ไม่ว่าจะมีเหตุจูงใจอย่างไรก็ตาม หากพรบ.ทรัพยากรน้ำผ่านสนช.ออกมามีผลบังคับใช้ตามกฎหมายได้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องการบริหารจัดการน้ำจะเกิดขึ้นติดตามมาอย่างใหญ่หลวง เกินกว่าที่กรมทรัพยากรน้ำผู้เป็นต้นเรื่องของการเสนอร่างพรบ.ฉบับนี้จะคาดการได้จริงๆ ประการแรก กฎหมายมีผลให้ น้ำ ทั้งหมด ทั้งในบรรยากาศ น้ำบนผิวดิน น้ำใต้ดิน น้ำในแม่น้ำระหว่างประเทศ น้ำในแหล่งน้ำที่รัฐสร้างขึ้น เป็นของรัฐในทันที โปรดฟังอีกครั้ง น้ำทั้งหมดทั้งมวลให้ตกเป็นของรัฐในทันที หรือเรียกง่ายๆว่าเป็น ของหลวง บทเรียนในทรัพยากรอื่นๆได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลังจากที่ถูกยึดไปเป็นของหลวงโดยกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ไม่สามารถควบคุมดูแลให้เกิดการใช้ประโยชน์สาธารณะได้อย่างเป็นธรรม มีความโปร่งใสและมีความยั่งยืนได้ และต้องกลับมาเรียกร้องให้ประชาชนมีจิตสำนึกในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเรื่องน้ำก็เช่นเดียวกัน การประกาศให้น้ำเป็นของรัฐก็เท่ากับการตัดความสัมพันธ์ของประชาชนที่มีต่อขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีของการจัดการน้ำร่วมกัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการช่วยกันดูแลและควบคุมบริหารจัดการน้ำได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรมกับสมาชิกทุกๆคน เรียกได้ว่าเป็นการบังคับเอาทรัพยากรน้ำหน้าบ้านไปหน้าตาเฉยเลยก็ว่าได้ แทนที่กฎหมายทรัพยากรน้ำจะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ประชาชนได้ทำในสิ่งที่มีรากฐานของจารีตประเพณีหรือความร่วมไม้ร่วมมือในท้องถิ่น ตามนัยของรัฐธรรมนูญมาตรา 66 เรื่องสิทธิชุมชน ซึ่งเป็นประชาธิปไตยของการจัดการทรัพยากรในระดับรากหญ้า แต่กฎหมายทรัพยากรน้ำจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามที่กล่าวมาทั้งหมด ตัวอย่างที่ชัดเจนเช่น ถ้ารัฐจะสูบน้ำจากแม่น้ำระยองส่งไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดหรือแหลมฉบัง ก็มีความชอบธรรมตามกฎหมายทรัพยากรน้ำฉบับนี้ เพราะน้ำในแม่น้ำระยองไม่ได้เป็นของประชาชนใน จ.ระยองอีกต่อไป แต่เป็นของ รัฐ เพียงผู้เดียว
การสูญเสียความสามารถในการเข้าถึงและการจัดสรรทรัพยากรน้ำ เป็นผลมาจาก พรบ.ฯน้ำจะแบ่งประเภทการใช้น้ำเป็น 3 ประเภท ซึ่งภาคการเกษตรโดยทั่วไป จะเข้าข่ายการใช้น้ำในประเภทที่สอง ซึ่งเป็นการใช้น้ำในกลุ่มเดียวกันกับภาคภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และกิจการรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ การใช้น้ำประเภทที่สองนี้ เกษตรกรต้องขออนุญาตใช้น้ำ และต้องเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในเรื่อง ค่าใบคำขอ, ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้น้ำที่สูงถึง 10,000 บาท(มาตรา 50,), ค่าใช้น้ำ(มาตรา 51) และเงื่อนไขอื่นๆตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะกำหนด เช่น การติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำ(มาตรา 54) เงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้เกษตรกร เข้าถึง น้ำได้ยากขึ้น เพราะเกษตรกรไม่สามารถถ่ายโอนต้นทุนเหล่านี้ไปยังราคาผลผลิตได้ แต่การใช้น้ำในกิจกรรมประเภทอื่นๆทั้งหมด ผู้ประกอบการสามารถผลักภาระต้นทุนค่าน้ำไปรวมไปในราคาของสินค้าหรือบริการได้ ตัวอย่างเช่น การประปานครหลวงผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองมาทำน้ำประปาฝั่งตะวันตก โดยกปน.