คนเขียนหนังสือ ชีวิตเบิกบานในการงาน
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2550
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
6 ธันวาคม 2550
 
All Blogs
 
สนช.ผู้สร้าง “สงครามน้ำ” แห่งอนาคต โดย มนตรี จันทวงศ์

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านที่ติดพันอยู่กับ พรบ.ทรัพยากรน้ำ นำข้อเขียนของคุณมนตรี มาให้อ่านกันค่ะ
เชิญค่ะ
00000000000


ภาพจากชุมชนคนรักป่า



สงครามน้ำแห่งอนาคต
มนตรี จันทวงศ์ มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ



ในไม่นาน คงจะได้เห็นบทบาทใหม่ของเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ กำลังออกตรวจจับการใช้น้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้น้ำเกินกว่าที่ระบุไว้ในใบอนุญาตใช้น้ำ

ปัจจุบันกรมทรัพยากรน้ำทั้งกรมมีอัตราข้าราชการอยู่ 1,600 อัตรา และลูกจ้าง 1,000 อัตรา รวมทั้งประเทศมีกำลังคนอยู่ 2,600 คน หากต้องไล่จับกันอย่างนี้ เอากำลังคนทั้งหมดของกรมทรัพยากรน้ำตั้งแต่ระดับอธิบดีลงมา ก็ต้องรับผิดชอบตรวจตราและจับกุมกันในพื้นที่เฉลี่ยคนละประมาณ 125 ไร่

ภาพเช่นว่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ ขึ้นกับการพิจารณา ร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำพ.ศ. ... โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่างพรบ.ฯน้ำพ.ศ. ... ได้ผ่านวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่คณะกรรมาธิการวิสามัญทรัพยากรน้ำ กำลังดำเนินการแปรญัตติในวาระที่ 2 ซึ่งกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ก็มีความเอาใจใส่ในหน้าที่เป็นอย่างดี ประชุมกันทุกวันพุธและพฤหัส แม้มีการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การประชุมกรรมาธิการวิสามัญก็ยังคงประชุมควบคู่ไปได้ และจะประชุมต่อเนื่องให้แล้วเสร็จในวันที่ 2 ธันวาคม เพื่อเร่งรัดผลักดันให้เข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในสาระที่ 2 ให้ได้ภายในวันที่ 6 ธันวาคมศกนี้

เป็นที่น่าสังเกตว่า อะไรคือแรงผลักดันให้กรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ทำงานกันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งๆที่สภาพของสนช.ทั้งหมด มีสถานะ “รักษาการ” ไปแล้วตั้งแต่วันที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา


ภาพจากชุมชนคนรักป่า


ไม่ว่าจะมีเหตุจูงใจอย่างไรก็ตาม หากพรบ.ทรัพยากรน้ำผ่านสนช.ออกมามีผลบังคับใช้ตามกฎหมายได้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องการบริหารจัดการน้ำจะเกิดขึ้นติดตามมาอย่างใหญ่หลวง เกินกว่าที่กรมทรัพยากรน้ำผู้เป็นต้นเรื่องของการเสนอร่างพรบ.ฉบับนี้จะคาดการได้จริงๆ

ประการแรก กฎหมายมีผลให้ “น้ำ” ทั้งหมด ทั้งในบรรยากาศ น้ำบนผิวดิน น้ำใต้ดิน น้ำในแม่น้ำระหว่างประเทศ น้ำในแหล่งน้ำที่รัฐสร้างขึ้น เป็นของรัฐในทันที โปรดฟังอีกครั้ง น้ำทั้งหมดทั้งมวลให้ตกเป็นของรัฐในทันที หรือเรียกง่ายๆว่าเป็น ”ของหลวง”

บทเรียนในทรัพยากรอื่นๆได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลังจากที่ถูกยึดไปเป็นของหลวงโดยกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ไม่สามารถควบคุมดูแลให้เกิดการใช้ประโยชน์สาธารณะได้อย่างเป็นธรรม มีความโปร่งใสและมีความยั่งยืนได้ และต้องกลับมาเรียกร้องให้ประชาชนมีจิตสำนึกในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเรื่องน้ำก็เช่นเดียวกัน การประกาศให้น้ำเป็นของรัฐก็เท่ากับการตัดความสัมพันธ์ของประชาชนที่มีต่อขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีของการจัดการน้ำร่วมกัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการช่วยกันดูแลและควบคุมบริหารจัดการน้ำได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรมกับสมาชิกทุกๆคน เรียกได้ว่าเป็นการบังคับเอาทรัพยากรน้ำหน้าบ้านไปหน้าตาเฉยเลยก็ว่าได้

แทนที่กฎหมายทรัพยากรน้ำจะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ประชาชนได้ทำในสิ่งที่มีรากฐานของจารีตประเพณีหรือความร่วมไม้ร่วมมือในท้องถิ่น ตามนัยของรัฐธรรมนูญมาตรา 66 เรื่องสิทธิชุมชน ซึ่งเป็นประชาธิปไตยของการจัดการทรัพยากรในระดับรากหญ้า แต่กฎหมายทรัพยากรน้ำจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามที่กล่าวมาทั้งหมด

ตัวอย่างที่ชัดเจนเช่น ถ้ารัฐจะสูบน้ำจากแม่น้ำระยองส่งไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดหรือแหลมฉบัง ก็มีความชอบธรรมตามกฎหมายทรัพยากรน้ำฉบับนี้ เพราะน้ำในแม่น้ำระยองไม่ได้เป็นของประชาชนใน จ.ระยองอีกต่อไป แต่เป็นของ “รัฐ” เพียงผู้เดียว



ประการที่สอง ภาคการเกษตรทั่วไป จะสูญเสียความสามารถการเข้าถึงและการจัดสรรทรัพยากรน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และกิจการรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ



การสูญเสียความสามารถในการเข้าถึงและการจัดสรรทรัพยากรน้ำ เป็นผลมาจาก พรบ.ฯน้ำจะแบ่งประเภทการใช้น้ำเป็น 3 ประเภท ซึ่งภาคการเกษตรโดยทั่วไป จะเข้าข่ายการใช้น้ำในประเภทที่สอง ซึ่งเป็นการใช้น้ำในกลุ่มเดียวกันกับภาคภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และกิจการรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ การใช้น้ำประเภทที่สองนี้ เกษตรกรต้องขออนุญาตใช้น้ำ และต้องเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในเรื่อง ค่าใบคำขอ, ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้น้ำที่สูงถึง 10,000 บาท(มาตรา 50,), ค่าใช้น้ำ(มาตรา 51) และเงื่อนไขอื่นๆตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะกำหนด เช่น การติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำ(มาตรา 54) เงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้เกษตรกร “เข้าถึง” น้ำได้ยากขึ้น เพราะเกษตรกรไม่สามารถถ่ายโอนต้นทุนเหล่านี้ไปยังราคาผลผลิตได้ แต่การใช้น้ำในกิจกรรมประเภทอื่นๆทั้งหมด ผู้ประกอบการสามารถผลักภาระต้นทุนค่าน้ำไปรวมไปในราคาของสินค้าหรือบริการได้

ตัวอย่างเช่น การประปานครหลวงผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองมาทำน้ำประปาฝั่งตะวันตก โดยกปน.จ่ายค่าน้ำดิบให้กรมชลประทานลูกบาศก์เมตรละ 0.50 บาท ต้นทุนค่าน้ำนี้ กปน. สามารถผลักภาระไปยังผู้ใช้น้ำประปาได้ โดยบวกเพิ่มเป็นค่าน้ำดิบใบบิลค่าน้ำประปา

นอกจากเรื่องภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแล้ว กลไกการจัดสรรน้ำทั้งในระดับชาติและระดับลุ่มน้ำ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการที่มาจากภาคราชการเป็นหลัก และแทบไม่มีตัวแทนจากภาคองค์กรผู้ใช้น้ำของเกษตรกรจริงๆในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงไม่มีหลักประกันในเรื่องความเป็นธรรมในด้านการจัดสรรน้ำได้

