Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
22 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
paris day1 ปารีส CDG+review Ibis Paris Ornano Montmartre Nord

ทริปยุโรปครั้งแรกของผมคราวนี้ เกิดขึ้นเพราะโปรโมชั่นการแลกไมล์สะสมของการบินไทย ปีนี้ที่แลก 1 แถม 1 (คล้ายๆปีที่แล้วที่แลกไมล์ลดลงครึ่งนึง เพียงแต่ปีนี้ เขาบังคับให้บินเป็นคู่น่ะเอง)

ก่อนจะถึงเวลาเปิดให้แลกไมล์ตามโปรโมชั่นนี้ จึงต้องมีการเล่นแร่แปรธาตุ นำคะแนนจากบัตรเครดิตทั้งหลาย มาแปรเปลี่ยนให้เป็นไมล์สะสมการบินไทย (ROP) ซึ่งจุดหมายปลายทางที่ผมตั้งใจก็คือ ยุโรป โดยเลือกปารีสเอาไว้ เพราะ นอกจากปารีสจะเป็นเมืองที่โรแมนติก ยังมีอะไรสนุกๆอย่าง Paris Disneyland เป็นแหล่งดึงดูด อีกทั้งตัวผมเอง เคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาตั้ง 1 ปี ตอนเรียน ม.ปลาย (ที่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเล๊ย..เพราะลืมไปเกือบหมดแล้ว)

ด้วยเหตุผลที่ดีนานับประการ (เพราะจะหาเรื่องเที่ยวนั่นเอง) แล้วก็มาดูไมล์สะสมกันครับ

สำหรับเส้นทางไป-กลับ BKK-CDG (ปารีส) ซึ่งจัดอยู่ในโซน 5 สำหรับชั้นประหยัดจะใช้ไมล์สะสม 70,000 ไมล์ / 130,000 ไมล์ สำหรับชั้นธุรกิจ และ 185,000ไมล์ สำหรับชั้นหนึ่ง

ความตั้งใจแรกของผมก็คือ จะเลือกแลกสำหรับชั้นธุรกิจ เพราะ ไม่ว่าจะเลือกแลกไมล์ที่ชั้นใด ค่าธรรมเนียมการแลก ก็จ่ายเท่ากันอยู่ดี แถมการนั่งเครื่อง 11-12 ชม.ไปยุโรปอย่างนี้ ชั้นธุรกิจย่อมสะดวกสบายกว่าอยู่แล้ว ที่สำคัญคือ ปกติผมก็ใช้บริการแต่โลว์คอสต์หางแดง เลยอยากจะไฮโซหางม่องซะหน่อยน่ะเอง 55

แต่แล้วเจ้าจำปีก็ดับฝันผม เพราะว่าเส้นทางยอดนิยมอย่างปารีส แค่การแลกชั้นประหยัด ยังหาตั๋วค่อยข้างยากเลย สำหรับช่วงเวลาที่ผมจะเดินทาง (ปลายๆเดือนกันยา) ยิ่งชั้นธุรกิจนี่ไม่มีเลยครับ สงสัยจะขายหมด ก็ต้องทำใจครับ ว่าของเขาฮิตจริงๆ แต่อย่างน้อยๆ ได้ตั๋วไป-กลับในช่วงเวลาที่เราสะดวกก็ ok แล้ว ก็เลยออกมาเป็น

TG930 BKK-CDG 24 ก.ย.53 0.05-7.05 (ใช้เวลาเดินทาง 12 ชม.)
TG931 CDG-BKK 4 ต.ค. 53 13.40-5.55 (ใช้เวลาเดินทาง 11.15 ชม.)