จ่ายค่าน้ำดิบให้กรมชลประทานลูกบาศก์เมตรละ 0.50 บาท ต้นทุนค่าน้ำนี้ กปน. สามารถผลักภาระไปยังผู้ใช้น้ำประปาได้ โดยบวกเพิ่มเป็นค่าน้ำดิบใบบิลค่าน้ำประปา นอกจากเรื่องภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแล้ว กลไกการจัดสรรน้ำทั้งในระดับชาติและระดับลุ่มน้ำ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการที่มาจากภาคราชการเป็นหลัก และแทบไม่มีตัวแทนจากภาคองค์กรผู้ใช้น้ำของเกษตรกรจริงๆในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงไม่มีหลักประกันในเรื่องความเป็นธรรมในด้านการจัดสรรน้ำได้ โดยดูจากในระดับกรรมการลุ่มน้ำ มีตัวแทนจากองค์กรผู้ใช้น้ำเพียง 2 คนเท่านั้น คือ องค์กรผู้ใช้น้ำ ที่จดทะเบียนตามมาตรา 36 เท่านั้น ที่จะถูกคัดเลือกไปเป็นตัวแทนใน คณะกรรมการลุ่มน้ำ ซึ่งหมายถึงใครก็ได้มาจดทะเบียนเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำ นายทุนหรือผู้ประกอบการใช้น้ำขนาดใหญ่ก็สามารถจดทะเบียนและส่งตัวแทนไปเป็นกรรมการในระดับลุ่มน้ำได้ และมาตรา 36 นี้ได้ทำลายความเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำตามจารีตประเพณี ที่รับรองใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 66 ด้วยเช่นกัน ในขณะที่ตัวแทนกรรมการลุ่มน้ำในกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติจำนวน 2 คน ยิ่งไม่มีหลักประกันว่าจะมีตัวแทนเกษตรกรในสัดส่วนที่มากเพียงพอและสามารถถ่วงดุลได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ทั้งในเรื่องการเข้าถึงน้ำ การจัดสรรน้ำและมีเสถียรภาพในการใช้น้ำคือ กลุ่มกิจการใช้น้ำขนาดใหญ่ต่างๆ ทั้งที่เป็นของเอกชนและที่เป็นของรัฐ(หรือรัฐวิสาหกิจ) นับว่าเป็นการตอกย้ำปัญหาความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้มากยิ่งขึ้น
ถึงวันนี้หลายฝ่ายอาจจะรู้สึกว่าสายไปเสียแล้วสำหรับการหยุดยั้งร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาตินี้ แต่ผมคิดว่ายังไม่น่าจะสายเกินไป หากสนช.และรัฐบาลซึ่งมีสถานภาพรักษาการด้วยกันทั้งคู่ จะชะลอร่างพรบ.ฯน้ำไว้ก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่ารัฐธรรมนูญมาตรา303(1) ระบุไว้ชัดเจน ให้การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชนเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและสภาที่ได้มาจากการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคมนี้แล้ว ประกอบกับไม่ได้เป็นร่างพรบ.ที่มีความเร่งด่วน และการนำเสนอร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำทั้งที่เป็นร่างของรัฐบาลและร่างของสนช.ก็มีสาระสำคัญบางประการ ที่ถูกปกปิดไว้ไม่เคยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในทางสาธารณะมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด ผมคิดว่าอีกประเด็นหนึ่งที่สนช.