|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ว่าด้วย .. วิปัสสนา
คำว่า วิปัสสนา นั้น แปลความหมายได้ว่า การรู้แจ้งเห็นจริง ในความหมายทางธรรมแล้ว หมายเอาถึงการรู้แจ้งเห็นจริง ในเรื่องเกี่ยวกับกายกับใจ สภาพของความเป็นจริงในร่างกาย
ความรู้สึก ความคิด และ อารมณ์ต่างๆ นั้น ต่างก็มีสภาพที่ไม่เที่ยงอยู่ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว มีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะต่างกันก็เพียงแค่ช่วงท่ามกลางหรือการตั้งอยู่ของสิ่งต่างๆ ที่อาจจะมีระยะเวลายาวนาน ช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปตามเหตุและปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของวัตถุภายนอก เช่น แร่ธาตุ บ้าน รถยนต์ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ฯลฯ
แม้ในขณะปัจจุบันนี้เราอาจจะยังไม่เห็นถึงการเสื่อมสลายหรือการดับไปของสิ่งของวัตถุเหล่านั้น แต่ว่าเราก็อาจสามารถที่จะทราบถึงความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้นที่จะต้องเกิดต่อไปในอนาคตได้ว่า สิ่งของต่างๆเหล่านั้นจะต้องมีการแตกดับและเสื่อมสลายไปในที่สุด หรือ แม้แต่เรื่องบางเรื่องในชีวิตของคนเรา แม้เราจะไม่ได้มีประสบการณ์ในสิ่งนั้นๆ ด้วยตนเอง แต่เราก็อาจสามารถที่จะกำหนดรู้เหตุและปัจจัยของเรื่องราวของสิ่งนั้นๆได้ด้วยใจของเราว่าเป็นเช่นไร
ยกตัวอย่าง พระที่ท่านออกบวชตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วภายหลังสามารถปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอริยะบุคคลหรือเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ภายนอก เช่น การแต่งงาน มาก่อน ก็สามารถที่จะเข้าใจถึงเหตุและความทุกข์ที่จะเกิดมีขึ้นจากการแต่งงานการมีคู่ครอง จนทำให้เกิดจิตน้อมไปเพื่อการปล่อยวาง เพื่อการคลายความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องนั้นลงได้
หรือ การที่เราเห็นคนได้รับบาดเจ็บ หรือ มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทำลายหรือพิการไปนั้น แม้เราไม่จำเป็นต้องไปมีประสบการณ์เช่นนั้น ก็สามารถทราบและเข้าใจได้ด้วยปัญญาว่าเป็นทุกข์อย่างไร
แม้แต่เรื่องนรกสวรรค์ชาติก่อนชาติหน้าก็เช่นเดียวกัน (ในพระสูตรหนึ่งพระสารีบุตรได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าเอาไว้อย่างมากมาย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า จึงได้ตรัสถามพระสารีบุตรว่า ท่านมีเจโตปริยญาณ หรือ สามารถกำหนดรู้วิสัยของพระพุทธเจ้าได้อย่างนั้นหรือ? พระสารีบุตรก็ตอบว่าท่านไม่ได้มีความสามารถในการกำหนดรู้ใจหรือกำหนดรู้วิสัยของพระพุทธเจ้าได้ แต่ท่านสามารถทราบถึงความเป็นเลิศ และคุณธรรมที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนท่านได้ จากเหตุปัจจัยต่างๆด้วยการเปรียบเทียบและอุปมาอุปไมยเทียบเคียงด้วยปัญญา จึงทำให้ท่านพระสารีบุตรทราบถึงคุณธรรมของพระพุทธเจ้าว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุโมทนาสาธุและทรงยอมรับในความเห็นของพระสารีบุตรนั้น)
ในเรื่องของความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆภายนอกก็เช่นเดียวกัน แม้จะเป็นความจริงอยู่ แต่การที่จะให้มีการกำหนดรู้ถึงสิ่งต่างๆภายนอกไปทีละสิ่งๆ เพื่อกำหนดรู้ พิจารณาด้วยปัญญาให้เห็นชอบตามความเป็นจริงว่า สิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่เที่ยงและไม่ควรยึดมั่นนั้น ก็อาจจะทำให้เป็นการเนิ่นช้า และมีสิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆมากมายเกินไป เมื่อพิจารณาเห็นถึงความเป็นจริงในสิ่งหนึ่งแล้ว จนคลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งหรือเรื่องราวนั้นลงได้แล้ว ก็อาจจะไปหลงติดหรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งภายนอกสิ่งใหม่ขึ้นมาแทนที่สิ่งเดิมที่ได้ปล่อยวางไปแล้วได้
ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงสอนให้พวกเราย้อนกลับเข้ามาที่กายกับใจภายใน สอนให้พิจารณาถึงตัวต้นเหตุเสียเลย เพราะการที่คนเราหลงไปยึดติดไปเพลิดเพลินหลงใหลกับสิ่งต่างๆ ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือตัวตนบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งได้นั้น ต่างก็มีสาเหตุมาจากกายและใจของแต่ละบุคคลเองนี่แหละ เพราะเมื่อมีเรา จึงมีของของเราเกิดขึ้น และเมื่อมีของของเรา ก็ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นตามมา เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นตามมา ความทุกข์ก็ย่อมเกิด เมื่อสิ่งที่ตนเองยึดมั่นถือมั่นนั้น ต้องมีอันแปรปรวน มีการเกิดหรือดับไปตามสภาพความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ
ในการสอนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ท่านจะสอนคนตามจริตตามอุปนิสัย เนื่องจากว่าท่านมี "ทศพลญาณ 10" ทำให้สามารถหยั่งรู้จริต ความแก่กล้าของอินทรีย์ของแต่ละบุคคลได้ว่า คนคนนี้ควรได้รับธรรมะข้อใด เวลาใด ควรได้รับธรรมะเรื่องใดก่อน เรื่องใดหลัง ซึ่งท่านจะพิจารณาตามความเหมาะสมเป็นรายๆไป
อย่างสมัยแรกๆ ที่ท่านทรงประกาศธรรมใหม่ๆนั้น ท่านก็จะเริ่มต้นสอนคนด้วย การสอนเรื่อง ทาน ศีล สวรรค์(ผลของการให้ทานรักษาศีลอันมีผลเป็นกามสุขอันเป็นทิพย์) โทษของกาม และอานิสงส์การออกจากกามไปโดยลำดับ
และเมื่อเห็นว่าผู้ฟังธรรมมีจิตอ่อนสลวย มีจิตอ่อนโยน เหมือนผ้าที่ถูกนำไปฟอกให้ขาวสะอาดเพื่อเตรียมพร้อมรับกับการย้อมสีดีแล้ว ท่านจึงจะแสดงธรรมเรื่อง อริยสัจ 4 ว่าด้วยเรื่อง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งโดยมากแล้วก็มักจะได้ผลคือ ผู้ได้รับฟังธรรมในขณะนั้นๆ จากพระพุทธเจ้า สามารถมีสติน้อมระลึกใจตามพระสัทธรรมจนสามารถได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยะบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง ในขณะหรือหลังจากฟังพระธรรมเทศนาจบนั่นเอง
ดังนั้น ธรรมะเรื่องเดียวกัน หรือ กรรมฐานกองเดียวกัน ผู้ปฏิบัติอาจจะได้รับผลแตกต่างกันได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่จริต อุปนิสัย วาสนา และความแก่กล้าของอินทรีย์ในแต่ละบุคคลเอง ไม่มีกรรมฐานใดที่ถูกต้องตายตัวหรือเหมาะสมกับคนทุกคนไปซะหมดหรอกนะ (นี่เป็นสัจธรรมหรือความจริงอย่างหนึ่ง)
หากคนที่มีอินทรีย์แก่กล้ามากๆ ดังเช่น วิสัยของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว บางที บางท่านในขณะที่ยังเป็นฆราวาสอยู่นี่แหละ เพียงแค่ไปยืนพักอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วบังเอิญเห็นใบไม้ร่วงหล่นลงมา ก็เกิดสติใช้ปัญญาน้อมนำเอาเหตุที่ได้เห็นจากลักษณะอาการของใบไม้ที่ล่วงหล่นนั้น น้อมกลับเข้ามาพิจารณาลงในกฎของพระไตรลักษณ์
เทียบเคียงกับความเป็นจริงของขันธ์ทั้ง 5 ที่ปรากฏความไม่เที่ยง มีความแปรปรวน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเช่นกัน ก็สามารถตรัสรู้บรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในขณะนั้น ทั้งๆ ที่ยังคงครองเพศฆราวาสอยู่ได้เลย(เพียงแต่หลังจากบรรลุธรรมแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์มักจะทรงใช้ฤทธิ์ของท่านอธิษฐานให้เส้นผมของท่านร่วงหล่น และให้ปรากฎเป็นชุดผ้ากาสาวพัสตร์เกิดขึ้นมาแทน)