ค่าธรรมเนียมการแลกตั๋วคนละ 9,700 บาท พร้อมกับไมล์ ROP ที่เสียไป 70,000 (แต่ไมล์ทั้งหมดโอนมารอแลก business class แล้วแท้ๆ สงสัยปีหน้าจะต้องไปใช้ไมล์แถวๆญี่ปุ่นแหงๆ 55)



ได้ตั๋วแล้วด่านต่อไปก็คือการขอ Visa ครับ

ปัจจุบัน ทางสถานทูตฝรั่งเศสได้ให้บริษัทตัวแทน มาทำหน้าที่ยื่น visa แทน โดยเข้าไปดูที่หน้าเวป //www.TLScontact.com ได้เลยครับ แต่อย่าลืมเผื่อเวลาดำเนินการซัก 20 วันด้วยนะครับ (ถ้าเอกสารครบ ไม่มีปัญหาภายใน 2 อาทิตย์ ก็ได้ visa มาให้อุ่นใจแล้วครับ)

สำหรับหลักการการขอ visa ให้ผ่าน ผมว่าไม่ยากนะครับ หลักการง่ายๆที่เหมือนกันแทบทุกประเทศ ก็คือ ผู้ขอ visa ควรจะแสดงตนว่าตนเองเมื่อไปเข้าประเทศเขาแล้ว จะไม่ทำตัวเป็นโรบินฮู๊ดในประเทศเขาน่ะเอง ซึ่งเราควรแสดงหลักฐานว่าเรามีภาระผูกพันธ์กับเมืองไทย ส่วนเรื่อง statement มีเงินไม่เท่าไหร่นี่ มักไม่ค่อยมีผลหรอกครับ อย่างผมข้าราชการตัวเล็กๆ ก็ไมได้มี statement สวย เงินมากแต่อย่างใด ยังขอ visa มาได้ง่ายๆครับ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะ ผมให้หน่วยงานต้นสังกัด ออกใบรับรองการทำงานให้ก็เป็นได้ครับ เพราะนั่นจะแสดงว่ายังไง๊..ยังไงผมก็ต้องกลับมาทำงานที่เมืองไทยอยู่ดี

สำหรับเรื่องการแปลเอกสารทั้งหมด สามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้นะครับ หรือใครจะแปลเป็นฝรั่งเศสก็ได้ สำหรับเรื่องการหาบริษัทรับแปล เอกสาร ผมเสียเวลาเข้าไปในเมืองพอสมควรเลยล่ะครับ หารู้ไม่ว่า ที่กรมการกงศุล ถ.แจ้งวัฒนะ (ที่เราๆท่านๆไปทำ passport กันน่ะครับ) ใต้ตึกก็มีหลายเจ้ารับแปล พร้อมกับมีตราประทับบริษัทให้เรียบร้อย คือ สำหรับเอกสารราชการ ต้องผ่านการแปลจากบริษัทที่มีตราประทับรับรอง แล้วเราต้องเอาเอกสารที่แปลแล้ว มารับรองโดยกรมการกงศุลที่ตึกนี้อีกทีน่ะครับ เรียกว่ามาที่นี่ที่เดียวก็เรียบร้อย


สำหรับเทคนิคการลางาน อันนี้คงแล้วแต่หน่วยงานล่ะครับ แต่สำหรับผม พอดีว่าเพิ่งมาเรียนที่กรุงเทพ แล้วหลังจบ เราสามารถขอลาพักหลังจากเรียนได้ประมาณ 10 วัน ผมเลยใช้โอกาสนี้ พักผ่อนที่เมืองนอกไปซะเลย

แต่ด้วยความที่เพิ่งเรียนจบเนี่ยแหละครับ ทำให้ไม่ได้เตรียมทริปอะไรเท่าไหร่ หนังสือก็ไม่ได้หาไว้อ่าน (จนต้องประกาศของความช่วยเหลือ) แม้กระทั่งการ search ใน internet ข้อมูลที่ได้ก็ print มาใส่ซอง ไม่ค่อยได้อ่านเช่นกัน 55 สุดท้ายก็เที่ยวตะลุยดื้อๆ แก้ปัญหาไปเรื่อยๆ เหมือนทุก trip นั่นแหละครับ



ว่าแล้วก็ออกเดินทางกันดีกว่าครับ

ตั้งต้น check in ตั้งแต่ 20.30 (เครื่องออก เที่ยงคืนนาที)



สำหรับเพื่อนๆห้อง BP ผมว่าหลังจาก check in ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง (น่าจะเรียกว่าออกเมืองมากกว่านะ 55) สิ่งที่นึกถึงเป็นลำดับต่อมาก็คือ King Power Lounge

