กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยที่เวทย์มนต์และคาถาอาคมยังเฟื่องฟู ทำให้สมัยนั้นมีจอมขมังเวทย์มากมาย ทั้งสายขาวซึ่งเป็นสายที่คอยช่วยเหลือผู้คนและสายดำที่คอยทำร้ายผู้คน ทั้งที่อยู่ในฐานะของหมอยา หมอดู หมอผี ซึ่ง อาจารย์คงก็เป็นหนึ่งในนั้น
อาจารย์คงเป็นหมอผีชื่อดัง ทุกคนต่างก็รู้ว่าแกเป็น ของจริง จากผลงานในการปราบผีมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ชื่อเสียงแกโด่งดังไปทุกทั่วสารทิศ ไม่มีใครไม่รู้จักอาจารย์คง
คืนนี้ก็เช่นกัน อาจารย์คงนั่งบริกรรมคาถาอยู่ที่ท่าน้ำแห่งหนึ่งพร้อมลูกศิษย์อีก3 คน หลังจากบริกรรมคาถาไปสักพัก ท้องฟ้าที่เคยโปร่งก็ปรากฏเมฆมาบังจนมืดครึ้ม สายลมที่เคยพัดบางเบาก็กลับโหมกระหน่ำดั่งเกิดพายุ ก่อนที่จะปรากฏร่างหญิงสาวในชุดสไบสีโศกค่อยๆปรากฎตัวโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำ เมื่อโผล่พ้นมาทั้งตัวเธอก็ตวาดใส่หมอผีอย่างเกรี้ยวกราด
เราไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ข้าไม่เคยไปรบกวนท่าน ไฉนท่านถึงได้มาระรานข้าด้วย
อาจารย์คงถอนหายใจก่อนจะตอบวิญญาณสาวไปอย่างลำบากใจ
เจ้าอาจไม่เคยระรานข้า แต่คนที่จะมาอยู่ที่นี่ไม่ต้องการให้เจ้าอยู่อีกต่อไป เจ้าไปอยู่ที่อื่นซะเถอะ
ไม่ ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะรอคนรักของข้าอยู่ที่นี่ ข้าสัญญาว่าจะไม่รบกวนใคร จะขออยู่อย่างสงบ ต่างคนต่างอยู่ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เลย
วิญญาณสาวพยายามต่อรอง
ข้าคงให้เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก เพราะข้ารับงานมาแล้ว ถ้าพูดดีๆ ไม่ไป ข้าก็คงต้องใช้ไม้แข็งแล้ว
พูดจบก็ร่ายคาถา ทำให้วิญญาณสาวกรีดร้องอย่างโหยหวน ดิ้นรนอย่างทุรนทุราย ก่อนจะปรากฏเชือกรัดร่างของเธอไว้ก่อนจะดูดลงหม้อที่ตั้งไว้ตรงหน้า อาจารย์คงรีบเอายันต์ปิดฝาหม้อเอาไว้
หลังเสียงกรีดร้องสิ้นลงสักพักท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มก็กลับมาสดใสดังเดิม ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น อาจารย์คงยื่นหมอที่ใช้กักขังวิญญาณสาวให้กับลูกศิษย์
เอ็งเอาไปถ่วงน้ำซะ เอาไว้ใกล้ๆ วัดนะ แถวนั้นเป็นเขตอภัยทานคงไม่มีใครบังเอิญไปเจอแน่ อีกสักเดือนถ้าข้าว่าง ข้าจะไปทำพิธีปลดปล่อยดวงวิญญาณเอง
แต่วันนั้นก็ไม่มีวันมาถึง เพราะอาจารย์คงโดนลูกศิษย์ทรยศ ทำให้โดนหมอผีไสย์ดำฆ่าตายไปซะก่อน ก่อนสิ้นใจแกได้ฝากข้อความแก่ทายาที่เหลืออยู่ของแก แต่ไม่มีใครเข้าใจความหมายของคำนั้นสักคน
ปลดปล่อย
และคำๆนี้ก็ถูกลืมและเลือนหายไปตามกาลเวลา
ปัจจุบัน
แกร็ก ซ่า!
หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นกำลังสาวแหที่หว่านลงไปในน้ำขึ้นมาอย่างช้าๆเมื่อสาวขึ้นมาหมดก็ได้แต่ถอนหายใจดังเฮือกใหญ่
ไรว้า ไม่ได้ปลาซักกะตัว มันหายหัวไปไหนกันหมดวะเนี่ย
ปิ่นว่าเลิกเหอะสร้อย นี่ก็ทอดแหมาเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ซักกะตัวเลย นี่ก็เริ่มมืดแล้วด้วย
หญิงสาวผิวขาวร่างเล็กที่นั่งข้างถังน้ำด้านหลังเธอเอ่ยขึ้นพร้อมลูบแขนตัวเองไปมาเพื่อไล่ยุง
แปลกเหมือนกันนะ สร้อยทำสีหน้าครุ่นคิด ปกติปลาแถวนี้ชุมออก เหวี่ยงไปไม่กี่ทีก็ได้มากินแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย เธอบ่นงึมงำด้วยความสงสัย
อือ ช่างเถอะ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร วันหลังค่อยมาหาใหม่ เราไปหาอะไรที่ตลาดกินกันดีกว่า หิวแล้วอ่ะ อีกอย่างปิ่นไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว บรรยากาศมันวังเวงชวนขนลุกพิกล
ปิ่นลูบแขนตัวเองประกอบคำพูด
โอ๊ย! นี่อย่าบอกนะว่าปิ่นเชื่อเรื่องที่ยายสามทอง นั่นเล่าน่ะ ผีมีจริงที่ไหนกันเล่า พวกแกเล่านิทานหลอกเด็กซะมากกว่า
สร้อยพูดถึงยายสามทอง อันประกอบไปด้วย ยายทองหยิบ ทองหยอด ทองม้วน ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของหมู่บ้าน บ้านของพวกแกเปิดร้านขายของชำอยู่หน้าปากซอย เมื่อตอนบ่ายเธอพาปิ่นไปซื้อของ ทำให้เจอกับยายทั้งสาม ซึ่งปกติก็ไม่เคยคุยกับเธอสักครั้ง ครั้งนี้พวกแกนึกยังไงไม่รู้ พอเจอยัยปิ่นก็ชวนคุยซะอย่างงั้น แถมยังเล่าเรื่องผีเรื่องวิญญาณให้ฟังอีก
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอชวนปิ่นมานอนที่บ้านริมน้ำหลังนี้ ซึ่งเธอได้รับมรดกจากฝั่งของปู่ที่ยกให้หลานคนโต เธอจึงได้มาอย่างงงๆแล้วก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่โดยไม่ฟังคำทัดทานของใครทั้งสิ้น เพราะเพียงครั้งแรกที่ได้เห็นก็หลงเสน่ห์และตกหลุมรักบรรยากาศของบ้านหลังนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น พอปิดเทอมเลยอดไม่ได้ที่จะชวนปิ่นซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและญาติ(ลูกพี่ลูกน้อง) มาเที่ยว เพื่อจะได้ อวด บ้านหลังโปรด
ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่นะสร้อย บางทีอะไรที่เราไม่เห็น ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีเสมอไป
เรื่องอื่นเธอไม่รู้ แต่เรื่องวิญญาณนี่เธอเชื่ออย่างสุดใจ เพราะยังไงเพื่อนซี้ของเธอก็เป็นถึงนางตานีคนงามนามลัดดาวัลย์ ที่เจอกันโดยบังเอิญและยังนัดเจอกันทุกคืนวันเพ็ญจนถึงทุกวันนี้ ถึงจะเคยคุ้นกับนางตานีพอสมควร แต่เธอก็ไม่คิดว่าคนอื่น เอ๊ย! ผีตนอื่นจะใจดีเหมือนลัดดาวัลย์หรอกนะ เพราะฉะนั้นไม่เจอแหละดี
