ตะลุยเส้นทางสีเขียว .. เชียงใหม่ แม่แจ่ม แม่กลางกลวง
เชียงใหม่ เมืองใหญ่ๆ ที่เที่ยวมากมาย ไปยังไงก็ไม่ครบซักที..
ให้ตายสิ ผมชอบเชียงใหม่มากๆ เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายของทรัพยากรการท่องเที่ยวมาก ... ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไหน เชียงใหม่ให้คำตอบได้หมด (ยกเว้นทะเลนะ) ..ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งนึง ....ผมขอเที่ยวในอีกรูปแบบ .. ขอตามหาสีเขียว และความชุ่มชื้น ...จากเมืองที่ห่างไกล ..และผืนป่าหน้าฝน ^^..
ทริปนี้ถือว่าบรรยากาศค่อนข้างเป็นใจมาก... เพราะวันที่เดินทางมาเชียงใหม่ ทางกรมอุตุนิยมเค้าบอกว่าฝนจะตกหนักมาก เนื่องจากมีมรสุมพาดผ่านเข้ามา ... แต่พอได้มาถึงเชียงใหม่จริงๆ แล้ว .. แดดจ้าเชียว ..
---------
เราเริ่มเดินทางวันที่ 26/08/2554 ช่วงเย็น ด้วยเครื่องบินจาก airasia ถึงเชียงใหม่ประมาณสองทุ่ม .. .. นอนพักที่โรงแรมลิลู ..โรงแรมสุดคุ้มอีกแห่งในเมืองเชียงใหม่ ..
โรงแรม ลิลู จ.เชียงใหม่
27/08/2554 ตื่นเช้า หม่ำอาหารเช้าแล้วก็เริ่มทัวร์ทันที .. เช่ารถ Nissan Tiida จาก Northwheels ในราคาวันละ 1,050 บาท .. (มัดจำ 5,000 คร๊าบ)
วันแรก เป็นการเดินทางสู่อำเภอแม่แจ่ม ...เราแวะเที่ยวที่น้ำตกแม่ยะ โชคดีมาก ตอนที่เราไปไม่มีคนเลย .. มีโอกาสได้เก็บรูปมาฝากกันอย่างเต็มอิ่มเลยครับ ..
สายธารน้ำตกแม่ยะ
น้ำตกแม่ยะ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ มีความสวยงามติดอันดับหนึ่งในสิบยอดน้ำตกของ ประเทศไทย
ทางเดินไปสู่น้ำตก
สายน้ำจะไหลลงมาตามหน้าผาสูงชันราว 280 เมตร กระทบโขดหินเป็นชั้น ๆ เหมือนม่านน้ำ แล้ว ไหลลงไปรวมกันที่แอ่งน้ำใสเบื้องล่าง สามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย รอบ ๆ บริเวณเป็นป่าเขาร่มรื่นเงียบสงบ
เริ่มเห็นความอลังการอยู่ลิบๆ
ปริมาณน้ำมากมายมหาศาลของน้ำตกแม่ยะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนนั้น เกิดจากต้นน้ำในผืนป่าสูงบนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศไทย
ถีงเป็นฤดูฝน สายน้ำก็ยังน่าเล่นอยู่นะ..
ความอลังการ .. น้ำตกใหญ่มากจนกล้องเก็บภาพได้ไม่ทั่ว ..
ผืนน้ำกับฟ้าใสๆ
เราทานอาหารกลางวันกันที่น้ำตกแม่ยะ หลังจากนั้นแวะน้ำตกวชิรธารกันครับ .. แต่อยู่ได้แปปเดียว .. ตัวก็เปียกไปหมดแล้ว .. ดูจากภาพนะครับ ละอองน้ำมหาศาลเลย ..
น้ำเยอะและแรงมาก ผมเปียกไปหมดเลย ..
น้ำตกวชิรธาร .. เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมชื่อ ตาดฆ้องโยง ตัวน้ำตกอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 750 เมตร น้ำจะดิ่งจากผาด้านบนตกลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ในช่วงที่มีน้ำมากละอองน้ำจะสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณรู้สึกได้ถึงความเย็นและชุ่มชื้น
ส่องประกายเจิดจ้า ..