สำหรับใครที่ยังไม่มีบัตร สามารถหาเคาเตอร์สมัครได้ภายในสนามบิน ด้วยค่าบัตรสมาชิกเพียง 500 บาท (สำหรับ 2 ปี) แต่ก้เหมือนสมัครฟรีครับ เพราะ 500 บาทที่เสียไปจะกลายมาเป็นคูปองเงินสดใช้ซื้อของได้เลย

สำหรับผู้คุ้นเคย King Power Lounge จะอยู่ที่ Concourse A ในมุมที่เงียบสงบ



ช่วงเวลาประมาณ 21.00 นี่ ห้องเงียบ ไม่มีแขกซักคนเลยครับ แต่ถ้าใครผ่านไปดูเลาจน์การบินไทยนะครับ จะเห็นว่าแน่นแออัด ต่างกันราวกับฟ้าดินเชียวครับ




แต่สิ่งที่เลาจน์การบินไทยเหนือกว่า ก็คงจะเป็นอาหารครับ ทางโน้นจะอิ่มหมีพีมันกว่า เพราะทาง King Power Lounge จะมีบริการเพียงของว่างและเครื่องดื่มเท่านั้นเอง

แต่ถ้าใครทานไม่เยอะ จะฝากท้องกับที่นี่ก้ได้นะครับ เพราะบางวันจะมีอาหารเบาๆอย่าง หมี่ผัด ฯลฯ หรือใครจะขอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากพนักงานก็ได้นะครับ



อย่างวันนี้มีเครื่องดื่มพิเศษอย่าง Malibu ผมเลยได้ชิมไปซะ 2 แก้ว 55



แต่ว่าของว่างแค่นี้ มันแค่เรียกน้ำย่อยครับ เลยจัดหนักไปที่ร้าน KIN



เป็นข้าวหน้าเนื้อกับสลัดกุ้ง และ sushi set อารมณ์อยากทานข้าว ก่อนจะไปยุโรปตั้งหลายวัน




ว่าแล้วก็เตรียมไปรอที่ Gate กันดีกว่าครับ



นั่งเครื่องใหม่ มี PTV ด้วยครับ



หลังจากเครื่อง take off ไปซักชั่งโมง ก็เริ่มเสิร์ฟ dinner ตอนตี 1 ครึ่งได้ ขนาดจัดหนักที่ KIN ไปแล้ว ยังมาเก็บถาดนี้เกือบหมดนะเนี่ยครับ 55

เป็นมื้อเดียวที่ถ่ายรูปเอาไว้ด้วย เพราะมื้อเช้าก็ธรรมดาๆน่ะครับ แถมรสชาติไม่ประทับใจเท่าไหร่ ก่อนจะดูหนัง แล้วก็เผลอหลับไป เพราะในสมองยังเป็นเวลาในประเทศไทยอยู่



หลังจากหลับไปหนึ่งตื่นก็ถึงปารีสแล้วครับ

สนามบินปารีส รหัสย่อจะเป็น CDG ก็คือ Charles de Gaulle Airport โดยตั้งชื่อตาม Charles de Gaulle รัฐบุรุษผู้นำขบวนการปลดปล่อยฝรั่งเศส หรืออีกชื่อคือ Roissy Airport (รัวซี่) เพราะว่าสนามบินนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Roissy น่ะเอง



เครื่องลงจอดที่หลุมแล้ว เราต้องเดินด้วยทางเลื่อนไปรับกระเป๋าอีกอาคารนึงครับ



มาถึงแล้วจุดรับกระเป๋า



สำหรับการบินไทย จะมาลงที่ Terminal 1 ครับ (สนามบิน CDG มีถึง 3 Terminal) อาคารที่ผมถ่ายนั่นคือ อาคารจอดของเครื่องบิน ส่วนที่ผมยืนอยู่ จะเป็นอาคาร check in ตรวจคนเข้าเมือง และรับกระเป๋าครับ