ก็ได้ๆเอาเป็นว่าสร้อยจะเหวี่ยงอีกครั้งก็แล้วกัน ถ้าไม่ได้ค่อยไปหาอะไรกินกันในตลาดก็ได้
พูดจบก็รวบปลายแหมาคลี่ก่อนจะหว่านลงไป แหแตกกระจายเป็นวงกว้างลงไปในน้ำบอกความชำนาญของคนทอดเป็นอย่างดี หญิงสาวค่อยๆ สาวแหขึ้นมา เธอรู้สึกว่ามันหนักกว่าเดิมเลยอดจะยิ้มกริ่มไม่ได้
ฮะๆได้ปลาตัวใหญ่ไปต้มยำแน่ปิ่นหนักๆ งี้เนี่ย
ปิ่นยืนขึ้นแล้วก้าวเข้ามาชะโงกดูอยู่ใกล้ๆ
เอ๊ะ! อะไรวะเนี่ย
สร้อยยกแหขึ้นมาวางบนท่าน้ำแล้วนั่งยองๆดู มีปิ่นมานั่งจ้องเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ
หม้อสองสาวประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน
มันเป็นหม้อดินขนาดเล็ก ตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะแน่นจนมองสีเดิมไม่เห็น ปากหม้อมีแผ่นผ้าปิดอยู่ตรงคอหม้อมัดด้วยด้ายอย่างแน่นหนา
หม้ออะไรวะเนี่ย สร้อยรำพึงอย่างฉงน
อาจจะเป็นหม้อขังวิญญาณก็ได้นะสร้อย เหมือนแม่นาคไง โดนจับใสหม้อถ่วงน้ำ ปิ่นว่าเอาลงไปไว้ในน้ำเหมือนเดิมเถอะ
สร้อยฉีกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงผ้าที่ปิดหม้อออกอย่างรวดเร็ว
นี่แน่ะ ผีเหรอ ออกมาสิ จะได้ขอหวยซะเลย
แต่พอหันไปเห็นหน้าซีดๆของเพื่อนก็อดจะหัวเราะไม่ได้
โธ่! ปิ่นไม่มีอะไรหรอกน่า เห็นไหม
หญิงสาวเอามือล้วงไปในหม้อแล้วกวาดไปรอบๆ
หม้อเปล่าๆไม่เห็นมีอะไรเลย นึกว่าจะมีสมบัติ แล้วจะปิดปากหม้อทำซากอะไรวะเนี่ย พอๆ เลิกๆ ไปหาอะไรกินกันดีกว่าชักจะหิวแล้ว
พูดจบก็เก็บข้าวของแล้วถือหม้อไปด้วย
สร้อยจะเอาหม้อไปด้วยเหรอ
ปิ่นท้วงขึ้นก่อนจะรีบก้าวตามเพื่อนที่เดินลิ่วไปล่วงหน้า เมื่อตามทันจึงถามต่อ
สร้อยจะเอาไปทำอะไรน่ะ
ว่าจะเอาไปจุดกำยาน แบบอโรมาเธอราปีไง พูดจบก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
ปิ่นได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เธอรู้สึกไม่สบายใจเลย เพราะขนคอเธอลุกชันอยู่เป็นระยะอย่างไม่รู้สาเหตุ มันเป็นอาการที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่รู้จะห้ามปรามคุณเธอยังไง เนื่องจากรู้จักนิสัยดื้อรั้นของเจ้าตัวดีอยู่แล้ว
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อค่ำราคาประหยัดจากในตลาดแล้ว ทั้งสองก็หิ้วพุงมานอนแผ่ตรงชานบ้าน เอาเสื่อมาปูจุดยากันยุงนอนชมดาวชมจันทร์กันตามประสาคนโรแมนติก แต่ปิ่นก็ยังตะขิดตะขวงพิกล เพราะแม่เพื่อนตัวดีประเดิมหม้อใบใหม่ด้วยการใช้วางยากันยุง
พอหนังท้องตึง หนังตาก็ชักจะหย่อน นอนคุยกันไปสักพักก็เคลิ้ม ตาก็เริ่มปรือจนเผลอหลับไปทั้งคู่
สร้อยเหลียวมองรอบๆตัว
นอนคุยกันอยู่ดีๆไหงมาโผล่ที่ท่าน้ำได้ล่ะเนี่ย
เธอหันมาสบตากับปิ่นที่ยืนทำหน้าแหยๆแถมยังลูบแขนไม่เลิก
