Movie Review by negima
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
25 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

Transformers: Revenge of the Fallen –“มหึมาสงครามแค้นแห่งความมันส์ที่ส่วนเด่นดีขึ้นแต่ข้อเสียคงเดิม"



[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางอย่างของหนังครับ]



Transformers: Revenge of the Fallen คือหนังภาคต่อของ Transformers ที่ฉายในปี 2007 ซึ่งนอกจากทำเงินถล่มทลายทั่วโลกแล้ว ยังส่งให้ชื่อของดารานำทั้งสองอย่าง “Shia LaBeouf” และสาวสวย “Megan Fox” ดังเป็นผลุแตกในชั่วข้ามคืนอีกด้วย ด้านตัวหนังนั้นขึ้นชื่อความโดดเด่นในเรื่องของฉากแอกชั่นดีกรีสูง และสเปเชี่ยวเอฟเฟ็กหุ่นยนต์ของทั้งสองฝ่ายที่ถูกสร้างออกมาอย่างสมจริง และการที่หนังประสบความสำเร็จในทุกด้านทั้งยังถูกมองว่าเป็นต้นแบบของ “หนังแอกชั่นยุคใหม่” เสียด้วย แล้วสตูดิโอมีหรือที่จะไม่เข็นภาคต่อออกมา และหลังจากปล่อยให้แฟนๆทั่วโลกตั้งหน้าตั้งตารอเกือบ 3 ปี ในที่สุดหนังภาคต่อในชื่อ Transformers: Revenge of the Fallen ก็ได้ออกสู่สายตาชาวโลก และแน่นอนว่าในครั้งนี้ ตัวหนังได้กลับมาพร้อม “ความบันเทิง” ที่มากกว่าภาคแรกหลายเท่าตัว รวมไปถึงสเปเชี่ยวเอฟเฟ็กขั้นเทพในการออกแบบหุ่นยนต์รูปแบบต่างๆที่ดูมีมิติมากขึ้น , ฉากการต่อสู้ระหว่าง “ออโต้บอทส์” กับ “ดีเซปติคอนส์” อันดุดันที่กระจายอยู่ตลอดทั้งเรื่อง นี่ยังไม่รวมฉากแอกชั่นวินาศสันตะโรจำนวนมากที่สุดที่หนังเรื่องหนึ่งจะมีได้ ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้ชมอะดรีนาลีนสูบฉีดไม่เป็นจังหวะไปกับทุกๆฉากที่ปรากฏตรงหน้าบวกกับดนตรีประกอบ และ มุขตลกต่างๆ ที่รองรับตัวหนังได้เป็นอย่างดี ทุกๆข้อดีที่หนังภาคแรกได้ทำไว้ ถูกทำให้ออกมาดียิ่งขึ้นไปอีกในภาคที่สองนี้ ! แต่น่าเสียดายที่ข้อเสียที่มีอยู่ในภาคแรกกลับไม่ได้ถูกปรับให้ดีขึ้นตามไปด้วย





Transformers: Revenge of the Fallen ดำเนินเรื่องราวต่อจากภาคแรกโดยเริ่มที่ 2 ปีผ่านไปหลังสงครามบนโลกมนุษย์ได้ยุติลง แต่ทว่าสงครามในห้วงจักรวาลนั้นเพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากการกลับมาถึง ไซเบอร์ทรอน เมื่อ Starscream ได้รับคำสั่งของเจ้าแห่งฝ่าย “ดีเซปติคอนส์” นาม The Fallen ผู้ชั่วร้าย และได้ตัดสินใจกลับมาบุกรุกโลกพร้อมกองกำลังจักรกลสังหาร ฝ่าย “ออโต้บอทส์” ที่เชื่อมั่นในสันติภาพได้พบว่า ซากหุ่นที่ถูกทำลาย ของ Megatron ได้ถูกขโมยไปจากกองทัพสหรัฐฯ และทำให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้ Megatron จึงกลับมาเพื่อแก้แค้น พร้อม Starscream ผู้ภักดี และกองทัพจักรกลสังหารฝ่ายดีเซฟติคอนส์ที่เดินทางมาสมทบอีกจำนวนมาก ส่วนอีกด้านหนึ่ง Sam เด็กหนุ่มเจ้าของรถรถเชฟวี่ คาเมโร่ ปี 1976 ที่แปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ได้ก็ถึงเวลาต้องห่างจากแฟนสาว Mikaela สุดร้อนแรงสักระยะ เนื่องจากต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และด้วยเหตุบังเอิญจากการไปสัมผัสโดนเศษชิ้นส่วนจาก All Spark หรือ เดอะคิวบ์ ที่เก็บมาได้ ทำให้ตัวของ Sam เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลมาสู้สมองเขาไม่รู้จบ และทำให้เขากลายเป็นเป้าในหารตามล่าของเหล่า ดีเซปติคอนส์ อย่างไม่รู้ตัว พร้อมมหาสงครามแค้นที่กำลังจะระเบิดศึกอันยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ให้เกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้ !!