สะพานไม้ที่ทอดยาว เข้าไปหาหน้าผานั้นจะเปียกลื่นอยู่ตลอดเวลาในฤดูน้ำมาก แต่หากเดินเข้าไปจนสุดจากจุดนั้นจะได้สัมผัสกับความงามของน้ำตกมากที่สุด เราพักทานไอติมและนั่งเล่นกันสักพัก .. หันมาดูนาฬิกาอีกครั้งก็ได้เวลาบ่ายสองแล้ว .. จำเป็นต้องรีบเดินทางเข้าสู่เมืองแม่แจ่มแล้วเพราะว่าหากช้ามันจะมืดเอา ^^
เส้นทางเข้าสู่อำเภอแม่แจ่ม.. เห็นยอดดอยอินทนนท์อยู่ลิบๆ..
เส้นทางเข้าสู่อำเภอแม่แจ่มนั้นค่อนข้างคดเคี้ยวและอันตราย .. ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะน่าตื่นเต้นขนาดนี้ แต่คนขับรถเค้าเก่งอยู่แล้ว ขับช้าๆหน่อยแต่ถึง ชัวร์ ดีกว่า .. อิอิ.. ขับมาได้สักพัก .. เริ่มมีกลิ่นเหม็นไหม้ .. พวกเราตัดสินใจหยุดพักกันสักครู่ .. ฝืนไปกลัวจะเบรกแตกเอา ..
ในที่สุดเราก้ถึงตัวเมืองแม่แจ่มกันอย่างปลอดภัย .. เราหาโรงแรมที่โทรไปจองไว้ ชื่อว่า "โรงแรมแม่แจ่ม"... และในที่สุดก็เจอ.. โอ้ โรงแรมแม่แจ่มนี่ดูขลังดีแท้ ..
โรงแรมแม่แจ่ม
โรงแรม ขลัง มาก ..
เราเข้าพักที่บังกะโลว์หลังโรงแรม บรรยากาศติดทุ่งนาแปลงเล็กๆ .. มองไปเบื้องหน้า .. เห็นความยิ่งใหญ่ของยอดดอยอินทนน์อย่างไม่ยากลำบากนัก ด้วยสนนราคาเพียงคืนละ 500 บาทต่อหลัง .. พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน .. แอร์ ตู้เย็น ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ... เราขอมอบตำแหน่งโรงแรมสุดคุ้มแห่งแม่แจ้มให้ท่านเลย จ้า ..
ยอดดอยอินทนนท์
หลังจากนั้นเราจึงได้เช่าจักรยาน คันละ 30 บาท .. เตรียมออกปั่นเล่น และหาอะไรทานยามเย็น .. แต่รู้สึกว่าคิดผิด .. เพราะว่าเหนื่อยมากกก.. ครับ .. เมืองที่นี่เป็น เนินเขา น่ะ ตอนปั่นขึ้นเขานี่ทรมานสุดๆๆ...555
สระว่ายน้ำ ที่โรงแรมแม่แจ่ม ... วิวสวยมากครับ ..
...เราปั่นจักรยานไปได้สักพัก .. เริ่มไม่ไหว .. กลับที่พักแล้วไปเอารถยนต์มาออกเที่ยวกัน ... มีโอกาสได้ไปแวะร้านแม่แจ่มโพสท์ .. พี่เจ้าของร้าน แนะนำร้านอาหาร เป็นร้านเด็ดริมแม่น้ำแม่แจ่ม .. อร่อยมากๆ แม้แต่หัวปลายังไม่เหลือ .. เชื่อไหม .. หลังจากอิ่มแปล้ ... เราไปนั่งเล่นที่ร้านนม(น่าจะแห่งเดียวของแม่แจ่ม) .. ชื่อแปลกมาก ร้าน .... "กิญ ลืม มึณ" !!!.. กลับมาที่โรงแรมแม่แจ่ม .. เราออกมาเดินเล่นกันครับ .. ดีใจมากที่ค่ำคืนนี้ฟ้าใส .. ฟ้าใสจนเห็นทางช้างเผือก .... เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละครับ .. 28/08/2554 เราตื่นเช้า ดูพระอาทิตย์ขึ้น ที่ตัวเมืองแม่แจ่ม .. ขึ้นเขาไปไกลพอสมควร สูดไอหมอกและบรรยากาศ สดชื่นมาก ..