โดยดูจากในระดับกรรมการลุ่มน้ำ มีตัวแทนจากองค์กรผู้ใช้น้ำเพียง 2 คนเท่านั้น คือ “องค์กรผู้ใช้น้ำ” ที่จดทะเบียนตามมาตรา 36 เท่านั้น ที่จะถูกคัดเลือกไปเป็นตัวแทนใน คณะกรรมการลุ่มน้ำ ซึ่งหมายถึงใครก็ได้มาจดทะเบียนเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำ นายทุนหรือผู้ประกอบการใช้น้ำขนาดใหญ่ก็สามารถจดทะเบียนและส่งตัวแทนไปเป็นกรรมการในระดับลุ่มน้ำได้ และมาตรา 36 นี้ได้ทำลายความเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำตามจารีตประเพณี ที่รับรองใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 66 ด้วยเช่นกัน

ในขณะที่ตัวแทนกรรมการลุ่มน้ำในกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติจำนวน 2 คน ยิ่งไม่มีหลักประกันว่าจะมีตัวแทนเกษตรกรในสัดส่วนที่มากเพียงพอและสามารถถ่วงดุลได้อย่างเหมาะสม

ดังนั้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ทั้งในเรื่องการเข้าถึงน้ำ การจัดสรรน้ำและมีเสถียรภาพในการใช้น้ำคือ กลุ่มกิจการใช้น้ำขนาดใหญ่ต่างๆ ทั้งที่เป็นของเอกชนและที่เป็นของรัฐ(หรือรัฐวิสาหกิจ) นับว่าเป็นการตอกย้ำปัญหาความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้มากยิ่งขึ้น




ถึงวันนี้หลายฝ่ายอาจจะรู้สึกว่าสายไปเสียแล้วสำหรับการหยุดยั้งร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาตินี้

แต่ผมคิดว่ายังไม่น่าจะสายเกินไป หากสนช.และรัฐบาลซึ่งมีสถานภาพรักษาการด้วยกันทั้งคู่ จะชะลอร่างพรบ.ฯน้ำไว้ก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่ารัฐธรรมนูญมาตรา303(1) ระบุไว้ชัดเจน ให้การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชนเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและสภาที่ได้มาจากการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคมนี้แล้ว ประกอบกับไม่ได้เป็นร่างพรบ.ที่มีความเร่งด่วน และการนำเสนอร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำทั้งที่เป็นร่างของรัฐบาลและร่างของสนช.ก็มีสาระสำคัญบางประการ ที่ถูกปกปิดไว้ไม่เคยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในทางสาธารณะมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

ผมคิดว่าอีกประเด็นหนึ่งที่สนช.ต้องพิจารณาให้รอบคอบคือ แหล่งน้ำสาธารณะจำนวนมากในประเทศไทยเกิดขึ้นโดยเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพี่อให้เกษตรกรได้มีน้ำไว้เพื่อการเกษตรกรรมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคงเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจได้หากเกษตรกรที่ใช้น้ำในโครงการต่างๆเหล่านี้ เช่น อ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา, อ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์, อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ฯลฯ จะต้องถูกเก็บค่าน้ำและถูกเจ้าหน้าที่รัฐไล่จับกุม หากใช้น้ำโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่จ่ายค่าน้ำ

สนช.สามารถชะลอร่างพรบ.ฯน้ำไว้ก่อนได้ และพิจารณาให้รอบคอบมากกว่านี้ด้วยการนำร่างไปเปิดรับฟังความคิดเห็นในทางสาธารณะ และรวบรวมเป็นข้อมูลไว้เพื่อให้รัฐบาลและรัฐสภาชุดใหม่ตัดสินใจต่อไป การเร่งรีบ รวบรัด ตัดตอนออกพรบ.ทรัพยากรน้ำของสนช. นอกจากจะไม่สามารถเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้แล้วว่าเป็นการ “ทำลายเกษตรกร เอื้ออาทรนายทุน” แล้ว

สนช.ยังเป็นผู้สร้าง “สงครามน้ำ” แห่งอนาคตอีกด้วย...



ฉบับนี้เอาแต่เนื้อ ๆ นะคะ ขอบคุณเฉิดฉันท์ ผู้ส่งมาให้ค่ะ






Create Date : 06 ธันวาคม 2550
Last Update : 7 ธันวาคม 2550 15:01:27 น. 40 comments
Counter : 1471 Pageviews.

 
ขอยกคอมเมนต์ของสามท่านในฉบับที่แล้ว มาวางไว้ที่หน้านี้นะคะ

.....ฝากรอยไว้.... 32

ไม่รู้ว่าพี่ยายรู้หรือยังคะ...ที่ สนช. เร่งออกพรบ.ฉบับนี้กันยกใหญ่ เห็นว่าจะต้องรับร่างให้เสร็จทันภายในวันที่ ๒๓ ธันวา
และมีข่าวลือว่า สนช. ชุดนี้ต้องการให้ร่างฉบับนี้เป็นผลงานชั้นโบว์แดงของตน ก่อนพากันแยกย้ายไปตามทางใครทางมัน
"การเร่งร่างฯ นั้นทำให้ไม่อาจลงไปคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ได้" เป็นคำแก้ตัวที่แย่มากๆ คุณเขียนกฎหมายเพื่อชาวบ้านแต่คุณไม่ไปคุยกับชาวบ้าน โอ้...ชาติมันถึงเจริญเยี่ยงนี้ไง

ดีจังเลยค่ะพี่ยายเปิดคุยที่บ้านทั้งสองหลัง
พักนี้บางโอเคเอ๋อๆ ชอบกล ชอบยั่วอารมณ์คนให้ร้อนขึ้นในวันที่อากาศหนาวนัก
โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:14:00:51 น.


.....ฝากรอยไว้.... 33
แล้วเราควรทำอย่าไรดีครับ
โดย: comcop IP: 61.7.174.243 วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:14:05:02 น.

.....ฝากรอยไว้.... 34
น่าสงสารเกษตรกร
เราเคยไปลงพื้นที่ที่แม่ตาว ตาก
แก่เหมืองแก่ฝายและชาวบ้าน
มีการจัดระบบแบ่งปันเหมืองฝายได้ดีมาก
ชาวบ้านมีการดูแลกันเอง มีระบบระเบียบกันเอง
ในการผันน้ำ ปันน้ำ เมื่อเกิดข้อพิพาท ก็ตกลงกันได้ในฐานะพี่น้องเพื่อนฝูง
แต่เมื่อ การจัดการภาครัฐเข้าไปแทรกแซง
ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนคอนกรีต เขื่อนยาง
ผลก็คือ..ระบบเหล่านี้ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่สร้างกันมาเป็นเวลาชั่วอายุคน ก็บูดเบี่ยวไป
เขื่อนคอนกรีต เขื่อนยางหลายแห่ง
กลายเป็น อนุสรณ์ ที่ใช้งานไม่ได้
แล้ว..แบบนี้ พรบ.ของรัฐ จะแก้ปัญหายังไง
หรือซ้ำเติม ปัญหาเหล่านี้ให้มากขึ้น นะ

โดย: a_mulika วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:20:33:13 น





โดย: แพรจารุ วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:21:02:10 น.  

 
บางโอเคนี่มัน...ช้าจริงๆ

มีข้อสงสัยค่ะ...
๑.เราจะยับยั้งร่างพรบ.ทรัพยากรทางน้ำกันได้ไหม
๒.หากไม่ทันล่ะค่ะ...เราสามารถยื่นให้แก้ไขได้ไหมในรัฐบาลและ สนช.ชุดใหม่หรือเปล่า

วันที่ ๕ ธันวาคมที่ผ่านมา
ไปไหนก็เห็นแต่คนใส่เสื้อหลวง
กลับมานั่งดูทีวีเห็นใครๆ ก็ใส่เสื้อเหลือง
เรารักในหลวง เราสามัคคีกันใส่เสื้อเหลือง
แต่ไหงเราไม่สวมหัวใจเดียวกันทำเพื่อในหลวงอย่างที่ในหลวงทำเพื่อผืนดินไทยกันบ้างน้อ

มาแวะกึ๊ดเติ้งไว้ก่อน...
แก้งานแหล่วจะมาคุยด้วยใหม่เจ้า

สอนภาษาคำเมืองหนูที อยากอู้เป็นกะเค้ามั่ง

ฝรั่งคนหนึ่งที่เคยไปสัมภาษณ์บอกว่า...เค้าชอบภาษาไทยแล้ววิธีที่จะเรียนรู้ได้ดีคือมีแฟนเป็นคนไทย
หนูยืมวิธีนี้ไปใช้มั่ง แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะพี่ท่านเล่นไม่อู้คำเมืองกะหนูเลยนิ (ฮา)


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 7 ธันวาคม 2550 เวลา:15:31:10 น.  