ผู้กำกับจอมระเบิดบ้านเผากระท่อมอย่าง “Michael Bay” นำเสนอโลกของ Transformers ได้มีความหลากหลายมากกว่าที่เคย นอกจากนี้ดูเหมือน Bay เองยังจะสนุกมือไปกับการได้ออกแบบฉากแอกชั่นให้อลังการงานสร้างมากขึ้น และการเล่นกับมุมกล้องใหม่ๆ รวมไปถึงการใส่มุกตลกๆ ลงไปผสมปนเปกับฉากแอกชั่นตามสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปยังผลงานก่อนๆของ Bay จะพบว่าพี่แกเป็นผู้กำกับที่มีสถิติการทำหนังที่ดี (ว่าง่ายๆ คือเฉลี่ยกำกับหนังออกมาได้กำไรมากกว่าเจ๊ง) ไล่มาตั้งแต่ Bad Boys (1995), The Rock (1996), Armageddon (1998), Bad Boys II (2003) ที่แต่ละเรื่องทั้งกำไรและขึ้นหิ้งหนังแอกชั่นสามัญประจำบ้านไปแล้ว จะมีก็แค่บางเรื่องที่แกเป๋ไปบ้างอย่าง Pearl Harbor (2001) ที่น่าจะทำเงินได้มากกว่าที่คิด (รายได้ส่วนมากมาจากตลาดต่างประเทศสะมากกว่า) กับ The Island (2005) หนังที่แกลองเปลี่ยนแนวกำกับดูบ้าง และหลายคนมองว่าเป็นหนังเรื่องแรกของ Bay ที่ออกมาแป๊กเต็มรูปแบบ (ทั้งๆที่ส่วนตัวคิดว่าตัวหนังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก) ก่อนจะมากู้หน้าได้จาก Transformers (2007) ภาคแรกอีกที นอกจากนี้ Transformers: Revenge of the Fallen ยังถือเป็นหนังภาคต่อเรื่องที่สองของผู้กำกับคนนี้ด้วย นับตั้งแต่ Bad Boys II





“Michael Bay” ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้กำกับหนังแอกชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีมุมมองการนำเสนอที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา และที่ดูเหมือนจะเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาก็คือ การสร้างสรรค์ฉากแอกชั่นชนิดระเบิดกันตูมตาม ทำลายทุกอย่างที่สามารถทำลายได้ในหนัง และใน Transformers: Revenge of the Fallen เครื่องหมายการค้าของเขายิ่งถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจน เพราะตัวหนังเต็มไปด้วยฉากแอกชั่นที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างดีและสมจริงที่สุดที่จะทำได้ในปัจจุบันนี้ ไม่แปลกใจครับที่ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่า Steven Spielberg (ที่เจ้าตัวเองก็นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้างพิเศษในหนังเรื่องนี้ด้วย) เอ่ยปากชมหลังดู Transformers: Revenge of the Fallen จบ ว่ามันคือหนังที่ดีที่สุดในชีวิตการกำกับของ Michael Bay !


ซึ่งตรงนี้ผมขอเดาว่าคำว่า “ดีที่สุด” ตรงนี้น่าจะเป็นในแง่ของ การสร้างสรรค์ การนำเสนอและในแง่ของการให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมสะมากกว่า เพราะ Spielberg มักจะชื่นชมผู้กำกับที่มีมุมมองตรงนี้ที่เจ๋งๆครับ และ Bay เองก็ได้งัดทุกอย่างที่อยู่ในตัวเขาแสดงออกมาเต็มที่ชนิดไม่มีกั๊กในหนังเรื่องนี้ และหลังได้ดูก็ผมขอบอกในฐานะคอหนังที่โตมากับหนังของนาย Bay คนนี้เลยว่า “Revenge of the Fallen อาจจะไม่ใช่หนังที่ ‘ดีที่สุด’ แต่มันคือหนังที่อลังการงานสร้างและ ‘มันส์’ ที่สุดของ Michael Bay” อย่างไม่ต้องสงสัย !




สิ่งเดียวที่เกือบจะทำให้ Revenge of the Fallen ได้เป็นหนังที่ดีที่สุดของ Michael Bay ก็คือ “ตัวบท” ครับ แม้ลักษณะการดำเนินเรื่องจะคล้ายๆกับในภาคแรก แต่ในภาคสองด้วยองค์ประกอบด้านอื่นๆที่เสริมเข้ามาทำให้การเก็บรายละเอียดบางอย่างขาดหายไปบ้าง ทั้งการที่หลายฝ่ายออกมาบ่นว่าตัวหนังยาวไปบ้าง, บทความสัมพันธ์ระหว่าง Mikaela กับ Sam ที่ดูน้ำเน่าไปบ้าง หรือการผูกตัวละครหลายๆตัวเข้าด้วยกันชนิดรวดรัดไปหน่อย ซึ่งส่วนตัวก็เห็นด้วยบางส่วนครับแต่เรื่องความยาวของหนังที่ยาวกว่า 147 นาที ถ้าเอาไปเทียบกับรายละเอียดทั้งหลายแหล่ในหนังและไหนจะตัวละครหน้าใหม่หน้าเก่าอีกก็ถือว่ากำลังดีไม่มากไม่น้อยเกินไปและ อย่างน้อยมันก็แสดงให้เราได้เห็นตัวละครนั้นในแง่ที่แตกต่างออกไปบ้าง ส่วนในเรื่องของ ความสัมพันธ์ของ Mikaela กับ Sam ที่เดินตามสูตรแป๊ะๆ ซึ่งก็ไม่แปลกใจครับที่จะออกมาแนวนี้ แต่ถ้านำบทส่วนนี้ไปเทียบกับภาคแรกแล้วจะเห็นว่าในภาคแรกปูอารมณ์ตัวละครได้ชัดเจนกว่าค่อนข้างมากครับซึ่งว่ากันจริงๆถ้าตัวหนังมีการปรับปรุงลงรายละเอียดส่วนต่างๆให้ลึกกว่านี้อีกสะหน่อย รับรองเลยครับจะเป็นหนังแอกชั่นที่สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว แต่ก็อย่างที่กล่าวไปว่าเพราะด้วยองค์ประกอบทั้งหุ่น ทั้งเอฟเฟ็ก เยอะแยะมากมายทำให้ตัวหนังจำต้อง “ยัดเยียด” รายละเอียดเหล่านั้นลงไปให้หมด ผลที่ออกมาก็เลยไม่พ้นการที่ตัวหนังขาดความลึกในรายละเอียดส่วนต่างๆ และแก่นเรื่องที่ดูขาดความหนักแน่นจริงจังอย่างที่หนังควรจะมี



