|
พ่อผมเป็นกวี (จบ)
พ่อผมเป็นกวี (5)
ภาพที่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าพ่อมีความสุขที่สุด ก็คือตอนที่พ่อนั่งเขียนกลอนอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน ข้าง ๆ ตัวจะมีกระดาษฟุลสแก๊ปเป็นปึกและมีกระป๋องยาเส้นวางอยู่ ถ้าเขียนไม่ออกพ่อก็ใช้ใบตองมวนยาเส้นเดินไปเดินมา เมื่อนึกขึ้นได้ก็จะมานั่งเขียนแล้วลองอ่านออกเสียงเบา ๆ แก้ไขไปมาจนกว่าจะพอใจ
งานของพ่อก็คือเป็นครูเพียงอย่างเดียว งานผู้ชายอื่น ๆ พ่อทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง จักสาน ขุดดินปลูกต้นไม้ หรืองานเชิงช่างแค่ตอกตะปูพ่อก็ทำไม่ได้ดี พ่อเกี่ยวข้าวได้แต่ก็ทำไม่ได้ดีนัก งานบ้านต่าง ๆ ดูเหมือนแม่จะคล่องไปกว่าทุกเรื่อง นับตั้งแต่ผมจำความได้ ผมรับรู้สภาพการเป็นหนี้สินของพ่อแม่มาตลอดตราบจนวันสิ้นลม จะไม่ให้เป็นหนี้ยังไงไหว ส่งลูกเรียนหนังสือแต่ละคนไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย ลำพังเงินเดือนครูประชาบาลเพียงอย่างเดียวที่ไหนจะพอ แม่ก็ทำขนมขาย
ผมรู้จักคำว่าฉ.ฉ.(ฉุกเฉิน)มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว พอพี่ ๆ เรียนหนังสือจบกันมาก็แต่งงานมีลูกมีเมียกันไปหมด ซ้ำออกเรือนไปแล้วบางคนก็ยังกลับมารบกวนพ่อแม่อีก
แต่ถึงกระนั้นเมื่อวันที่พ่อสิ้นลมไปแล้วพ่อยังเหลือที่นาซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาจากปู่ให้ลูก ๆ ทั้งหลายได้แบ่งกันอีก ผมขอสละสิทธิ์ไม่ใช่ว่าร่ำรวยกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ หรอก เพียงแต่ตั้งใจตั้งแต่เดินทางออกจากบ้านแล้วว่าจะไม่เอาอะไรจากทางบ้านอีก และที่นาก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก ก็ปล่อยให้พี่ ๆ น้อง ๆ เขาแบ่งกันไป พ่อผมเสียชีวิตด้วยอัมพฤกษ์เมื่อตอนอายุ 72 ปี พ่อนอนป่วยอยู่ไม่นานนักก็จากไปอย่างเงียบสงบ วันก่อนที่พ่อจะจากไปไม่มีลางร้ายอะไรมาก่อน ลูก ๆ ไปเฝ้าอยู่พร้อมหน้า ผมยังท่องกลอนท่อนที่สนุก ๆ ของพ่อให้พ่อฟัง พ่อยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่เลย แต่ในเย็นนั้นอาการของพ่อก็เพียบหนัก
ผมจำได้ว่าในชีวิตไม่เคยจับมือพ่อ -- ตอนที่พ่อถูกเข็นเข้ามาในห้องสำหรับคนป่วยที่มีอาการหนักแล้ว พ่อกับผมจับมือกัน ตัวของพ่อเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเหมือนว่าธาตุทั้งปวงกำลังจะแตกสลาย ผมอธิษฐานอยู่ในใจว่าถ้าทรมานก็ไปเถอะพ่อ คนเราไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ต้องตายไป อีกไม่ช้าไม่นานผมก็คงจะตายตามไปเหมือนกัน ความตายมันอยู่ใกล้ ๆ กับความมีชีวิตชั่วเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้นเอง ผมรู้สึกอย่างนี้ ในชีวิตที่ผ่านมาผมคงทำให้พ่อเสียใจอยู่หลายครั้งหลายหน ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องที่ผมดื้อรั้นและชอบเถียงพ่อแม่ ถึงแม้ผมจะเกเรบ้างก็ไม่ถึงขั้นที่ทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อน
ตั้งแต่เกิดมาผมจำได้ว่าถูกพ่อตีเพียงสองครั้ง แต่ละครั้งหนักหนาและน่ากลัว แม้อีกครั้งพ่อจะตีผมไม่ถูกเลยแต่ก็จำได้ว่าวิ่งหนีด้วยความรู้สึกว่ากลัวมากในวัยนั้น สำหรับแม่นั้นตีผมนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเจ็บและไม่เคยรู้สึกกลัวแม่เลย
ผมจำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบพ่อเลย สำหับเด็กหนุ่มอายุ 15 กำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นม.ศ. 3 การเรียนของผมอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ในห้อง แต่เวลากลางคืนผมชอบเขียนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน ก็คือแต่งเรื่องไปให้เพื่อน ๆ ในห้องอ่านนั่นเอง ลอกบ้างแต่เองบ้างเปลี่ยนแปลงบ้างเอาไปอวดสาว ๆ ไปมอบให้ห้องสมุดเอาหน้าบ้าง ไม่ค่อยสนใจที่จะขยันดูหนังสือเรียน