อากาศที่ปารีสวันที่ลงเครื่อง อยู่ที่ 18 องศาครับ ถือว่าหนาวสำหรับผมเลยล่ะ



มาดูแผนผังการใช้ Airport Shuttle กันครับ เพราะถ้าเราจะเดนทางเข้าเมืองด้วยรถไฟฟ้า จะต้องไปต่อรถไฟที่ Terminal 2 หรือ 3 เอาครับ สำหรับผมเลือกไปต่อที่ Terminal 3 เพราะใกล้ที่สุดแล้ว แต่ถ้าใครจะเรียก Taxi ก็เรียกที่ Terminal 1 นี่เลยก็ได้ครับ



ตอนแรกผมนึกว่า Airport Shuttle จะเป็นรถเมล์แบบบ้านเราซะอีกที่แท้ก็เป็นรถไฟโมโนเรล ขบวนสั้นๆ ที่สำคัญบริการฟรีนะครับ



ว่าแล้วก็มาถึง Terminal 3 ตรงนี้จะเป็นเคาเตอร์จำหน่ายตั๋วที่คิวเยอะมาก เพราะนักท่องเที่ยวทั้งหลาย ก็จะเข้ามาขอคำแนะนำ และซื้อตั๋วโดยสารเข้าเมือง ตรงนี้การใช้ภาษาอังกฤษกับพนักงานก็คุยรู้เรื่องนะครับ




ก่อนจะเดินทางเข้าเมือง มาทำความเข้าใจระบบรถไฟ-รถไฟใต้ดินของปารีสกันนิดนึงครับ

มามองภาพของสภานที่ท่องเที่ยวในปารีสกันก่อนครับ เพราะอันที่จริงแหล่งท่องเที่ยงหลายๆที่ก็อยู่ใกล้ๆกัน เรียกว่าเดินตั้งแต่ต้นยันจบได้เลย อย่าง วิหารโนเตรอดาม ลูฟท์ ประตูชัยเล็ก ลานประหารพระเจ้าหลุย์ที่ 16 (Place de la Concorde) ถนนชองเอลิเซ่ และประตูชัย



แผนที่ รถไฟใต้ดิน (metro) ของฝรั่งเศสครับ




รถไฟ-รถไฟใต้ดิน ในปารีส จะมีทั้งหมด 3 แบบครับ นั่นคือ

M หรือ Metro ซึ่งเป็นรถไฟใต้ดิน ปัจจุบันมี 14 สาย
T หรือ Tram เป็นรถราง หรือคล้ายๆรถไฟฟ้า BTS บ้านเราน่ะเอง ปัจจุบันมี 4 สาย
RER (แอร์เออแอร์) เป็นรถไฟสายยาว ที่เชื่อมต่อระหว่างกลางกรุงปารีสกับปารีสรอบนอกน่ะเอง (จึงคิดค่าโดยสารตามระยะทางไงครับ) มี 5 สาย ใช้ชื่อเรียกแต่ละสายเป็น A-B-C-D และ E

สำหรับ RER ที่นักท่องเที่ยวควรจะรู้จัก จะมี 3 สายครับคือ
สาย A ไป Paris Disneyland อีกฝั่งไป La Defense
สาย B ไปสนามบินทั้งสองแห่ง (สายเดียวกัน แต่ปลายทางคนละด้าน) โดย CDG จะอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่ Orly จะอยู่ทางใต้ ซึ่งจะสะดวกสำหรับคนที่ต้องต่อเครื่องบิน แต่ใช้อีกสนามบินหนึ่ง ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนรถไฟ
สาย C ไปแวร์ซายส์




สำหรับราคาค่าตั๋วรถไฟจะอยู่ที่ 1.70 ยูโร ต่อเที่ยว (รถไฟจะคิดเป็นเที่ยวครับ ไม่ได้คิดตามระยะทางสำหรับในเมือง)
แต่ถ้าต้องใช้บริการรถไฟเข้าเมือง RER (อย่างเช่นการไปสนามบินทั้ง 2 แห่ง CDG และ Orly) ออกไปแวร์ซายส์ หรือดีสนีย์ จะคิดตามระยะทางครับ

หรือถ้าวางแผนการท่องเที่ยวดีๆจะซื้อตั๋วแบบ carnet ที่เป็นตั๋ว 10 เที่ยวก็จะคุ้มสุดๆเลยล่ะครับ เพราะราคาแค่ 12 ยูโรเอง




