Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
30 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
ขึ้ึ้นภูคิ้ง ภูสดๆ

ภูคิ้ง...ภูสดๆ

การเดินทางไปภูคิ้งไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แรกเริ่มเดิมทีวางโปรแกรมเอาไว้กับพวกๆว่า ปีนี้เราจะไปเยือน อำเภอปาย เห็นเขาว่ากันว่าสวยนักสวยหนา หลังจากนั้นก็จะต่อขึ้นไปที่ ปางอุ๋ง แต่ผลสรุปออกมาว่า

ปายไม่ไปแล้วเราเปลี่ยนเป้าหมายไปที่จังหวัดชัยภูมิเมืองของเจ้าพ่อพระยาแล ทำไมไปชัยภูมิ

เราๆท่านๆรู้กันแต่ว่าแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อโดดเด่นของชัยภูมิคือ ทุ่งดอกกระเจียวอันงดงาม แต่ยังมีอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดที่จะเข้าไปชมความงาม ความเขียวสดของธรรมชาติ ที่ๆปอยกำลังเอ่ยถึง

.... คือภูคิ้ง ....

ภูคิ้ง ตั้งอยู่ ในเขตของหมู่บ้านโนนไฮ จังหวัดชัยภูมิ

ความยากลำบากของการกระเสือกกระสนขึ้นไปบนภูนั้น ปอยขอยกให้ภูคิ้ง เป็นพี่สาวคนโตของภูกระดึง หรือแม้แต่ภูสอยดาวที่ปอยก็ไปชื่นชมมาแล้ว แต่ละภู มีความสวยงามแตกต่างกันไป

มีเสน่ห์เย้ายวนใจต่างมุมมอง สำหรับท่านๆที่ชื่นชอบการเที่ยวป่า ขึ้นภู

ปอยอลินขอรับรองด้วยเกียรติของคนชอบเที่ยวคนหนึ่งว่า ภูคิ้ง จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน

พวกเรานัดกันว่าจะเดินทางกันในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และกลับในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ไปนอนบนภู 1 คืน

และหาที่นอนที่อื่นอีก 1 คืน.....

ซึ่งยังคิดกันไม่ออกว่าจะนอนที่ไหน เป็นแบบนี้ร่ำไปเวลาไปเที่ยว 9 โมงเช้าของวันที่ 2 เรานัดกันกับ

เพื่อนสุดที่รักซื้อตั๋วรถทัวร์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่คืนวันที่ 1 ดิสันก็อุตริ ไปรับประทานยอดข้าว ที่ร้านติดลมซอยประชานิเวศน์ 1

ซะก่อน เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้จัด กลับมาถึงบ้านตี 2 นึกขึ้นได้ลืมกล้องถ่ายรูปไว้ที่ๆทำงานไม่ได้ค่ะไม่ได้กล้องถ่ายรูป

เป็นสิ่งสำคัญอย่างใหญ่หลวง ไม่มีไม่ได้ คิดได้ดังนั้นก็รีบโทรศัพท์หาเพื่อนสุดที่รักอีกคนหนึ่ง สารภาพความผิดด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน

มันรู้ทันทีว่าเราต้องลืมอะไรซักอย่าง

คืนนั้น ผลออกมาว่าข้าพเจ้ากับเพื่อนสาวสุดที่รัก ต้องขับรถจากบ้านที่สะพานใหม่ ไปเอากล้องที่สาย 4

ที่ทำงานของปอย ไม่ต้องนอนค่ะคืนนั้น กว่าจะขับรถกลับมาก็เกือบเช้าแล้ว ตัดสินใจนอนมันซะที่ลานจอดรถร้านโออิชิ สาขาพหลโยธิน

(ผู้จัดการร้านเป็นเพื่อนกัน) เพราะเดี๋ยวก็เช้าแล้ว 9 โมงรถออกเอาแรงไว้ก่อน

เราเดินทางด้วยรถทัวร์ ไปลงที่จังหวัดชัยภูมิ ล้อหมุน 9 โมง แต่กว่าล้อจะหยุด

นานมากรถทัวร์ขับแบบรถไฟไทย ยังไงก็ไม่ปาน “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง”กะฉึก กะฉัก ๆๆ ไปเรื่อยๆระยะทางแค่ไม่กี่กิโลเมตร

จากกรุงเทพฯ-ชัยภูมิ พี่ท่านใช้เวลาเกือบ 6 ชั่วโมง อุแม่เจ้า
นอนบนรถทัวร์หลับบ้าง ตื่นบ้าง ไม่รู้ตาค้างมาจากไหน.....

เมื่อเรามาถึงที่หมาย เพื่อนเจ้าถิ่น ยืนยิ้มอยู่ข้างรถกระบะวีโก้

เราเดินทางกันมา 4 คนจากกรุงเทพฯ เพื่อนัดเจอกับเพื่อนอีก 3 คนที่ชัยภูมิ

มาถึงแล้วเราก็ไม่รอช้าค่ะ สิ่งแรกที่อยากทำมากที่สุดในตอนนั้นคือ กินข้าว

มาชัยภูมิต้องกินส้มตำเจ๊น้อยค่ะอร่อยมาก ขอโฆษณาให้เจ๊แก ซะหน่อย ร้านเจ๊แกอยู่ใกล้ๆกับกองตำรวจสื่อสาร ตำแตงใส่น้ำปลาร้าอร่อย



ร้านเจ๊น้อยค่ะ

จนต้องมากินอีกตอนขากลับ กองทัพต้องเดินด้วยท้องนี่นะพออิ่มกันหนำแล้วเราก็ไม่รอช้าเพราะเราสายกันมาก

จุดหมายปลายทางของเราคือ "บ้านโนนไฮ" บ้านโนนไฮเป็นจุดที่อยู่ใกล้ตีนภูที่สุด ถ้าใครจะขึ้นภูคิ้งต้องมาขึ้นที่บ้านโนนไฮ

การเดินทางไปบ้านโนนไฮ เราไม่กังวลกันเลยเพราะ ไว้ใจคุณพล เพื่อนเจ้าถิ่นของเรา

ก็พ่อคุณเป็นตำรวจสื่อสารอยู่ชัยภูมินี่นะแล้วไอ้บ้านโนนไฮที่ว่า ก็เป็นบ้านของเพื่อนคุณพลเขา ใครจะไปกังวล....แต่!!!

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ตราบใดที่ท่านไม่ค่อยกลับบ้าน นานๆกลับที แล้วสามารถหาทางเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ ตราบนั้น

ท่านก็อย่าได้ไปไว้ใจเจ้าถิ่นเลย เขาก็หลงเหมือนๆกันกับท่านน่ะแหละ กรำของเวร

พวกเราหลงทางนิดหน่อย ไปทางไหนวะบ้านโนนไฮ??? ต้องพึ่งใบบุญสถานีตำรวจบ้านเป้า แวะเข้าไปถามทาง

เราขับรถกันอย่างเถิดเทิง เฉิ่มเบ๊อะไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็หลงทางอีกเป็นครั้งที่ 2 เลยทางเข้าบ้านโนนไฮค่ะเลยไปไกลเป็น 10

กิโลไม่เป็นไรค่ะเรามาเที่ยว ชมทิวทัศน์

กว่าเราจะสำนึกว่าเราหลงทาง แล้วกลับรถมาที่หนทางที่ถูกต้อง พระอาทิตย์ก็อำลาเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ความหนาวเริ่มมาเยือนเป็นรอบสอง โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ แล้วทีนี้จะรู้ได้ไงว่าหลังไหนเป็นบ้านอาจารย์ พ่อของเพื่อนคุณพลแก .......เวรล่ะซิงานนี้.......