(เรื่องของบทเรื่องนี้ได้ “Roberto Orci” และ “Ehren Kruger” มาร่วมรับผิดชอบครับ โดยที่รายแรกนอกจากร่วมเขียนบทในภาคแรกแล้วยังมีผลงานร่วมเขียนบท Star Trek (2009) อีกเรื่องด้วยในปีนี้ )




จุดเด่นที่สุดในเรื่องก็คงจะไม่พ้นเรื่องของ “สเปเชี่ยวเอฟเฟ็ก” ครับ อย่างที่รู้ๆกันนอกจากจำนวนหุ่นที่เพิ่มมากขึ้นถึง 42 ตัว (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ทำให้ฉากหุ่นที่ว่าเหล่านั้นแปลงร่างไปมา แล้วไหนจะระเบิด ไหนจะฉากสมครามอีก บอกได้คำเดียวว่าฉากแอกชั่นทั้งหมดในเรื่องล้วนทำออกมาตื่นตา และอลังการ ที่รับรองสะใจแฟนหนังที่รอคอยแน่นอน (พร้อมอีกหลายฉากสุดมันส์ที่ทำเพื่อฉายจอ IMAX โดยเฉพาะ) ไม่ว่าจะเป็น ฉากเปิดเรื่องที่ฝ่าย “ออโต้บอทส์” บุกไปเจอกับ “ดีเซปติคอนส์” จำนวนหนึ่ง โดยมีเจ้าล้อยักษ์ขนาดมหึมาวิ่งหนีการตามล่าไปตามเมืองชนิดระเบิดจนตายกันไปข้าง ,ฉากการไล่ล่าในมหาวิทยาลัยของหุ่นยนต์สาวที่เล่นเอาลืมหายใจ , ฉาก Optimus prime สู้กับเหล่า ดีเซปติคอนส์ ในป่า ฯลฯ ตลอดจนถึงฉากปะทะกันช่วงท้ายเรื่องที่กินเวลากว่า 20 นาที ทั้งหมดทำออกมาได้สมศักดิ์ศรียี่ห้อ Transformers ครับ



ในส่วนของ “มุมกล้อง” เรื่องนี้ก็ยังคงเอกลักษณ์ของ Bay ไม่เปลี่ยนโดยเฉพาะการใช้กล้องหมุน หรือเหวี่ยงไปรอบๆจุดโฟกัสในฉากนั้นๆ ซึ่งข้อดีของการเหวี่ยงกล้องจะทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่แปลกและกว้างขึ้นจากเดิม แต่กระนั้นการเหวี่ยงกล้องในฉากแอกชั่นบางฉากที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้ผู้ชมเกิดอาการตาลายและมึนหัวได้เช่นกัน (นี่ยังไม่นับฉากหุ่นหลายตัวแปลงร่างสู้กันในฉากเดียวที่ดูไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหนเพราะดูมั่วไปนิด)





การที่จะหาหนังแอกชั่นที่ขายความมันส์กับฉากแอกชั่นบู๊ล้างพลาญไปด้วยกันกับบทดราม่าดีๆสักเรื่อง ถือว่าเป็นเรื่องยาก อย่างที่ Transformers ทั้งสองภาคพยายามทำ โดยเฉพาะในส่วนของภาคสองนี้ที่ดูเหมือนจะแอกชั่นมากสะจนลืมรายละเอียดความเป็นดราม่าไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายครับเพราะภาคแรกทำไว้ค่อนข้างลงตัวในระดับหนึ่งทีเดียว และตั้งแต่ต้นปีมานี้ส่วนตัวคิดว่ามีเพียง Star Trek เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่นำแอกชั่นชุดใหญ่และดราม่าเข้มข้นมาผสมกันได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นเรื่องยากครับที่จะเห็นหนังแอกชั่นสักเรื่องทำได้






ด้านนักแสดงในเรื่องก็ล้วนได้ดาราจากภาคแรกมารับบทเดิมกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นหนุ่ม “Shia LaBeouf” ในบท Sam Witwicky หนุ่มเจ้าของรถที่แปลงเป็น Bumblebee ที่หลังจากดังจากหนังภาคแรกแล้วก็กลายเป็นดาวรุ่งที่มีผลงานออกมาไม่ขาดสาย และในภาคนี้เขาก็ดูเหมือนจะเข้าถึงบท Sam ได้มากขึ้นกว่าเดิมทั้งอารมณ์ และสีหน้า ส่วนในรายของสาวฮ็อต “Megan Fox” ในบท Mikaela แฟนสาวของ Sam ที่ผิดกันกับพระเอกของเราตรงที่หลังจากดังจากหนังภาคแรกแล้วเธอแทบจะไม่มีผลงานอะไรออกมาให้ชมกันเลยจนมาถึงหนังภาคสองนี้ (แต่หลังจาก Revenge of the Fallen เธอจะมีผลงานเข้ามาให้ชมอย่างน้อย 2 เรื่องเลยครับ) Fox ยังคงเป็น Mikaela ที่เป็นธรรมชาติไม่ต่างจากภาคแรกเช่นกันครับ และภาคนี้เราจะได้เห็นเธอวิ่งบู๊หลบระเบิดมากกว่าเดิม ทั้งยังมีซีนแสดงอารมณ์ฉากสองฉากในช่วงท้ายเรื่องด้วย แต่ที่เธอมีมากกว่าภาคก่อนคือความสวยและเซ็กซี่นี่แหละครับ (ฉากวิ่งช่วงท้ายเรื่องนี่เล่นเอากำเดาแทบทะลัก เจอ ‘น้องแฝด’ ของMikaela เข้าไป จนลืมเจ้ารถออโต้บอทส์แฝดนรกไปเลย ^^ ) , “Josh Duhamel” ในบท ผู้หมวด Lennox ที่ดูเหมือนบทจะถูกลดน้ำหนักลงจากภาคแรกค่อนข้างเห็นได้ชัด ตัวละครนี้จัดเป็นประเภทโผล่มาเพื่อสร้างอารมณ์ชาตินิยมอเมริกันเลยก็ว่าได้, “John Turturro” ในบท Simmons อดีตเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานทหารลับสุดยอด เซ็คเตอร์ 7 หรือตัวละครใหม่อย่าง Leo ที่รับบทโดย “Ramon Rodriguez” เพื่อนร่วมห้องของ Sam ที่มหา’ลัย ที่ผลัดกันขโมยซีนสะจริงๆ