ทิวเขา และอ่างเก็บน้ำ เมืองแม่แจ่ม..
วันนี้เมฆหนามาก ... เราลุ้นว่าจะได้มีโอกาสเห็นดวงอาทิตย์หรือไม่ .. โชคเข้าข้างเรา .. เราได้เห็นแสงอาทิตย์กระทบไอหมอก .. เป็นภาพที่งดงามมากครับ ..
แสงอาทิตย์เคล้าไอหมอก
แสงแรก ติดตา ตรึงใจ ..
เมื่อชมพระอาทิตย์ขี้นเรียบร้อยแล้ว .. เราลงมาเที่ยวนาขั้นบันไดสวยๆ ด้านล่าง หาอะไรรองท้องที่ตลาด กินไข่ลวก และกาแฟร้อนๆ .. เก็บข้าวของและเที่ยวแม่แจ่มกัน ...
วัดกู่
อีกภาพครับ ..
จากนั้นผมจึงกลับที่พัก ... เราออกเดินทางต่อ เพื่อเที่ยววัดในเมืองแม่แจ่มกัน ..แต่เวลามีไม่มาก .. น้ำท่วมถนนที่ส่วนเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแล้ว .. ... วัดที่แม่แจ่มเป็นวัดเก่าๆ และสวยทั้งนั้น .. เราไปวัดพุทธเอ้น ..วัดเก่าแก่ซึ่งมีน้ำผุดว่ากันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ .. จึงดื่มไปสองอึก .. สดชื่นอีกแล้ว ..
วัดพุทธเอ้นก่อสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว มีโบราณสถานซึ่งขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้วคือ โบสถ์น้ำ
โบสถ์น้ำ ..ลักษณะคือสร้างในสระสี่เหลี่ยมโดยปักเสาลงในน้ำล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง บริเวณรอบโบสถ์จนถึงกำแพง เรียกว่า อุทกสีมา
มีความหมายเหมือนกับ ขันทสีมา ของโบสถ์บนบก โบสถ์น้ำนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้ว
ครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาที่นี่ ประทับอยู่ที่เชิงดอยข้างๆ เมื่อฉันเช้าแล้วก็ทรงบ้วนพระโอษฐ์ ตำแหน่งที่บ้วนพระโอษฐ์เกิดเป็นตาน้ำไหลออกมาถือเป็นบ่อน้ำทิพย์
ทรงตะโกนบอกชาวบ้านให้สร้างวัดที่นี่ เป็นที่มาของชื่อวัดว่า วัดพุทธเอิ้น ซึ่งหมายความว่าตะโกนพูด คำว่าเอิ้นได้แปลงมาเป็น เอ้น ในทุกวันนี้
..โดยบ่อน้ำทิพย์ที่ว่านั้นอยู่ที่หน้าวัด มีคนมาสร้างศาลาคร่อมไว้ มีตาน้ำผุดไหลออกมาเป็นน้ำใสสะอาด มีชาวบ้านนำถังมารองน้ำไปใช้บริโภค
อีกวัดคือวัดป่าแดด .. วัดสวยงามหลังวัดเป็นทุ่งนา กว้างขวางสุดสายตา ..
ทุ่งนา ที่วัดป่าแดด..
วัดป่าแดดเป็นวัดขนาดเล็ก สร้างในปี พ.ศ.2420 มีภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหาร ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ วาดโดยช่างแต้มชาวไทยใหญ่ เป็นเรื่องพุทธประวัติ และชาดกต่างๆ ขณะที่ได้ทำการบันทึกรูปอยู่นั้น คุณลุงท่านนี้มาให้ผมถ่ายรูปให้ แล้วให้บอกต่อๆ ไปว่าถ่ายมาจากวัดป่าแดด .. ผมทำแล้วนะครับ ^^
คุณลุงที่วัดป่าแดด
ใกล้เที่ยงแล้ว....ได้เวลาอันสมควร ..หลังจากนั้นเราจึงเตรียมขึ้นดอยอินทนนท์กัน .. ฝนเริ่มตั้งเค้าแล้วสิ .. "ยอดดอยหนาวมาก.." หนาวประมาณ 15 องศา แถมฝนตกอีก .. ตอนขึ้นพระธาตุ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เราติดอยู่บนพระธาตุกันอยู่ 5 คน ร่วมครึ่ง ชม 555 ... แต่ก็ในที่สุด ก็ลงมาได้ .. ตัวเปียก มะล่อกมะแล่กเลยครับ
...พระธาตุที่เราเห็นอยู่ 2 องค์นั้นคือพระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างขึ้นโดยกองทัพกอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย
เมื่อฝนซา .. เราฝ่าไอหมอกขึ้นไปที่ยอดดอยอินทนนท์กันครับ บรรยากาศหนาวจับใจ ..ชุ่มชื้นมากแถมฝนตกอีก ก็ดีไปอีกแบบหนึ่งครับ
บรรยากาศ ณ ยอดดอยอินทนนท์.
