หลังจากที่สามีไปทำงาน ในช่วงแรกๆ
เราก็ได้แต่ไปเที่ยวก่อน
ที่ดูไบ ณ ตอนนั้น (ปี 2008) มันช่างดูแห้งแล้งชะมัด
ไม่ไหวๆ คิดในใจว่า ถ้าให้มาอยู่คงคิดหลายตลบแน่นอน
~
2-3 ปีหลังจากนั้น สามีเป็นฝ่ายกลับมาหาเราซะมากกว่า เพราะประหยัดกว่ากันมากโข เพราะไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว เที่ยวเมืองไทย สวยงามกว่ากันเยอะ ปีนึงสามีกลับมาพักร้อนตั้ง 2 ครั้ง ครั้งนึง 15 วัน กลับอีกครั้ง 1 เดือนเลย ทำให้เราไม่มีโอกาศได้กลับมาเยี่ยมเยือนดูไบอีกเลย....
จนกระทั่งวันหนึ่ง... ที่มันกำลังจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเราก็ว่าได้
เรื่องมีอยู่ว่า ประมาณเดือน ก.ค. 2554 (2011)
เจ้านายสุดที่เลิฟ (เลิฟจริงๆ ใจดีชะมัด) เรียกเราเข้าไปคุย ... "ยูอยากอยู่ใกล้ๆสามีมั้ย?" อ้าวถามงี้ เราก็ตอบแบบไม่ต้องคิดซิคะบอสขา "Absolutely YES" นายก็เริ่มเลย (เกริ่นก่อนจิ้ดนึง เรากับเจ้านายค่อนข้างสนิทกัน เพราะทำงานด้วยกันมานาน แล้วเราก็ใช้ลูกอึด ขยัน อดทน บวกกับถึกๆ อีกนิด ในการทำงาน จนชนะใจนาย ... ปราศจากการประจบประแจง นะจ๊ะ ความไว้วางใจ และชื่นชมจากเจ้านาย แลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราทั้งนั้น เอาหัวโตๆ เป็นประกันเลย นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามานั่งตัวดำ หัวดำ ที่เมืองแขกในวันนี้ได้)... โม้ๆ แระ ต่อๆ นายบอกว่า "เรากำลังจะเปิดสาขาใหม่ที่ดูไบ ยูสนใจมั้ย' ตอนนั้น คิดก่อนนะไม่ตอบพรวดพราดเหมือนครั้งแรก.... เพราะว่ามันคือ การไปทำงานต่างแดนนะ ไม่ใช้ไปอยู่บ้านเฉยๆ เป็นแม่บ้านให้สามีเลี้ยง ... ก็เลยตอบนายไปแบบไม่เต็มปาก แบบอ้อมแอ้มๆ ไม่ค่อยมั่นใจที่จะตอบ นายคงรู้ล่ะ เพราะรู้นิสัยยัยนี่ดี ถ้ามันใจ ตอบเลยไม่รีรอ นายบอกไม่เป็นไร ไอให้เวลายูไปคิด และตัดสินใจก่อน "ถ้าพร้อม ยูเดินเข้ามาหาไอเลย"
แล้วเราเองก็กลับไปคิด แต่ไม่นานหรอกนะ เพราะนานไปเดี๋ยวโอกาศดีๆ จะผ่านไป
แล้วจะไม่หวลคืนมาอีก แน่นอน...
~
เราก็ไปตอบตกลงกับนายเลย ว่า
เราพร้อมและต้องการไปทำงานที่สาขาดูไบค่ะ ...