ปุดๆๆๆ ซ่า เสียงผุดของฟองน้ำดังขึ้น ทำให้ทั้งสองชะโงกลงไปดู ก่อนจะมีศีรษะคนค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำ จนพวกเธอผงะถอยหลังกันแทบไม่ทัน ทั้งๆ ที่อยากจะวิ่งหนีเต็มแก่ แต่ขาดันไม่ขยับเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่
ร่างที่โผล่พ้นผืนน้ำมาเป็นร่างของหญิงสาวในชุดไทย ห่มสไบสีโศก ผมยาวหนักศกถึงกลางหลัง นัยน์ตารีใหญ่คมดุ ใบหน้าสวยคมติดจะบึ้งตึงผิดกันลิบลับกับนางตานีคนสวยของปิ่นที่ดูจะอ่อนหวานละมุนละไมมากกว่า
หญิงสาวทั้งสองยืนอึ้งอ้าปากค้าง ตะลึงกับภาพตรงหน้า ผ่านไปเนินนานกว่าจะหาปากตัวเองเจอ สร้อยตั้งสติได้ก่อนตั้งคำถามไป
ใครน่ะ
เสียงหวานๆเย็นตอบกลับมาเรียบๆ
ข้าเป็นวิญญาณพรายน้ำ ชื่อพุดซ้อน ขอบใจที่ช่วยปล่อยข้าออกมา ข้าจะให้พรเจ้า 3 ข้อเป็นการตอบแทน อยากได้อะไรขอมา
สร้อยทำสีหน้าอึ้งๆ
โหย เชยอ่ะเจ๊ ข้าเข้ออะไรกัน โบราณชะมัด เกิดสมัยไหนเนี่ย
ปิ่นทุบหลังสร้อยดังปึ้กจนเธอสะดุ้ง ก่อนจะกระซิบใส่หูของสร้อยเสียงเครียด
มันใช่ประเด็นไหมนั่นน่ะ
สร้อยลูบหลังป้อยๆค้อนเพื่อนไปขวับหนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มแหยให้วิญญาณตรงหน้า
อ่า ขอโทษหลงประเด็นไปหน่อย แหะๆ พรเหรอ อย่างกะจินนี่สาวน้อยในตะเกียงแก้วเลย เธอทำหน้าล้อเลียนก่อนจะตีสีหน้าคุร่นคิดเมื่อวิญญาณตรงหน้าตวัดสายตามองดุๆ
ยังนึกไม่ออกอ่ะว่าอยากได้อะไร ติดไว้ก่อนได้ป่ะ
พุดซ้อนถอนหายใจดังเฮือก ตั้งแต่เป็นวิญญาณมาไม่เคยเห็นใครเหมือนมนุษย์ทั้งคู่นี่เลย คนหนึ่งก็กล้าสู้ตาโดยไม่หลบ อีกคนถึงจะดูเหมือนกลัวแต่ก็เห็นเหลือบมองมาบ่อยๆ
ก็ได้ไหนๆข้าก็ยังอยู่ตรงนี้ไปอีกนาน เจ้านึกได้เมื่อไหร่ก็มาหาข้าก็แล้วกัน ขออย่างเดียว อย่าขอให้ข้าไปจากที่นี่ แล้วก็อย่าให้ใครมาไล่ข้าก็พอ
พูดจบก็ถอนหายใจเฮือกก่อนจะค่อยๆหายลับไปใต้ผืนน้ำ
หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมามองหน้ากันเลิกลั่ก ยังรู้สึกงงๆ เบลอๆ เหมือนกับฝันไป แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ความฝันคือ ดอกพุดซ้อนที่เหน็บอยู่ข้างหูของทั้งคู่และกลิ่นหอมของมันที่ยังกรุ่นกำจายอยู่ในอากาศ
แต่งไปแต่งมาไม่จบซะที เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับนิยาย ช่วงนี้กำลังเร่งเคลียร์นิยายใน Stock ที่มีอยู่ 300 กว่าเล่ม เพื่อที่จะไปช็อปนิยายในงานสัปดาห์หนังสือ
ตะพาบครั้งนี้ออกแนวผีๆหน่อย เพราะช่วงนี้ดูละครผีๆ บ่อย ทั้ง The Sixth sense, เรือนกาหลง, ภาพอาถรรพ์ เนื่องจากคุณเพื่อนเธอติดละครพวกนี้ ก็เลยพลอยเงี่ยหูฟังไปด้วย (ตาก็อ่านนิยายไป)
ตอนแรกจะไม่ส่ง แต่เขียนแล้วก็อยากจะเขียนให้จบ และแล้วก็สาย (มากๆๆๆๆ) เหมือนเดิม แหะๆ ว่าแล้วก็หนีไปอ่านนิยายก่อน หุๆ ว่างๆ จะแวะไปเยี่ยมนะคะ
แนวผีๆกำลังอินเทรนด์เลยนะคะ
เยอะ อ่ะ
ตะพาบอ่านสนุกดีค่ะ ตื่นเต้น ผีนิดๆแต่ไม่น่ากลัว อ่านได้ค่า
ขอบคุณมากๆนะคะ