์ประกอบด้านอื่นๆที่เสริมเข้ามาทำให้การเก็บรายละเอียดบางอย่างขาดหายไปบ้าง ทั้งการที่หลายฝ่ายออกมาบ่นว่าตัวหนังยาวไปบ้าง, บทความสัมพันธ์ระหว่าง Mikaela กับ Sam ที่ดูน้ำเน่าไปบ้าง หรือการผูกตัวละครหลายๆตัวเข้าด้วยกันชนิดรวดรัดไปหน่อย ซึ่งส่วนตัวก็เห็นด้วยบางส่วนครับแต่เรื่องความยาวของหนังที่ยาวกว่า 147 นาที ถ้าเอาไปเทียบกับรายละเอียดทั้งหลายแหล่ในหนังและไหนจะตัวละครหน้าใหม่หน้าเก่าอีกก็ถือว่ากำลังดีไม่มากไม่น้อยเกินไปและ อย่างน้อยมันก็แสดงให้เราได้เห็นตัวละครนั้นในแง่ที่แตกต่างออกไปบ้าง ส่วนในเรื่องของ ความสัมพันธ์ของ Mikaela กับ Sam ที่เดินตามสูตรแป๊ะๆ ซึ่งก็ไม่แปลกใจครับที่จะออกมาแนวนี้ แต่ถ้านำบทส่วนนี้ไปเทียบกับภาคแรกแล้วจะเห็นว่าในภาคแรกปูอารมณ์ตัวละครได้ชัดเจนกว่าค่อนข้างมากครับซึ่งว่ากันจริงๆถ้าตัวหนังมีการปรับปรุงลงรายละเอียดส่วนต่างๆให้ลึกกว่านี้อีกสะหน่อย รับรองเลยครับจะเป็นหนังแอกชั่นที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่กล่าวไปว่าเพราะด้วยองค์ประกอบทั้งหุ่น ทั้งเอฟเฟ็ก เยอะแยะมากมายทำให้ตัวหนังจำต้อง ยัดเยียด รายละเอียดเหล่านั้นลงไปให้หมด ผลที่ออกมาก็เลยไม่พ้นการที่ตัวหนังขาดความลึกในรายละเอียดส่วนต่างๆ และแก่นเรื่องที่ดูขาดความหนักแน่นจริงจังอย่างที่หนังควรจะมี
Transformers: Revenge of the Fallen มีหลายส่วนที่ดูเหมือนทางผู้กำกับ Michael Bay ที่นอกจะเอาเครื่องหมายการค้าทั้งหมดของเขามาใส่ลงในเรื่องแล้ว ยังมีการหยิบผลงานเก่าๆของตัวเองมาล้อด้วย สังเกตได้จากฉากที่ Sam เกิดคลั่งแล้วเอาปากกาไปเขียนสัญลักษณ์ต่างๆบนผนังห้อง ซึ่งฉากนี้เราจะเห็นที่ผนังมีโปสเตอร์หนังอยู่ 2 เรื่อง และหนึ่งในนั้นคือ Bad Boys II ส่วนตัวคิดว่านี่อาจจะเป็นการบอกนัยๆว่า Revenge of the Fallen เป็นหนังภาคต่อเรื่องที่ 2 ของ Bay นับจาก Bad Boys II ส่วนโปสเตอร์อีกใบก็คือหนังในสัตว์ประหลาดในตำนานแห่งยุคนี้ Cloverfield ที่แปะหลาอยู่ข้างๆ ตรงนี้ขอมองว่าทางผู้สร้างคงต้องการสื่อว่าขนาดสัตว์ประหลาดยักษ์บุกโลกได้อย่างสมจริง แล้วทำไม หุ่นยนต์ต่างดาวจะมาระเบิดสงครามและแฝงตัวอยู่บนโลกเราไม่ได้ล่ะ ?!
แล้วก็มาในส่วนของดนตรีประกอบ และเพลงประกอบในเรื่องครับ หนังยังคงได้ Linkin Park วงร็อคอันดับต้นๆของโลกมาทำเพลงประกอบให้เช่นเคย ในชื่อเพลง New Divide (Transformers ภาคแรกใช้เพลง What I ve Done ) การวางตำแหน่งของเพลงหลักยังเหมือนเดิมคือใช้เพลงหลักคลอในฉากสำคัญและกลับมากระหึ่มอีกทีในฉากจบของเรื่องพร้อมฉากหลังเครดิตท้ายเรื่อง แต่ที่เพิ่มมาในภาคนี้คือการทำ ดนตรีประกอบในชื่อ Nest (Contains Instrumental Excerpt From New Divide Written And Performed By Linkin Park) โดย Steve Jablonsky ที่ใช้คลอตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้ Revenge of the Fallen ยังเต็มไปด้วยเพลงประกอบอีกมากมายที่ใส่อยู่ในหนังจำนวนที่เยอะกว่าภาคแรกจนอดคิดไม่ได้ว่าบางฉากคล้ายดูมิวสิกวีดีโอช่อง MTV ก็ไม่ปาน เข้าใจครับว่าหนังแอกชั่นวัยรุ่นต้องมีเพลงประกอบเท่ๆรวมอยู่ด้วย (แม้เพลงในเรื่องจะไพเราะเกือบทุกเพลงเลยก็ตาม) แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจทำให้ตัวหนังเสียสมดุลได้เช่นกันครับ
พรุ่งนี้จะไปดูค่ะ