ธรรมะจะดีหรือถูกหรือไม่จึงสำคัญที่ใจคนเป็นหลัก หากใจคนมีธรรมะไม่ว่าจะมองหรือได้ยิน ได้รับรู้สิ่งใด ก็จะบังเกิดเป็นธรรมะหมด แต่หากใจคนขาดธรรมะแล้ว แม้จะฟังธรรมหรือพิจารณาธรรมอยู่ แต่ก็จะไม่ได้รับรู้รสแห่งธรรมะที่แท้จริงไปได้เลย ขอเจริญพร.
โดย พระชาญวิทย์ ธมฺมวโร www.thammatipo.com
Create Date : 29 มกราคม 2553 |
|
48 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2553 15:42:04 น. |
Counter : 1084 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 29 มกราคม 2553 20:39:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 29 มกราคม 2553 20:44:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 29 มกราคม 2553 21:45:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 29 มกราคม 2553 21:48:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ooyporn 29 มกราคม 2553 22:45:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 30 มกราคม 2553 10:25:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 30 มกราคม 2553 10:42:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: peeamp 30 มกราคม 2553 12:05:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 30 มกราคม 2553 14:32:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 30 มกราคม 2553 14:33:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 30 มกราคม 2553 15:25:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 30 มกราคม 2553 20:24:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 30 มกราคม 2553 21:24:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน (กัดหมอน ) 30 มกราคม 2553 22:16:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ooyporn 30 มกราคม 2553 22:35:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: deeplove 31 มกราคม 2553 18:14:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้วนforest IP: 118.172.182.187 31 มกราคม 2553 20:31:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 31 มกราคม 2553 21:52:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 31 มกราคม 2553 22:49:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 1 กุมภาพันธ์ 2553 6:30:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน (กัดหมอน ) 1 กุมภาพันธ์ 2553 7:11:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 1 กุมภาพันธ์ 2553 7:33:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 1 กุมภาพันธ์ 2553 9:34:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 1 กุมภาพันธ์ 2553 10:10:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 1 กุมภาพันธ์ 2553 11:05:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 1 กุมภาพันธ์ 2553 11:35:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 1 กุมภาพันธ์ 2553 11:46:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: redclick 1 กุมภาพันธ์ 2553 11:47:16 น. |
|
|
|
|
|
|
เพียรฝึกตนใฝ่รู้ หลักธรรม
จิตเพ่งคิดจดจำ บ่มไว้
หมายเพียรมุ่งตัดกรรม วัฏฏะ
หวังสละจิตสุดท้าย ดิ่งเข้านิพพาน..
|
|
|
|
|
|
|
เจิมๆๆๆเจิมๆๆๆ
สาธุ สาธุ สาธุ