 
เพลงฝนต้นหนาวจ๊ะ

จะอู้คำเมืองต้องมาอยู่เมืองเหนือ แรกที่พี่ยังไม่ย้ายบ้านมาอยู่กับพี่ ๆ น้อง ๆ ของพี่หนอมก็พูดไม่ได้สักคำ เพราะแรกไปเช่าบ้านอยู่สองคนแบบว่าเป็นอิสระ

ตอนนี้มาอยู่ในกลุ่ม หลาน ๆ เขาพูดเมืองกันตั้งแต่อายุน้อย ๆ เลยพูดได้ ฟังได้สบายมาก

จะพูดได้ต้องเข้ามาอยู่ในกลุ่มเท่านั้น

สำหรับคำถามเรื่อง พรบ.นำของเพลงฯ พี่จะเอาไปถามคุณมนตรี หรือคุณเฉิดฉันท์ ให้นะคะ

เห็นด้วยมาก ๆ ที่เพลงบอกว่า วันที่ ๕ ธันวาคมที่ผ่านมา
ไปไหนก็เห็นแต่คนใส่เสื้อหลวง
กลับมานั่งดูทีวีเห็นใครๆ ก็ใส่เสื้อเหลือง
เรารักในหลวง เราสามัคคีกันใส่เสื้อเหลืองแต่ไหงเราไม่สวมหัวใจเดียวกันทำเพื่อในหลวงอย่างที่ในหลวงทำเพื่อผืนดินไทยกันบ้างน้อ

พี่ว่าสวมเสื้อเหลืองหรือไม่มันอยู่ที่หัวใจด้วย


โดย: แพรจารุ IP: 222.123.25.9 วันที่: 7 ธันวาคม 2550 เวลา:20:10:16 น.  

 
คุณa_mulika สวัสดีค่ะ

ยินดีต้อนรับค่ะ ที่คุณบอกว่า

เขื่อนคอนกรีต เขื่อนยางหลายแห่ง
กลายเป็น อนุสรณ์ ที่ใช้งานไม่ได้
แล้ว..แบบนี้ พรบ.ของรัฐ จะแก้ปัญหายังไง หรือซ้ำเติม ปัญหาเหล่านี้ให้มากขึ้น นะ

ตอบว่าจริงของคุณค่ะ เคยไปดูที่เชียงดาวมาแล้วว่า ใช้การไม่ได้จริง ๆ ค่ะเป็นฝายยาง แต่ไม่เห็นมีใครออกมารับผิดชอบ

เราว่า ถ้าที่ไหนที่หน่วยงานของรัฐ ทำไว้แล้วเสีย ชาวบ้านในพื้นที่ต้องเรียกร้องหาคนรับผิดชอบให้ได้

ไม่อย่างนั้นทำแล้วเสียหาย เสียงบประมาณก็ลอยนวล เงินภาษีของประชาชน ยิ่งเรา ๆ ไม่เคยหลีกเลี่ยงหรือหลีกไม่ได้เลย นักเขียนเสียภาษี 3-5 หักภาษีณ.ที่จ่าย คือหนังสือที่ลงหักไปเลย สำนักพิมพ์หักไปเลย

วันก่อนเราไปฟังเรื่องการสร้างประตูระบายน้ำแทนฝาย พูดไปพูดมาตัวแทนของรัฐซึ่งมีกรมชล กับ รองผู้ว่า ไม่รู้ใครเป็นคนพูด ท่านพูดว่า ถ้าใช้ไม่ได้ก็เปิดทิ้งไว้ไม่ต้องทุบฝายลองดูก่อน

คุณมนตรีลุกขึ้นถามว่า งบประมาณครึ่งพันล้าน ทำเพื่อทดลองก่อนอย่างนั้นหรือ พวกท่าน ๆ เงียบกริบไม่ตอบ (อัดรายการช่องเก่า เวทีชาวบ้าน ออกอากาศไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่า ตอนนี้ถูกตัดไปหรือเปล่า ไปดูตอนเขาอัดรายการแต่ไม่ได้ดูตอนออกรายการทั้งหมด ได้ดูแต่ตอนจบ เขาออกรายการสองวัน





โดย: แพรจารุ วันที่: 7 ธันวาคม 2550 เวลา:20:26:03 น.  

 
คุณ comcop ถามว่า ...
แล้วเราควรทำอย่าไรดีครับ

ใครตอบคุณ comcop ได้บ้าง พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำได้ก็แค่ใช้ตัวหนังสือนี่แหละ

คุณcomcop ว่าไงค่ะ มีมุมมอง แนวคิดอะไรไหม


โดย: แพรจารุ วันที่: 7 ธันวาคม 2550 เวลา:20:29:19 น.  

 

คุณเพลงอีกครั้ง

คุณเพลงว่า ที่ สนช. เร่งออกพรบ.ฉบับนี้กันยกใหญ่ เห็นว่าจะต้องรับร่างให้เสร็จทันภายในวันที่ ๒๓ ธันวา

และมีข่าวลือว่า สนช. ชุดนี้ต้องการให้ร่างฉบับนี้เป็นผลงานชั้นโบว์แดงของตน ก่อนพากันแยกย้ายไปตามทางใครทางมัน
"การเร่งร่างฯ นั้นทำให้ไม่อาจลงไปคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ได้" เป็นคำแก้ตัวที่แย่มากๆ คุณเขียนกฎหมายเพื่อชาวบ้านแต่คุณไม่ไปคุยกับชาวบ้าน โอ้...ชาติมันถึงเจริญเยี่ยงนี้ไง

อ่านตามบทความของ คุณมนตรี ก็เป็นทำนองนั้น (ไม่น่าจะสร้างแผลเป็นให้ตัวเอง)


โดย: แพรจารุ วันที่: 7 ธันวาคม 2550 เวลา:20:33:44 น.  

 
พื้นสวยๆ แวะไปเก็บได้ตามใจชอบเลยค่ะพี่ยาย
//www.yenta4.com/gallery/allgallery.php

นี่อีกที่ค่ะ แต่เวปนี้สมัครสมาชิกก่อนเน้อเจ้า
//www.sxc.hu/

ต้นปีตอนยังไม่เลิกกับคนในอดีต กะไว้ว่าเก็บเงินอีกสักสองปีซื้อรถได้แล้วก็จะขึ้นไปอยู่แม่แตง บ้านแม่นม จะได้พาแม่นมกับอุ๊ยกลับไปอยู่บ้านด้วย

ถ้างั้นเห็นทีต้องหยุดอยากอู้คำเมืองให้ได้ก่อนชั่วคราว (ฮา)

- - -

สำหรับคำถามของ คุณcomcop
เพลงมีความเห็นให้เราทำตามความรู้สึกและทำในสิ่งที่เราสามารถทำได้

เพลงมานั่งคิด...ถ้าเพลงไม่รู้จักหรือไม่เคยเข้ามาอ่านเวปพี่ยาย
เพลงคงไม่รู้เรื่อง ถึงรู้ก็คงปล่อยผ่านไม่สนใจ เพราะมันเป็นอะไรที่อยู่ไกลตัวเพลงเกินกว่าที่เพลงจะทำอะไรได้
ซึ่งเพลงขอน้อมรับความผิดในปัญญาของตนที่คิดเช่นนั้น!!!