สมัยนั้นผมยังใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดอยู่ (2515) พ่อชอบบ่นว่าเปลืองน้ำมันมานั่งเขียนอะไรไม่เห็นมีประโยชน์เลย พ่อไม่อยากให้ผมเป็นนักเขียนเพราะมัวแต่เพ้อฝันและคำว่านักประพันธ์ไส้แห้งนั้นอยู่ในความทรงจำของพ่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
พ่อต้องการให้สนใจการเรียนก่อน พ่อต้องการให้ยึดอาชีพราชการ อย่างน้อยก็เป็นครูเหมือนกับพี่และพี่ ๆ ส่วนมากก็เป็นครู ความจริงเมื่อตอนที่ผมเรียนครูอยู่ที่วิทยาลัยครูนครสวรรค์ในตอนนั้นผมก็คิดว่าจะเป็นครูแล้วเขียนหนังสือเป็นงานอดิเรกแบบครูนิมิตร ภูมิถาวร แต่หลังจากที่ผมสอบบรรจุครั้งแรกไม่ได้ทั้งที่คิดว่าจะต้องได้แน่นอน
ผมโดดเข้ากรุงเทพฯและจากนั้นก็ไม่คิดกลับไปเป็นครูบ้านนอกอีกเลย แสงสีเมืองหลวงมันเย้ายวน การทำนิตยสารและถนนักเขียนมันมีเสน่ห์รุนแรงจนยากจะถอนใจออกไปได้
เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯก็ติดต่อกับพ่อด้วยจดหมายเป็นระยะ ๆ ผมยังจำจดหมายพ่อฉบับหนึ่งที่อยากให้ผมกลับไปสอบบรรจุครูที่บ้านนอก พ่อเปรียบการเป็นครูหรืเป็นข้าราชการนั้นเสมือนน้ำบ่อทรายถึงแม้ว่ามันจะค่อย ๆ ซึมไม่มากนักแต่เมื่อเวลามันแห้งก็ขอดได้(คือกู้ฉุกเฉิน)อะไรทำนองนี้ แต่ในที่สุดผมก็ไม่ได้ไปเป็นครูอย่างที่พ่อต้องการ
ผมทั้งท่องเที่ยวไปและตุหรัดตุเหร่ไปในเมืองหลวง ผมเข้าทำงานหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้สลับกันไปกับการเขียนหนังสือ-- ตกงานบ้าง เมื่อผมรวมเล่มเรื่องสั้นก็ส่งไปให้ทางบ้านก็ไม่เคยถามพ่อว่าเป็นอย่างไร? ผมพยายามพูดถึงการทำหนังสือในแง่ดีให้พ่อฟังเพื่อที่พ่อจะได้สบายใจ เมื่อนานวันขึ้นพ่อก็คงเชื่อว่าผมก็คงเดินทางไปตามที่ผมเลือกได้ถึงแม้จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ บ้างก็ตามที วันที่ผมแต่งงานกับเจ้าสาวของผมในโรงแรมหรู ผมอยากให้พ่อมาเห็นบ้างว่างานแต่งงานในกรุงเทพฯเป็นอย่างไร (เจ้าสาวของผม ๆ เป็นคนไปขอด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้ใหญ่ทางผมไปขอให้เลย เนื่องจากไม่มีสินสอดทองหมั้นแม้สักแดงเดียว แต่ทางพ่อแม่ของเธอมีข้อแม้ว่าจะต้องจัดพิธีแต่งงานให้สมเกียรติหน่อย)
ปรากฏถึงวันงานพ่อไม่ได้มามีแต่แม่และพี่น้องมาและส่วนมากเป็นเพื่อนของผมเสียมากกว่า ผมรู้สึกเสียดายและเสียใจที่พ่อไม่ได้มาในวันนี้ แต่พ่อก็แต่งกลอนอวยพรมาให้(แม่บอกว่าไม่อยากให้พ่อมาเดี๋ยวพ่อเมาเหล้าแล้วอายแขกเหรื่อ ผมนึกไม่ถึงเลยว่าแม่จะห้ามพ่อด้วยเหตุผลนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ผมไปรับพ่อมาด้วยตัวเองแล้ว อันที่จริงตั้งแต่ผมโตและดื่มเหล้าเป็นแล้วนั้นผมกับพ่อก็เคยตั้งวงร่วมกันหลายครั้งแล้ว) สิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากพ่อเลยก็คือแหวนนามสกุลที่เป็นสมบัติของพ่อ ซึ่งมีลูกหลายคนแล้วที่เคยขอแหวนนามสกุลวงนี้จากพ่อแต่พ่อไม่เคยให้ใคร เป็นแหวนทองลงยาเขียนคำว่า "เขียนประเสริฐ" สวยงาม แต่บัดนี้มันไม่ได้อยู่กับผมเสียแล้ว ผมได้จำนำแล้วหลุดในช่วงชีวิตวิกฤติสุดขีด ผมรู้สึกผิดกับพ่อยู่ในใจ ถึงวันนี้ผมต้องขอโทษพ่อด้วยที่ไม่สามารถรักษาแหวนวงเดียวของพ่อไว้ได้ ตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่ผมกับเพื่อน ๆ และพี่อย่างพิบูลศักดิ์ ละครพล ซึ่งกำลังทำหนังสือบทกวีล้วน ๆ เป็นรายเดือนชื่อ สู่ฝัน ผมกับเพื่อน ๆ กลุ่มนี้จำได้ว่ามีเตือนจิต นวตรังค์อีกคนหนึ่ง ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วยังมีความสุขไม่หาย
ผมพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวบ้านแล้วพ่อพูดกับผมว่า ลูกมาบ้านพ่อดีใจ แต่ลูกพาเพื่อนมาด้วยพ่อดีใจเป็นพิเศษ แล้วต่อกลอนสด ๆ ด้วยปฏิภานกวีโดยมีพิบูลศักดิ์ เตือนจิต นวตรังค์และคนอื่น ๆ ที่สามารถต่อกันสด ๆ ได้
พ่อบกว่าคนแถวนี้เขาไม่ค่อยเห็นคุณค่าของบทกวีกันหรอก ดูอย่างลูกพ่อสิของดี ๆ ของพ่อลูกไม่ยักเอาไปกันบ้าง แต่ทีเหล้าบุหรี่ไม่ได้สอนเสียหน่อยกลับเป็นกันหมดทุกคน เพราะผมคนหนึ่งที่ไม่สามารถต่อกลอนสดกับเขาได้ ดูท่าทางพ่อต่อกลอนกับเพื่อน ๆ ของผมอย่างมีความสุข
เมื่อตอนเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นผมเคยค่อนแคะพ่อว่ารักพี่ที่ชื่อวิชัยซึ่งเป็นคนที่สองรองจากพี่ชยคนโต พี่ชายคนนี้ของผมอายุห่างกว่าผมหลายปีทีเดียวและเขาเป็นตำรวจ ที่ค่อนแคะพ่อแบบนั้นก็เพราะว่าพี่ชายคนนี้ทำให้พ่อแม่ลำบากหลายอย่าง ตอนเข้าโรงเรียนพลตำรวจก็เหมือนจะต้องเสียเงิน พอออกจากตำรวจก็มีเรื่องราวทำให้เดือดร้อนอีก
พ่อจะสนิทสนมและช่วยเหลือพี่คนนี้อยู่เป็นประจำ ด้วยผมเป็นเด็กมองว่าพี่ชายคนนี้พูดประจบเอาใจพ่อเก่ง ส่วนแม่ก็รักพี่ชายคนโตผมเลยกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก(ผมคิดไปเอง) พ่อเคยเปรย ๆ เมื่อผมโตแล้วว่า ไอ้คนไหนที่มันแย่กว่าเขา พ่อแม่ก็ต้องเป็นห่วงคอยช่วยเหลือไอ้คนนั้น ไอ้คนไหนที่ช่วยเหลือดูแลตัวเองได้ดีพ่อแม่ก็อิ่มใจ
ถึงวันนี้ผมมีลูกแล้ว...ไม่ต้องถึง 9 คนอย่างพ่อหรอก ลูกสาวคนเดียวก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็รู้สึกยินดียิ่งที่มีโอกาสได้เป็นพ่อคน ถึงแม้ว่าผมไม่มีวันย้อนกลับไปรักพ่อให้มากอย่างทันการณ์ได้แล้ว แต่ผมก็ได้รับรู้ความรู้สึกของพ่อแล้วว่าความรักที่พ่อรักลูกนั้นเป็นอย่างไร ใครที่พ่อยังมีชีวิตอยู่แล้วยังไม่ได้รักพ่อมาก ๆ หรือยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณพ่อก็จงรีบกระทำเสีย ผมขอกราบพ่อมา ณ ที่นี้ด้วยความรักบูชายิ่ง
-----------------------------------------------------------
Create Date : 07 พฤษภาคม 2553 |
|
9 comments |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2553 16:33:49 น. |
Counter : 1705 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: nuyza_za 7 พฤษภาคม 2553 19:26:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: nop IP: 222.123.238.96 8 พฤษภาคม 2553 0:59:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 8 พฤษภาคม 2553 16:12:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปราย IP: 118.172.176.89 8 พฤษภาคม 2553 20:51:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: สุดใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล IP: 118.173.205.207 9 พฤษภาคม 2553 9:49:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: ครูทัพทัน IP: 115.67.128.114 25 เมษายน 2555 14:11:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
นนทบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]
|
ด้วยความยินดี... หากมีผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่าย,บทความ หรือข้อเขียนต่างๆ ใน Blog นี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด สามารถทำได้เลยทันที โดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
เว้นเสียแต่ว่า
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย
|
|
|
|
|
|
|