ชีวิตค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนทันที
ขั้นตอนก็เหมือนการสมัครงาน ก็เป็นไปตามขั้นตอนล่ะ ไม่มีลัดคิว คือส่ง CV ให้นาย แต่นายช่วยตกแต่งให้มันดู อินเตอร์ และมืออาชีพนิดนึง แล้วก็ใช้ reference person แบบใหญ่ๆ บิ้กๆ จิ้ดนึง แล้วเรื่องก็เงียบไป กอรปกับเป็นช่วงที่สามีกลับมาพักร้อน เราก็ลายาวตามสามีเป็นเรื่องปกติ ที่เจ้านายจะเซ็นต์ใบลาแบบยาวๆ ให้ตลอด เห็นมั้ยล่ะ ใจดีจริงๆ
เวลาผ่านไปเกือบเดือน เจ้านายมาอัพเดตสถานการณ์ว่า เจ้านายใหญ่ของสาขาที่ดูไบเค้ามา Business Trip ที่เมืองไทย แล้วเค้าต้องการสัมภาษณ์ เรา.... "เอาแล้ว เริ่มแล้ว" ในใจคิดว่าไม่ใช่เล่นๆ กะชีวิตแล้วนะต้องจริงจรังแล้วนะ เล่าต่อเมื่อวันนั้นมาถึงและได้ป๊ะหน้ากับว่าที่เจ้านายใหม่ (รึเปล่า ตอนนั้นยังไม่รู้หรอก คิดเข้าข้างตัวเองไปก่อน ว่าต้องผ่าน) อยากบอกว่า หน้าตาดุ ชะมัด ตรูจะรอดมั้ยเนี่ย
... ยังงัยก็ต้องสู้ๆ ยิ้มหวานงามๆ ทักทายก่อนเลย เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้นมาบ้าง ระหว่างนั้นก็ถามมาตอบไป แต่..... แต่ ท่านว่าที่พูดเร็วเป็นจรวด ฟังออกมั่งไม่ออกมั่ง ความหวังลดลงไปบ้างเลย เพราะรู้สึกว่า ภาษาอังกฤษเรานี่แย่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ซึ่งก่อนหน้านี้ออกจะมั่นใจ อย่างเลิศ 55555
แต่จำได้อย่างขึ้นใจกับคำถามของเค้าข้อนึง "ถ้ายูเจอปัญหาเรื่องงาน ยูจะทำยังงัย" เราก็ตอบอย่างมั่นใจ "ชั้นก็จะใช้ประสบการณ์ของการทำงานที่ผ่านมาในการแก้ปัญหานั้นๆ ให้หมดไป เพราะการทำงาน กับปัญหาเป็นของคู่กัน การแก้ปัญหาก่อให้เกิดประสบการณ์"
เค้าเลยรีบถามต่อไปอีกว่า "ถ้าเป็นปัญหาใหม่ที่ยูไม่รู้ ยูจะทำยังงัย ...." อุ่ย อันนี้หยุดคิดแป้บนึง เพราะมันอาจเป็นคำตอบสุดท้าย และคำตอบว่า ชั้นจะผ่านมั้ยเนี่ย แต่ตอนนั้น ตอบคำถามนี้แบบสั้นๆ ไม่เวิ่นเว้อนะ ว่า
"if I am sure that I have try all the way I can but finally it's not working. I will see you right away to discuss this problem and ask your suggestion to avoid the big problem.
~
ประมาณว่า ถ้ามันแก้ไม่ได้ก็ต้องไปขอคำปรึกษาจากผู้บังคับบัญชาโดยเร็วล่ะ ก่อนที่มันจะเป็นปัญหาใหญ่โต ... ก็แคนี้ที่ตอบไป แล้วเค้าก็พูดเรื่องอื่นเลย แล้วก็บอกว่า ยูต้องพูดอังกฤษให้คล่องกว่านี้ เราก็เชื่อ 100% เราต้องมีปัญหากับการฟังแน่ๆ ก็ลูกพี่เล่นรัวอย่างกับจรวด ลิ้นนี้พันกันเชียว
