The Hangover 2 "Wolf Pack is Back ! ชีวิตจะมีความหมายอะไรถ้าคุณไม่รู้จักวิธีใช้มันให้เป็น !"
หลัง 2 ปีก่อนผู้กำกับ Todd Phillips นำแก็งค์หมาป่าไปเมาสะเทือนเวกัสมาแล้ว ครั้งนี้ก็ถึงคิวมาแฮงค์ลืมโลกที่เมืองไทยกันบ้าง ตัวหนังภาค 2 นั้นมีรูปแบบการนำเสนอตามรอยภาคแรกแทบทั้งหมด ซึ่งนั้นทำให้ความแปลกใหม่ลดลงไปบ้าง แต่จะมองว่าหนังตระกูล Hangover มี 'แนวทาง' เป็นของตัวเองเช่นนี้ก็เลยไม่อยากเปลี่ยนแปลงก็ได้ครับ ถึงเลือกจะเดินรอยตามมาชนิด 100% แต่ถึงอย่างนั้นหนังก็เหมือนหาความแปลกใหม่ด้วยการใส่ เหตุการณ์หักมุม และ มุก ต่างๆในหนังที่ตัวละครหลักประสบพบเจอให้มีความแรงติดเรทและชวนให้ติดตามเข้าไปมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ
ที่สำคัญคือหนังนำเสนอมุมมองของต่างชาติที่มีต่อเมืองไทยได้ชัดเจน โดยความรู้สึกที่หนังเรื่องนี้เสนอออกมาคือ กรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งแสงสี เต็มไปด้วยความรุนแรงแต่ก็มีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างน่าทึ่ง ใครได้มาเยือนแล้วไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก็จะติดอยู่กับแสงสีและถูกเมืองนี้กลืนกินไปอย่างไม่ทันรู้ตัว
หนังมีมุกตลกที่มาจากสถานะการณ์หักมุม และ คาดไม่ถึงอยู่เช่นเคย แม้จะไม่ได้ช็อคผู้ชมแบบที่หนังภาคแรกทำได้ก็ตาม แต่ก็ถือว่ายังสามารถเรียกเสียงฮาชุดใหญ่ รวมไปถึงเสียงกรี๊ดจากมุกติดเรทของหนังได้ตลอดทั้งเรื่องอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็น ฉากตื่นขึ้นมาในห้องโทรมๆกลาง กทม. หลังเมาแฮงค์จนจำอะไรไม่ได้ , ฉากคลิปวีดีโอที่ช่างสักถ่ายไว้ให้เหล่าตัวละครเอกได้ชม (ที่ Stu คลั่งแล้วตะโกน Fu*k off police !) , ฉาก Stu เมาแล้วนอนกับสาวจากบาร์ที่ฮาแตกและติดเรทสุดๆ,ฉากไปรับ Teddy ที่โรงพัก,ฉากขโมยลิง ตลอดจนฉากวัดพระธิเบตผู้รักสงบ
สิ่งที่น่าชมเชยอีกอย่างก็คือการเขียนบทให้ตัวละครที่เป็นพ่อค้ายา,นักค้าอาวุธเถื่อน,ช่างสัก ตลอดจนตำรวจสากลในกรุงเทพฯ ให้เป็นตัวละครต่างชาติทั้งสิ้น รวมไปถึงการเปลี่ยนพระสงฆ์ในบ้านเรา ให้กลายเป็นพระธิเบต ซึ่งทั้งหมดนี่ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่งที่ผู้กำกับ Todd Phillips ทำได้ดีครับ เพื่อที่จะนำตัวละครเหล่านี้มาเล่นได้เต็มที่ในการทำพฤติกรรมห่ามๆสุดเหวี่ยงในเมืองพุทธแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทของพระที่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ้านเราคงแบนหนังเรื่องนี้ไม่ให้ฉายอย่างแน่นอน