เพลงกำลังเขียน 'นาฎกรรมน้ำแม่ปิง' (อยู่ในระหว่างรวบรวมข้อมูล)
ให้เห็นถึงความสำคัญของสายน้ำกับวิถีชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำนั้น ที่ใช้แม่ปิงเป็นปฐมเหตุ ด้วย...น้ำแม่ปิง...อยู่ในภาคเหนือซึ่งได้รับผลกระทบแรกสุดในร่าง พรบ. ทรัพยากรน้ำ
และมันอาจปฎิเสธไม่ได้ว่า....สักวันมันก็คงต้องลามไปทั่วทุกภูมิภาค

ถ้าเพลงเขียนเสร็จ...เพลงก็จะเอาขึ้นเวป เอาไปโพสต์ตามเวปบอร์ดต่างๆ ส่งเมล์ให้เพื่อน แล้วให้เพื่อนส่งต่อกันไปเรื่อยๆ
เพลงเชื่อในอำนาจของสื่อ เมื่อสื่อใหญ่ไม่มีใครลงมาเล่น
เราก็ใช้สื่ออิสระที่ใช้งานง่ายอย่างอินเตอร์เน็ตนี่ล่ะค่ะเป็นตัวกระจาย
ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวคนเลย มันเป็นเรื่องที่เราคนไทยได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งนั้น!!!

และ...๒.เพลงจะขอให้คนเขียนหนังสือที่พอรู้จัก หรือคนที่อยากเขียนทั้งหลายมาช่วยกันเขียนถึงคุณูปการของแหล่งน้ำ(ภาคเหนือ) ความผูกพัน
เพราะเพลงเชื่อว่า...สายน้ำนั้นบ่งชี้ถึงความมีชีวิต และในความมีชีวิตของสายน้ำซุกซ่อนเรื่องราวหลากหลายเอาไว้ให้เราได้ศึกษา ไม่ใช่เพียงในฐานะบทบันทึกทางประวัติศาสตร์ หากในฐานะบทเรียนชีวิต!!!
มิใช่เพียงคนรู้จัก รองรับ ตอบสนองความต้องการของชีวิต หากนี่คือปรากฎการณ์หลากสีสันแห่งการพึ่งพา เป็นผู้มีพระคุณ ผูกพันและอาทรซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นบ่อเกิดแห่งวัฒนธรรมที่ผูกพันผู้คนเอาไว้อย่างไม่อาจแยกจาก
มิใช่เพียงเส้นทางคมนาคม เป็นดุจดังทรัพยากรของแผ่นดินเหมือนที่อำนาจรัฐมอง หากสายน้ำคือผู้ให้ชีวิต เราจึงมีพิธีกรรมมากมายที่ยกย่องเชิดชู จนถึงขอขมาลาโทษต่อสายน้ำที่อาจล่วงเกิน

รวมผลงานกันแล้วเอามาทำหนังสือทำมือขาย เพื่อกระจายความรู้ในวงกว้างอีกแรง!!!
เอ่อ...หากทุนรอนเพลงไม่พอ เพลงก็ว่าจะเอาไปเสนอ สนพ.ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติและชุมชนดู (ฮา)

หากการรวมต้นฉบับเป็นไปได้สวย ก็ว่าจะไปขอแรงช่างภาพที่อยู่เชียงใหม่ให้มาช่วยงานบุญ

มันคงเป็นแกงโฮ๊ะที่นอกจากรสอร่อยแล้วยังเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง (ฮา)
แหง่ว...หนูอยากกินแกงโฮ๊ะ ใครก็ได้ช่วยสงเคราะห์ที


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:10:47:08 น.  

 
สวัสดีค่ะน้านยาย

ยังไม่ได้อ่านละเอียดเลยค่ะ
แต่ก๊อบไว้จะเอาไปนั่งอ่านให้ละเอียดอีกทีที่บ้านค่ะ
พึ่งจะได้เข้าเน็ตก็วันนี้ค่ะ
หลังพี่มะลิไปรับจากกองพันพัฒนาที่ 3
กลับมาก็มาซักผ้า ว่าจะออกมาซื้อกับข้าว
วันนี้โดนทิ้งให้อยู่เฝ้าบ้านค่ะ น้าออมมีเรียน
พี่มะลิไปทำงาน เลยได้อยู่บ้านกับเจ้าไตเติลค่ะ
เมื่อกี้หนูพึ่งดูข่าวก่อนออกมา
เห็นเขาออกข่าวเกี่ยวกับการสร้างฝ่ายชะลอน้ำ 1 วัน 1000 ฝ่าย
แต่เห็นเขาว่ายอดทะลุเป้าวันเดียวได้ตั้ง1500 ฝายเลยค่ะ

น้ายายทานข้าวเที่ยงหรือยังค่ะ
น้ายายแล้วตอนนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้างค่ะ
หนูมาอยู่ที่นี้ รู้สึกเหมือนจะไม่มีใครรู้หรือเข้าใจเรื่องนี้เลยค่ะ
ถามเขาไม่เห็นเขารู้เรื่องเลยค่ะ

แล้วหนูจะมาอ่านต่อค่ะ
ยังไงก็สู้ๆนะค่ะ
ฝากบอกชาวบ้านด้วยค่ะ


โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:13:07:44 น.  

 
น้ายายจริงหรือค่ะที่จะเลี้ยงโกโก้นะค่ะ
ดีใจจังค่ะ
โกโก้นะไม่สำคัญเท่ากับได้พบกับน้ายายตัวจริงเสียงจริง
เอาไว้ถ้าได้พบน้าจริงๆ หนูจะเล่าให้ฟังว่าตอนที่อ่านงานของน้าหนูวาดภาพน้าเอาไว้ว่าอย่างไร
(ไม่ได้มาทวงสัญญานะค่ะ แต่ทำยังไงได้ละค่ะ ก็น้าเป็นนักเขียนที่หนูชอบ และไม่เคยคิดว่าจะได้รู้จักกับน้ายาย แต่พอได้รู้จักยิ่งรู้สึกดี ทั้งๆที่น้าไม่ใช่คนเหนือแต่หนูกลับเห็นน้าชอบช่วยงานชนเผ่า)


โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:13:52:52 น.  

 
ได้เลยจ๊ะ เจอกันห้าโมงเย็นพรุ่งนี้ ตอนเช้าจะโทร.หา

สวัสดีจ๊ะ เพลงฝน
โอ...ดีจังเป็นงานที่น่าสนใจมาก ๆ เลย เขียนเสร็จเมื่อไหร่บอก มีคนสนับสนุนพิมพ์แน่นอนเลยงานดี ๆ

พี่ว่าใครอยู่สวนไหนก็ทำส่วนนั้นแหละ เช่นว่า คุณเป็นครูคุณก็พูดแบบครู พูดให้ลูกศิษย์ฟังก็ได้ อย่างนี้เป็นต้นนะ

หรือถ้าคุณเป็นเลขารัฐมนตรีก็แล้วเอารายงาน เอาข่าวไปให้ท่านดู ถ้าท่านไม่อ่านก็อ่านให้ฟัง หรือแกล้งลืมไว้ในห้องน้ำ ในห้องนอน เป็นต้น


โดย: แพรจารุ วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:14:37:36 น.  

 
โอ้ฝนหนอฝนฉงนฉงาย...
ถึงฤดูตกทลายท่วมฟ้า
แต่พอแล้งอากาศหนาวเข้ามา
ก็มีเสียงร้องว่า โอย แล้งแล้งแล้ง...

แล้วพอหนาวก็หนาวเข้ากระดูก
แต่พอร้อนก็เหมือนถูกใครแกล้ง
เหมือนอยู่ในห้องเตาเผาต้มแกง
ตกลงจะเอาแล้งหรือฝนดี...

ถ้ามนุษย์หยุดไม่ได้คล้ายไดโนเสาร์
โลกใบเก่าจะระเบิดเกิดรังสี
ลุกเป็นไฟอีกครั้งดังก่อนมี
แฮ่แฮ่ แล้วคราวจะนี้สูญพันธุ์(ต่อจากไดโนเสาร์)


โดย: ลุงบูลย์ IP: 125.27.235.21 วันที่: 8 ธันวาคม 2550 เวลา:22:05:50 น.  

 
พอดีเมื่อกี้ได้คุยกับพี่ช่างภาพข่าว เพลงเลยเอามาเรียบเรียงใหม่ตามแบบของเพลง เผื่อมันจะเป็นประโยชน์บ้างนิดหน่อยค่ะพี่ยาย...