ต้องพิจารณาให้รอบคอบคือ แหล่งน้ำสาธารณะจำนวนมากในประเทศไทยเกิดขึ้นโดยเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพี่อให้เกษตรกรได้มีน้ำไว้เพื่อการเกษตรกรรมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคงเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจได้หากเกษตรกรที่ใช้น้ำในโครงการต่างๆเหล่านี้ เช่น อ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา, อ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์, อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล ฯลฯ จะต้องถูกเก็บค่าน้ำและถูกเจ้าหน้าที่รัฐไล่จับกุม หากใช้น้ำโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่จ่ายค่าน้ำ สนช.สามารถชะลอร่างพรบ.ฯน้ำไว้ก่อนได้ และพิจารณาให้รอบคอบมากกว่านี้ด้วยการนำร่างไปเปิดรับฟังความคิดเห็นในทางสาธารณะ และรวบรวมเป็นข้อมูลไว้เพื่อให้รัฐบาลและรัฐสภาชุดใหม่ตัดสินใจต่อไป การเร่งรีบ รวบรัด ตัดตอนออกพรบ.ทรัพยากรน้ำของสนช. นอกจากจะไม่สามารถเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้แล้วว่าเป็นการ ทำลายเกษตรกร เอื้ออาทรนายทุน แล้ว สนช.ยังเป็นผู้สร้าง สงครามน้ำ แห่งอนาคตอีกด้วย... ฉบับนี้เอาแต่เนื้อ ๆ นะคะ ขอบคุณเฉิดฉันท์ ผู้ส่งมาให้ค่ะ
.....ฝากรอยไว้.... 32
ไม่รู้ว่าพี่ยายรู้หรือยังคะ...ที่ สนช. เร่งออกพรบ.ฉบับนี้กันยกใหญ่ เห็นว่าจะต้องรับร่างให้เสร็จทันภายในวันที่ ๒๓ ธันวา
และมีข่าวลือว่า สนช. ชุดนี้ต้องการให้ร่างฉบับนี้เป็นผลงานชั้นโบว์แดงของตน ก่อนพากันแยกย้ายไปตามทางใครทางมัน
"การเร่งร่างฯ นั้นทำให้ไม่อาจลงไปคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ได้" เป็นคำแก้ตัวที่แย่มากๆ คุณเขียนกฎหมายเพื่อชาวบ้านแต่คุณไม่ไปคุยกับชาวบ้าน โอ้...ชาติมันถึงเจริญเยี่ยงนี้ไง
ดีจังเลยค่ะพี่ยายเปิดคุยที่บ้านทั้งสองหลัง
พักนี้บางโอเคเอ๋อๆ ชอบกล ชอบยั่วอารมณ์คนให้ร้อนขึ้นในวันที่อากาศหนาวนัก
โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:14:00:51 น.
.....ฝากรอยไว้.... 33
แล้วเราควรทำอย่าไรดีครับ
โดย: comcop IP: 61.7.174.243 วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:14:05:02 น.
.....ฝากรอยไว้.... 34
น่าสงสารเกษตรกร
เราเคยไปลงพื้นที่ที่แม่ตาว ตาก
แก่เหมืองแก่ฝายและชาวบ้าน
มีการจัดระบบแบ่งปันเหมืองฝายได้ดีมาก
ชาวบ้านมีการดูแลกันเอง มีระบบระเบียบกันเอง
ในการผันน้ำ ปันน้ำ เมื่อเกิดข้อพิพาท ก็ตกลงกันได้ในฐานะพี่น้องเพื่อนฝูง
แต่เมื่อ การจัดการภาครัฐเข้าไปแทรกแซง
ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนคอนกรีต เขื่อนยาง
ผลก็คือ..ระบบเหล่านี้ที่เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่สร้างกันมาเป็นเวลาชั่วอายุคน ก็บูดเบี่ยวไป
เขื่อนคอนกรีต เขื่อนยางหลายแห่ง
กลายเป็น อนุสรณ์ ที่ใช้งานไม่ได้
แล้ว..แบบนี้ พรบ.ของรัฐ จะแก้ปัญหายังไง
หรือซ้ำเติม ปัญหาเหล่านี้ให้มากขึ้น นะ
โดย: a_mulika วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:20:33:13 น