สำหรับเรื่องบัตรโดยสารรถไฟสำหรับนักท่องเที่ยว หรือที่เรียกว่า Paris Visite จะสามารถนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน(metro) รถราง(tram) รถไฟออกไปนอกเมือง(RER) รวมไปถึงรถเมล์ได้เลยครับ เรียกว่าคุ้มค่า น่าใช้

สำหรับเรื่องแบ่งโซน ถ้าคิดจะเที่ยวแต่ในปารีส

โซน 1-3 จะเหมาะสำหรับคนที่เที่ยวแต่ในเมืองปารีสเป็นหลัก แต่โซนนี้จะรวมไปถึงเขต La Defense (ประตูชัยใหม่ในเมืองใหม่) ด้วย

แต่ถ้าใครจะไปเที่ยวแวร์ซายส์และ Paris Disneyland ควรเลือกซื้อแบบโซน 1-6 ครับ

สำหรับคนที่เที่ยวหลายๆวัน อาจจะผสมซื้อตั๋วหลายๆแบบก็ได้ครับ เพื่อความประหยัด เช่น
อาจจะซื้อ Paris Visite แบบ 2 วัน ในโซน 1-6 เพื่อไปแวร์ซายส์ กับ Paris Disneyland อย่างละวัน แล้วซื้อ แบบ 3 วันในโซน 1-3 สำหรับเที่ยวในเมืองหรือเลือกแบบ carnet ตั๋ว 10 เที่ยว ก็จะถูกลงครับ ถ้ามีแผนการท่องเที่ยวของตัวเองที่แน่นอน




ว่าแล้วก็เข้าเมืองดีกว่าครับ

ทางลงไปยังชานชาลาครับ ประตูของรถไฟฟ้าในปารีสจะเป็นแบบนี้ทั้งนั้นครับ ต้องสอดตั๋วโดยสาร แล้วประตูจะเปิดออก

สำหรับคนมีสัมภาระ กระเป๋าใบใหญ่ๆจะมีช่องขนาดกว้างพิเศษอยู่ด้วย ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลครับ




ลงมาถึงชานชาลา สำหรับรถไฟที่จะเข้าเมืองแล้วครับ



สภาพภายในรถไฟครับ อาจจะเคยได้ยินมาว่า รถไฟฟ้าในยุโรปจะเก่า สกปรก อันนี้เรื่องจริงครับ แต่มันก็ไม่ได้สกปรกมากมายอะไรหรอกครับ ที่เก่า ก็อย่าลืมว่า ระบบการขนส่งคมนาคมด้วยรถไฟฟ้าในบ้านเขา มียาวนานกว่าบ้านเรามากๆ แถมใครจะเอาอาหาร น้ำดื่ม ขึ้นมากินบนรถไฟฟ้า ก็ไม่มีกฎห้ามอะไร เลยเป็นสาเหตุให้เกิดความเก่าและสกปรกน่ะเองครับ



สำหรับทางออก ให้มองหาคำว่า Sortie (ซอร์เต้) ครับ




ในรถไฟนอกจากจะมีขอทาน วณิพก ก็ยังมีการแสดงอะไรแบบนี้ให้ดูด้วยครับ สำหรับใครที่ใจไม่แข็งพอ ก็ไม่ต้องไปสบตาขอทานตามรถไฟก็ได้นะครับ เพราะที่จริง เขาก็ไม่ค่อยตื้อเท่าไหร่



สถานีรถไฟหน้าตาจะประมาณนี้น่ะครับ



ภาพแรกในปารีส ก่อนที่จะรู้ตัวว่ามาโรงแรมผิดสาขา T_T




สำหรับโรงแรมที่พักที่ผมเลือก เป็น Ibis Paris Ornano Montmartre Nord ที่อยู่สุดสายรถไฟใต้ดิน(Metro) สาย 4 (สีม่วง) ทางด้านเหนือ สถานี Porte de Clignancourt เดินทางมาจากสนามบินก็ไม่ยาก หรือถ้ามาจากสถานีรถไฟใหญ่อย่าง Gare du Nord ก็ไม่ไกลเท่าไหร่