แต่เราก็ไม่ลืมค่ะว่าเรามีปาก ทางนะมันอยู่ที่ปาก สายตาจับจ้องไปข้างหน้า เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่ข้างกองไฟ

เพื่อขับไล่ความหนาว ความที่ปอยเป็นคนหลงตัวเองเอามากๆ ในใจคิดไปว่าใช่แน่ๆชาวบ้านกลุ่มนี้ต้องกำลังผิงไฟเพื่อรอเราอยู่ อะฮ้า…

ปอยคิดถูก ใช่จริงๆ เนื่องจากเราได้มีการสื่อสารกันมาจากตัวจังหวัดแล้วว่า เดี๋ยวเราจะมา แต่เดี๋ยวของเรามันเดี๋ยวแม้ว

เดือดร้อนเขาต้องมานั่งคอยให้หนาวเล่นอยู่นอกบ้าน เพราะกลัวว่าเรามาแล้ว จะกรี๊ดกร๊าดโวยวาย
เพราะหาไม่เจอน่ารักจริงๆค่ะน้ำใจคนไทย

คืนนี้เรานอนกันที่นี่ค่ะ เจ้าของบ้านตระเตรียมที่หลับที่นอนให้เราเป็นที่เรียบร้อย อบอุ่นสู้หนาวได้สบายมาก

เรื่องอาหารเย็นไม่ต้องห่วงเราเตรียมพร้อมกันมาแล้ว เพราะแวะซื้อมาแล้วจากตลาด กับข้าวซื้อมาเพื่อกินกับข้าวสวย

แต่ต้องกินกับข้าวเหนียวแทน เพราะเจ้าของบ้านไม่มีข้าวเจ้า คุณพลอีกแล้ว
(มันบอกไม่ต้องซื้อข้าวที่บ้านพ่อเพื่อนมันมี เชื่อไม่ได้ตำรวจสื่อสาร)

ขอแนะนำว่าถ้าไปภูคิ้ง คืนแรกก็จะนอนกันที่บ้านอาจารย์นี่แหละค่ะเพราะอยู่ตีนภู และเราก็จะต้องติดต่อหาพรานนำทางที่หมู่บ้านนี้

คืนแรกที่เรานอนอาบน้ำซะนะคะตั้งแต่เนิ่นๆ ใครมาทักว่าอาบตอนเช้าอุ่นกว่าเพราะแดดออกแล้ว อย่าไปเชื่อ!

พวกข้าพเจ้าหลงผิดไป 1 ฝูงแล้ว ไม่อยากเห็นใครหลงผิดด้วย(รู้แบบนี้อาบตั้งแต่เมื่อคืน...หนาวมากค่ะหนาวจะกระดูกสั่น)

เช้าวันนั้น หลังจากทรมานกับการอาบน้ำ แบบผิดๆแล้ว สิ่งที่ต้องห่วงเป็นอันดับแรก ก็คือเรื่องปากเรื่องท้อง พวกเราทำอ่าหารง่ายๆ

เพื่อที่จะนำขึ้นไปทานกลางวันกัน กลางป่า ที่มีแน่ๆก็คือ ข้าวเหนียว น้ำพริก หมูปิ้ง .......




คนเนี้ยค่ะ แกเป็นอาจารย์



นอนก็นอนบ้านเค้า ยังจะใช้ครัวบ้านเค้าอีก

พวกเราได้พรานนำทาง 2 คน พรานผู้เฒ่า 1 พรานผู้ไม่เฒ่า 1 จำได้ว่าพรานผู้ไม่เฒ่าแกชื่อ พี่บุญชู แกน่ารักมากๆค่ะ

อาจารย์เจ้าของบ้าน อาสาเป็นสารถี พาเราไปส่งที่ตีนภู ก่อนไปก็ขอถ่ายรูปหมู...เอ๊ย รูปหมู่ หน้า

บ้านอาจารย์ เก็บไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย ....

.....

จากบ้านอาจารย์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตีนภู มากนัก เราใช้เวลาแค่ 5 นาที ก็มาถึงตีนภู

พรานนำทาง 2 ท่านเตรียม จัดของลงกระสอบ ก็ไอ้สัมภาระของพวกเรานั่นแหละ

เห็นแล้วก็ให้สงสารพี่แก นี่ขนาดแบ่งบางส่วน ฝากไว้บ้านอาจารย์ก่อนแล้วนะ

ขนมาก็แต่เสื้อหนาว และของกิน ของๆใครก็ไม่เยอะเท่า ของเพื่อนสาวสุดสวยของเรา

ไม่รู้คุณนายจะมาเดินป่า หรือ เดินแบบ อดรนทนไม่ได้ เพื่อนชายผู้เป็นสุภาพบุรุษทั้งหลาย ของปอยก็ กุลีกุจอ

ไปแย่งของมาจากมือพราน.. “เฮ้ย...พวกเอ็งน่ะ มาชวยแบ่งๆของไปจากพี่เค้าหน่อย แม่งใครวะขนไรมาเยอะแยะ หนักชิบ...”

เหอๆๆ ไม่ใช่ปอยน๊า...

ขึ้นภูนะคะ ขอแนะนำว่าไม่จำเป็นอย่าถืออะไรให้มันมากมายนัก ลำพังแบกน้ำหนักตัวเองขึ้นไปให้ได้ก็บุญหัวแล้ว

ปอยเข็ดแล้ว มีประสบการณ์ มาจากคราวที่ไปขึ้น ภูสอยดาว

แหมทำเป็นเก๋า..สะพายกระเป๋าคาดเอว ใส่กระเป๋าตังค์ไว้ ใส่โทรศัพท์ ใส่กล้องถ่ายรูป

รู้หรือไม่ว่าไอ้ของพวกนี้เวลาที่แรงโน้มถ่วงโลกมันทำหน้าที่ของมัน ผลมันจะออกมาในรูปแบบไหน

ปวดเอวค่ะ ปวดอย่างกะอายุ สัก 80 เห็นจะได้ ไม่เอาแล้วคราวนี้ ปอยเดินตัวปลิว ในมือถือน้ำแค่ ขวดเดียวสำหรับตัวเองกิน

เราต้องถือน้ำติดตัวกันไปคนละขวดเป็นอย่างน้อยค่ะ เพราะยิ่งเดินก็ยิ่งเสียพลังงาน ขนาดคนกินน้ำน้อยมากชนิด อย่างปอยยังไม่พอจะกิน



ถ่ายกับแผ่นป้าย ก่อนขึ้น

ระยะทางจากจุดเริ่มต้น ถึงบนภูคิ้ง 2,900 เมตร ฟังๆดูแล้วอาจจะบอกว่า แหมสั้นนิดเดียว ไหนบอกว่า โหด

ถ้าสังเกตจากในรูปดีดี จะเห็นได้ว่า ภูคิ้งเป็นภูที่ มีความชัน ค่อนข้างมากทีเดียว ความเหนื่อยมันอยู่ที่ความชันนี่แหละค่ะ

ด่านแรกเลยที่เราเจอก็คือ ป่าไผ่ เป็นป่าไผ่สีทอง เหลืองอร่าม จะสวยงามกว่านี้มาก ถ้าเมื่อคืนก่อนที่เราจะขึ้น ไม่เกิดไฟป่าซะก่อน