* * *

เที่ยงคืนเศษ อดีตโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์แว้บไปคุยกับพี่ช่างภาพข่าว นสพ.ย่านบางนา เกี่ยวกับกรณีร่าง พรบ.ทรัพยากรน้ำ และถกความวุ่นวายการเมืองครั้งนี้
คุณพี่ช่างภาพออกตัวก่อนว่า...ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ด้วยภาะกิจหลักคือการไล่ล่าติดตามการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จึงไม่มีเวลาไปตามเรื่องอื่นๆ ได้
ในความเคลื่อนไหวของการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ ๒๓ ธันวาคม สนช. พยายามผลักดันการรับร่างกฎหมายอย่างเงียบๆ
ทว่าในความเงียบนั้น เสียงเล็กๆ เรียกหาความยุติธรรมกลับเริ่มดังขึ้นทีละนิด...ทีละนิด...
‘จุ๊...จุ๊...อย่าเสียงดังไป บางทีอีกสองสามวันสภาก็โดนปิดแล้ว ก็ไอ้กฎหมายหลายฉบับที่ตะบี้ตะบันผ่านนี่ล่ะ...ผ่านโดยไม่ฟังเสียงประชาชน’
อดีตโปรดิวเซอร์สาวยิ้มกว้างอย่างดีใจ...และหุบยิ้มหน้าหมองในพริบตาเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
‘ยับยั้งไม่ทันหรอก คงผ่านอยู่แล้วล่ะ แล้วก็ตามมาแก้ไขกันทีหลังเอา’
‘กฎหมายพวกนี้ส่วนใหญ่ราชการชงให้รัฐบาล เพื่อนำเสนอเข้าสู่สภา เพื่อให้รับซึ่งความคิดของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งความคิดนั้นมันตรงกันข้ามกับความต้องการของชุมชน และความคิดขององค์กรชาวบ้านและนักพัฒนาอยู่แล้ว’
‘เมื่อกฎหมายผ่าน...ก็จะเดือดร้อนทุกหัวระแหง ความขัดแย้งในพื้นที่จะทวีความรุนแรงขึ้น ต่อไปชาวบ้านก็ต้องม็อบอย่างเดียว คราวนี้ไอ้พวกชนชั้นกลางก็จะมองว่าม็อบลูกเดียวเหมือนกัน’
‘ทางเหนือนี่น่าสงสารโดนหนักหน่อย คาดว่าม็อบคงได้เคลื่อนกันมารับรัฐบาลชุดใหม่เป็นแน่’
...แล้วระหว่างนั้นล่ะ ระหว่างที่กฎหมายผ่านมีผลบังคับใช้ แต่รัฐบาลชุดใหม่ยังไม่เรียบร้อย ชาวบ้านจะอยู่จะใช้น้ำกันยังไง...โปรดิวเซอร์ตกงานยังคงไม่วายตั้งคำถามสงสัย
คำถามที่พี่ช่างภาพข่าวได้ยินแล้วตอบกลับมาว่า ‘นั่นสิ...แล้วชาวบ้านจะทำยังไง’

เสียงเล็กๆ จากเชียงใหม่ที่ถูกส่งกระจายด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ก่อเกิดเสียงสะท้อนกลับไปหลากความคิดเห็น เสียงเล็กๆ เริ่มดังขึ้น...ดังขึ้นเรื่อยๆ
โปรดิวเซอร์สาวผู้ยากไร้ความรัก ถอนใจก่อนสวดภาวนาให้เสียงสะท้อนนั้นอย่าจมหายไปกับคลื่นกาลเวลา ให้เสียงตอบกลับมาเพิ่มพลังของเสียงแรกที่ไม่ค่อยมีใครได้ยิน
ฉับพลันเหมือนนึกอะไรได้...หญิงสาวคิดว่าการสวดมนต์เพื่อให้โลกสงบสุขอย่างที่เธอกระทำนั้น มันไม่อาจช่วยอะไรได้ ถ้าทุกคนเอาแต่สวดภาวนาเงียบๆ ในใจตน พลังนั้นมันก็จะเป็นเพียงพลังเงียบที่ไม่มีพลานุภาพใดใด
การแสดงความเห็นหรือความเห็นใจไม่อาจช่วยให้พ้นวิกฤตการณ์ที่กำลังจะมาถึงได้ เราต้องช่วยกัน...ช่วยกันเรียกคืนสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรได้ในฐานะเจ้าของประเทศเฉกเช่นเดียวกับรัฐ
จงอย่างเพียงแสดงความเห็นใจ...แต่ไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจน!!!

* * *

ขอตัวไปแก้งานต่อก่อนนะคะพี่ยาย ไว้พรุ่งนี้ตื่นแล้วจะมาคุยด้วยใหม่


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:2:07:31 น.  

 
ขอบคุณเพลงและพี่โปรดิวเซอร์กับน้องนักข่าวมาก ๆ เลยค่ะ

เมื่อเช้าพี่เปิดหน้าข่าว มีการเชิญชวนให้ลงชื่อถอดถอน สนช.หรือปิดสนช.

ใครสนใจเชิญไปอ่านระละเอียดและลงชื่อกันได้ นี้คือทางหนึ่งที่จะยับยั้ง จะสำเร็จหรือไม่ก็ได้รู้ว่าเราทำแล้ว เท่าที่ทำได้ สาระสำคัญมันอยู่ตรงนี้ กำลังใจกันอย่างเดียวนั้นไม่พอจริง ๆ

วันก่อนเพื่อนพี่บอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเขา พี่ว่าเธอเป็นแม่ที่มีลูกยิ่งเกี่ยวมาก ๆ เลยเธอจึงหยุดฟัง
ไปอ่านได้ที่นี่ค่ะ

//www.prachatai.com/05web/th/home/10494


โดย: แพรจารุ วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:8:04:40 น.  

 
ก๊อปปี้มาใหม่ให้อ่านกันชัด ๆ นะค่ะ
//www.prachatai.com/05web/th/home/10494


โดย: แพรจารุ วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:8:23:28 น.  

 
อ่านประชาไทยไปรอบนึงแบบงัวเงีย
แล้วก็มาเขียน "ทำดีเพื่อพ่อ" ต่อ
อ่า...รู้สึกเรื่องน้ำ กับเรื่องทำดีเพื่อพ่อมันจะพันกัน


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:14:11:12 น.  

 
ตามมาจากบ้านเพลงฝน ฯ ครับ

กัมมุนา วัตตตีโลโก ครับ....

ผลกรรมจากดอกไม้บนถนนราชดำเนินเมื่อหลัง 19 กันยา 49 มันเริ่มแสดงผลของมันออกมาในทุกทิศทาง

ทุกวันนี้ ก็ก้มหน้ารับผลกรรมที่ไม่ได้ก่อ

แต่ก็อาจมีส่วน ตรงที่ เรานิ่งเฉย ไม่ได้ ต่อต้านการกระทำเหล่านั้น...ปล่อยให้มันเกิดขึ้น....

ป่านนี้ ดอกไม้ที่หลายคนเคยนำไปมอบบนถนนราชดำเนินด้วยสีหน้ายินดีปรีดา... ก็คงแห้งเหี่ยว บ้างก็เน่าเหม็นแล้ว......


โดย: เซียน_กีตาร์ IP: 222.123.70.136 วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:18:03:21 น.  

 
ขอบคุณค่ะพี่ยาย...เพิ่งได้อ่านที่พี่ยายเอามาแปะให้นี่ล่ะค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกวูบไหวในความรู้สึกมากเลย
และมันทำให้มีแรงมีพลังที่อยากจะทำอะไรให้สังคมบ้าง
เหมือนพระบรมราโชวาทในหลวงวันนี้ที่ว่า...
...ถ้าปิดทองหน้าพระกันหมด ไม่มีใครปิดืทองหลังพระบ้าง พระพุทธรูปนั้นจะงามไร้ตำหนิได้อย่างไร...


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 9 ธันวาคม 2550 เวลา:23:01:00 น.  

 
อีกสักรอบก่อนนอน...เอามาเรียกน้ำย่อยรับวันรัฐธรรมนูญ (ฮา)



มาตรา ๖๖ บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชน ชุมชนท้องถิ่น ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนง

* * *

ถึงขนาดปูเสื่อรอแล้วเหรอคะพี่ยาย
พรุ่งนี้ค่ะพรุ่งนี้รับรองไปกางจอกลางใจแน่ค่ะemo


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 10 ธันวาคม 2550 เวลา:1:23:18 น.  