โดยจากสนามบินนั่งรถไฟ (มีสายเดียวที่มาจากสนามบิน คือ RER สาย B) แล้วมาเปลี่ยนรถไฟที่สถานี Gare du Nord เป็นรถไฟใต้ดิน(Metro) สาย 4 (สีม่วง) มองหาปลายทางสถานี Porte de Clignancourt ได้เลยครับ อีก 5 สถานีเอง

แต่ว่ามาถึงปารีสก็ปล่อยไก่ตัวโตเลย อย่างแรกคือ ไปโรงแรมผิดครับ คือไป Ibis Montmartre อีกสาขา (Ibis ในปารีสมีเกือบ 40สาขาได้มั้งครับ เยอะมากๆๆ)



โรงแรมอยู่บนถนน Ornana เยื้อง Mc Donald ไปหน่อยครับ ก่อนถึงโรงแรม มีร้านอาหารจีน ที่รสชาติพอฝากท้องได้ครับ ที่สำคัญอิ่มและประหยัดไปได้มาก 55 ไปๆมาๆ ก็ฝากท้องที่ร้านนี้หลายมื้ออยู่เหมือนกัน

สำหรับคนที่กลัวว่าย่าน Montmartre จะน่ากลัวเพราะเป็นย่านคนดำอพยพ ผมว่าก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นะครับ เพราะเท่าที่เห็น ก็ไม่ได้มีแต่แอฟริกันอพยพอย่างเดียว แต่ตอนนี้มงมาร์ต เป็นแหล่งชุมชนใหญ่ที่มีคนหลายเชื้อชาติเข้ามาอยู่ ทำให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลายๆ ไม่ว่าจะร้านค้าร้านอาหารให้เราเลือกทานหลายๆชาติ ร้านซักรีดที่เราเอาเสื้อผ้าไปซักได้หลังจากเที่ยวมาหลายๆวันในราคาถูก รวมไปถึง supermarket หลายแห่ง ที่สำคัญยังมีตลาดนัด ให้เลือกซื้อของฝากราคาย่อมเยาอีกด้วยครับ



ฝั่งตรงข้ามโรงแรม และข้างๆโรงแรมจะมีร้านซักรีดแบบหยอดเหรียญให้เราเลือกใช้บริการได้

ราคาก็ถูกกว่าส่งซักตามโรงแรมมาก อย่างผมตื่นเช้ามาซักผ้า ปั่นผ้าจนแห้ง ก็ใช้เวลาแค่ ชม.เดียวครับ



บริเวณ Lobby โรงแรมเล็กมากครับ ถัดไปหน่อย จะเป็น bar เครื่องดื่มครับ



บริเวณด้านนอก เป็นโถงกลางโรงแรม ที่ล้อมด้วยห้องพัก จุดนี้สามารถสูบบุหรี่ได้ด้วย



ภายในห้องพัก ถึงจะเล็ก แต่ผมก็ว่ามันใหญ่กว่าห้องพักในโรงแรมที่สิงคโปร์ ฮ่องกงในราคาพอๆกันนะครับ



โต๊ะวางของ พร้อม TV 17 นิ้ว และตู้เสื้อผ้าขนาดพอเหมาะกับห้อง



ภายในห้องน้ำครับ ที่นี่ไม่มีแปรงสีฟัน หรือ kit ในห้องน้ำบริการนะครับ (แต่ถ้าใครลืมเอามาก็มีตู้อัตโนมัติจำหน่ายด้านล่าง) จะมีแค่สบู่เหลว 2 จุดแบบติดผนังไว้ ใกล้อ่างล้างมือ กับผักบัว



สุขภัณฑ์ และห้องอาบน้ำที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่



ฝักบัวที่แรง และน้ำอุ่นสู้หนาวได้ดีสุดๆ พร้อมสบู่เหลวแบบ 2 in 1 คือ ใช้ได้ทั้งถูตัวและสระผม คุณภาพดีเลยล่ะครับ