ปอยเดาเอาเองว่าเป็นไฟป่า เพราะใจยังไม่อยากคิดว่าจะมีคนใจดำ มาเผาป่าเล่นให้เราเดินหายใจไม่ออกกันได

จริงๆแล้วช่วงแรกๆนี้ ยังไม่เจอความชันซักเท่าไหร่ แต่อากาศหายใจ ของพวกเรามันเปลี่ยนจาก อ็อกซิเจน เป็น คาร์บอนไดอ็อคไซด์ ซะนี่

แล้วเราจะหายใจกันยังไง หายใจไม่ออกค่ะ เดินก็เหนื่อยแล้วยังหายใจไม่ออก ทำเอาเพื่อนสาวแสนสวยของปอย

ถึงกับเป็นลมเกือบจะล้มพับ ต้องหยุดพักแล้วพักอีกไปตลอดทาง

มีเสียงแซวมาจากเพื่อนชายปากแมวว่า..เรี่ยวแรงมันหดหายไปตามอายุว๊อย..ยอมรับกันหน่อย เวรกรรม

ไอ้เพื่อนปากเสีย แระเมิงไม่แก่รึไงวะ ......



ดูรอยไหม้ ที่พื้นค่ะ..เล่นเอาจะเป็นลม หายใจไม่ออก

ระยะทางที่เราเดินขึ้นไป จากป่าไผ่ ยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ทำมั๊ย ทำไม มันยังไม่ถึงที่พักซะที

เดินไปซดน้ำไป พี่พรานบุญชู แกก็ไปเก็บลูกมะกอกมาให้กิน เป็นมะกอกที่ใช้ตำส้มตำปลาร้า ปอยม่เคยกินมันจริงๆจังๆซะที

เมื่อก่อนเวลากินส้มตำปลาร้า เห็นแม่ค้าแกใส่มาในส้มตำก็ไม่เคยตักเข้าปาก จะเขี่ยออกตลอด

แต่คราวนี้จะขอลองสักนิด เพราะพี่บุญชูแกบอกว่า มันช่วยแก้กระหายได้ดีเวลาเดินป่า อืมจริงๆค่ะ มะกอกส้มตำ

มีรสฝาดในตอนแรกที่กัดเข้าไป แต่ซักพักมันจะเปลี่ยนจากรสฝาดเป็น รสหวานชุ่มคอทันที เพื่อนๆก็ขอลองกันใหญ่

บอกก่อนค่ะว่าเพื่อนกลุ่มนี้ เป็นเพื่อนๆที่รู้จักกันสมัยทำงานใหม่ๆ ไม่ได้ร่ำได้เรียนมาด้วยกันหรอก อาศัยว่าถูกคอถูกใจกัน

ตั้งแต่แรกเห็น ปอยน่ะเรียน ศิลปะ ที่วิทยาลัยช่างศิลป์ ปวช.

แต่ไอ้พวกเนี้ยมันไฮโซ...เรียนมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ สาขานิเทศฯ แต่ดูซิคะลุยไหนลุยกันกับปอยได้ทุกสถานการณ์

ทางขึ้น ภูคิ้ง บางจุด บางตอน พรานผู้เบิกทางตั้งแต่หนแรกใจดี ทำบันไดลิงไว้ให้พวกนักท่องเที่ยว บ้าบิ่น เช่นพวกเรา

แกคงจะทำไปด้วยความสงสาร ต้องขอบคุณแกค่ะ เพราะบนภู บางจุดบางตอน เกินความสามารถที่เราๆจะปีนป่ายขึ้นไปได้เองจริง

ด้วยความชันของพื้นที่ และส่วนใหญ่ของพื้นที่ มักจะเป็นแง่งหิน เดินเหินไม่ค่อยจะสะดวกนัก แต่ไอ้เจ้าพื้นที่แบบนี้ล่ะค่ะ

ที่นำพาความสนุก ที่น่าจดจำมาให้ ตลอดทางเราจะเห็นน้ำใจของเพื่อนรักของเรา หนูนาคนสวย ถึงแม้ลมจะใส่อยู่เป็นเนืองๆ

แต่ก็ไม่ยอมเป็นภาระให้เพื่อนๆ ปากยังเก่ง “ไปเลยไปก่อนเลยใครเดินเร็ว ไม่ต้องห่วงฉัน” แหมอย่างกะเพลง เสกโลโซ

หนูนาเดินต้วมเตี้ยมๆ ตามกระต่ายผู้ปราดเปรื่องมาเรื่อยๆ แบบใจเย็น สักพัก กระต่ายทั้งหลายก็ไปกองตายเน่ายิ่งกว่าซากปรักหักพัง

....โห...นึกว่าจะแน่ เหนื่อยสุดๆ....

ปอยเดินเร็วกว่าเพื่อน ไม่ใช่ว่าเก่ง หรือซ่ากว่าเพื่อนหรอกนะคะ ปอยอลินเริ่มเจ็บเท้า เพราะรองเท้า

คู่ชีพมันกำลังจะจากไป เวรกรรม.....โศกาจริงๆ



ทางบันไดลิง....

ภูคิ้งเป็นป่าที่ ยังคงความเขียวสดของ ธรรมชาติอยู่มาก สภาพอากาศ ก็ร้อนๆหนาว เหมือนคนเป็นไข้สังเกตได้ว่า ตัวปอยเอง

เดี๋ยวก็ใส่เสื้อแขนยาว เดี๋ยวก็ใส่เสื้อแขนสั้น หนาวก็เอามาใส่ ร้อนก็เอาไปผูกเอว ไม่ได้กระแดะอยากจะเท่ห์

หรือกลัวว่าถ่ายรูปแล้วภาพจะมีแต่เสื้อตัวเดิมนะคะ อากาสมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

คณะของเรา เริ่มเดินขึ้นภูกันก็ไม่เช้ามาก เวลาประมาณ 9.00 น. เห็นจะได้ ยิ่งเดินก็ยิ่งหิว

นึกในใจใครมันจ้างให้มาทรมานตัวเองวะเนี่ย....

ในที่สุดเราก็เดินมาถึงที่พักทานอาหารกลางวัน พี่พรานก็มาบอกให้ดีใจเล่นว่า จริงๆนี่ถือว่าถึงแล้วนะ
(ขณะนั้นก็เวลาประมาณบ่าย 2 โมงเห็นจะได้)

“ฮ้า...จริงเหรอคะพี่..แหมไวจัง” พี่แกชี้ไปว่าตรงนู้นนนน...เห็นมะ เราจะกางเตนท์กันฟากนู้น

ที่ฐาน... แหมฐานของพี่น่ะใกล้จังมองไม่เห็นซักกะติ๊ด...