ทางเดินที่ชุ่มชื้น
เมื่อเที่ยวชมยอดดอยอินทนนท์เป็นที่เรียบร้อย พวกเราเตรียมตัวลงไปที่ตีนดอยเพื่อเข้าที่พักสำหรับค่ำคืนนี้กันครับ ..... อยู่ที่บ้านที่แม่กลางหลวง ที่พักของเรานั้นชื่อว่า คีรีมายา .. เป็นบ้านพักในทุ่งนาขั้นบันได ..
คีรีมายา..
บรรยากาศด้านหน้า และความสวยงามที่เราได้เห็น .. ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ... นาข้าวสีเขียวอ่อน กระทบแสงแดดสีทองยามบ่ายแก่ๆ .. มันงดงามเกินบรรยายจริงๆ ..
นาขั้นบันได..
...
อาทิตย์สาดแสง..
....ที่นี่ มีพี่พนักงานคนนึง เป็นชาวเขา ชื่อว่า "คาทู" .. เค้าน่ารักมาก ..ทำหมดทุกอย่างเลย กวาดบ้าน ถูบ้าน แนำนำเรื่องอาหาร ชงกาแฟ .. (มีพนักงานอยู่คนเดียวนั่นแหละ 555) ..ในขณะที่พี่สมศักดิ์ (เจ้าของ) กำลัง ง่วนอยู่กับการช่วยน้องๆ ทำโปรเจคไฟฟ้าพลังงานลม .. เพื่อเตรียมถวายองค์สมเด็จพระเทพฯ และขอทุนดำเนินการเพื่อช่วยหมู่บ้านที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ (น่าทึ่งจริงๆ) ...
บรรยากาศยามเย็นที่นี่งดงามมาก .. เราทานข้าวกันกลางทุ่งนาและนั่งดู ..ทางช้างเผือก ท่ามกลางความเหน็บหนาว .. หลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน .. เวลาที่มีความสุขใกล้หมดลงแล้ว ..
มื้อเย็นที่แม่กลางหลวง ..
ขอแบ่งปันรูปถ่ายของทางช้างเผือกที่ผมเก็บภาพมาได้ครับ.. ต้องยืนขาแข็งกดชัตเตอร์นานหลายนาทีเลยทีเดียว .. แต่เพื่อแบ่งปันให้คนอื่นได้เห็นสิ่งที่เราเห็นเหมือนกัน ..ผมยอมครับ ^^
ทางช้างเผือก เป็นแถบขมุกขมัวคล้ายเมฆของแสงสว่างสีขาวในท้องฟ้าที่คาดไปรอบทรงกลมฟ้า เกิดจากดาวฤกษ์จำนวนมากภายในดาราจักรที่มีรูปร่างเป็นแผ่นจาน
ทางช้างเผือก
คนในเมืองใหญ่ไม่มีโอกาสมองเห็นทางช้างเผือกเนื่องจากมลพิษทางแสงและฝุ่นควันในตัวเมือง แถบชานเมืองและในที่ห่างไกลสามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ แต่บางคนอาจนึกว่าเป็นก้อนเมฆในบรรยากาศโลก 29/08/2554 วันนี้เราตื่นค่อนข้างเช้า เดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ที่แม่กลางหลวงแห่งนี้ .. นาข้าวที่นี่กำลังเขียวสวยพอดีเลยครับ ..