มาถึงตัวละครฝั่งหุ่นยนต์กันบ้าง เริ่มจากฝ่าย “ออโต้บอทส์” หน้าเก่ากันก่อน นั่นก็คือ “Optimus prime” หัวหน้าฝ่ายออโต้บอทส์ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุกได้ ซึ่งบทของพี่บิ๊กเราในภาคนี้ดูเหมือนจะเด่นขึ้นกว่าภาคแรกครับ แถมอาจจะเด่นที่สุดในบรรดาหุ่นฝ่ายพระเอกเลยก็ว่าได้ ผิดกันกับ “Bumblebee” หุ่นสีเหลืองคู่หูของ Sam ที่ยังคงหากินกับมุกหุ่นที่มีปัญหาด้านระบบเสียง ทั้งยังขี้งอน และเจ้าอารมณ์ตามเคย ในช่วงครึ่งแรกของหนังแทบจะไม่เด่นเลย จนกระทั่งมาถึงฉากสู้ตามใบสั่งของ Sam ที่ทะเลทรายในช่วงจบของหนัง นอกนั้นหุ่นรุ่นเก่าที่เหลือจากภาคแรกก็แทบจะไม่มีบทเด่นอะไรเลย นอกจากบู๊ลูกเดียว และสำหรับหน้าใหม่นั้นที่เด่นและเรียกเสียงฮาได้มากสุดคงหนีไม่พ้น “Mudflap & Skids (Twins)” หุ่นแฝดนรกที่ขี้บ่นและขี้คุยที่พล่ามอยู่ตลอดเวลา ที่แปลร่างเป็นรถเชฟโรเล็ต แทร็กซ์ สีแดง และรถเชฟโรเล็ต บีทสีเขียว ถือว่าเป็นตัวขโมยซีนของฝั่งออโต้บอทส์อย่างแท้จริงในภาคนี้ ส่วนที่เหลือก็มี “Arcee” หุ่นยนต์เพศหญิงที่ประกอบจากหุ่นยนต์ที่แยกต่างหากกัน 3 ตัว ซึ่งสามารถแปลงร่างไปเป็นมอเตอร์ไซค์ได้ ที่จริงๆน่าจะได้โผล่มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่ด้วยปัญหาบางอย่างทำให้ต้องยกมาใส่ในภาคนี้แทน แต่กระนั้นบทก็ยังดูน้อยอยู่ดี




(แต่ก็เห็นด้วยครับในการที่ผู้สร้างเฉลี่ยบทให้หุ่นเด่น ด้อย ลดหลั่นกันไป ก็ลองคิดดูสิครับว่าหุ่นทั้งหมดปาเข้าไปตั้งเฉียด 50 ตัว ขืนเอามาลงรายละเอียดลึกทุกตัวมีหวังได้เป็น ตำนานรักดอกเหมย ภาค Transformers พอดี !)