อ้อลืมบอกไปว่า ว่าที่เจ้านายเป็นคนอินเดียค่ะ ... เป็นงัยล่ะ รัวรึไม่รัว หลังการสัมภาษณ์เจ้านายเราก็เรียกเข้าไปฟังผล ..... สรุปว่าเค้ารับเราเข้าทำงานล่ะ โห เหมือนง่ายเลยอ่ะ พร้อมทั้งบอกเงินเดือน และสวัสดิการคร่าวๆ ให้ส่วนเรื่องสัญญา (Contract & Agreement) จะทยอยส่งมาให้อีกที หลังจากนี้แล้วงัยล่ะ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของชีวิตทีละน้อย กำหนดการเดินทางคือช่วงต้นปี 2555 (2012) ยังไม่สามารถระบุวันได้ เพราะสาขาที่ดูไบ ต้องมคการจัดการเรื่องใบอนุญาติ และอื่นๆ อีกหลายอย่าง
อันดับแรก บ. ประกาศรับสมัครพนักงานใหม่ใน ตำแหน่งเรา ตอนนั้นจิตใจเริ่มแปลกๆ แระล่ะ เพราะทำงานที่นี่มาจะ 9 ปีแล้ว อยู่ๆจะไม่ได้ทำ จะมีคนมาแทนที่อีก หลายอย่าง
อันดับต่อมา เจ้านายจัดครอสให้ English Speaking 1 ชั่วโมง ก่อนทำงานทุกวัน ไม่ได้จ้างครูข้างนอกมานะคะ อันนั้นคงลงทุนเกินไปสำหรับเรา บ. เรามีครูสอนภาษาอังกฤษอยู่แล้ว แค่ขอให้เค้าช่วยมาคุยกับยัยนี่บ่อยๆ หน่อยให้ลิ้นเริ่มชิน และรัวๆ เหมือนพี่แขก เวลามาทำงาน จะได้ไม่ขายขี้หน้าเค้างัย 5555
อันดับที่ 3 1-2 เดือนหลังจากนั้น ก็ได้น้องใหม่มาแทนตำแหน่งเราแล้วล่ะ เจ้านายนี่เก่งจริงๆ ช่างเลือก หามาได้แบบว่านิสัย การทำงาน และอีกหลายอย่าง ช่างคล้ายกับเราสมัยเอ๊าะๆ เลย เราเลยค่อยหายห่วงกับลูกค้าที่เราดูแลมาค่อนข้างนาน เพราะลูกค้าที่เราดูแลตั้งแต่แรก จนเกือบ 9 ปีที่เรารักษาไว้ได้ เราก็อยากให้เค้าอยู่กับ บ. เราต่อไปอีกนานเท่านาน แต่มันก็คงเป็นเรื่องกดดันของน้องใหม่เหมือนกัน แต่ขอบอกว่า สุดท้าย...ท้ายสุด น้องใหม่เค้าก็พิสูจน์ว่าเค้าทำได้ บอกแล้วว่านายเลือกเก่งจริงๆ ตอนนี้ล่ะ เรื่องของเราต่อ คนใหม่เข้ามาทำงานแทนแล้วเราจะอยู่ไหนล่ะ
อันดับที่ 4 เราจะต้องฝึกอบรมระบบที่จำเป็นต้องนำไปใช้ที่ดูไบ เพราะสำคัญที่ว่าทุกคนที่ดูไบใหม่หมด เราต้องเป็นคนรู้เรื่องนี้ดีเพื่อที่จะได้ช่วยสอนเพื่อนๆ ได้บ้าง... เอาแล้วซิ จะมานั่งอบรม แบบไก่กา ลั้นลา คงไม่ใช่ แล้วเราก็เริ่มฝึกอยรม เพราะเป้าหมายคือ ต้องฝึกทุกแผนกของบ. ที่ใช้ระบบนี้ ยกเว้น บ/ช ค่อยโล่งอก ชีวิตกับตัวเลย เราจะค่อนข้างเป็นเส้นขนานที่ไม่อาจมาบรรจบกันได้ ง่ายๆ เลยนะ โง่คำนวนเป็นที่สุด เคยตกวิชาเลขด้วย 5555 ตอนอบรมแรกๆ โอ้โห ไรฟร่ะเนี่ยขอโทษนะ อยู่กับแต่เอกสาร ตัวหนังสือ คีย์ข้อมูลไม่สนุกอย่างแรง ไม่ได้พบปะลูกค้า ไม่มีบู้บุ๋นปะทะคารมกับลูกค้า ไม่ได้พัฒนาภาษาเล้ย อีเมล์ก็ไม่ได้ใช้ โอ้วจิตใจเริ่มปั่นป่วนแล้วล่ะ ....มากไปกว่านั้น
เมื่อฝึกครบทุกแผนกที่ สำนักงานใหญ่ เราก็ต้องไปต่อที่สาขาอีก....
To be continue
~