นาข้าวที่คีรีมายา
บ้านแม่กลางหลวง ตั้งอยู่ในหุบเขานาขั้นบันไดอันเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 3 บนดอยอินทนนท์
มีชนเผ่ากระเหรี่ยงอาศัย ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มชาติ พันธุ์ กระเหรี่ยงในกลุ่มสะกอ หรือยางขาวในภาษาราชการ หรือที่รู้จักในชื่อ ปกาเกอะญอ หรือ คานยอ (Kanyaw) อันหมายถึง ผู้มีความสมถะและเรียบง่าย
บริเวณลุ่มแม่น้ำแม่กลางประกอบด้วยชุมชนย่อย 4 แห่ง คือ ชุมชนบ้าน อ่างกาน้อย ชุมชนบ้านแม่กลางหลวง ชุมชนบ้านหนองหล่ม และชุนบ้านผาหมอน
เราทานอาหารเช้ากัน หลังจากนั้นจึงเตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง .. วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปซะแล้วสิ .. เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมออย่างนี้สินะ เราอำลาแม่กลางหลวงกันด้วยนาผืนใหญ่ผืนนี้กันครับ ..
ข้าวแต่ละแปลงถูกแบ่งด้วยคันนารูปร่างแตกต่างกันออกไป ... ดูไม่ซ้ำซากจำเจดีนะ ^^
เราเดินทางออกมาถึงอำเภอจองทองอย่างรวดเร็ว .. จึงมีโอกาสแวะพระธาตุจอมทองซึ่งสวยงามอลังการมากครับ ..
พระธาตุศรีจอมทอง อยู่ในอ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทักษิณโมลีธาตุ พระธาตุส่วนที่เป็น พระเศียรเบื้องขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตามประวัติเล่าว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ ดอยจอมทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 218
เมื่อสักการะพระธาตุกันเสร็จแล้ว ..เราทานอาหารกลางวันและเตรียมไปอีกวัด ... วัดสีเขียว .. ที่ผมอยากไปมากครับ "วัดอุโมงค์" วัดเก่าแก่ซึ่งมีประวัติความเป็นมา .. ยาวนานมาก ..
เมื่อปี พ.ศ. 1839 พระยามังรายทรงสร้างอาณาจักรล้านนาร่วมกับพระสหาย คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์ปกครองสุโขทัย และพระเจ้างำเมือง กษัตริย์ปกครองพะเยา มาสร้างเมืองเวียงเหล็ก (บริเวณวัดเชียงมั่นในปัจจุบัน) และตั้งชื่อเมืองว่า “นพบุรี ศรีนครพิงค์”
ท่านมีความใฝ่ในศาสนาพุทธ จึงทรงทำนุบำรุง ส่งเสริมศาสนาให้รุ่งเรืองในล้านนา ในขณะนั้น
ทางฝ่ายพระเจ้ารามคำแหงมหาราชได้ส่งคนนิมนต์พระสงฆ์จากลังกามาอาศัยอยู่ใน จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อที่พระสงฆ์ได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุโขทัย
เมื่อพระยามังรายทราบข่าวดังกล่าว จึงส่งคนไปนิมนต์พระลังกาจากพระเจ้ารามคำแหง 5 รูป โดยจำพรรษาที่วัดการโถม
ต่อมาพระยามังรายสร้างวัดเวฬุกัฏฐาราม (ปัจจุบัน คือ วัดอุโมงค์) เมื่อสร้างเสร็จจึงอาราธนาพระมหากัสสปะเถระจำพรรษาที่วัดแห่งนี้
จนถึงสมัยพระเจ้าผายู ศาสนาพุทธได้รับการฟื้นฟูจนถึงสมัยพระเจ้ากือนาธรรมาธิราช (ประมาณ พ.ศ. 1910) ท่านมีความเลื่อมใสในพระมหาเถระจันทร์ พระเจ้ากือนาจึงสั่งให้คนบูรณะวัดเวฬุกัฏฐาราม เพื่ออาราธนาพระมหาเถระจันทร์จำพรรษาทีวัดแห่งนี้ และตั้งชื่อวัดนี้ว่า “วัดอุโมงค์เถรจันทร์” มีการสร้างอุโมงค์ไว้ทางทิศเหนือจากเจดีย์ ในอุโมงค์มีทางเดิน 4 ช่องซึ่งเชื่อมต่อกันได้