ส่วนฝั่ง “ดีเซปติคอนส์” หน้าเก่าที่กลับมาก็คือจอมโหด “Megatron” ที่กลับมามีบทบาทเด่นอีกครั้ง แต่ที่น่าแปลกคือความเก่งกาจในภาคนี้ ไหงถึงดูลดลงก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ภาคแรกเปิดตัวมาดูดุดันและน่าเกรงขามสุดๆ แต่ที่แน่ๆหลังจากฉากจบของภาคสองนี้แล้ว ทำให้เชื่อเลยว่า Megatron จะเป็นตัวละครที่เป็นตัวเชี่ยมเรื่องราวไปยังภาคต่อๆไปอย่างแน่นอน รวมไปถึง “Starscream” หุ่นที่บินหนีไปได้ในฉากจบของภาคที่แล้ว และเป็นหุ่นที่จงรักภักดีต่อ Megatron มากที่สุด สามารถแปลงร่างเป็นเครื่องแร็ป เตอร์ เอฟ-22 ได้ ที่ยังคงเด่นไม่แพ้กัน มาถึงหน้าใหม่ของฝ่ายนี้กันบ้าง รายแรกเลยก็คงไม่พ้นเจ้าของชื่อตอนใหม่ของภาคนี้ “The Fallen” เจ้าแห่งความชั่วร้ายในตำนานหนึ่งในหุ่นทรานส์ฟอร์เมอร์ 13 ตัวแรกที่ลงมาบนโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อน และเป็นหนึ่งในผู้กระตุ้นให้เมกะทรอนตั้งกลุ่มดีเซ็ปติคอนส์ขึ้นมา แต่ถึงจะเป็นเจ้าของชื่อภาคก็ไม่สามารถทำให้ Fallen มีอายุยืดยาวหรือโชว์ความสามารถบนจอนานนัก เพราะนอกจากจะโผล่มาน้อยแล้ว ในฉากการต่อสู้กับ prime ในช่วงท้ายของหนังยังดูกระจอกงอกง่อยเสียจริงๆ (ตำนานเล่าว่าเก่งขั้นเทพมากแต่มาโลกไม่ถึงวันก็กลับสวรรค์ไปสะแล้ว) นอกจากนี้ฝ่าย ดีเซปติคอนส์ ยังมีหุ่นแปลกๆใหม่ๆโผล่มาอีกเยอะมาก จึงขอยกที่เด่นๆมาละกัน ซึ่งก็ได้แก่ “Demolisher” หุ่นรถก่อสร้างที่แปลงร่างตะลุยเซี่ยงไฮ้ในตอนต้นเรื่องที่นอกจากขนาดที่ใหญ่แล้ว รูปร่างยังโดดเด่นอีกต่างหาก , “Devastator” หุ่นยักษ์ที่เกิดจากการรวมกันของรถก่อสร้างหลายๆคัน ทำให้มีขนาดถึง 46 ฟุต ซึ่งตัวนี้นอกจากความสามารถแล้ว สีสันยังดูฉูดฉาดดีอีกด้วย และ “Soundwave” หุ่นที่รวมร่างกับดาวเทียมของโลกได้เพื่อดูดข้อมูลข่าวสารไปรายงานให้เหล่าดีเซ็ปติคอนส์ และก็มาถึงหุ่นจอมขโมยซีนของฝ่ายนี้นี้ซึ่งก็ไม่พ้นเจ้า “หุ่นที่แปลงร่างเป็นรถบังคับ” ที่น่ารักน่าชัง ช่างประจบ พร้อมเรียกเสียงฮาได้ทุกครั้งที่โผล่ออกมา จนตอนหลังย้ายมาอยู่ฝ่าย “ออโต้บอทส์” เหมือนกับรุ่นใหญ่ “Jetfire” ดีเซ็ปติคอนส์ลายครามที่เพิ่งโผล่มาในภาคนี้ และย้ายไปอยู่ฝ่ายออโต้บอทส์ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ (รายหลังนี้เน้นไปในการสร้างมุขตลกสไตล์คนแก่ขี้ลืมได้ฮาจริงๆ)




Transformers: Revenge of the Fallen มีหลายส่วนที่ดูเหมือนทางผู้กำกับ “Michael Bay” ที่นอกจะเอาเครื่องหมายการค้าทั้งหมดของเขามาใส่ลงในเรื่องแล้ว ยังมีการหยิบผลงานเก่าๆของตัวเองมาล้อด้วย สังเกตได้จากฉากที่ Sam เกิดคลั่งแล้วเอาปากกาไปเขียนสัญลักษณ์ต่างๆบนผนังห้อง ซึ่งฉากนี้เราจะเห็นที่ผนังมีโปสเตอร์หนังอยู่ 2 เรื่อง และหนึ่งในนั้นคือ Bad Boys II ส่วนตัวคิดว่านี่อาจจะเป็นการบอกนัยๆว่า Revenge of the Fallen เป็นหนังภาคต่อเรื่องที่ 2 ของ Bay นับจาก Bad Boys II ส่วนโปสเตอร์อีกใบก็คือหนังในสัตว์ประหลาดในตำนานแห่งยุคนี้ “Cloverfield” ที่แปะหลาอยู่ข้างๆ ตรงนี้ขอมองว่าทางผู้สร้างคงต้องการสื่อว่าขนาดสัตว์ประหลาดยักษ์บุกโลกได้อย่างสมจริง แล้วทำไม หุ่นยนต์ต่างดาวจะมาระเบิดสงครามและแฝงตัวอยู่บนโลกเราไม่ได้ล่ะ ?!

(สิ่งที่ขอนำมาขยายตรงนี้คือการให้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเรื่องเป็น “โอบาม่า” เพื่อเสริมความสมจริงและใกล้ตัวเข้าไปอีก)


แล้วก็มาในส่วนของดนตรีประกอบ และเพลงประกอบในเรื่องครับ หนังยังคงได้ Linkin Park วงร็อคอันดับต้นๆของโลกมาทำเพลงประกอบให้เช่นเคย ในชื่อเพลง New Divide (Transformers ภาคแรกใช้เพลง What I ve Done ) การวางตำแหน่งของเพลงหลักยังเหมือนเดิมคือใช้เพลงหลักคลอในฉากสำคัญและกลับมากระหึ่มอีกทีในฉากจบของเรื่องพร้อมฉากหลังเครดิตท้ายเรื่อง แต่ที่เพิ่มมาในภาคนี้คือการทำ ดนตรีประกอบในชื่อ Nest (Contains Instrumental Excerpt From New Divide Written And Performed By Linkin Park) โดย “Steve Jablonsky” ที่ใช้คลอตลอดทั้งเรื่อง นอกจากนี้ Revenge of the Fallen ยังเต็มไปด้วยเพลงประกอบอีกมากมายที่ใส่อยู่ในหนังจำนวนที่เยอะกว่าภาคแรกจนอดคิดไม่ได้ว่าบางฉากคล้ายดูมิวสิกวีดีโอช่อง MTV ก็ไม่ปาน เข้าใจครับว่าหนังแอกชั่นวัยรุ่นต้องมีเพลงประกอบเท่ๆรวมอยู่ด้วย (แม้เพลงในเรื่องจะไพเราะเกือบทุกเพลงเลยก็ตาม) แต่ถ้ามากเกินไปก็อาจทำให้ตัวหนังเสียสมดุลได้เช่นกันครับ