 
สวัสดีค่ะน้ายาย

มารายงานตัวว่ากลับถึงพะเยาโดยปลอดภัยค่ะ
เสียดายจังค่ะที่ไม่ได้เจอน้า
แต่ไม่เป็นไรเอาไว้สักวันหนึ่งหนูคงได้พบน้าจริงๆแหละค่ะ
ขนาดไม่เคยคิดว่าจะได้เจอน้าทางเน็ตหนูยังได้รู้จักน้าเลย
ระยะทางแค่นี้ไม่ใช่อุปสรรคค่ะ
รอให้หนูโตพอที่ทุกคนจะไว้ใจให้ขับรถไปใหนมาไหนไกลๆคนเดียวได้ก่อนค่ะ

เมื่อเช้านี้หนูยังขับรถหลงทางอยู่เลย
ตื่นมาไม่เจอใคร รถยนต์น้าออมก็ไม่อยู่
มอเตอร์ไชค์ก็เหลือแค่ 2 คัน
แสดงว่าพี่มะลิเอามอเตอร์ไชค์ไปเอง
มีเขียนบอกว่าพี่ไปธุระน้าไปข้างนอก ห้ามไปไหนไกล ให้ไปได้ถึงตลาดตรงสีแยกปากซอย ไปชื้อกับข้าวแล้วกลับ
แสดงว่าต้องไปนานแน่เลยถึงให้ไปซื้อกับข้าวเอง
หนูเลยแอบไปที่ตลาดรวมโชค แล้วขากลับนะสิค่ะ เลี้ยวรถผิด ไม่รู้ว่าไปถึงโรงบาลลานนาได้อย่างไร
แต่นึกขึ้นได้ว่าพี่จรเคยบอกตอนนั่งรถไปกับพี่จรว่า ถ้าจะไปหาพี่แพรวกับพี่จรให้เข้าซอยข้างโรงบาลลานนา
ไปถูกค่ะน้ายาย ถึงบ้านพี่จรจริงๆ ดีใจมากๆค่ะจะได้ให้พี่แพรวไปส่ง
แต่ผลคือไม่มีใครอยู่บ้าน ไปทำงานกันหมด เลยสุมทางขับรถออกมา มาเจอโรงบาลเทพปัญญา ได้ยังไงก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าขับรถมา แล้วมีป้ายบอกว่าไปลำพูน ลำปาง และมีอีกป้ายบอกว่าทางออก เลยเลี้ยวมาทางนี้
คราวนี้เป็นสี่แยก จำได้ว่าพี่จรเคยบอกว่าถ้าจะไปบ้านน้าออม ไม่เจอโรงบาลนี้ไม่ต้องเลี้ยว แต่จะเลี้ยวก็กลัวผิดเลยตัดสินใจยอมโดนดุ
เพราะตอนที่หนูเคยไปเรียนพิเศษที่ ม.ช. ทุกคนไม่เคยให้หนูขับรถมาทางเส้นนี้ เห็นว่ารถมันเยอะ
จะให้หนูขับรถมาผ่านทางศาลากลางจังหวัด มาเจอห้างริมปิงแล้วเลี้ยวขาวตรงสี่แยก ก็จะมีทางลัดเข้าหมู่บ้าน
แต่ถ้าให้ขับอีกทีตอนนี้ก็มีสิทธิ์หลง หรือไม่ต้องใช้เวลาคลำทางนานเหมือนกันค่ะ
ตัดสินใจโทรไปถามพี่ลิว่าทำอย่างไร ในที่สุดก็ถึงบ้านโดยปลอดภัยค่ะ
เข้าบ้านไปกลัวๆกล้าๆว่าจะโดนดุไหมน้า
ไม่โดนดุค่ะน้ายาย เป็นอันว่ารอดตัวไป

เมื่อวานน้าออมไปเรียน หนูกับพี่มะลิอยู่บ้านกันสองคน
ตอนแรกหนูนึกว่าพี่มะลิรู้จักตลาดต้นพะยอม หนูรู้จักชื่อตลาด รู้ว่าไปทาง ม.ช. เพราะเคยไปกับน้าออม
แต่ลืมนึกไปว่าพี่มะลิไม่ได้เรียนที่เชียงใหม่ พี่แกเรียนที่ลำปาง
ฉนั้นแก่จึงรู้จักทางไม่ค่อยมาก เหมือนพี่แพรว พี่จร กับน้าออมที่อยู่เชียงใหม่มานาน

เมื่อวานสองคนน้าหลานออกบ้านแต่เช้า
ไปที่สถานบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดค่ะ
แล้วว่าจะเลยไปหาน้ายายเลย
ก็มีเหตุให้ต้องย้อนกลับเข้าบ้าน พี่น้องโทรหาพี่มะลิ นัดพี่มะลิไปทำอะไรก็ไม่รู้

ระหว่างทางไปเจอรถชนกัน เห็นผู้ชายวัยเดียวกับหนูนอนเจ็บข้างทาง ตำรวจกำลังช่วย
เห็นแล้วทำใจหายหมดเลยค่ะ นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้ใส่หมวกนิรภัย
พอไปถึงเป้าหมาย หนูพึ่งเคยมาครั้งแรกแต่พี่มะลิน่าจะมาหลายครั้งแล้ว เท่าที่หนูสังเกตุดู เห็นบรรยากาศร่มรื่นดีค่ะ
ที่สำคัญรู้สึกว่าที่นี้กับที่วิทยาลัยไม่ค่อยจะต่างกันเท่าไหร่ เป็นความรู้สึกจากใจจริงๆเลยนะค่ะ
เท่าที่คุยกับคนที่อยู่ที่นี้ จะโชคดีตรงที่ ที่วิทยาลัยเรายังพอออกไปไหนมาไหนได้บ้าง แต่ต้องเช็นชื่อเข้าออกให้เป็นเวลาเท่านั้นเอง

แต่ที่หนูรู้สึกเศร้า ก็เมื่อได้เห็นเด็กรุ่นน้อง คิดว่าน่าจะเด็กกว่าหนู เพราะยังตัดผมทรงเด็ก ม.ต้นอยู่เลยค่ะ
บอกความรู้สึกไม่ถูกเมื่อเห็นน้องเขา
ดูจากลักษณะหน้าตาไม่น่าจะเป็นคนไม่ดี ดูเรียบร้อย และดูเศร้าๆ อาจเป็นเพราะน้องเขาผิวขาวด้วยมั้งค่ะ
แต่ก็ไม่น่าจะเกเรถึงกับใช้ยา หนูคิดว่าน่าจะโดนหรอก หรือไม่ก็มีปัญหาในครอบครัว
แต่พอถามว่าน้องเขาอายุเท่าไหร่ มีญาติมาเยี่ยมบ้างไหม
คนที่นี้บอกว่าน้องอายุ 15 มีญาติมาเยี่ยมอยู่เหมือนกัน
แต่หนูไม่ได้ถามว่ามาบ่อยไหม
น้องเขาเข้ามาขอบุหรี่จากพี่ที่อายุมากว่า
เกือบจะพูดบอกน้องเขาไปว่ามันไม่ดี แต่พอน้องเขาได้บุหรี่ก็เดินไปเสียก่อน

ความจริงที่นี้เขาไม่ให้ใช้สารเสพติดทุกชนิด
แต่ที่หนูเห็นเพราะเขาแอบสูบ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ
ใจหนึ่งรู้สึกสงสาร อีกใจก็เห็นว่ามันไม่เหมาะสม ในเมื่อคิดจะเลิกทำไมไม่ทำให้เด็จขาดไปเลย
เพราะบางคนที่มาอยู่ที่นี้ ก็สมัครใจมาเอง และจะต้องเสียค่ารักษา อันนี้หนูไม่รู้จริงเท็จอย่างไร ฟังเขาเล่าอีกทีค่ะ

ที่นี้มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ที่เล็กสุดที่หนูเห็นน่าจะเป็นน้องผู้ชายคนที่หนูเล่าให้ฟัง
มีพยาบาลด้วยค่ะ เขาแบ่งออกเป็นหมู่บ้านๆเลยค่ะ

โหยาวเกินไปแล้ว เดี๋ยวน้ายายเบื่อ พอก่อนแล้วกันค่ะ
สักวันหนูต้องได้เจอน้ายายแน่นอน
หนูมันใจอย่างนั้น มันคงอีกไม่นาน แค่รอให้หนูโตกว่านี้อีกนิด
และไม่ขับรถหลงทางเหมือนตอนนี้


โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 10 ธันวาคม 2550 เวลา:17:27:54 น.  