ช่างมันเถอะค่ะ ยังไงๆวันนี้เราก็ต้องได้กางเตนท์ แต่ที่แน่ๆตอนนี้เราต้องกางเสื่อแทนเตนท์กันไปก่อน เพื่อตั้งวงกินข้าว

อาหารของเราก็มีอย่างที่บอกไปตอนต้นแล้ว ก็คือ ข้าวเหนียว น้ำพริก หมูปิ้ง ข้าวโพด แต่ชอบของพี่พราน

เอร็ดอร่อยจริงๆค่ะเป็นอาหารที่เหมาะกับการเข้าป่าเอามากๆ เล่นเอาเพื่อนสาวทั้ง 2



อาหารมื้อแรก...บนภูคิ้ง

หนูนา กับ เจ๊เหมี่ยว วิ่งเข้าป่าแทบ ไม่ทันเหมือนกัน

ท่านที่เคยไปภูกระดึงมาแล้ว อย่าหลงเข้าใจว่า ภูคิ้งจะเหมือนภูกระดึงนะคะ ไอ้ความเหน็ดเหนื่อยนะ พอๆกัน แต่ความสวยงาม

ก็แปลกไปคนละด้านละแบบ ภูกระดึงมีเนื้อที่กว้างใหญ ่และที่แวะชมแวะเที่ยวเยอะกว่า ภูคิ้งมากๆ

เช่นน้ำตก ที่มีอยู่มากมายหลายแห่ง ร้านค้าร้านอาหาร ที่จะคอยอำนวยความสะดวก จนนักท่องเที่ยวแทบไม่ต้องขน

ต้องแบกอะไรไปให้หนักแบบ ภูคิ้งเลย แต่ภูคิ้งก็มีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นกัน

ลักษณะโดยรวมของภูคิ้ง เป็นป่าไผ่ ผสมป่าดงดิบ

ไผ่ส่วนใหญ่จะมีสีค่อนไปในทาง สีทองมากกว่าสีเขียว ไม่แน่ใจว่า เพราะเป็น ฤดูหนาวรึเปล่า ไผ่ถึงเป็นสีนี้ หรือไม่ ก็เป็นเพราะธรรมชาติของป่าที่ทำให้เป็น .......
...ป่าไผ่ สีนี้เลยค่ะ...

ในที่สุดพวกเราก็เดินเท้า กันมาจนถึง ลานกว้างใกล้กับที่กางเตนท์ที่สุด เวลาในขณะนั้นก็ประมาณ บ่าย 3 โมงครึ่ง

นับจากจุดที่แวะพักทานอาหาร เราเดินกันมาอีกแค่ ชั่วโมงครึ่งเองเหรอเนี่ย!!!!

ลานกว้างนี้เต็มไปด้วยหินและ พืชแปลกตา ระหว่างทางเรายังไม่วายเก็บผักกินได้บางชนิด เพื่อเอาไปจิ้มน้ำพริกปลาร้า

กินสำหรับคืนนี้ด้วย

พรานสองท่าน ทำหน้าที่ของเขาอย่างสุดยอดจะสมบูรณ์ เป็นทั้งผู้นำทาง เป็นลูกหาบ เป็นไกด์ และเป็นช่างภาพ

แหมถ้าไม่ได้ท่านพี่พวกรูปเราก็ออกมาไม่ครบแกงค์ซิคะ

ถ้าทางพรานผู้เฒ่าแกไม่ยอมให้เราเข้าที่พักกันง่ายๆ แกพยายามพาเดินวนไปตรงนู้น ตรงนี้ ชมนั่น ชมนี่ปอยสบตากับเพื่อนๆ

ก็ได้สัญญาณว่า “เฮ้ยกูเหนื่อยแล้วว่ะ”...

ปอยเลยส่งสัญญาณกลับไปว่า “เออกูก็เหนื่อย แต่กูอยากดู”

..สายตาของปอยมักชนะเพื่อนๆเสมอ ไม่ใช่เพราะว่าปอยจะมีอิทธิพลอะไรนักหนาหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะว่า ลึกๆแล้วพวกเราใจตรงกัน

...พรานหนุ่ม....

ข้าวของๆพวกเราก็อยู่ในกระสอบนี่แหละค่ะ เราเดินข้ามมาจากภูเขาลูกนู้น ที่เห็นลิบๆไกลๆ ขณะที่เดินอยู่บนลานกว้างที่เห็นนี้

ปอยและเพื่อนๆ สังเกตเห็นว่า พื้นนอกจาก จะเป็นหินซะส่วนใหญ่แล้ว ยังมีผงทรายปนอยู่มากบริเวณทางเดินโดยรอบ

ทำให้คิดไปว่า สมัยก่อน มันเป็นทะเลรึเปล่าหว่า เพราะภูเขาลูกนี้ มีเนื้อที่ๆเป็นหินมากกว่าดิน

คุณลุง พรานผู้เฒ่า เป็นผู้คอยชี้แนะ ให้ความรู้กับพวกเรา ไอ้นั่นเป็นอย่างนั้น ไอ้นี่เป็นอย่างนี้ แกบรรยายซะเยอะแยะ

จนสมองของคนสมองกลวงอย่างปอย ไม่สามารถจำได้หมด บวกกับความเหนื่อยที่เกาะติดตัว ไม่ยอมไปไหนซะที

ทำให้ หลงๆลืมๆสิ่งดีดีไปซะได้ ยังดีนะคะที่ถ่ายรูปเก็บไว้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีความทรงจำมาเล่าให้ท่านๆฟังกันแบบนี้เป็นแน่

พอถึงช่วงกลางของลานหิน ลุงแกบอกว่า “นี่แหละคือจุดที่พลาดไม่ได้เชียวแหละคุณ” เหลียวไปดูตามมือแก

อ้อ....พลาดไม่ได้จริงๆแฮะ มันเป็นก้อนหินก้อนเบิ้อเริ่มเทิ่ม หลายก้อน เต็มลานหินไปหมด

คล้ายๆกัน 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ลุงบอกว่า อดใจไม่ไหวล่ะซิอยากปีนขึ้นไปใช่มั๊ย

มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติก็ว่าได้ หินแต่ละก้อน ทั้งใหญ่ทั้งสูง และสวยงามแปลกตา

พวกเราก็แพ้ลูกยุ ปีนป่ายมันไปทุกก้อน กระเสือกกระสนขึ้นไปเพียงเพื่อให้ได้ภาพถ่ายเป็นที่ระลึกกลับบ้าน

เหมือนว่า ความเหน็ดเหนื่อยทีมีอยู่มันจะรู้ใจพวกเรา มันรู้จักหยุดงานอย่างน้อยก็ 1 ชั่วโมง

มันนิ่งเงียบปล่อยให้พวกเราระเริงรื่นไปกับการปีนป่าย ที่ดูทุลักทุเลพิลึก....

ปอยเหนื่อยแทบตาย พอเจออะไรแบบนี้ ก็ไม่ยอมค่ะ พวกมันขึ้นกันได้เราก็ต้องขึ้นได้ซิวะ...(นึกในใจ)

เพื่อนๆรู้ดี ว่าปอยเป็นโรคกลัวความสูง ผสมอาการทางจิตอ่อนๆ กลัวความสูงแต่ชอบปีนป่าย ชอบขึ้นภู

คล้ายๆกับว่า...กลัวก็กลัว แต่! ไม่ยอมแพ้ ชอบเอาชนะโดยเฉพาะชนะความอ่อนแอของตัวเอง

ต่างคนต่างปีนขึ้นไป กระย่องกระแย่ง ดูทุลักทุเลพิลึก พี่พรานบุญชู อดรนทนไม่ไหว ต้องมาชวยดึง ช่วยดัน แกคงนึกในใจนะคะว่า

แหมพวกคนกรุงนี่ไม่ไหวกันซะเลย ก็แหมใครจะขึ้นลงๆ ทุกบ่อยๆแบบลุงล่ะค๊า



ก้อนสุดท้ายที่ปีนขึ้นไป....