ถึงกระนั้นเมื่อมองไปถึงเรื่องของ “ฉากจบ” ของเรื่องแล้ว Revenge of the Fallen ยังคงเลือกที่จะสรุปจบเรื่องอย่างรวดเร็ว ชนิดรวบรัดตัดอารมณ์เอาดื้อๆเช่นเคย แถมตอนจบยังมีลักษณะคล้ายๆกับหนังภาคแรกอีกต่างหาก ถ้าถามว่าจบแบบนี้ดีไหม คำตอบคือดีครับ ยิ่งในแง่ของการสร้างภาคต่อและการให้ผู้ชมเกิดอาการกระหายที่อยากจะชมภาคต่อไวๆ แต่ข้อเสียก็อย่างที่พบใน Terminator Salvation ละครับ คือมันเดาทางง่ายและไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย และยิ่งภาคหน้ายังไม่ปรับปรุงและเดินทางรอยเดิมแบบนี้มีหวังอนาคต Transformers คงไม่ยาวอย่างที่สตูดิโอคิดแน่ๆ



(สตูดิโอผู้สร้างวางแผนทำ Transformers ภาค 3 ตั้งแต่ภาค 2 ยังไม่ฉายเสียอีก เพราะเล็งเห็นว่าเป็นโปรเจคที่ทรงคุณค่าและทำมูลค่าให้สตูดิโอมหาศาล ทั้งๆที่ทางผู้กำกับ Michael Bay ออกมาบอกแล้วว่าอยากจะพักไปทำหนังแนวอื่นบ้าง ก่อนจะไปทำภาค 3 ตอนนี้ลองคิดเล่นๆว่าถ้าฝืนใจแกไปกำกับภาค 3 ตัวหนังมีหวังออกมาแย่เหมือนตอน Sam Raimi ไปทำหนังไอ้แมงมุมภาค 3 โดยที่ตัวเองยังไม่พร้อมเท่าไหร่แน่ๆ คิดแล้วก็ขนลุก)




ใน Transformers ภาคแรกมีคำพูดเด็ดๆที่น่าจดจำอยู่นั่นคือ “ไม่เสียสละ ชัยชนะย่อมไม่เกิด” ของหัวหน้าฝ่ายออโต้บอทส์ มาถึงในภาคนี้อาจจะด้วยอารมณ์ชาตินิยมอเมริกันจ๋าหายไปหน่อยจึงทำให้ไม่ค่อยมีประโยคปลุกใจสักเท่าไหร่ แต่ที่ฟังดูดีอยู่บ้างก็คือ



“โชคชะตามักจะไม่ร้องตอบในเวลาที่เราต้องตัดสินใจ”

“สิ่งที่ดีที่สุดคือการที่พวกเราเลือกจะจดจำพวกเขาไว้ในความทรงจำ เพราะในความทรงจำ ชีวิตจะคงอยู่ตลอดกาล”

และประโยคที่ว่า


“เมื่อเราลุก เจ้าต้องล้ม !!” ที่พูดได้เท่สุดๆไปเลยให้ตายเหอะ โดยทั้งสามประโยคมาจาก Optimus prime ครับ






แม้ Revenge of the Fallen จะดูอ่อนในเรื่องของรายละเอียดของตัวบท แต่ในเรื่องของประเด็นบางอย่างที่หนังนำเสนอแล้วก็น่าสนใจครับ ทั้งประเด็น “การเชื่อใจ” กันของมนุษย์โลก กับเหล่า Transformers โดยเฉพาะกับฝ่าย “ออโต้บอทส์” ที่เหล่าผู้นำฝ่ายมนุษย์ต่างคิดสงสัยว่าออโต้บอทส์ยอมช่วยเหลือในเรื่องการรบกับเหล่าดีเซ็ปติคอนส์ แต่ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในด้านการแบ่งปันเทคโนโลยี กับมนุษย์ เพราะเล็งเห็นว่า มีแนวโน้มที่มนุษย์จะใช้มันทำร้ายกันเองเพื่อความเป็นหนึ่ง แต่แทนที่จะเข้าใจ กลายเป็นว่าฝ่ายมนุษย์ กลับไปตั้งแง่มองว่าที่ไม่ยอมก็เพราะออโต้บอทส์ต้องการถือไพ่เหนือกว่าเพื่อประโยชน์ในการเจรจาต่อรองกับมนุษย์ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย เข้าตำราหวังดีมากไปบางครั้งกลับกลายเป็นทำร้ายกันโดยไม่ตั้งใจครับ ด้วยองค์ประกอบความไม่เข้าใจกันต่างๆนานา แม้ออโต้บอทส์จะไม่มีหัวใจอย่างคนเรา แต่จากการประเมินด้วยระบบและประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับดาวบ้านเกิดของเหล่าออโต้บอทส์แล้ว ทำให้พวกเขาเล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ดี และฝ่ายที่น่าขายหน้าก็คงไม่พ้นเหล่าผู้นำฝ่ายมนุษย์บางคนที่ที่มีทั้งสมองและหัวใจ แต่กลับไร้ซึ่ง “ความเชื่อใจ” หรือยอมรับกันและกัน และสุดท้ายสิ่งที่จะทำให้ความเชื่อใจตรงนี้เกิดขึ้นได้จากทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็คือ “การกระทำ” ครับ ทุกๆการกระทำของเหล่าออโต้บอทส์จะบอกกับมนุษย์เองถึงวัตถุประสงค์ที่พวกเขามาอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่มาอาศัย หรือชักนำสงครามมาที่นี่ แต่เพื่อมาเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่างหาก และทุกอย่างจะเป็นไปได้โดยดีถ้าต่างฝ่ายต่างเชื่อใจกัน