ที่สำคัญ มีเครื่องเป่าผมให้ด้วยครับ



อีกมุม ตรงประตูทางเข้าห้องครับ



สำหรับราคาห้องพัก 4 คืนจ่ายไป 377 ยูโร ครับ

ไหนๆก็ review ห้องพักแล้ว ของ review อาหารเช้าด้วยเลยละกันครับ



อาหารเช้าแบบฝรั่งจ้ามาเลยครับ ขนมปังหลากหลายมาก แต่เนื้อสัตว์จะน้อยไปหน่อย



ตู้กดเครื่องดื่ม ทางซ้ายคือ น้ำผลไม้ มีให้กด 3 อย่างครับ คือ น้ำส้ม แพชั่นฟรุตและน้ำผลไม้รวม ทางขวาคือ ตู้กดกาแฟ



คอร์นเฟล็ก และแยมต่างๆ ผลไม้ด้านหลัง หยิบทานได้นะครับ ผมเห็นฝรั่งแอบเก็บไปด้วย



อีกฝั่งนึงครับ



ขนมปังต่างๆ รวมถึงครัวซอง ต้นตำรับฝรั่งเศส



มุมนี้เป็นแหล่งโปรตีนครับ นม โยเกิร์ต (ถ้ามาเช้าหน่อยจะยังมีโยเกิร์ตรสชาติผลไม้แปลกๆทาน แต่พอสายๆเหลือแต่รสธรรมชาติซะงั้น) ตลอด 4 วันที่พัก ผมก็เห็นมีแต่แฮม (ที่มีฝาชีพลาสติกใสนั่นครอบ) แค่อย่างเดียวนะครับ ที่จัดว่าเป็นเนื้อสัตว์



ว่าแล้วก็เตรียมตัวออกเที่ยววันแรกดีกว่าครับ ว่าแล้วก็ได้ใช้บริการร้านอาหารจีน ติดกับโรงแรมซะเลย

ร้านอาหารจีนแบบนี้ จะขายอาหารแบบให้ซื้อกลับบ้านซะเป็นส่วนใหญ่ครับ เลยจะใส่กล่องพลาสติก (มีหลายขนาดเลือก size ได้) แต่ถ้าจะทานที่ร้าน ก็สั่งได้ครับ เขาจะจัดเตรียมจาน มีด ส้อม (ไม่มีช้อนตามธรรมเนียมฝรั่ง) แล้วถ้าอาหารไม่ร้อน ก็จะอุ่นให้อีกที



เราก็สั่งเครื่องดื่มเพิ่ม โดยแต่ละมื้อ ราคาจะไม่แพงเท่าไหร่ อยู่ที่เราเลือกจะทานครับ อย่างผม 2 คนก็ประมาณ 20 ยูโรราวๆนี้ครับ มื้อกลางวันนี้กินเอาแรงก่อนจะไปตะลุยเที่ยวกันต่อครับ




Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2553 10:18:38 น. 4 comments
Counter : 20658 Pageviews.

 
โอ้ววเดินทางจนสะสมไมล์ไปปารีสได้ แสดงว่าชีวิตอยู่กับการเดินทางเลยนะคะเนี่ย
ขอตามไปเที่ยวต่อด้วยคนจนจบทริปนะคะ คงไปเองลำบากเพราะตอนนี้มีอยู่สองหมื่นกว่าไมล์เองค่ะ อิ อิ


โดย: apple.007 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:34:27 น.  

 
ดีจังเลยคะ กำลังสะสมไมล์อยู่เหมือนกัน ใกล้แล้วด้วย
Review แบบละเอียด ๆ นะคะจะได้เดินตามรอยได้ ^-^

อ๋อ... 70,000 ไมล์เท่ากันปีนี้แลกไป นิวซีแลนด์เกาะใต้ขับรถบ้านเที่ยวเอง เผื่อว่าถ้าอยากไปยินดีแบ่งปันข้อมูลนะคะ


โดย: Babyoil IP: 192.168.100.167, 58.137.7.194 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:43:24 น.  

 
บล็อคละเอียดยิบเลยค่ะ ขออนุญาติศึกษาไว้เป็นแนวทางนะคะ


โดย: Sugar lip วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:0:37:22 น.  

 
โรงแรมที่พักนี่ราคาเท่าไหร่เหรอคะ


โดย: bowvy IP: 125.24.84.69 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:0:24:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.