ที่นี่มีจุดชมวิวอยู่ 2 จุด มองจากจุดชมวิวลงไป ไม่เห็นอะไรมาก เพราะพระอาทิตย์หรี่ไฟลงเรื่อยๆซะแล้วพี่บุญชูบอกว่า

ถ้าแดดดีดีนะ เราจะมองเห็น “ภูกระดึง” อยู่ตรงซ้ายมือเราพอดี แปลกนะคะ ไปที่ไหนๆก็เห็นมีจุดชมวิวไปซะทุกที่

เคยแอบคิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าไม่ไปชมวิวตรงจุดที่เลือกไว้ให้จะได้มั๊ย เราลองไปหา วิวดีดี ชมกันเองจะได้รึเปล่า

และทำไมเราต้องเชื่อผู้ที่เคยมาก่อนเราด้วย .....

คิดไปคิดมา ก็เลิกคิด นี่ปอยจะคิดให้มันยุ่งยากเปลืองสมองไปทำไมกัน

เราเหนื่อยกันมามากแล้วล่ะค่ะ ต่อไปเราจะได้ทานอาหารเย็นที่รอคอยกันซะที

จากลานหินนี่ เราเดินกันไปอีกประมาณ 2 กิโลเห็นจะได้ ก็จะถึง “หน่วยพิทักษ์ป่า ภูคิ้ง”

ที่นี่เป็นจุดที่เราจะกางเตนท์พักแรมกัน .....

หน่วยพิทักษ์ป่า ภูคิ้ง มีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ 4 นาย ปอยอึ้งกับเจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยคนหนึ่ง

ที่บอกว่าอึ้งนี่ไม่ใช่เพราะเค้าเก่ง เค้าเท่ห์หรือว่าอะไร แต่ด้วยวัย ด้วยอายุของเจ้าหน้าที่นายนี้แล้ว ปอยไม่อยากคิดเลยว่า

เด็กหนุ่มวัยขนาดนี้ จะมาอุทิศตน เพื่อพิทักษ์ป่า เด็กคนนี้อายุ 18 แถวบ้านปอยเด็กวัยนี้

มันขับรถซิ่งไปแย่งกันตายที่ป้ายหน้ากันเป็นเบือ.....

วันๆเค้าจะทำอะไรกันบ้าง

ก็เฝ้าป่า คอยรับวิทยุสื่อสาร คอยรับนักท่องเที่ยว คอยแจ้งไฟป่า อะไรทำนองนี้ จิปาถะ ปอยถือวิสาสะ

ขอเข้าไปดุที่พักอาศัยของเค้า เพราะมันสะดุดตาเหลือเกิน แต่น่าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาฝาก ลักษณะของที่นอน

ตัวเรือนเป็นไม้ลักษณะเหมือนยุ้งข้าวขนาดย่อม หลังคาสังกะสี ยาวลงมาคลุมทับตัวบ้าน จนดูเผินๆแล้วเหมือนก้อน

สามเหลี่ยมที่นอนได้มากกว่า มีประตูแต่ไม่มีหน้าต่าง

ปอยคิดไปเองว่า คงไม่อยากให้ลมหนาวเข้ามายุ่มย่ามเวลานอนมากกว่า เ

จ้าหน้าที่ 4 นายก็มี ไอ้กล่องสามเหลี่ยมเนี่ย 4 กล่องพอดิพอดี

พวกเราจัดแจงเลือกมุมดีดี สำหรับกางเตนท์นอนกัน ไอ้เรื่องมุมเมิมไรเนี่ย ปอยไม่สนใจซักเท่าไหร่

สิ่งที่ปอยสนใจที่สุดคือ พื้นที่เราจะกางต้องราบเรียบ ไม่มีเศษหินเศษดินขรุขระ และไม่เป็นทางลาดเอียง

เคยแล้วค่ะ สักแต่ว่า กางๆๆ ตอนกลางคืนกำลังจะนอน หัวไปโขกดังโป๊กเอาก้อนหินที่อยู่ใต้ผ้าเตนท์พอดี เวรจริงๆ

นี่คือผลของความสะเพร่า เต้นท์ของปอยเป็นเตนท์ 6 เหลี่ยม เคลือบน้ำยากันชื้นอย่างดี

ี รับรองนอนๆอยู่ไม่มีทางที่จะมีน้ำหยดติ๋งๆ เหมือนเตนท์ผ้าร่มทั่วไปแน่นอน

เตนท์คู่ชีพรักกันมานานแสนนานไปไหนไปด้วยกันตลอด จนตอนนี้กลายเป็นเตนท์พิการไปซะแล้ว ขาหักไปข้างนึง

ก็กะว่าจะลากกันไปจนกว่าพี่เตนท์แกจะหมดอายุการใช้งานล่ะค่ะ


พอมาถึงที่หมาย พรานนำทางสองท่าน ก็ไม่รอช้ารีบติดไฟ ก่อฟืน สำหรับทำอาหาร และคลายหนาวให้พวกเรา

อยากจะบอกเพื่อนๆว่า พรานที่ภูคิ้ง นอกจากเป็นลูกหาบ เป็นไกด์ เป็นช่างภาพแล้ว อีกหน้าที่หนึ่งที่พรานจะทำให้เราก็คือ

หาฟืนมาก่อไฟให้เรา แหมดีจังวุ๊ย ไม่ต้องนั่งลุ้น เวลาไอ้คิกเพื่อนรักก่อไฟ ก่อแล้วก่อไฟอีกไม่ติดซักที แบบที่ภูสอยดาว



หมูปิ้งเสียบไม้ ยายสำอาง....

อาหารเย็นของเรามือนี้ ไม่พ้นปอยต้องสวมวิญญาณแม่ครัวอีกตามเดิม ทุกงานค่ะมักจะได้รับตำแหน่งนี้เสมอๆ

ไม่ได้ทำเอร็ดอร่อยอะไรหรอกนะคะ แต่ถ้าทั้งคณะปอยถือว่าฝีมือดีที่สุดแล้ว เหอๆๆๆ .....

อาหารเย็นของเราก็มี หมูปิ้งเสียบไม้ยายสำอาง

ไม่ว่าไปเขาไหน ภูไหน หนูนาก็จะกินหมูปิ้งตลอด นอกจากนั้นก็มีผัดผักกาดขาว ปลาร้า

ของพรานทั้งสอง และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ข้าวเหนียว ฝีมือการหุงของพรานทั้งคู่

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ก็เข้าสู่แบบฉบับของการเที่ยวป่า คือการจับกลุ่มคุยกัน ดื่มด่ำกับ บรรยากาศ ตอนกลางคืน

กลางป่ากลางเขา ไอ้ครั้นจะดื่มสุราอย่างที่เคยๆ ไอ้เพื่อนเจ้ากรรมก็ดันลืมเอามาซะนี่ หมดกันทีนี้ละหนาวตายกันพอดี

ี ไปเที่ยวป่าหน้าหนาว สุราสำคัญมากนะคะไม่ใช่ว่าจะขี้เหล้าเมามายอะไร แต่แอลกอฮอล์แก้หนาวได้ ชะงัดนัก

เราย้ายที่นั่งจากโต๊ะอาหารของเจ้าหน้าที่มาเป็นรอบกองไฟหน้าเตนท์ เพราะทนหนาวไม่ไหว และอาการปวดกระดูก