อีกประเด็นคือเรื่อง “การโตเป็นผู้ใหญ่” ที่นำเสนอผ่านพัฒนาการของตัวละครเอกอย่าง Sam ที่กำลังก้าวเข้าไปใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย แม้ Sam จะเคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาแล้วอย่างในภาคแรก แต่ในตอนต้นเราจะเห็นว่าทั้งพ่อและแม่ของเขาก็ยังคิดว่าเขายังเป็น “เด็ก” ที่ไม่รู้จักโต และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เวลาอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติครับที่คนเป็นพ่อแม่จะคิดอย่างนั้น ในกรณีของบ้าน Witwicky นั้นผู้เป็นแม่ดูจะห่วงลูกจนออกนอกหน้านอกตา แต่ผู้เป็นพ่อกลับเก็บความคิดนั้นไว้ในใจ จนกระทั้งมาถึงฉากสำคัญในช่วงท้ายที่ Sam รวมไปถึงพ่อกับแม่ และ Mikaela กำลังเข้าตาจนเพราะถูกฝ่ายดีเซ็ปติคอนส์ไล่บี้อย่างหนัก และตอนนั้นเองที่ผู้เป็นพ่อแสดงความห่วงใยต่อลูกชายออกมาอย่างหมดใจ และก็เป็นตอนเดียวกับการที่ Sam แสดงให้พ่อกับแม่ได้เห็นว่าเขาไม่ใช่เด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้อีกแล้ว Sam แสดงให้เห็นนอกจากการเป็นผู้ใหญ่ที่จัดการกับปัญหาตรงหน้าได้ดีแล้ว เขายังแสดงให้เห็นอีกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เวลาที่เราต้องตัดสินใจ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่น ตรงนี้อาจจะเป็นเพียงจุดเล็กๆในหนัง แต่ส่วนตัวว่ามันค่อนข้างชัดเจนพอสมควรครับ





สุดท้ายแล้ว Transformers: Revenge of the Fallen จัดเป็นหนังที่อุดมไปด้วยฉากแอกชั่นจำนวนมาก และงานเอฟเฟ็กที่ดีที่สุดแห่งยุคเรื่องหนึ่ง และ ถ้านิยามของ “ภาพยนตร์” คือการให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมแล้วละก็ Revenge of the Fallen ก็คือ “ภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาด !!” เพราะตัวหนังอัดแน่นไปด้วยความบันเทิงชุดใหญ่ที่สะใจคอหนังแน่นอน แต่ถ้าหวังจะเห็นบทดราม่าดีๆในหนังเรื่องนี้ด้วยเห็นทีหลายคนคงจะต้องผิดหวังครับ






 

Create Date : 25 มิถุนายน 2552
15 comments
Last Update : 26 มิถุนายน 2552 10:04:54 น.
Counter : 3465 Pageviews.

 

ขอบคุณค่ะ... ^ _ ^ ..

พรุ่งนี้จะไปดูค่ะ

 

โดย: env42_tay IP: 202.149.25.241 25 มิถุนายน 2552 19:59:45 น.  

 

30 นี้ก็จะไปดูแล้ว

รีวิว ได้น่าอ่านมากๆครับ

 

โดย: djzero1 IP: 124.120.87.35, 203.144.143.2 25 มิถุนายน 2552 20:09:25 น.  

 

หนังคือสิ่ง Entertainment คับ จะดูหนังจบออกจากโรงมา แล้วมาดำเนินชีวิตตามแบบในหนังรึ คือ จะหาประโยชน์จากในหนังเพื่อมาใช้เป็นข้อคิดให้กับชีวิตตัวเองว่างั้นเหอะ ผมไม่รู้น่ะคนที่วิจารณ์หนัง ผมว่าพวกเค้าจะดูหนังให้เครียดไปทำไม อย่างนันทกว้าง ไม่มีหนังเรื่องไหนที่แกดูแล้วสนุกเลย เพราะอะไรไม่รู้ ดูหนังดูเอาสนุกครับ เงินแค่ 140 บาท ซื้อเหล้ากินยังแพงกว่านั้นเลย ดูเอาสนุกครับ ดูแล้วออกจากโรงหนังมาเดินยิ้มกลับบ้าน บันเทิงครับ แต่ถ้าดูหนังแล้ว ไมเกรนขึ้นสมองผมว่าอย่าไปดูเลยครับ หาเรื่องทะเลาะกะความชอบของชาวบ้านเค้าเปล่า ๆ ถ้าดูแล้ววิจารณ์แบบสิ่งบันเทิงก็ดีครับ ผมเห็นด้วย จะหาดราม่าจากหนังแอ๊คชั่น ไม่มีแน่นอนครับ ถึงมี แต่ความมันสนุกของหนังก็อาจจะลดลง

 

โดย: ขอด้วยคน IP: 61.19.26.84 25 มิถุนายน 2552 21:17:22 น.  