ราชวงศ์มังรายล่มสลาย เมื่อปี พ.ศ. 2106 เปลี่ยนเป็นพม่าปกครองล้านนา ทำให้วัดอุโมงค์ขาดการทำนุบำรุง ปล่อยให้ร้าง ปรักหักพังเรื่อยๆ
ต่อมา เจ้าชื่น ชิโนรส ได้จัดการแผ้วถางบูรณะวัดนี้ และสร้างกุฏิหลังใหม่เพิ่ม จากนั้นจึงนินต์พระภิกษุปัญญานันทะจากสวนโมกข์ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มาจำพรรษา และท่านได้เผยแพร่ศาสนาสืบไป
เจดีย์วัดอุโมงค์
เป็นเจดีย์ทรงระฆังระยะแรกของศิลปะล้านนาที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 19 ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ในศิลปะสุโขทัย
สัมผัสความงดงามของวัดอุโมงค์กันแล้ว .. เรามีความตั้งใจจะขึ้นไปที่พระธาตุดอยสุเทพ .. แต่สมาชิกเกิดคลื่นใส้ขึ้นมาก่อนในขณะกำลังเดินทางขึ้น .. เราจึงเปลี่ยนแผนมาเที่ยววัดในเมือง คือ วัดพระสิงห์ ... วัดสำคัญแห่งเมืองเชียงใหม่ซึ่งสวยงามมากครับ ..
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในบริเวณคูเมืองเชียงใหม่ ประดิษฐานพระสิงห์ (พระพุทธสิหิงค์) พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่และแผ่นดินล้านนา
พระพุทธสิหิงค์
ส่วนพระพุทธสิหิงค์ หรือ พระสิงห์ เป็นพระพุทธรูปโบราณหล่อด้วยสำริดหุ้มทอง เป็นศิลปะแบบลังกา ต่อด้วยวัดเจดีย์หลวงเป็นวัดสุดท้าย ... วัดนี้ใหญ่และอลังการจริงๆครับ
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ในจังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา ไม่ปรากฏปีที่สร้างแน่ชัด เป็นพระอารามหลวงแบบโบราณ มีการบูรณะมาหลายสมัย โดยเฉพาะพระเจดีย์ เป็นองค์พระเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดองค์หนึ่งในเชียงใหม่
ในสมัยมหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศ์มังราย เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหว พระมหาเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปนานกว่า 400 ปี พระมหาเจดีย์หลวงที่เห็นปัจจุบันกรมศิลปกรเพิ่งจะ บูรณปฏิสังขรณ์เสร็จไปเมื่อ พ.ศ. 2535
รู้สึกว่าเราใช้เวลาได้คุ้มจริงๆ ครับ วันหนึ่งๆ นี่ไปเที่ยวหลายที่มาก และใช้เวลาได้เต็มที่จริงๆ ... เราเดินชมศิลปะกันอย่างเต็มอิ่ม ที่วัดเจดีย์หลวงแห่งนี้ .. ไดเวลาทำวัตรเย็นของพระในวัดพอดี ..
ฉะนั้นก็คงได้เวลาของเราแล้วครับ เวลาที่จะซื้อของฝาก .. เราแวะซื้อของฝากที่กาดวโรรส ใส้อั่ว แคบหมู อะไรประมาณนี้ครับ คนค่อนข้างน้อยเพราะว่าเป็นวันจันทร์ ...
ขากลับ เที่ยวบินที่นั่ง ..ตื่นเต้นมากครับ .. กัปตันแจ้งว่า ..บรรยากาศแปรปรวน ให้นั่งอยู่กับที่ ... ผมก็ยอมนั่งครับ แต่นั่งไม่ติดเก้าอี้เลย มันเสียว หงะ .. แต่ในที่สุด ..ก็ ..ถึง กทม โดยสวัสดิภาพในเวลา 00:00 น.ของวันที่ 30/08/2554 ครับ
**************** แล้วเจอกันอีกนะ เชียงใหม่ ....
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก //www.thai-tour.com //www.paiteaw.com //www.paiduaykan.com //th.wikipedia.org
Create Date : 10 กันยายน 2554 |
|
39 comments |
Last Update : 11 กันยายน 2554 1:19:29 น. |
Counter : 20263 Pageviews. |
|
|
|
สวยค่ะเห็นเเล้วอยากไปบ้าง