ปวดกล้ามเนื้อเริ่มออกฤทธิ์ซะแล้ว ไม่วายต้องเรียกหายาแก้ปวดกันจ้าละหวั่น

โดยเฉพาะปอย กับน้าแมนเพื่อนรัก ปวดหัวเข่าจนห่างจากกองไฟกันแทบไม่ได้

เราหันหน้าเข้ากองไฟอย่างเดียวไม่ได้ซะด้วยเพราะอากาศหนาวมาก จนทำให้อุ่นเฉพาะส่วนที่ใกล้ไฟ เราต้องเปลี่ยนวิธีไล่ความหนาวกันใหม่

โดยการยืนหมุนตัวไปตามจังหวะความหนาว ปากก็บ่น

ประณามไอ้เพื่อนคิก ที่มันดันลืมเอาสุรามากิน

เพื่อนนะเพื่อนไม่อย่างนั้นไม่ต้องมาหมุนเป็น ไก่ย่างห้าดาวแบบนี้หรอก

เราตื่นกันไม่เช้ามาก ผิดกับการไปเที่ยวภูสอยดาวที่ต้องตื่นเช้า มาดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ที่ภูคิ้ง เหมาะที่จะชมพระอาทิตย์ตกดินมากกว่า

เพราะทิศตะวันออกของที่นี่ เห็นพระอาทิตย์ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่

เราดื่มกาแฟกับขนมปังปิ้ง และไส้กรอกอีสาน เป็นอาหารเช้า เข้ากั๊นเข้ากัน...เนอะ

ไม่รู้ใคร

มันเป็นคนคิดเมนู แค่นี้ยังไม่พอ เจ๊เหมี่ยวตื่นมาถามหาปลาร้าเมื่อคืนแต่เช้า จะเอามาต้มกินกับข้าวเหนียว

อากาศยามเช้า หนาวเหน็บไม่ต่างอะไรกับตอนกลางคืน เวลาพูดออกมาแต่ละที จะมีควันออกปาก ได้อารมณ์ดีมากๆ

ขอบอกอีกอย่างหนึ่งว่าห้องน้ำที่นี่ สะอาดมากๆ เปรียบเทียบกับภูสอยดาว และภูกระดึงแล้ว ภูคิ้งเอารางวัลที่ 1 ไปเลย

เจ้าหน้าที่ของหน่วยจะคอยตักน้ำมาเติมเป็นระยะๆ และดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี

ห้องใหญ่อาบกันทีละ 3 คนได้สบายๆ แต่ตอนกลางคืนจะวังเวงมากเพราะห้องน้ำคลุมด้วยแผ่น เซอร์แลนสีดำ

คิกเพื่อนรักไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน ถ่ายทุกข์ยังไม่ทันเสร็จดี ก็รีบออกมาซะแล้ว บอกว่า มันหวั่นๆเหมือนกระสือจะมาล้วงก้นยังไงไม่รู้

เดือดร้อนต้องมากินกาแฟแก่ๆตอนเช้า เพื่อไล่ทุกข์ก้อนเดิมออกมา แหวะ...อั้นไว้ได้ทั้งคืน



อาหารเช้า..ลาวเบรคฟาด..

เราไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงกันที่นี่ เพราะเราต้องใช้เวลาเดินลงอีกนาน ขาขึ้นเราใช้เวลา 8 ชั่วโมง ตามประสบการณ์การเดินเขาแล้ว

ขาลงน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง มาป่ามาเขาหน้าหนาวนะคะ น้ำท่านะไม่ต้องไปอาบมันหรอก

อาบไม่ไหวค่ะจะแข็งตายทีมปอยไม่มีใครโดนน้ำซักคน (ทีมผู้หญิง)

พวกผู้ชายไปอาบน้ำที่ลำธาร แล้วมาเล่าให้ฟังถึงความหนาวที่พบเจอ ว่าเหมือนมีเข็มเป็นพันๆเล่มพุ่งเข้าทิ่มแทง ฟังแล้วไม่ไหวค่ะ ใจไม่สู้

สามสาวปรึกษากันแล้ว ยอมทนกลิ่นตัวเองไปก่อนดีกว่า เป็นคนสะอาดค่ะไม่ต้องอาบบ่อยนัก เราออกเดินทางกันสายพอควร

เพราะต้องตากเตนท์ให้แห้ง ละเก็บข้าวของสัมภาระลงกระสอบตามเดิม ปอยเสียเวลากว่าเพื่อนเพราะต้องร้องหาช่างซ่อมรองเท้า

แหมเรียกปุ๊ป ช่างมาปั๊ป ไวทันใจจริงๆ



คลีนิครองเท้า...เคลื่อนที่

ก็รองเท้าของปอยมันตายจากไปแล้ว แต่จำเป็นต้องขุดซากมันขึ้นมาใช้งาน

แต่ไอ้ครั้นจะใช้งานทั้งสภาพแบบนั้นคงไม่ได้ เลยต้องปลุกวิญญาณกันซะหน่อย ลุงพรานใจดี ยอมสละเชือกที่หมวกของแก

เอามาทำเป็นเชือกรัดเท้าให้ เดินไปได้ครึ่งทาง ไอ้ข้างซ้ายสงสัยทนเห็นเพื่อนที่อยู่ข้างขวาเจ็บตัวอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้

เอาเชียวมันเลียนแบบคู่ของมัน มันกลั้นใจตายตามเพื่อนมันทันที แล้วทีนี้จะทำไง เชือกหมด

ต้องแบ่งเชือกฟางจากกระสอบสัมภาระมาผูกรองเท้าใจเสาะอีกข้างให้ปอยแทน ก็ดูสภาพเอาแล้วกัน



ก่อนจะลงจากภู พวกเราก็ขอชักภาพหมู่ ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ซะหน่อย แหมมาถึงถิ่นนะคะไม่ถ่ายเก็บไว้ไม่ได้แล้ว...อ้อลืมบอกไปอีกอย่างค่ะ ว่าพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวเพียงกลุ่มเดียวในวันนั้น



ที่ภูคิ้ง ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จักกันมากมายนัก อาจจะ เป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ไม่ดี หรือเพราะอะไรก็ไม่ทราบ

แต่ในใจปอยก็นึกไปว่า อยากให้ภูคิ้งเป็นแบบนี้ นักท่องเที่ยวน้อยแบบนี้

อยากให้มีแต่นักท่องเที่ยวที่รัก ธรรมชาติจริงๆ ภูคิ้งจะได้สวยสดสด แบบนี้ไปนานๆ

แต่ก็นั่นแหละอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ปอยจะเห็นแก่ตัวเก็บไว้ดูคนเดียวก็กระไรอยู่ แล้วลุงพรานแกก็จะอดตายกันพอด

ี เล่นไม่มีนักท่องเที่ยวมากันเลยก็แย่ซิคะงานนี้ กินแกลบแทนปลาร้าแน่ๆ

บรรยากาศการล่ำลา ของพวกเรากับเจ้าหน้าที่ นึกย้อนภาพวันนั้นดูแล้ว เหมือนกับพวกเราเป็นคนผ่านทาง มาแวะพักดื่มน้ำ ทานข้าว

เสียงอวยพรให้พวกเราเดินทางโดยสวัสดิ์ภาพ ยังก้องอยู่ในหู มีการโบกมือ ซาโยนะระ แบบเรื่องอิ๊กคิวซังเปี๊ยบ เป็นการต้อนรับที่อบอุ่นจริงๆ