และที่หนังได้เปรียบจริงๆก็คือ การมีตัวละครหลักที่มีบุคลิกและนิสัยโดดเด่นมากๆ อย่าง Phil ,Stu และ Alan รวมไปถึง Chow ที่ทำให้แม้มุกตลกในฉากจะไม่ฮา แต่บุคลิคตัวละครเหล่านี้ก็ยังสามารถเรียกความสนใจและเสียงฮาจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่หนังนำเสนอและสะท้อนได้ดีที่สุด คือเรื่องของการใช้ชีวิตครับ คล้ายๆกับที่หนังภาคแรกมีไว้ นั่นคือคนเราล้วนมีทั้งด้านสว่าง ละด้านมืดในตัว ซึ่งเราทุกคนก็มีทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวว่า 2 ด้านนี้ในใจเราน่าชื่นชมหรือน่ากลัวเพียงใดบ้าง ฉะนั้นการที่เราจะรู้จักตัวเองได้ดีที่สุด คือการลองลดกรอบตัวเองลงมา แล้วลองปล่อยใจใช้ชีวิตให้เต็มที่สักครั้ง (หรืออาจจะ 2 ครั้ง) เพราะชีวิตจะมีความหมายอะไรถ้าคุณไม่รู้จักวิธีใช้มันให้เป็น !
เรื่อง 'ชั้นเชิง' แม้หนังไม่สามารถสู้ต้นฉบับที่ทำไว้ได้ โดยเฉพาะบทสรุปของหนัง ที่เป็นการเอาภาพถ่ายเหตุการณ์ที่ตัวละครเอกลืมไปมาเฉลยในช่วงเครดิตที่ในภาคแรกช็อคผู้ชมจนฮาลั่นโลกมาแล้ว แต่ในภาคนี้กลับดู 'ธรรมดา' และ 'ไม่น่าแปลกใจ' อย่างในหนังภาคแรกเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งเพราะหนังเฉลยเหตุการณ์ต่างๆไปในระหว่างดำเนินเรื่องไปแล้ว ทำให้ฉากจบที่ควรจะเซอร์ไพรส์อย่างที่ควรกลับไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งนับเป็นข้อเสียข้อเดียวของหนังจริงๆ
ด้านนักแสดงนั้นทั้ง Bradley Cooper, Ed Helms, Zach Galifianakis และ Ken Jeong ยังคงสวมบทบาทเดิมได้อย่างลงตัวและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเคย และในส่วนของ Mason Lee ในตัวละครใหม่อย่าง Teddy และ สาว Jamie Chung ในบท Lauren ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีครับ และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือตัวละคร ลิง ที่เป็นตัวขโมยซีนประจำเรื่องไปเลยทีเดียว
โดยรวมแล้ว The Hangover 2 แม้จะไม่แปลกใหม่อย่างในภาคแรก แต่หนังก็ยังมีพร้อมมุกตลกชุดใหญ่ที่ปล่อยใส่ผู้ชมไม่ยั้ง และ ข้อคิดดีๆของหนังเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่ชวนให้คิด และยังเป็นความบันเทิงในระดับที่ไม่ควรพลาดอยู่ดี ที่สำคัญคือการได้ดูบ้านเมืองไทยผ่านสายตา Hollywood พร้อมได้เห็นตัวละครที่คุ้นเคยกลับมาโลดแล่นบนจออีกครั้งก็ถือว่าคุ้มค่าตั๋วแล้ว และเมื่อดูจบคุณอาจจะมองชีวิตตัวเองเสียใหม่ว่าเป็น โจ๊ก ธรรมดาไร้ซึ่งรสชาติหรือเปล่า และถ้าใช่ คุณพร้อมจะเติมรสชาติให้กับมันบ้างไหมสักครั้งในชีวิต หรือจะก้มหน้าก้มตารับความจืดนี้ตลอดไป!
Create Date : 29 พฤษภาคม 2554 |
|
1 comments |
Last Update : 18 กรกฎาคม 2554 23:12:49 น. |
Counter : 2141 Pageviews. |
|
|
|