 
คุณเบญจวรรณค่ะ

กฎมันเป็นแค่เสือกระดาษ...ถ้าผู้รักษากฎไม่คิดจริงจัง
เคยไปสัมภาษณ์คนที่เดินของ (ยาบ้า)
มันเริ่มจากอยากลอง...ไอ้ติดมั้ยคิดว่าที่ติดคงมีไม่มาก
แต่ที่เล่นกันนั้นเพราะติดรสชาด
เสพติดอารมณ์ขณะที่กำลังเสพย์มากกว่าค่ะ

และจากที่สัมภาษณ์เช่นกัน...พบว่า...เกือบทั้งนั้นเมื่อปล่อยกลับไป ก็เดินกลับไปหาความคุ้นเคยในความเสี่ยงนั้นอีก

มันไม่ใช่เรื่องของการศึกษาแล้ว
เพราะเพื่อนฉันบางคนจบปริญญาตรีเหมือนกัน หน้าที่การงานดี
เขาก็ยังต้องพึ่งพายาไอซ์เป็นประจำ
ในขณะที่เพื่อนรุ่นพี่ที่จบจากเมืองนอกเมืองนา ก็จัดปาร์ตี้ยาไอซ์ให้ได้ยินข่าวอยู่บ่อย

ไม่ติดนะคะ...ไม่มีใครติดสักคน
แต่ถ้ามีทุกคนต่างไม่รอช้าเหมือนกัน
เขาเล่าว่า...มันเหมือนได้ปลดปล่อยตัวเอง
จากหน้าที่การงาน จากความเบื่อหน่าย จากปัญหาส่วนตัว
เขาบอกว่า...มันเหมือนเติมพลังให้ชีวิตมีแรงออกไปต่อสู้ต่อไป

พอดีกว่าค่ะ...เดี๋ยวจะหลงประเด็นเรื่องน้ำ

พี่ยาย...หนูอยู่ต่างจังหวัดแล้ว...
พรุ่งนี้คงไปช่วยไม่ได้
ตอนนี้ขยับตัวลำบากนิดหน่อย
ต้องรอหลังเมษา ถึงจะทำอะไรได้ตามใจตัวเองอีกครั้ง



โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 11 ธันวาคม 2550 เวลา:14:57:58 น.  

 
แหะๆ อีทีค่ะพี่ยาย

กางใจดู-หนูกางจอ...ยกที่๑

//www.localtalk2004.com/V2005/detail.php?file=1&code=d5_11122007_01


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 11 ธันวาคม 2550 เวลา:16:16:38 น.  

 
สวัสดีจ้ะยาย แพร จารุ


บ่ายๆวันที่ 14 นี้จะขึ้นเชียงใหม่

ไม่รู้ว่าจะมีจังหวะได้พบกันบ้างไหม

เพราะเวลาจำกัดเหลือเกิน




โดย: พ่อพเยีย วันที่: 11 ธันวาคม 2550 เวลา:20:39:16 น.  

 
ยังไงถ้ารับได้หนังสือแล้วช่วยบอกด้วยนะครับ

เพราะน้องที่ไปส่งให้ ส่งสลับกับน้องอีกคนหนึ่งนะครับ

ข้างหน้ามีคำอวยพรกับเบอร์โทรนะครับ
ยังไงขอโทษด้วยนะครับ


โดย: ตะวันออกไม่แพ้ วันที่: 11 ธันวาคม 2550 เวลา:22:46:17 น.  

 
สวัสดีค่ะน้ายาย และก็พี่เพลง(ขออนุญาตเรียกพี่นะค่ะ)

มาติดตามอ่านเรื่อง พ.ร.บ.น้ำค่ะ
แม้จะช่วยอะไรไม่ได้มาก ก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

พี่เพลง
ตอนที่หนูเห็นนะ หนูรู้สึกสงสาร
(ความจริงไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกแบบนี้เลย)
เพราะหนูเห็นหน้าตาเขาดูเศร้าๆ
ที่หนูรู้บางคนใช้เฮโรอีน
ไม่รูว่าคนที่หนูเห็นจะใช้หรือเปล่า
เพราะเขาโดนลงโทษให้ดูแลสวนและพรวนดิน
หนูเลยไม่ได้คุยด้วย หนูยิ้มให้เขา เขายิ้มตอบ แต่ตาดูเศร้าๆ เหนื่อยๆ
ไม่รู้ว่าเอาความรู้สึกตัวเองไปวัดด้วยหรือเปล่านะค่ะ
แต่เท่าที่รู้มาน้อยนิด เห็นเขาว่าเฮโรอีนจะทำให้ตอนเสพมีความสุข
มีผลต่อระบบประสาท พอเลิกแล้ว ประสาทส่วนที่สร้างสารความสุขให้ร่างกายจะไม่ทำงาน
เลยทำให้คนที่เคยติดเฮโรอีนมีอัตราฆ่าตัวตายสูง
เพราะอาการซึมเศร้า
อันนี้จริงเท็จอย่างไรไม่แน่ใจค่ะ เท่าที่เก็บเอามาได้จากห้องเรียนตอนง่วงนอนก็มีเท่านี้ไม่รู้ว่าจำผิดหรือเปล่านะค่ะพี่เพลง
(ความจริงไม่ได้เรียนเรื่องยาเสพติดนะค่ะ เรียนเรื่องระบบประสาท แต่มันพอมีเนือหาแทรกอยู่บ้าง เพื่อการจำง่าย และเอามาใช้ได้ ไม่ใช่นั่งท่องเส้นประสาทอย่างเดียว แต่เอามาใช้ไม่ได้ หนูเลยไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกไหม)

ความจริงไปเที่ยวแบบนี้ก็ได้รู้อีกแบบ
ถ้าลูกพี่ลูกน้องไม่พาไปหนูคงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ขอเล่านิดหนึ่งก็แล้วกันค่ะ(เพราะมันคงเป็นสาเหตหนึ่งที่ทำให้หนูได้ไปที่นั้น)
พี่มะลิเขาจบการตลาดค่ะ
เขาเคยคุยให้หนูฟังตอนที่รถส่งสินค้าตามหมู่บ้านผ่านเราไป
พี่เขาว่าอยากทำงานแบบนี้
หนูก็ถามว่าทำไมไม่ทำ(ตอนนี้พี่เขาทำงานเกี่ยวกับเอกสารการท่องเที่ยว)
เขาว่าไปสมัครแล้ว แต่ต้องมีรถเป็นของตัวเอง
หนูถามว่าทำไมไม่ไปกับรถบริษัทล่ะ
พี่ว่ามีแต่ผู้ชายเขาทำ ถ้ากลางวันก็ไม่กลัว แต่กลางคืนจะลำบาก

เล่าแค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ
เพราะหนูเองก็ไม่นึกว่าพี่เขาจะมีอีกมุมหนึ่งแบบนี้
เท่าที่เราโตมาด้วยกัน พี่เขาเรียนการตลาดเพราะอยากทำงานในออฟฟิศ
ซึ่งตอนนี้เก็ได้ทำสมใจแล้ว
จำได้ว่าพี่เขาบอกหนูว่าทำตามที่ตัวเองต้องการดีที่สุด
สิ่งที่เยลเรียน ถ้าไม่รักพี่ว่าทำไม่ได้


โดย: เบฐจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 12 ธันวาคม 2550 เวลา:11:07:40 น.  