ทางที่เราเดินลง ลุงพรานพาเรามาทางใหม่

ไม่ใช่ทางเดียวกันกับตอนขาขึ้นนะคะ แกบอกว่าเดินสบายกว่า และปลอดภัยกว่า

เพราะทางชัน อาจเกิดเหตุร้ายกับ คณะที่ซุ่มซ่ามที่สุดแบบเราได้

ลุงพรานเล่านู่นเล่านี่ มาตลอดทาง แกเล่าถึงคณะ นักศึกษาที่มาเที่ยวที่นี่ เมื่อปีกลายว่า แกก็เป็นคนนำทางให้

นักศึกษากลุ่มนี้

พาพวกเค้า เดินกลับทางนี้นี่แหละ พอดีเดินผ่านลังต่อเสือ ตรงนู้นแน่ะ เล่าไปพลางก็ชี้มือไปพลาง

แกว่ามีน้องนักศึกษาคนหนึ่ง เป็นน้องผู้หญิง เดินผ่านรังต่อคาดว่าจะมองไม่เห็นนะ

มือไม้สะเปะสะปะไปเรื่อย เจ้าต่อมันยังนอนอยู่มั้ง ท่าทางจะขี้หงุดหงิดซะด้วย

มันยกพวกมารุมซะน่วม น้องเค้าจากหน้าเรียวๆ กลายเป็นปลาทองหัววุ้นไปเลย ฟังแล้วขนลุกค่ะ ทำให้นึกถึงหนังสือของโจ๋ยบางจาก

ที่ปอยเคยอ่าน คราวนั้น พี่โจ๋ยแกตามเก้งไปตัวหนึ่ง เพื่อจะถ่ายรูป สัญชาตญาณ ของพี่เก้งคงกลัวว่าคนจะมาทำร้าย

เลยหลอกมนุษย์ตาดำๆ ให้เดินไปตกหลุมต่อหลุมซะงั้น

ต่อหลุมเป็นสัตว์กินเนื้อ มันสามารถกินกวางได้ทั้งตัว โดยมุ่งโจมตีที่หัวของเป้าหมายก่อน พี่โจ๋ยแกก็โดนแบบนั้น

....แต่!!!!ไม่ตายแฮะ????

เพื่อนๆช่วยกันหามมาที่ค่ายพักแรม แต่แกคิดว่าแกตายแน่ เลยตัดสินใจตายดีว่า...

แต่ก่อนจะตาย ขอกินของที่ชอบก่อน พี่โจ๋ยซัดเหล้า

เพียวๆไป 1 กั๊ก พร้อมด้วย พาราเซตามอน อีก 1 กำใหญ่ๆ การณ์กลับไม่เป็นดั่งคุณพี่แกคิด

เหมือนๆกับว่า ยา และสุรา มันเข้าไปทำปฏิกิริยากับพิษของตัวต่อ แกหายรอดชีวิตซะงั้น ก็แปลกไปอีกแบบ

เราใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก เพราะเดินบ้างพักบ้าง เนื่องด้วยไม่จำต้องแข่งเวลากับอะไร และกับใคร เดินลงมาถึงทางเข้า

ก็ขออาศัยน้ำเย็นๆของเจ้าหน้าที่ล้างเนื้อล้างตัวกันสักหน่อย ปอย น้าแมน และคุณพลจอมหลงทาง เดินลงมาถึงเป็นกลุ่มแรก

ไม่ใช่ว่าเดินเก่ง ไม่ใช่ว่าแข็งแงกว่าคนอื่นๆ แต่เป็นเพราะปอยอยากนั่งพักก่อนคนอื่นๆ ไม่ไหวค่ะ

ตอนนี้เท้าใกล้จะขยายขนาดเท่าเท้าช้างเข้าไปทุกที

การเดินทางของพวกเรายังไม่จบเพียงแค่นั้น เรานัดแนะให้อาจารย์มารับ ไปตั้งต้นกันใหม่ที่บ้านท่านอาจารย์ผู้ใจดี

ถ่ายเทสัมภาระลงกระเป่า จ่ายเงินจ่ายทอง ให้พี่พรานทั้งสอง และไม่ลืมเอาเงินยัดมือภรรยาอาจารย์ไปตามจำนวนที่เหมาะสม

เนื่องจากเรามารบกวนใช้บ้าน ใช้น้ำใช้ไฟของแกฟรีๆ ก็เกรงใจอยู่

เราเสียเวลามานั่งตกลงกันอีกเกือบๆครึ่งชั่วโมง ก็อย่างที่บอก ไม่เคยมีแผนอะไรล่วงหน้ามากนัก

มักจะไปตัดสินใจกันเอาดาบหน้าตลอด ทำงานต้องวางแผนกันมาเยอะ ไปเที่ยวขอไปแบบดุ่มๆก็แล้วกันนะคะ

มันรู้สึก สบายสมองดี

เรื่องที่หลับที่นอนสำหรับคืนนี้ จะยังไม่คิด ตอนนี้ขอพักผ่อนอีกรูปแบบหนึ่งก่อน อยากเอาเท้าจุ่มน้ำ อยากกินอาหารอร่อยๆ

อยากล่องแพ เจ้าถิ่นจอมหลงทางแนะนำว่า เราไปล่องแพร้องเพลงแหกปากกันดีกว่า

ให้มันเป็นหน้ามือหลังมือ กับเมื่อคืนมันซะเลย ว่าไงก็ว่าตามกัน

เราตกลงใจไปที่เขื่อน เอ ... มาถึงตอนนี้ความจำปอยก็เสื่อมลงทันที

เพราะจำชื่อเขื่อนไม่ได้ไม่ได้เอาสมุดมาจดชื่อไว้ซะด้วย เอาเป็นว่า ที่นี่มีแพทั้งแบบ ธรรมดา และแบบคาราโอเกะ แหม....

ความจริงปอยไม่ชอบแบบนี้เลย แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของสมาชิกตาดำๆ และอีกอย่างถึงไม่ค่อยชอบ

แต่อย่างน้อยเราก็ได้ล่องน้ำไม่ได้นั่งอยู่กับที่ก็แล้วกัน เราร้องรำทำเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน จนมืดจนค่ำ ก็ยังไม่ยอมเลิก

สุรานารีมีพร้อมสรรพ ไอ้พวกปากหมามันบอกว่า ถ้านารีเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่ใช่ ปอย หนูนา และเจ๊เหมี่ยว

มันจะมีความสุขกันมากกว่านี้ .....ไอ้เพื่อนเลว....

