สมถะ(หรือสมาธิ) คือความตั้งมั่นแห่งจิต และวิปัสสนา(หรือปัญญา) คือความรู้แจ้ง สองคำนี้ใช้แพร่หลายในวงกรรมฐาน จนเกิดความเห็นแบ่งแยกเป็นสองฝักสองฝ่ายเรื่องบทบาทความสำคัญและความสัมพันธ์กันระหว่างสมถะและวิปัสสนา บางสำนักเน้นเรื่องสมถะ บางสำนักสอนแต่วิปัสสนาล้วน
สำหรับหลวงพ่อท่านมิได้แบ่งแยกสมถะและวิปัสสนาออกจากกันหรือให้ความสำคัญระหว่างสองสิ่งมากน้อยต่างกัน แต่ทว่าคำสอนของท่านโยงใยให้เห็นว่า ธรรมสองข้อนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไรและมีองค์คุณเกี่ยวเนื่องกันเช่นไร
"สมาธิ(สมถะ) และปัญญา(วิปัสสนา) นี้ต้องควบคู่กันไป เบื้องแรกจิตจะเข้าถึงความระงับโดยอาศัยวิธีทำสมาธิภาวนา จิตจะสงบอยู่ได้โดยเฉพาะที่ท่านนั่งหลับตาเท่านั้น นี่คือสมถะ และอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐานช่วยให้เกิดปัญญาหรือวิปัสสนาได้ในที่สุด แล้วจิตก็จะสงบ ไม่ว่าท่านจะนั่งหลับตาอยู่หรือเดินอยู่ในเมืองที่วุ่นวาย เปรียบเหมือนกับว่าครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นเด็ก บัดนี้ท่านเป็นผู้ใหญ่ แล้วเด็กกับผู้ใหญ่นี้เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า ท่านอาจจะพูดได้ว่าเป็นคนเดียวกัน หรือถ้ามองอีกแง่หนึ่ง ท่านจะพูดได้ว่าเป็นคนละคนกัน สมถะกับวิปัสสนาก็อาจจะพูดกันได้ว่าแยกออกจากกัน ในทำนองเดียวกัน หรือเปรียบเทียบอาหารกับอุจจาระ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวกันและถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนละสิ่งกัน"
คำว่า สงบจิต และ สงบกิเลส เป็นนิยามที่หลวงพ่อเลือกมาใช้แทนคำว่าสมถะและวิปัสสนาได้อย่างสมเหตุสมผล เพราะสามารถชี้นำเข้าถึงหัวใจแห่งการปฏิบัติกรรมฐานได้เป็นอย่างดี
"ถ้าพูดถึงสมถะก็คือที่เรียกว่า มันสงบจิต เมื่อเราทำสมาธิเราเข้าไปสงบจิต เรื่องสงบจิตนี้อายุมันน้อยอายุมันสั้น ตรงนี้มันไม่สบายมันถูกอารมณ์มาก เราก็เข้าไปที่ใดที่หนึ่งที่มันสงบ แล้วก็เข้าไปสงบจิตอยู่ตรงนั้นแต่ว่ากิเลสมันยังอยู่นะ ไม่ใช่เรื่องสงบกิเลส ตรงนี้มันแบ่งออกเสียเรื่องสงบจิตมันเป็นอย่างหนึ่ง เรื่องสงบกิเลสมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
เรื่องจิตมันสงบมันไม่ได้ยินอารมณ์อะไรมาพลุกพล่าน จิตมันก็สงบไปได้ง่าย แต่หากว่ามีอะไรมาคุกคามแล้วจิตมันสงบไม่ได้ อันนี้คือมันยังอยู่ มันปล่อยไม่ได้ มันวางไม่ได้ตรงนี้ เรื่องที่เขาสมมุติว่าเรื่องสมถะหรือวิปัสสนา ถ้าเราพูดส่วนแยกออกมันก็แยกออก ถ้าพูดส่วนรวมมันก็แยกของมันไม่ได้ มันติดกันอยู่อย่างนั้น มีญาติโยมหรือสหธรรมิกเคยมาเรียนถามว่า ทุกวันนี้ฝึกให้เขาทำวิปัสสนาหรือสมถะ ผมไม่รู้ มันฝึกไปพร้อม ๆ กัน ถ้าตอบตามความเป็นจริงในเรื่องของจิตจะต้องตอบอย่างนี้ คือฝึกไปพร้อม ๆ กัน เพราะมันเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน เมื่อมีความสงบถ้าไม่มีปัญญามันก็อยู่ได้ไม่นาน"
หลวงพ่อให้คำจำกัดความอย่างสั้น ๆ แต่ชัดแจ้งในตัวว่า "ปัญญาคืออาการไหวตัวของสมาธิ เช่นเดียวกับคำว่า น้ำไหลนิ่ง คือสมถะและวิปัสสนาของผู้มีสัมมาปฏิบัติต้องประสานสอดคล้องไหลรินดุจกระแสน้ำ จิตใจของผู้ประพฤติปฏิบัตินี้เหมือนน้ำนิ่งมันไหล ถ้าเปรียบเข้ามาในธรรมะก็คือมีสมาธิ ความสงบที่ประกอบด้วยปัญญา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ไปนั่งตรงไหนมันก็นิ่งมันก็ไหลอยู่ มันเป็นน้ำไหลนิ่ง ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนามันจะบอกมันเลย มันอยู่ตรงนี้ ธรรมะเป็นอย่างนี้" พระธรรมเทศนาโดย
พระโพธิญาณเถร หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสืออุปลมณี น.๒๓๓-๒๓๔
...
- กราบนมัสการพ่อแม่ครูบาอาจารย์ สาธุเจ้าค่ะ
- ขอขอบคุณภาพประกอบจาก internet ค่ะ