 
อืมม์ อ่านแล้วคิด คิดแล้วเครียดจังเลยค่ะ...
เคยทำงานให้กรมชลประทานมาช่วงหนึ่ง
รู้สึกถึงคุณค่าของทรัพยากรน้ำมาก
และรู้ถึงวิธีการจัดการทรัพยากรน้ำหลายอย่าง
.........
ไม่อยากจะเชื่อว่า วิถีแบบนี้จะเกิดขึ้นกับประเทศเราได้
น้ำจะกลายเป็นของรัฐ ของหลวง..คิดตามไม่ถูกเลยค่ะ....
ขอไปทานยาแก้ปวดหัวก่อนนะคะ



โดย: ยิปซีสีน้ำเงิน วันที่: 12 ธันวาคม 2550 เวลา:22:35:44 น.  

 

มาสร้างเส้นทางลัดสู่บ้านนี้ครับ

มีความสุข รักษาสุขภาพนะครับ


โดย: เซียน_กีตาร์ วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:7:11:11 น.  

 


แวะมาอ่านอย่างสม่ำเสมอค่ะ พี่ยาย อาจจะชักช้าไปบ้าง อันเนื่องมาจากภารกิจที่รัดตัวค่ะ

อ่านแล้ว รู้สึกเครียดๆ เหมือนกันนะคะ


โดย: น้องนก (Nok_Noah ) วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:10:42:02 น.  

 
เพื่อน ๆ นักอ่าน เย็นนี้ค่อยเข้ามาอับบล็อก มีเรื่องมากมายอยากเขียนเล่าค่ะ
ตอนนี้เข้าไปอ่าน เรื่องลงชื่อปิดสนช.
ส่วนจะลงไม่ลงก็แล้วแต่เพื่อนผองน้องพี่นะคะ
//www.prachatai.com/petition/stopnla


โดย: แพรจารุ IP: 222.123.70.44 วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:11:33:03 น.  

 
พี่ยายคะ...เมื่อวานเป็นไงบ้างคะ

ยังยั้งได้ชั่วคราวแล้ว

ส่วนรายชื่อนี่ล่ะคะ...ถ้าเราได้มากจริงๆ เค้าจะฟังเรามั้ยคะ

อืม...แต่เสียงเล็กๆ หลายเสียงเข้ามันก็คงดังพอให้ใครต่อใครหยุดฟังกันได้ใช่มั้ยคะ

ถ้าหูเขาไม่หนวกกันซะก่อน


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:13:04:41 น.  

 
สวัสดีครับ คุณยาย

เคยอ่านไปแล้วรอบหนึ่ง
อ่านอีกครั้ง ก็ยังปวดใจ
กับการครอบงำ ของอำมาตยาธิปไตย
ถ้าอยู่กรุงเทพคงได้ร่วมขบวนกับ อ.จอน
ปิดล้อมเป็นแน่ครับ


โดย: ดอกเสี้ยวขาว วันที่: 13 ธันวาคม 2550 เวลา:17:53:40 น.  

 
สวัสดีค่ะน้ายาย

พึ่งทราบข่าวความเป็นไปมาจากบ้านพี่เพลง
เราทำได้อีกก้าวหนึ่งแล้วค่ะ
สู้ๆๆค่ะ


โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) วันที่: 14 ธันวาคม 2550 เวลา:10:20:17 น.  

 
สวัสดีคุณแพร จารุ
งานของผมยังเดือดดุ...อยู่เลยละ
แต่ก็ขอเข้ามาเขียนเวียนตามกะ
เพื่อชมเวบเสพธรรมะวรยุทธ
(แปลว่าอะไรไม่รู้ - กลอนพาไป)

เวบคุณแพรแน่สุดสวยด้วยสรรพสิ่ง
แต่เวบผมยังล้มกลิ้งไม่โผล่ผุด
ไม่มีเวลาพัฒนามายื้อยุด
ก็เลยปล่อยให้กุดกุดไปอย่างนั้นแหละนะ

เฮ้อ... บ่มีลูกเล่นอะไรกะเขาเล้ย
มาถอนใจแล้วก็กลับไปถอนใจอีกร้อยหน(ทำไมเราจึงโชคดีมีงานล้นแบบนี้วะ)

และพรุ่งนี้รอต้อนรับยัยแปรงกับตานุ ที่จะไปสอนรีทัชแอนด์โฟโต้ชอพให้ที่บ้าน



โดย: ลุงบูลย์ (pantamuang ) วันที่: 14 ธันวาคม 2550 เวลา:12:21:37 น.  

 
เพิ่งมีเวลาแวะมาแถวนี้ค่ะ กลับจากเชียงรายมาเป็นโรคหัวใจอ่อนแอ แต่ตอนนี้กำลังเข้มแข็งแล้วค่ะ เวลาเจออะไรหนักๆ มันต้องให้สุด มันถึงจะด้าน ไปเชียงรายคราวนี้เห็นสภาพดอยแล้วก็รู้สึกหดหู่ใจสุดๆ อีกหน่อยคงมีปัญหาเหมือนในเมืองเหมือนกัน เฮ้อ

คิดถึงนะเจ้าค่ะ


โดย: sugarhut วันที่: 14 ธันวาคม 2550 เวลา:16:14:21 น.  

 
เห็นสนช. ชุดนี้แล้วเครียด

นอกจากเรื่องนี้แล้ว พรบ.ภาพยนตร์ฉบับปิดหูปิดตาก็ดูมีแววว่าจะผ่าน ซะด้วยสิ


โดย: ฟ้าดิน วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:5:20:00 น.  

 
แวะมาอ่านแบบคร่าว ๆ มากเลย
เปลี่ยนหน้า blog แล้วนะคะ
ได้แค่นั้นล่ะ..


โดย: malarn cha วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:7:52:17 น.  

 



emoเฮ้อ...อนาคตน่าสงสารตำรวจ...

นอกจากจะต้องคอยไล่จับพวกลักลอบเล่นการพนัน...emo

ยังต้องอคยไล่จับพวกลักลอบใช้น้ำอีกหรือนี่


โดย: เซียน_กีตาร์ วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:12:13:47 น.  

 
พี่สาวกับน้องชาย
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
แล้วพูดว่า
"ผมขโมยเองครับ"
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
"ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
"พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
เรียนดีมากนะ"
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน
เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ
"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
ผมจะไปหางานทำ
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที

ไซท์ก่อสร้าง ...
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
อยู่ข้างนอกแน่ะ"
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...
ฉันถามเขาว่า
"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
"พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
แล้วพูดว่า
"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20ปี ส่วนฉันอายุ 23ปี
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก
น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
ฉันถาม
"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26ปี...
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
...
เขาบอกกับฉันว่า
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
ดูตัวเองซิ
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย
ฉันบอกกับน้องว่า
"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29ปี...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30ปี
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
"ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ"
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ"
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม...........








GoOdLuCkkk...






love_infinity_good@hotmail.com







โดย: HuMaน........ IP: 125.26.228.159 วันที่: 15 ธันวาคม 2550 เวลา:15:24:57 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่ยาย
มาเมนต์ก่อนที่เนตฟรีจะตัดค่ะ
ต่อไปเราต้องลักลอบใช้น้ำหรือเปล่านะ
มาร่วมเป็นหนึ่งเสียงคัดค้านค่ะ ยังทันอยู่รึเปล่าคะ


โดย: ปลายฟ้า (ธารเมฆ ) วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:19:35:35 น.  

 


โดย: 43 IP: 125.24.21.12 วันที่: 3 มีนาคม 2551 เวลา:15:14:26 น.  

 
7777777777777777777777777888888888888888888888888899999999999999999999999994444444444444444444444444555555555555555555555555566666666666666666666666661111111111111111111111111222222222222222222222222233333333333333333333333330000000000000000000000000*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*//////////////////////////////////................................................................................................


โดย: 4565465864498357649 IP: 124.157.207.122 วันที่: 29 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:28:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แพรจารุ
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..
۞ บทกวีและเรื่องสั้น ถนอมไชยวงษ์แก้ว
อัพเดท

..
۞ จากกระท่อมทุ่งเสี้ยว โดยถนอม ไชยวงษ์แก้ว
อัพเดท 17 ต.ค.51
http://www.youtube.com/watch?v=L21lhWsu8QQ&feature=related object width="315" height="80">
หา โค้ดเพลงhi5 : hi5 song code search
Friends' blogs
[Add แพรจารุ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.