b>สรุป ความเป็นมาและปัญหาผลกระทบของ ร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำกรมทรัพยากรน้ำได้ยกร่าง พรบ.ทรัพยากรน้ำ เสร็จสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม 2548 ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และได้เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 60/2550 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 โดยพลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะ ได้เสนอร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำ ด้วยเช่นกัน สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาและรับหลักการในวาระที่ 1 ทั้งสองร่าง และแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญทรัพยากรน้ำ เพื่อดำเนินการแปรญัตติโดยใช้ร่างของรัฐบาลเป็นร่างหลัก ซึ่งมีกำหนดพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในวันที่ 6 ธันวาคม 2550 นี้ร่าง พรบ.ทรัพยากรน้ำ จะสร้างปัญหาและส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเด็นสำคัญได้แก่ 1. สถานะของ น้ำ ได้แก่ แม่น้ำ ลำคลอง ทางน้ำ บึง แหล่งน้ำใต้ดิน ทะเสสาบ แหล่งน้ำธรรมชาติอื่นๆ และแหล่งน้ำที่รัฐจัดสร้างขึ้น จากเดิมที่เป็นสาธารณะสมบัติที่ประชาชนสามารถใช้ร่วมกันได้ จะตกเป็นของรัฐในทันที2. ผู้ใช้น้ำทุกคนหรือเกษตรกรผู้ใช้น้ำทุกกลุ่มต้องเข้าสู่ระบบการขอใบอนุญาตใช้น้ำ โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขอใช้น้ำ ในราคาครั้งละ 1-10,000 บาท และต้องจ่ายค่าใช้น้ำตามปริมาณควบคู่ไปด้วย รวมทั้งต้องติดตั้งมิเตอร์วัดน้ำด้วยตนเอง นอกจากนี้ใบอนุญาตขอใช้น้ำ สามารถซื้อ-ขายระหว่างผู้ใช้น้ำได้ทุกกลุ่ม3. ร่างพรบ.ทรัพยากรน้ำ จะลบล้างสิทธิการจัดการน้ำของชุมชนที่มีอยู่เดิมลงทั้งหมด ซึ่งรับรองโดยรัฐธรรมนูญมาตรา พ.ศ. 2550 มาตรา 66 โดยเฉพาะในภาคเหนือ ระบบเหมืองฝายจะไม่สามารถบริหารจัดการน้ำได้อีกต่อไปดังนั้น เกษตรกรที่ใช้น้ำทั้งจากแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำที่รัฐสร้างขึ้นจะประสบกับปัญหาสำคัญคือ การสูญเสียองค์กรจัดการน้ำเหมืองฝายดั้งเดิม, ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะไม่สามารถผลักภาระๆไปยังราคาขายผลผลิตได้ และไม่สามารถเข้าถึงน้ำเพื่อการเพาะปลูก ข้อมูลนี้โดยสมัชชาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำภาคเหนือ และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือซึ่งจะจัดให้มีการประชุมแถลงข่าวระดมความคิดเห็นในหัวข้อหยุด พรบ.ทรัพยากรน้ำ ฉบับทำลายเกษตรกร เอื้ออาทรนายทุนวันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2550 เวลา 10.00 12.00 น. ณ ห้องบัวตอง สำนักบริการวิชาการ(UNISERVE) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
..ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้องตกแก่นายทุนเท่านั้น ไม่ว่าจะผู้นำยุคไหนๆ..