ตานี้ ก็ถึงเวลาหาที่นอนกันอีก มืดขนาดนี้ จาไปนอนไหนล่ะเนี่ย ตอนแระกะว่าจะไปนอนที่น้ำตก "ตาดโตน"แต่ว่าเคยไปแล้ว

น้ำไม่ได้มากมายอะไร คุณพลเสนอว่า มีอีกที่น่าสนใจ แต่เราต้องรีบตัดสินใจกันแล้ว เพระเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะหลับกันซะหมด

เราตัดสินใจ ไปที่ “อุทยานแห่งชาติ ภูแลนคา” ขับรถตรงดิ่งไปด้วยความชำนาญ

แม่เจ้า มันหลงอีกแล้ว วกไปวนมาอยากถามเหมือนกัน ว่าแน่ใจนะจ๊ะว่าอยู่มาตั้งแต่เกิด

กว่าจะไปถึงตัวอุทยานได้เกือบ3 ทุ่ม สำนักงานก็ปิดหมดแล้ว พี่วิชัยบอกว่าสงสัยเราต้องกางเตนท์นอนกันอีกคืน

แต่สายตาอันว่องไวของเจ๊เหมี่ยวเหลือบไปเห็น บ้านหลังหนึ่งเปิดไฟมีคนเดินไปเดินมาอยู่ตัดสินใจ เดินลงไปถาม

ปรากฏว่าเป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่อุทยาน ตามปกติเลยเวลาทำงานอย่างนี้ อย่าหวังเลยค่ะว่าเราจะได้ที่พัก

เพราะเลยเวลาทำงานของเจ้าหน้าที่แล้ว แต่อย่าลืม ว่าเรามีสิ่งที่มนุษย์ทุกคนชื่นชอบและต้องการ เพียงหยิบยื่นสิ่งนั้นให้ ที่พักโอ่อ่า สวยงาม ก็มาอยู่ในมือเรา....(เงิน เงิน เงิน)

คืนนี้เราได้นอนกันอย่างสุขสบาย ไม่ต้องทนเหน็บหนาวอยู่ในเตนท์ แต่จะว่าไปตอนที่นอนในเตนท์ปอยถือว่าสบายกว่าเพื่อน

เพราะไม่หนาวเลยเนื่องจากเตรียมตัวมาอย่างดี ไปเที่ยวแบบนี้ ถุงนอนสำคัญ มากค่ะเพราะจะเป็นเครื่องปกป้องความหนาวได้เป็นอย่างดี



วิวที่มองลงไปจาก ภูแลนคา เห็นเมืองเกือบทั้งเมืองของ ชัยภูมิ นับเป็นจุดชมวิว ที่มีเลนส์กว้างมากทีเดียว มาถึงตอนนี้

ปอยก็สวมวิญญาณ เป๋ห่าว แต่ไม่ได้เป็นเจ้าพ่อ ปอยคนเดียวเท่านั้นที่เดินเหมือนคนขาเป๋

สมน้ำหน้า..ซ่านักอาการปวดขารุนแรงเพิ่งจะมาทำหน้าที่ของมันเอาวันนี้นี่เอง

อยากจะบอกเหลือเกินว่า ไม่ไปไม่รู้ค่ะ ว่าความมันส์ที่มีของแถมเป็นความทรมานนั้นมันเป็นเช่นไร

พูดแล้วจะหาว่าคุยกลับมาถึงกรุงเทพฯ ปอยเดินขึ้นลงบันไดไม่ได้ไป 3 วัน ไม่มีใครสงสารสักนิด

ก่อนกลับเราไม่ลืมที่จะแวะ ไปกินส้มตำร้านเจ๊น้อยเป็นการสั่งลา ของแกดีจริงๆ อร่อยเหาะ

ในความเป็นจริงพวกเราทุกคน ยังไม่มีใครอยากกลับ ยังอยากที่จะลุยต่อ เที่ยวกันให้ลืมข้างหลัง

แต่ก็มีความเป็นจริงอีกข้อหนึ่งที่ตบหน้าตัวเองเท่าไหร่ มันก็ลืมไม่ได้ซะที

นั่นคือ ภาระหน้าที่ ที่รอเราอยู่ข้างหลัง

เราทิ้งมันมาหลายวันแล้ว ปอยเคยแอบคิดว่า ถ้าคนเราแค่กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีหนี้สิน ไม่ต้องจ่ายค่านู่น ค่านี่

เพียงแต่มีที่อยู่อาศัยคุ้มแดดคุ้มฝน เก็บผักตกปลาก็แค่อิ่ม คนมันจะเอาอะไรกันนักหนา

แต่ในความเป็นจริง ที่จริงแล้วจริงอีก มันก็ไม่เป็นอย่างที่แกล้งคิด ถ้าตราบใดที่มนุษย์ยังเป็นเพื่อนสนิทกับกิเลส

ตอนแรกเรากะว่าจะออกเดินทางกันตั้งแต่บ่าย แต่ความที่พวกเมิงจะรีบไปหาง้าวด้ามยาวอะไรกันวะ

กรุงเทพฯใกล้แค่นี้ เราก็เลยโอ้เอ้ เถิดเทิงกันอยู่ที่ชัยภูมิ มาชัยภูมิทั้งทีนะคะ ปอยขอนะนำให้ไปไหว้ ศาลเจ้าพ่อพระยาแล

พระน้ำพระยาเก่าแก่ ผู้ซึ่งในอดีตเคยเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิ

ท่านมีประวัติอันยาวนาน เป็นที่เคารพนับถือ กราบไหว้ของชาวเมืองชัยภูมิ

ไหว้แล้ว ก็รู้สึกร้อนผะผ่าวๆ เนื่องจากห่างวัด ห่างศาลมาซะนาน...แหะๆ

ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ร้อนเพราะชัยภูมิ เวลากลางวัน ร้อนมาก ผิดกับตอนกลางคืนที่มีอากาศหนาว

อาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็เป็นได้ ทำเอาคนที่แข็งแรงมากๆอย่างปอย ภูมิแพ้กำเริบมาทันที

ถึงเวลาที่เราต้องล่ำลา กันจริงๆตำรวจมาดแมนอย่างคุณพล

ก็น้ำตารื้นขึ้นมากับเขาเหมือนกันปอยไม่เคยชื่นชอบภาพของการจากลาแบบนี้เลยสักครั้ง

เพราะมันทำให้เกิด คำสัญญาเน่าๆว่า อีกไม่นานเราจะกลับมาเยี่ยมอีก

เป็นคำสัญญาพร่อยๆที่เพียงเพื่อทำให้เพื่อนสบายใจ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าความเป็นไปได้มีเพียงน้อยนิด

มีก็แต่คำสัญญากับตัวเองเท่านั้นที่เป็นจริงว่า ข้าพเจ้าจะไป ในทุกๆที่ ทุกๆจังหวัด ที่อยากไปให้ได้...ถ้าไม่ตายไปซะก่อน





Create Date : 30 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 1 ธันวาคม 2550 16:42:12 น. 4 comments
Counter : 2822 Pageviews.

 
น่าหนุกจังเลย หากขึ้นไปเที่ยวสงสัยคงต้องฟิตร่างกายกันหน่อยแล้วล่ะซี


โดย: mamminnie วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:26:54 น.  

 
น่าไปจริงๆเลย ว่าแต่รองเท้าซื้อร้านไหนค่ะ ทรหดอดทนมากๆ


โดย: fattyacid (deeny ) วันที่: 30 พฤศจิกายน 2550 เวลา:22:33:11 น.  

 
สงสัยต้องไปออกกำลังกาย ฟิตให้แข็งแรง เพื่อจะได้ไปเที่ยวมั่ง


โดย: cartoon1759 วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:9:09:43 น.  

 
ใครอยากไป...ติดต่อมาที่ปอยได้นะ จะแนะนำให้ค่ะ
....
รองเท้ามือสอง ซื้อมา 50 บาท แหะๆ....


โดย: poyalin วันที่: 1 ธันวาคม 2550 เวลา:10:06:44 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ลูกคนเล็กของแม่ละเอียด
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ระหว่างโซ่ กับ อากาศ
โซ่ ... คล้องคอ พันธนาการ และ เป็น ภาระ
อากาศ...มองไม่เห็น เย็นสบาย และ เอาไว้ หายใจ
ระหว่าง โซ่ กับ อากาศ คุณอยากเป็นอะไร
....
ฉัน เป็นอากาศ

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add ลูกคนเล็กของแม่ละเอียด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.