 

หนังเรื่องนี้สร้างจาก Research ครับ เช่น Bumblebee พูดไม่ได้เพระาคนชอบแบบนี้มากกว่า จนถึงหุ่นเยอะ ตูมตาม มีฉากตลก ฉากเรียกศัรัทธา ทุกอย่าง อาจจะไ่ม่โดนใจคนดูหนังหนักๆ แต่คนไม่ค่อยได้ดู ไปดูแล้ว สะใจทุกคนนะครับ หนังทำเพื่อคนส่วนรวมครับ นั่นผมก็คิดว่าดีเยี่ยมแล้ว เหมือนสมัยดู Jurassic Park เน้นอลังการ ชอบ ประทับใจ ไม่ต้องมีเนื้อเรื่องมาก แต่คนก็จำไปจนสิบปี

 

โดย: natz IP: 114.128.27.19 25 มิถุนายน 2552 22:17:44 น.  

 

researchข้อมูลได้แน่นเช่นเคยนะขอรับ

 

โดย: Mr.Chanpanakrit 26 มิถุนายน 2552 0:25:47 น.  

 

ขอบคุณครับ

ตอนนี้ก็ขอแค่ให้หนังเปิดตัวทำรายได้ถล่มโลกเยอะๆละกัน เพราะชอบพี่เบย์มาก อยากให้เขามีกำลังใจในการสร้างสรรค์งานดีๆต่อไป

 

โดย: negima_xx 26 มิถุนายน 2552 0:44:12 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


สวัสดีวันศุกร์และวันสุนทรภู่กวีเอกของไทยจ้า
จะไปดูโรง IMAX เสาร์นี้เด้อ

 

โดย: หอมกร 26 มิถุนายน 2552 15:07:19 น.  

 

มีตั๋วหนัง transformers2 จำนวน 2 ที่นั่งราคาุ600บาท

โรงภาพยนต์กรุงศรีไอแมกซ์ สาขาพารากอน หน้าจอใหญ่เท่าตึกแปดชั้น

รอบวันนี้ (วันเสาร์ ที่๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒) เวลาห้าทุ่มค่ะ เลขที่ีนั่ง C32,C33

หนังสนุกมากรับรองคุ้มค่าแน่นอน

พอดีเราซื้อมาแล้วแต่ไปดูเมื่อวานรอบตีสองซะก่อน ก็เลยอยากขายตั๋ว2ใบนี้

มีใบเสร็จรับรองด้วยนะเพราะเราซื้อผ่านบัตรเครดิตไป

ยังไงสนใจก็ลองโทรมาสอบถามได้ ที่ 081-3991881,080-5932563

 

โดย: กิฟ IP: 124.121.151.61 27 มิถุนายน 2552 12:37:16 น.  

 

ไม่พลาดแน่ๆค่ะ ถึงได้ไปดูช้าหน่อย แค่ไปดูแน่ๆค่ะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อิอิ

ปล. ไว้ไปดูแล้วจะกลับมาอ่านอีกรอบค่ะ ตอนนี้อ่านผ่านๆไปก่อน กลัวเจอสปอย ฮา ^^

 

โดย: Charming Girl 27 มิถุนายน 2552 14:14:06 น.  

 

หนังเรื่องนี้จะขึ้นแท่นคลาสสิกเหมือน พวก terminator starwars หรือปล่าวครับ

สงสัยต้องรอดูกันยาวๆ

 

โดย: heavoodoo IP: 124.121.144.95 28 มิถุนายน 2552 5:20:19 น.  

 

ต้องดูให้ได้เลย

 

โดย: anssdee (anssdee ) 29 มิถุนายน 2552 13:32:33 น.  

 

มะรู้จาพูดว่าอารัยดี

ต้องบอกว่า ยาวมาก อ่านมะจบ 55+

 

โดย: nuch IP: 58.8.213.14 7 กรกฎาคม 2552 1:21:20 น.  

 

จาก//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9302136/A9302136.html

ดูภาคไทยล่ะสิ ภาคภาษาอังกฤษไม่มีโอบาม่านะ พูดถึงประธานาธิปดีเฉยๆไม่ระบุชื่อ และภาคไทยมีการบิดเบือนด้วย(สตูดิโอกันตนาพากย์) ตอนที่แม่พระเอกกินขนมอบกัญชา ในภาคไทยใช้ว่า "เนื้อ" พอแม่พระเอกกินแล้วเมา ไปเล่าเรื่องลูกชายกับแย่งจานร่อนนักศึกษาน่ะ แนะนำให้ดูซาวด์แทรคดีกว่า ได้ฟังเสียงจริงของดาราด้วยคุ้มกว่า

ขอบคุณสำหรับรีวิว

 

โดย: invisiblewarlock IP: 110.49.204.45 28 พฤษภาคม 2553 2:46:58 น.  

 

ผมก็ดูซาวด์แทรคนะ (วันแรก รอบที่ 3 ของวันเลยที่หนังเข้าฉาย) อืม เหมือนซับไตเติ้ลจะขึ้นมาแบบนั้น ไว้เดี๋ยวผมจะไปทวนดูอีกรอบละกันเรื่องชื่อ ปธน. อีกที ขอบคุณที่ติงมาครับ

 

โดย: negima_xx 28 พฤษภาคม 2553 12:57:11 น.  

 

เรียบเรียงได้ดีมากแต่สีตัวหนังสือบางตัวมันแสบตาน้า

 

โดย: like megan IP: 125.26.158.159 21 สิงหาคม 2553 19:32:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


negima_xx
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




!#@# สวัสดีครับ กับทุกๆคนที่เข้ามาสู่ Blog นี้ของผม ขอให้สนุกกับการอ่านรีวิวภาพยนตร์ต่างๆนะครับ อาจจะมีถูกใจมั้ง ไม่ถูกใจมั้ง เพื่อนๆคนไหนคิดเห็นเหมือนกัน หรือแตกต่างกันตรงไหนก็บอกกล่าวกันได้ครับ ^^ #@#!